Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
Ähnlich wie เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา (20)
Mehr von Tongsamut vorasan
Mehr von Tongsamut vorasan (20)
เกณฑ์การรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
- 1. 1
๑. การบวช
๑.๑. ความหมายของการบวช
คําว่า บวช ในภาษาไทย เป็ นคํานาม มาจากภาษาบาลีวา ป+วช ธาตุ ในความหมายว่า
่
งด,เว้ น,หลีก,เลียง,ห่างไกล ในทีนีประการที ๑ หมายถึง ห่างไกลจากกิเลสเครืองเศร้ าหมองมีกาม
คุณ ๕ เป็ นต้น ความหมายประการที ๒ หมายถึงบุคคลทีมีความเลือมใสในพุทธศาสนาเข้ ามาสู่
พระธรรมวินย ซึงแบ่งเป็ นประเภทหลักมี ๔ ประเภทคือ
ั
๑. ภิกษุ ๒. ภิกษุณี ๓. สามเณร ๔. สามเณรี
ท่านผู้ร้ ูได้ ให้ ความหมายของการบวชไว้ ดงนี.-
ั
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ ทรงให้ ความหมายไว้ วา “คนพวก
่
หนึงพอใจจะประพฤติธรรม ด้ วยเข้ าใจว่า การเกิดของตนจะไม่ไร้ เปล่า จะยังประโยชน์ใหญ่ให้
สําเร็จแก่มหาชน ยอมละยศศักดิ และความสุขส่วนตัวเข้ าสูพระศาสนาเทียวสังสอนมหาชน” ๑
่
พระธรรมปิ ฎก (ประยุทธ ปยุตโต) ได้ ให้ ความหมายไว้ วา การบวช (แปลว่า เว้ นความชัว
่
ทุกอย่าง) หมายถึงการบวชทัวไป, การบวชอันเป็ นบุรพประโยคแห่งอุปสมบท, การบวชเป็ น
สามเณร (เดิมทีเดียว) คําว่า บรรพชา หมายความว่า บวชเป็ นภิกษุ เช่น เสด็จออกบรรพชา
อัครสาวกบรรพชา เป็ นต้ น ในสมัยต่อมาจนถึงปัจจุบนนี คําว่าบรรพชา หมายถึง บวชเป็ น
ั
สามเณร ถ้ าบวชเป็ นภิกษุ ใช้ คําว่าอุปสมบท โดยเฉพาะเมือใช้ ควบกันว่า บรรพชาอุปสมบท๒
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ ให้ ความหมายว่า “การถือเพศเป็ นภิกษุหรือ
นักพรตอืน ๆ ๓
๑.๒. คําที่มีความหมายถึงการบวช
๑). บรรพชา เป็ นคํานามเช่นเดียวกับการบวช ในสมัยพุทธกาลเป็ นคําทีใช้ กบการบวช
ั
ทัวๆไป สันนิษฐานว่าเป็ นคําทีใช้ ก่อนกว่าคําอืน เช่นใช้ ในสมัยทีเจ้ าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช
ครังแรก ใช้ คําว่า เสด็จออกบรรพชา หรือคําว่า พระสารีบตรบรรพชา พระยสะบรรพชา เป็ นต้ น
ุ
มิได้ หมายถึงการบวชอย่างใดอย่างหนึง
____________________
๑
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ า กรมพระยาวชรญาณวโรรส, สารานุกรมพระพุทธศาสนา (กรุงเทพฯ: โรง
พิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๓๙). น. ๘๒.
๒
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครังที ๖
(กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓). น. ๑๓๒.
๓
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (กรุงเทพฯ:นานมีบ๊ คส์พบลิเคชันส์,
ุ ั
๒๕๔๒). น. ๖๑๐.
- 2. 2
การใช้ คําว่า ปพพชิ (บวชเอง) หรือ ปพพาเชสิ (เป็ นผู้บวชให้ คือเป็ นพระอุปัชฌาย์) ทีใช้
ในอรรถกถาต่าง ๆ โดยเฉพาะในธัมมปทัฏฐกถา ซึงเป็ นอรรถกถาของธรรมบท ขุททกนิกาย ใน
พระสุตตันตปิ ฎก ทีดาษดืนชีให้ เห็นว่า เป็ นการใช้ ทีหมายถึงการบวชทัวไป หากคําว่า บรรพชา
เป็ นคํานามจะมีรูปเป็ น บรรพชิต ซึงหมายถึงนักบวชหรือนักพรต
ในปัจจุบน ดังทีได้ กล่าวไปแล้ วว่า คําว่า บรรพชา ใช้ หมายถึงการบวชเป็ นสามเณร เป็ น
ั
เบืองต้ นของการบวชเป็ นพระภิกษุ
๒). อุปสมบท หมายถึง การให้ กลบุตรบวชเป็ นพระภิกษุ หรือให้ กลธิดาบวชเป็ นภิกษุณี ,
ุ ุ
การบวชเป็ นภิกษุ หรือภิกษุณี ๔
คําว่า อุปสมบท นี มีความหมายแตกต่างจากคําว่า อุปสัมปทา ซึงจะกล่าวต่อไป
๓). อุปสัมปทา หมายถึง การบวช, การบวชเป็ นภิกษุ หรือภิกษุณี ๕
๔). อุปสัมปทาเปกข์ หมายถึง บุคคลผู้เพ่งอุปสมบท คือผู้มงจะบวชเป็ นภิกษุ, ผู้ขอบวช
ุ่
๖
นาค
๕). อุปัชฌาย์ หมายถึง ผู้เพ่งโทษน้ อยใหญ่ คือผู้รับรองกุลบุตรเข้ ารับการอุปสมบทในท่า
มกล่างภิกษุสงฆ์ เป็ นพระเถระผู้เป็ นประธานในการบวชกุลบุตรเป็ นทังผู้นําเข้ าหมู่ และ
เป็ นผู้ปกครองดูแลรับผิดชอบทําหน้ าทีฝึ กสอนอบรมให้ การศึกษาต่อไป ส่วนอุปัชฌาย์ใน
ฝ่ ายภิกษุณี เรียกว่า ปวัตตินี ๗
๒. วิธีบรรพชาอุปสมบท
วิธีบรรพชาอุปสมบท ทีพระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ เรียกว่า อุปสัมปทา คือการบวชเป็ น
ภิกษุ หรือภิกษุณีมี วิธีอปสมบทนีมีทงหมด ๘ อย่าง แต่เฉพาะทีใช้ เป็ นหลักมี ๓ อย่าง คือ
ุ ั
๑). เอหิภกขุอุปสัมปทา
ิ การอุปสมบทด้วยพระวาจาว่า “จงเป็นภิกษุมาเถิด”
เป็นวิธทพระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง
ี ี
๒). ติสรณคมนูปสัมปทาหรือสรณคมนุปสัมปทา การอุปสมบทด้วยถึงไตรสรณะ
เป็นวิธททรงอนุญาตให้พระสาวกทําในยุคต้นพุทธกาล เมือคณะสงฆ์ยงไม่ใหญ่นก
ี ี ั ั
เมือทรงอนุญาตวิธท ี ๓ แล้ว วิธท ี ๒ นีก็เปลียนใช้สาหรับบรรพชาสามเณร
ี ี ํ
____________________
๔
พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์, น. ๔๓๐.
๕
เรืองเดียวกัน. น. ๔๓๑.
๖
เรืองเดียวกัน.
๗
เรืองเดียวกัน. น. ๔๓๒.
- 3. 3
๓). ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา การอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม เป็นวิธททรง ี ี
อนุญาตให้สงฆ์ทา ในเมือคณะสงฆ์เป็นหมูใหญ่ขนแล้ว และเป็นวิธทใช้สบมาจนทุก
ํ ่ ึ ี ี ื
วันนี; วิธอุปสมบทอีก ๕ อย่างทีเหลือเป็นวิธททรงประทานเป็นการพิเศษจําเพาะ
ี ี ี
บุคคลบ้าง ขาดตอนหมดไปแล้วบ้าง ได้แก่ (จัดทําเรียงใหม่ เอาข้อ ๓. เป็นข้อ ๘.
ท้ายสุด)
๓). โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา การอุปสมบทด้ วยการรับโอวาท เป็ นวิธีทีทรงอนุญาต
แก่พระมหากัสสปะ
๔). ปั ญหาพยากรณูปสัมปทา การอุปสมบทด้ วยการตอบปัญหาของพระพุทธองค์
เป็ น
วิธีทีทรงอนุญาตแก่โสปาณสามเณร
๕). ครุธรรมปฏิคคหณูปสัมปทา( หรืออัฎฐครุกรรมปฏิคคหณูปสัมปทา) การ
อุปสมบทด้ วยการรับครุฑรรม ๘ ประการ เป็ นวิธีทีทรงอนุญาตแก่พระนางมหาปชาบดี
โคตรมี
๖). ทูเตนะ อุปสัมปทา การอุปสมบทด้ วยทูต เป็ นวิธีทีทรงอนุญาตแก่นางคณิกา
(หญิงโสเภณี) ชืออัฑฒกาสี
๗). อัฎฐวาจิกาอุปสัมปทา การอุปสมบทมีวาจา ๘ คือ ทําด้ วยญัตติจตุตถกรรม ๒
ครังจากสงฆ์ทงสองฝ่ าย คือจากภิกษุณีสงฆ์ครังหนึง จากภิกษุสงฆ์ครังหนึง ได้ แก่ การ
ั
อุปสมบทของภิกษุณี
๘). ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา (ข้ อ ๓ เดิม) ๘
๓. การอุปสมบทและเกณฑการรับกุลบุตร
เพื่ออุปสมบทในสมัยพุทธกาล
๓.๑ ที่มาของแนวคิดเรืองการบรรพชาอุปสมบท
่
แนวคิดเรืองการอุปสมบทและเกณฑ์การรับกุลบุตรเพืออุปสมบทในสมัยพุทธกาล จะ
ปรากฏอยู่ใน มหาขันธกะ มหาวรรค พระวินยปิ ฎก และพระวินยปิ ฎกเกือบทังหมด โดยจะแสดง
ั ั
เรืองราวต่างๆ ดังนีคือ
____________________
๘
เรืองเดียวกัน. น. ๔๓๑.
- 4. 4
๑) การบรรพชาอุปสมบท
๒) วิธีบรรพชาอุปสมบท
๓) ข้ อห้ าม ข้ อบังคับ ข้ ออนุญาต การบรรพชาอุปสมบท
๔) คุณสมบัติของผุ้จะบรรพชาอุปสมบท
๕) ข้ อปฏิบติของพระอุปัชฌาย์
ั
๖) พระวินยและข้ อปฎิบติทีผู้บรรพชาอุปสมบทต้ องปฎิบติ
ั ั ั
๗) ภิกษุผ้ เู ป็ นต้ นบัญญัติแห่งข้ อบังคับการบรรพชาอุปสมบททังหมด
๘) ตัวอย่างผู้ทีได้ รับการบรรพชาอุปสมบททัง ๘ วิธี
แต่ในงานวิจยนีจะนํามาแสดงวิเคราะห์เป็ นบางเรืองพอเป็ นสังเขปเท่านัน
ั ซึงผู้สนใจ
ศึกษาเพิมเติม สามารถค้นคว้ าได้ จะหลักฐานทีปรากฏในพระวินยปิ ฎก และพระสัตตันตปิ ฎก
ั
ช่วงแรก โดยเฉพาะในพระสุตตันตปิ ฎกและอรรถกถาจะเป็ นการแสดงถึงเรืองราวของผู้ทีได้ รับการ
อุปสมบทด้ วยวิธีนนๆ ผู้ทีได้ รับการอุปสมบทเป็ นพระสงฆ์รูปแรกในพุทธศาสนา คือ ท่าน
ั
พระอัญญาโกณฑัญญะ ซึงเป็ นหนึงในปั ญจวัคคีย์ ได้ ฟังธรรมคือธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจากพระ
พุทธองค์แล้ ว ได้ ดวงตาเห็นธรรม จึงได้ รับการอุปสมบทด้ วยวิธีเอหิภิกขุอปสัมปทา ในวันขึน ๑๕
ุ
คําเดือน ๘ ซึงภายหลังเราเรียกว่า วันอาสาฬหปูณณมีบชา นันเองู
๓.๒ เกณฑการรับกุลบุตรเพือบรรพชาอุปสมบทในสมัยพุทธกาล
่
ในสมัยทีพระพุทธเจ้ าตรัสรู้ใหม่ๆ คณะสงฆ์ยงไม่ใหญ่โตนักนัน การพิจารณากุลบุตรเพือ
ั
บรรพชาอุปสมบทนัน พระพุทธเจ้ าจะพิจารณาด้ วยพระองค์เอง โดยยึดหลัดการบําเพ็ญบารมีมา
ในอดีตชาติของบุคคลนันๆ เช่น พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ บําเพ็ญบารมีมาถึง ๑๐๐,๐๐๐ กัป
แล้ วปราถนาจะตรัสรู้ธรรมก่อนใครในยุคของพระพุทธเจ้ าพระนามว่าปทุมตตระ ความปราถนานัน
ุ
จึงมาสําเร็จในยุคของพระพุทธเจ้ าพระองค์ปัจจุบน เป็ นต้น ๙
ั
หรือหากกุลบุตรใดไม่ได้ บําเพ็ญบารมีมาเพียงพอต่อการอุปสมบท เช่น ไม่ได้ ถวายทานมี
บาตรและจีวรเป็ นต้ น แม้ ได้ บรรลุพระอรหัตก็ไม่สามารถจะอุปสมบทได้ เช่น กุลบุตรพาหิยะทารุจี
ริยะและ ปุกกุสาติ ได้ ฟังธรรมแล้ วบรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานในวันนัน ต่อมาเมือพระพุทธเจ้ า
พร้ อมด้ วยพระสาวกชุดแรกประกาศพระศาสนาไป ทําให้ คําสอนของพระองค์แพร่หลายกว้ างขวาง
ออกไป มีกลบุตรจํานวนมากขอบรรพชาอุปสมบท
ุ
____________________
๙
บรรจบ บรรณรุจิ. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรืองอสีติมหาสาวกกับการบรรลุธรรม” วิทยานิพนงธ์
ปริญญามหาบัณฑิต คณะอักษณศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (กรุงเทพฯ. ๒๕๓๒). น. ๒๔.
- 5. 5
แต่ถึงกระนัน พระองค์ก็ยงมิได้ทรงตังกฎเกณฑ์การบรรพชาอุปสมบทเอาไว้ สาเหตุ
ั
เนืองจากว่า ถ้ าหากทรงตังกฎไว้ ก่อน กุลบุตรจะพากันเกรงกลัวและเหนือยหน่ายต่อการบรรพชา
อุปสมบท จะชักชวนกันเป็ นอุบาสกอุบาสิกาทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาเสียเป็ นส่วนใหญ่ และทํา
ให้ ไม่มีผ้ บรรพชาอุปสมบท ดังทีในอรรถกถาสมันตปาสาทิกาแสดงเอาไว้ วา
ู ่
“หากพระศาสดาพึงบัญญัติสิกขาบทไว้ ก่อน ก็จะถูกติเตียน เพราะสัตว์โลกไม่ร้ ูเรียวแรง
หรือกําลังของพระองค์ และสิกขาบททีบัญญัติไว้ กจะเป็ นการไม่สมควร และไม่เป็ นไป
็
ตามทีพระองค์ทรงกําหนดหมายเอาไว้ ฯ เพราะเหตุนน พระองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนสารี-
ั
บุตร เราจะไม่บญญัติสิกขาบทไว้ ก่อน ตราบใดทีความผิดยังไม่ปรากฎแก่สาวก
ั
ทังหลาย””ฯ ๑๐
จากหลักฐานดังกล่าวชีให้ เห็นว่า พระพุทธองค์มิได้ทรงตังกฏเกณฑ์ของการบรพชา
อุปสมบทไว้ แม้ แต่ข้อเดียว แต่ทรงบัญญัติภายหลัง เมือมีเรืองราวอันเป็ นมูลเหตุเกิดขึน ทําให้ สรุป
ได้ วา ข้ อบัญญัตทงทีเป็ นข้ อห้ ามและข้ ออนุญาตต่างๆ ล้ วนแต่มสาวกเคยกระทําผิดและเป็ นต้ น
่ ิ ั ี
บัญญัติมาก่อนทังนัน อันเป็ นเหตุให้ ทรงบัญญัตกฏเกณฑ์ของการบรพชาอุปสมบทจนถึงปั จจุบน
ิ ั
๓.๓ องคแหงพระอุปชฌาย
สําหรับองคแหงพระอุปชฌายนน ถือวามีความสําคัญทีควรจะนํามาแสดง เพราะพระ
ั้ ่
อุปชฌายเปนผูมบทบาทมากที่สุดในการคัดเลือกกุลบุตรที่จะเขามาสูพระธรรมวินัย
ี ดังจะนํา
คุณสมบัติตางๆ เกียวกับพระอุปชฌายที่พระพุทธองคตรัสไวมาแสดงเพื่อใหเปนแนวทางสังเกต
่
ตอไป ดูกอนภิกษุทงหลาย ภิกษุไมพึงใหอุปสมบทดวยคณะ ซึ่งมีพวกหยอน ๑๐ รูปในให
ั้
อุปสมบท ตองอาบัติทุกกฎ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตใหอุปสมบทดวยคณะมีพวก ๑๐ ๑๑
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีพรรษาหยอน ๑๐ ไมพึงใหอุปสมบท รูปใดใหอุปสมบท
ตองอาบัติทุกกฎ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตใหภิกษุมีพรรษาได ๑๐ หรือมีพรรษาเกิน ๑๐
ใหอุปสมบท ๑๒
ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผูโงเขลาไมเฉียบแหลมไมพึงใหอุปสมบท รูปใดให
อุปสมบท ตองอาบัติทุกกฎ ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตใหภิกษุผูสามารถมีพรรษาได ๑๐
หรือมีพรรษาเกิน ๑๐ ใหอุปสมบท ๑๓
____________________
๑๐
วิ. อ. ๑/๒๒๒.
๑๑
วิ. ม. ๔/๙๘/๑๗๔.
๑๒
เรื่องเดียวกัน. ๔/๙๐/๑๗๖.
๑๓
เรื่องเดียวกัน. น. ๑๗๘.
- 6. 6
จากองคแหงพระอุปชฌายที่นํามาแสดงขางตนแสดงใหเห็นวา บุคคลผูที่ทําหนาเปน
พระอุปชฌายนน จะตองเปนผูมีความรูความสามารถและสติปญญาเฉลียวฉลาด ในอันที่จะทํา
ั้
หนาที่พจารณาตัดสิน ตรวจสอบ และคัดเลือกอยางละเอียดถี่ถวนกอนทีจะตัดสินใจวา กุลบุตร
ิ ่
นั้น ๆ มีคุณสมบัติครบถวนหรือไม ในการทีจะเขามาสูพระธรรมวินัย ไมบกพรองเสียหายในดาน
่
ใดดานหนึ่ง หรือจะเรียกวาเปนผูมีวิสยทัศนกวางไกลทันโลกทันเหตุการณนั่นเอง
ั ซึ่งพระ
อุปชฌายนนถือวาเปรียบเสมือนผูพิพากษาซึ่งมีหนาที่พจารณาตัดสิน และชีถูกชี้ผดอีกดวย เมื่อ
ั้ ิ ้ ิ
พระอุปชฌายเปนผูมคุณสมบัติครบถวนดังกลาว จึงจะสามารถทําหนาที่ของตนไดอยางดี ไมเกิด
ี
ปญหาตาง ๆ ตามมาอีกในภายหลัง
แตอยางไรก็ตาม แมวาพระพุทธองคจะทรงวางกฎกติกาไวแลวหลังจากเกิดเเรื่องขึ้น
เกี่ยวกับการรับกุลบุตร แตความบกพรองผิดพลาดก็เกิดมีตามมาเปนระยะ ๆ เกิดเปนปญหาแก
คณะสงฆสะสมเรื่อยมาตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน ดังจะเห็นไดจากกุลบุตรทีเ่ ขามาบวชเปน
พระภิกษุในสมัยปจจุบน มีกิริยาอาการแปลก ๆ มากมาย เชน มีรูปรางที่อวนเกินไปบาง ผอม
ั
เกินไปบาง ดําเกินไปบาง เตี้ยเกินไปบาง สูงเกินไปบาง มีรางกายพิกลพิการ คือ ตาบอด หู
หนวก แขนขาด มือขาด เทาขาดบาง เปนโรครายแรงนารังเกียจบาง และเมื่อบวชเขามาแลว
ประพฤติตนไมเหมาะไมควร เชน การแสดงกิริยาอาการแอยางคฤหัสถ คือทําตัวเหมือนชาวบาน
ไมสมกับความเปนสมณภาวะ หรือแสดงออกในอาการทาทางที่ไมควร เชน เปนพระเกย, พระตุด
,พระกะเทย เปนตน และในประเด็นนี้จะนํามากลาววิเคราะหในภายหลัง ซึ่งสิ่งตาง ๆ ที่กลาวมา
นี้แมจะไมไดยกตัวอยางมาประกอบ แตก็คงจะสังเกตไดไมยากในสมัยปจจุบน และกุลบุตรผูเขา
ั
มาสูพระธรรมวินัยเหลานั้น ยอมจะทําแตความเสื่อมเสียโดยมาก เพราะพฤติกรรมนัน ๆ ไมนํามา ้
ซึ่งความเลื่อมใสแกผูพบเห็นเลย และในกรณีดังกลาวนี้ ถาพระอุปชฌายและพระสงฆทั้งมวลให
ความเอาใจใสอยางเครงครัดตอกฎเกณฑตาง ๆ แมในการคิดเลือกเพื่อรับกุลบุตรเขามาบวชนั้น
ก็จะไดแตเฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัตเิ พียบพรอมดีงาม มีกิริยาอาการนํามาซึ่งความเลื่อมใสแกผู
พบเห็น เพราะวาคุณสมบัตตาง ๆ นั้นเมื่อพิจารณากันแลวจะเห็นไดวา มีความพอดีพองามไป
ิ
หมดทุกอยาง เชน ไมสูงหรือต่ําจนเกินไป ไมอวนหรือผมมจนเกินไป มีอวัยวะครบถวน ไมมี
โรคติดตอรายแรง มีสติปญญาสมบูรณซึ่งสามารถที่จะพัฒนาตนเองไปสูแนวทางทีตนคาดหวังได
่
ตามตองการ แตเพราะการณตาง ๆ ไมเปนไปตามพุทธประสงคนั่นเอง จึงเปนตนเหตุของปญหา
ตาง ๆ มากมายขึ้นในวงการคณะสงฆ จนเกิดเปนปญหาที่เรื้อรังพอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่
จะเยียวยาแกไข แตถาคณะสงฆโดยเฉพาะพระผูใหญที่มีหนาที่รับผิดชอบใหความเอาใจใสดูแล
และแกไขปญหากันอยางจริงจังแลว แมปญหาความยุงยากตาง ๆ จะยังคงมีอยูแตกจะคอย ๆ ็
หมดไปไดในที่สุด ทั้งนี้ขนอยูกบพระสงฆทุกฝาย รวมถึงหนวยงานตาง ๆ ที่มีหนาที่รับผิดชอบ
ึ้ ั
จะตองชวยกันแกไขปญหาตาง ๆ ทีเ่ กิดขึน ้
- 7. 7
๔. ขอหามการบรรพชาอุปสมบทในสมัยพุทธกาล
สําหรับข้ อห้ ามการบรรพชาอุปสมบทในสมัยพุทธกาลนัน ยังคงใช้ สืบเนืองกันมาจนถึง
ปั จจุบน มีหลักฐานต่างๆจากพระไตรปิ ฎกซึงนํามาเสนอพอสังเขปดังนี.-
ั
“ภิกษุทงหลาย ภิกษุไม่พึงยังกุลบุตรทีมารดาบิดาไม่ได้ อนุญาตให้ อปสมบท รูปใดให้
ั ุ
อุปสมบท ต้ องอาบัติทกกฏ ฯ” ๑๔ ุ
“ดูกรภิกษุทงหลาย ภิกษุผ้มิได้ รับการขอร้ อง ไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใด อุปสมบทให้
ั ู
ต้ องอาบัติทกกฏ. ดูกรภิกษุทงหลาย เราอนุญาตให้ ภิกษุผ้ ถกขอร้ องอุปสมบทให้ .
ุ ั ูู
ดูกรภิกษุทงหลาย ก็แลอุปสัมปทาเปกขะพึงขออย่างนี อุปสัมปทาเปกขะนัน พึงเข้ าไป
ั
หาสงฆ์ ห่มผ้ าเฉวียงบ่า ไหว้ เท้ าภิกษุทงหลาย นังกระหย่ง ประคองอัญชลี แล้ วกล่าวคํา
ั
ขออุปสมบทอย่างนีว่า ข้ าพเจ้ าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เจ้ าข้ า ขอสงฆ์โปรดเอ็นดูยก
ข้ าพเจ้ าขึนเถิด เจ้ าข้ า. พึงขอแม้ ครังทีสอง ... พึงขอแม้ ครังทีสาม ฯ” ๑๕
“ดูกรภิกษุทงหลาย กุลบุตรผู้ถกโรค ๕ ชนิด กระทบ เข้ าแล้ ว ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใดให้
ั ู
บวช ต้ องอาบัติทกกฏ ฯ” ๑๖
ุ
“ดูกรภิกษุทงหลาย โจรทีขึนชือโด่งดัง ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใดให้ บวช ต้ องอาบัติ ทุก
ั
กฏ ฯ” ๑๗
“ดูกรภิกษุทงหลาย โจรผูหนีเรือนจํา ภิกษุไม่ พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัตทุก
ั ้ ิ
๑๘
กฏ”
“ดูกรภิกษุทงหลาย บุรุษผู้ถกลงอาญาเฆียน ด้ วยหวาย ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใดให้ บวช
ั ู
ต้ องอาบัติทกกฏ” ๑๙
ุ
“ดูกรภิกษุทงหลาย บุรุษผู้ถกลงอาญาสัก หมายโทษ ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใดให้ บวช ต้ อง
ั ู
๒๐
อาบัติทกกฏ”
ุ
____________________
๑๔
เรืองเดียวกัน. ๔/๑๑๙/๒๘๓.
๑๕
เรื่องเดียวกัน. ๔/๘๖/๑๖๙.
๑๖
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๑/๒๓๙.
๑๗
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๓/๒๔๗.
๑๘
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๔/๒๔๗.
๑๙
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๖/๒๓๙.
๒๐
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๗/๒๓๙.
- 8. 8
“ดูกรภิกษุทงหลาย คนมีหนี ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใดให้ บวช ต้ องอาบัติทกกฏ”๒๑
ั ุ
“ดูกรภิกษุทงหลาย คนเป็ นทาส ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้ บวช ต้ องอาบัติทกกฏ.” ๒๒
ั ุ
“ดูกรภิกษุทงหลาย ภิกษุร้ ูอยู่ ไม่พึงให้ บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบท รูปใดให้
ั
อุปสมบท ต้ องปรับตามธรรม.” ๒๓
“ดูกรภิกษุทงหลาย เด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใดให้ บวช ต้ อง
ั
อาบัติทกกฏ ฯ” ๒๔
ุ
“ดูกรภิกษุทงหลาย เราอนุญาตให้ บวชเด็กชาย มีอายุหย่อน ๑๕ ปี แต่สามารถไล่กาได้ ฯ๒๕
ั
“ดูกรภิกษุทงหลาย ภิกษุไม่พงให้บณเฑาะว์ทยังไม่อุปสมบท ให้อุปสบท ทีอุปสมบท
ั ึ ั ี
๒๖
แล้ว ให้สกเสีย ฯ”
ึ
“ภิกษุทงหลาย โจรทีถูกออกหมายจับ ไม่พึงให้ อปสมบท รูปใดให้ อปสมบท ต้ องอาบัติ ทุก
ั ุ ุ
กฏ ฯ ๒๗
“ดูกรภิกษุทงหลาย ภิกษุผ้ มิได้ รับการขอร้ อง ไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใด อุปสมบทให้ ต้ อง
ั ู
อาบัติทกกฏ ฯ ดูกรภิกษุทงหลาย เราอนุญาตให้ ภิกษุผ้ ถกขอร้ องอุปสมบทให้ ”.๒๘
ุ ั ูู
“ก็แล ภิกษุทงหลาย ภิกษุพึงถามอย่างนึว่า อาพาธเหล่านีคือโรคเรือน ฝี โรคกลาก โรค
ั
มองคร่อ ลมบ้ าหมู ของเจ้ ามีอยู่หรือ เจ้ าเป็ นมนุษย์หรือ เป็ นชายหรือ เป็ นไทหรือ ไม่มี
หนีสินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้ วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้ วหรือ บาตร
จีวรของเจ้ ามีครบแล้ วหรือ เจ้ าชืออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้ าชืออะไร ฯ” ๒๙
“ดูกรภิกษุทงหลาย ราชภัฎ ภิกษุไม่พึงให้ บวช รูปใด ให้ บวช ต้ องอาบัติทกกฏ.” ๓๐
ั ุ
____________________
๒๑
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๘/๒๕๔.
๒๒
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๙/๒๕๙.
๒๓
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๑๑/๒๖๑.
๒๔
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๑๒/๒๖๕.
๒๕
เรื่องเดียวกัน. น. ๒๖๖.
๒๖
เรื่องเดียวกัน. ๔/๒๕/๓๐๘.
๒๗
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๕/๒๔๙.
๒๘
เรื่องเดียวกัน. ๔/๘๖/๑๖๙.
๒๙
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๔๒/๓๕๕.
๓๐
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๐๒/๒๔๕.
- 9. 9
“ดูกรภิกษุทงหลาย ภิกษุไม่พึงบรรพชาคนมือด้ วน ฯลฯ รูปใดบรรพชาให้ ต้ องอาบัติ
ั
ทุกกฏ.” ๓๑
“ภิกษุทงหลาย อุปสัมบันคืออุภโตพยัญชนก ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ทีอุปสมบทแล้ ว
ั
ต้ องให้ สกเสีย” ๓๒
ึ
“ภิกษุทงหลาย กุลบุตรทําร้ ายพระศาสดาจนห้ อพระโลหิต ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ที
ั
อุปสมบทแล้ ว พึงให้ สกเสีย ฯ” ๓๓ ึ
“ภิกษุทงหลาย กุลบุตรฆ่าพระอรหันต์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ทีอุปสมบทแล้ ว พึงให้ สก
ั ึ
เสีย ฯ” ๓๔
“ภิกษุทงหลาย กุลบุตรฆ่าบิดา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ทีอุปสมบทแล้ ว พึงให้ สกเสีย ฯ๓๕
ั ึ
“ภิกษุทงหลาย สัตว์ดิรัจฉานภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ทีอุปสมบทแล้ ว พึงให้ สกเสีย ฯ๓๖
ั ึ
“ภิกษุทงหลาย คนฆ่ามารดาภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ถ้ าอุปสมบทแล้ ว ควรให้ สกเสีย ฯ๓๗
ั ึ
๓๘
“ภิกษุทงหลาย เราอนุญาตใหอุปสมบทกุลบุตร ผูมอายุ 20 นับในท้อง ฯ
ั ้ ี
“ดูก่อนภิกษุทงหลาย อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์ ภิกษุไม่พงให้ อุปสมบท ทีอุปสมบทแล้ วต้ องให้ สก
ั ึ ึ
๓๙
เสีย”
____________________
๓๑
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๓๕/๓๓๘ – ๓๔๐.
๓๒
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๓๒/๓๓๓.
๓๓
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๓๑/๓๓๐.
๓๔
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๓๐/๓๒๗.
๓๕
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๒๙/๓๒๖.
๓๖
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๒๗/๓๒๖.
๓๗
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๒๘/๓๒๖.
๓๘
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๑๔๑/๓๕๔
๓๙
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๒๕/๓๐๘.
- 10. 10
จากขอหามในการบรรพชาแปสมบทในสมัยพุทธกาลนั้น เปนกฎกติกาทีพระพุทธองคทรง ่
ตั้งไวเปนเกณฑใหถือปฏิบัติอยางเครงครัด โดยมีบทลงโทษทีเ่ รียกวาอาบัติแกผูฝาฝนไมปฏิบัติ
ตามโดยเฉพาะพระอุปชฌาย แตเมื่อกลาวโดยหลักการแลว พระพุทธเจาไดมอบอํานาจความ
เปนใหญในการตัดสินใจในเรื่อง ตาง ๆ ที่เกิดขึ้นนันแกสงฆ ไมวาเรื่องใด ๆ ก็ตาม รวมถึงเรื่องการ
้
รับบุคคลทีจะเขามาบวชดวย
่
และจะสังเกตเห็นไดวา ขอหามการใหบรรพชาอุปสมบทที่มีมาแตครั้งพุทธกาลนั้น แมจะ
ยังคงถือปฏิบัติมาตามลําดับก็ตามที แตเปนการยึดถือปฏิบัติในลักษณะตามรูปแบบ หรือที่
เรียกวาเนนใหเปนพิธีกรรมเทานั้นเอง แตไมไดใสใจในเนื้อหาความสําคัญสักเทาใด เชน การ
สวดถามอันตรายิกธรรม ๑๓ ขอ ซึ่งเปนวิธีการสอบถามเพื่อหาความเปนจริงเกียวกับคุณสมบัติ ่
ของผูที่จะขอบวชวามีครบหรือไม เชน เปนโรคเรื้อน ฝ โรคกลาก โรคมองครอ ลมบาหมู
หรือไม หรือเปนมนุษยหรือไม เปนชายหรือไม เปนไทหรือไม เปนหนี้สินหรือไม เปนขาราชการ
คือติดราชการอยูหรือไม มารดาบิดาอนุญาตหรือยัง มีอายุครบ ๒๐ ปหรือยัง มีบาตรและจีวร
ครบหรือไม มีชื่อวาอะไร และอุปชฌายชื่ออะไร ดังนี้ เปนการสอบถามเพื่อสัมภาษณหาความ
จริงเพื่อยืนยันความบริสุทธิใจนั่นเอง
์
แตในทางปฏิบัติในยุคสมัยปจจุบนเปนเพียงการทําตามระเบียบพิธีที่วางไวเทานั้น เพราะ
ั
ในการสอบถามอันตรายิกธรรม (อันตรายที่จะเกิดมีตอผูจะบวช) เปนการกลาวเปนภาษาบาลี
ซึ่งไมไดแปลเปนภาษาไทยใหมีความเขาใจ เมื่อกลาวเฉพาะภาษาบาลีก็ทําใหผูขอบวชเองไมมี
ความเขาใจ หรือแมแตผถามเองก็ไมมีความเขาใจดวยซ้ําไป ในบางกรณีเมื่อผูขอบวชตอบ
ู
คําถามผิด เชน เมื่อถูกถามวา “มนุสฺโสสิ” แตผูขอบวชตอบวา “นตฺถิ ภนฺเต” ซึ่งเปนคําตอบที่
ไมถูกตอง ผูสอบถามก็มักจะบอกใหตอบใหมวา “อาม ภนฺเต” ดังนี้เปนตน และมีรายละเอียด
อีกหลายเรื่องทีถือปฏิบัติกนมาโดยถือหรือเนนใหเปนเฉพาะพิธีเทานัน ไมไดเนนเพื่อใหผูบวชไดมี
่ ั ้
ความรูความความเขาใจอยางถูกตอง
สาเหตุในเรื่องดังกลาวนี้ อาจเปนเพราะ
๑. ขาดการเอาใจใสจากพระอุปชฌายเอง
๒. พระอุปชฌายขาดคุณสมบัติ ไมมีความรูความสามารถเพียงพอ
๓. พระสงฆขาดการเอาใจใสดูแลอยางจริงจัง
๔. ยึดถือปฏิบัตเิ นนเฉพาะพิธกรรมมากเกินไป ไมเนนเนื้อหาสาระ
ี
๕. มุงไปที่ลาภสักการะเปนสวนใหญ
ที่กลาวมานี้ผูวิจย ไมไดกลาวถึงเหตุการณ ที่เกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึงเทานั้น แตกลาวถึง
ั ่
โดยมองเปนภาพรวม คือโดยสวนมากทีเ่ ห็นปรากฏในยุคสมัยปจจุบัน แตมิใชวาจะเกิดขึ้นกับทุก
ที่ทุกแหง ที่ ๆ ยึดถือพระธรรมวินัยเปนสําคัญก็ยังมีปรากฏใหเห็นพอสมควร
- 11. 11
๕. เกณฑการรับกุลบุตรเพื่ออุปสมบทในยุคปจจุบัน
๕.๑ ขอแตกตางของการอุปสมบททั้ง 2 ยุค
ในปัจจุบนั ผู้ทีมีบทบาทสําคัญทีสุดในการรับกุลบุตรเพืออุปสมบทเป็ นพระภิกษุใน
พระพุทธศาสนา คือ พระอุปัชฌาย์ แต่ท่านเหล่านันยังคงยึดถือธรรมเนียมปฏิบติตามพระธรรม
ั
วินยอย่างเคร่งครัด เพราะถือว่าพิธีอปสมบทกุลบุตรเพือเป็ นพระภิกษุนน เป็ นพิธีกรรมทีสําคัญ
ั ุ ั
ทีสุดอย่างหนึง
แต่เนืองจากจุดมุงหมายของการบวชในสมัยพุทธกาลกับในปั จจุบนมีข้อแตกต่างกัน คือ
่ ั
สาเหตุทีกุลบุตรในสมัยพุทธกาลทังยุคต้ น ยุคกลาง และหลังจากพุทธปรินิพพานไม่นาน ออกบวช
เพราะเลือมใสในพระพุทธศาสนา เพือศึกษาพระธรรมวินยและสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ั
ส่วนกุลบุตรในปัจจุบน อุปสมบทโดยมีสาเหตุหลักดังนีคือ.-
ั
๑) เพือศึกษาพระธรรมวินย และศึกษาวิชาการทังทางคดีโลก คดีธรรม
ั
๒) เพือทดแทนคุณบุพการีตามความเชือทีสืบทอดกันมา
๓) เพือประพฤติปฏิบติตามประเพณีตามความเชือทีสืบทอดกันมา
ั
๔) เพือดําเนินชีวิตในช่วงบันปลาย
อีกประการหนึงทีการอุปสมบททัง ๒ ยุค แตกต่างกันคือ ระยะเวลาของการบวช การบวช
ในสมัยพุทธกาลนัน ส่วนใหญ่จะเป็ นการบวชแบบถวายชีวิตในพระศาสนา (สาสเน อุรํ ทตฺวา)
ส่วนการบวชในปัจจุบน เนืองจากสถานการณ์ทางสังคม ประเพณี วัฒนธรรมเปลียนไป ทําให้ ผ้ ู
ั
ขออุปสมบทกลายเป็ นผู้กําหนดระยะเวลาของการบวชของตน ด้ วยตนเอง
๖. การอุปสมบทในยุคปจจุบัน
กฏเกณฑ์บางข้ อไม่สามารถนํามาเป็ นตัวกําหนดในสถานการณ์ปัจจุบน เช่นอันตรายิกธรรม
ั
บางข้ อ คือ
-โลหิตปบาท ทําร้ ายพระพุทธเจ้ าจนพระโลหิตห้ อขึนไป
ุ
-อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
-สังฆเภท ยุยงสงฆ์ให้ แตกกัน
-ผู้ เป็ นอุภโตพยัญชนก (คน ๒ เพศ)
ส่วนข้ อปฏิบติทีพระอุปัชฌาย์ในปัจจุบนยังคงยึดถืออย่างเคร่งครัด คือ อันตรายิกธรรมทีใช้
ั ั
ถามในเวลาอุปสมบท คือ.-
กุฏฺ ฐํ โรคเรือน
คณฺโฑ ฝี
- 12. 12
กิลาโส โรคกลาก
โสโส โรคมองคร่อ
อปมาโร ลมบ้ าหมู
มนุสฺโส เป็ นมนุษย์
ปุริโส เป็ นชาย
ภุชิสฺโส เป็ นไท
อนโณ ไม่มีหนีสิน
น ราชภโฏ มิใช่ราชภัฏ
อนุ ฺญาโต มาตาปิ ตูหิ มารดาบิดาอนุญาตแล้ ว
ปริปณฺณวีสติวสฺโส
ุ มีปีครบ ๒๐ แล้ ว
ปริปณฺณํ ปตฺตจีวรํ
ุ บาตรจีวรมีครบแล้ ว๔๐
และสืบเนืองจากสาเหตุข้างต้ น ทําให้ กฎเกณฑ์ในการรับกุลบุตรเพืออุปสมบทบางข้ อ
ถูกลดความสําคัญหรือได้ รับการยกเว้ น เช่น.-
-บุคคลผู้มีอาการไม่ครบ ๓๒
-บุคคลผู้เป็ นราชภัฏ(ข้ าราชการ) เพราะสามารถลาอุปสมบทได้ โดยมีกําหนดระยะเวลา
-บุคคลผู้มีหนี
-บุคคลผู้เป็ นโจรทีถูกออกหมายจับ เพราะไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยละเอียด
-บุคคลผู้เป็ นบัณเฑาะว์
-ผู้ เป็ นโรคเรื อน
-ผู้ เป็ นฝี
-ผู้ เป็ นกลาก
-ฯลฯ
กรรอุปสมบทในสมัยปจจุบัน ดังไดกลาวมาแลววา สวนมากจะยังคงยึดถือปฏิบัติตามพิธีคือเนน
ไปในทางพิธกรรมเสียเปนสวนมาก จึงทําใหเกิดมีปญหาตาง ๆ มากมายขึ้นในสังคมสงฆ เชน
ี
กรณีที่มกะเทยหรือสาวประเภทสองเรียกรองสิทธิในการบวชพระ หรือผูที่มีลกษณะโนมเอียงไป
ี ั
ทางเพศหญิงและไดเขามาบวชในพระพุทธศาสนาก็มีปรากฏใหเห็นกันอยางดาษดื่น โดยเฉพาะ
ในวัดเขตเมืองหลวง และบุคคลดังกลาวเมื่อบวชเขามาแลว มักจะประพฤติตัวไมเหมาะสมแก
สมณสารูป คือไมไดคํานึงถึงเพศความเปนพระ และเมื่อมีการเกาะกลุมรวมตัวกันไดก็จะ
แสดงออกดวยกิริยาอาการแปลกประหลาด ทําใหเสื่อมเสียแกวงการคณะสงฆอยางยิ่ง เพราะ
เปนภาพที่ไมนาดูนามองแกผูพบเห็น และบุคคลเหลานี้เมื่อกลาวตามพระวินัยนัน ไมมีคุณสมบัติ
้
ที่จะบวชไดดวยเลย หรือเมื่อรูภายหลังวาเปนกะเทยหรือบัณเฑาะก ก็ตองรีบใหสกดวยซ้ําไป
ึ
- 13. 13
แตเนื่องจากปจจุบน เปนเพราะการขาดการเอาใจใสดแลและละเลยของคณะสงฆ หรือไมได
ั ู
แกปญหาอยางจริงจัง จึงทําใหเกิดปญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมากมาย จนยากที่จะแกไขเยียวยา
ดังมีเรื่องปรากฏตามสื่อตาง ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องพระเณรที่เปนตุดเกยมากมาย ซึ่งผูวจัยไดนํามา
ิ
ประกอบไวเพื่อใหเปนกรณีศึกษาแกผที่มีหนาทีเ่ กี่ยวของในเรื่องนี้ดวย
ู และผูวิจัยไดวิเคราะห
สาเหตุและเสนอทางแกไขไวดวยคือ
สาเหตุของปญหาคือ-
๑) ระบบการอุสมบทหยอนยาน
๒) พระอุปชฌายไมเอาใจใสอันเตวาสิก
๓) การปกครองของคณะสงฆในปจจุบน สวนมากเปนระบบอุปถัมภ
ั
๔) ระบบการปกครองคณะสงฆไมเขมแข็ง
๕) เจาอาวาสขาดการเอาใจใส
๖. พระเณรดวยกันเองไมวากลาวตักเตือน
แนวทางแกไข
๑) พระอุปชฌายและผูเ กี่ยวของตองเขมแข็งและเอาใจใสอยางจริงจัง
๒) ปรับระบบการปกครองคณะสงฆใหเขมแข็งกวาทีเ่ ปนอยู
๓) พระสงฆทกรูปตองรวมมือใหการเอาใจใสในการแกไขปญหา
ุ
๔) เจาอาวาสและผูที่เกี่ยวของตองมีความเขมงวดมากยิ่งขึน้
๕) เมื่อมีอธิกรณเกิดขึ้นคณะสงฆตองรีบเขาไปแกไขอยางทีนทวงที
๖) ไมปลอยใหปญหาตาง ๆ ทีเ่ กิดขึนเรื้อรัง จนยากที่จะเยียวยา
้
ซึ่งตามทีกลวมานี้ เปนเพียงแนวทางหนึ่งเทานั้น ยังมีวิธการอีกหลายแนวทางที่จะทําใหเรื่องไมดี
่ ี
ไมงามตาง ๆ ที่เกิดขึ้นใหสงบไดอยางเรียบรอย ซึงเปนหนาที่ของทุกฝายที่เกียวของจะตอง
่ ่
ชวยกันดูแลอยางจริงจัง
และยังมีบางข้ อทีให้ ความสําคัญมากขึนเกียวกับเกณฑ์การับกุลบุตรทีทางคณะสงฆ์ได้ ถือ
ปฏิบติกนในปัจจุบน คือ บุคคลทีเป็ นโรคติดต่อร้ ายแรง โดยในปั จจุบนให้ ความสําคัญไปที โรค
ั ั ั ั
ภูมิค้ มกันบกพร่อง (AIDS) โดยผู้ทีขออุปสมบทจะต้ องเข้ ารับการตรวจเลือดและมีใบรับรองจาก
ุ
แพทย์วาไม่เป็ นโรคดังกล่าวมาแสดงกับพระอุปัชฌาย์ด้วย
่
____________________
๔๐
เรื่องเดียวกัน. ๔/๑๔๒/๓๕๕.
- 14. 14
สรุป
หากจะเปรียบเทียบเกณฑ์การรับกุลบุตรเพืออุปสมบทในพระพุทธศาสนาในยุคพุทธกาล
และหลังพุทธกาล ย่อมมีข้อเหมือนกันและแตกต่างกัน วัฒนธรรมทางสังคมทีเปลียนไปทําให้ กฏ
ระเบียบข้ อบังคับต่างๆ ด้ อยลงไปบ้ าง ในปัจจุบนมหาเถรสมาคมหรือตัวพระอุปัชฌาย์เองก็ตงกฏ
ั ั
ขึนมาอีกชันหนึงสําหรับผู้อปสมบทเพือปองกันอธิกรณ์อนจะเกิดขึนแก่คณะสงฆ์ แก่พระอาราม
ุ ้ ั
และแก่ตวพระอุปัชฌาย์เอง ซึงถือว่าเป็ นกติกาอันชอบธรรม แต่คําสังสอนของพระพุทธเจ้ าเป็ นอ
ั
กาลิโก ไม่จํากัดกาลเวลา ทําให้ พระเถระรุ่นหลังยังคงยึดถือธรรมเนียมปฏิบติในเรืองของการ
ั
อุปสมบทอย่างเคร่งครัด เพราะเป็ นพิธีกรรมทีสําคัญอย่างหนึง อุปัชฌาย์ผ้ เู คร่งครัด ย่อมยึดเอา
พระวินยโดยอุกฤษฏ์
ั
การบวชพระในพระพุทธศาสนา ถ้ าผู้บวชชวชด้ วยความเต็มใจและตังใจศึกษาพระธรรม
วินยทีพระพุทธเจ้ าทรงแสดงสังสอนไว้ แม้ จะเป็ นระยะเวลาสัน ๆ ๑๕ วัน หรือ ๑ พรรษา
ั
คุณประโยชน์ของการชวชจะปรากฏให้ เห็นในภายหลัง เมือผู้บวชลาสึกไปดําเนินชีวิตตามปกติ
ด้ วยการน้ อมนําหลักธรรมมาเป็ นแนวทางปฏิบติตนเพือนําพาชีวิตไปสูความสุขตามกําลังภูมิธรรม
ั ่
ของตน ด้ วยเหตุนีบรรพชนไทยจึงยกย่องผู้ผานการบวชมาจึงเรียกว่าเป็ น “บัณฑิต” เป็ นผู้มี
่
ความรู้ ซึงคําว่าบัณฑิตนีคงถูกเรียกแผลงมาเป็ นคําว่าฑิดในปัจจุบน ั
ดังทีกล่าวไปแล้ วว่า ในยุคต้ นพุทธกาลนัน ไม่มีกฏเกณฑ์ใดทังสินในการรับอุปสมบท แต่
เมือมีผ้ ทําผิด ทําให้ ผ้ อืนเดือดร้ อนมากขึน ข้ อห้ ามย่อมมากขึนตามไปด้ วย พระองค์จึงทรงบัญญัติ
ู ู
กฏการอุปสมบทไว้ เพือความอยู่ผาสุขของพระสงฆ์ เพือความเรียบร้ อยดีงามแห่งสงฆ์
เช่นเดียวกับการบัญญัติพระวินยทัง ๒๒๗ ข้ อ เป็ นต้ น เมือกาลเวลาผ่านไปกฏต่างๆก็มีมากอย่าง
ั
ทีปรากฏอยู่ในพระวินยและในรายงานฉบับนี.
ั
- 15. 15
บรรณานุกรม
หนังสือภาษาไทย
เทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). พระ. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์ . พิมพ์ครังที ๖.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๒๓.
บรรจบ บรรณรุจิ. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรืองอสีติมหาสาวกกับการบรรลุธรรม” วิทยานิพนธ์-
มหาบัณฑิต คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๒.
มหามกุฎราชวิทยาลัย. พระไตรปิ ฎกและอรรถกถาแปล ๙๑ เล่ม. พิมพ์ในวโรกาสฉลองกรุงรัตนโก-
สินทร์ ๒๐๐ ปี . กรุงเทพฯ: เฉลิมชาญการพิมพ์, ๒๕๒๕.
___________ . ตติยสมันตปาสาทิกา แรรถกถาพระวินย. พิมพ์ครังที ๑๑. กรุงเทพฯ: โรง-
ั
พิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๗.
มหาสมณเจ้ า. กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. พระ. สมเด็จ. สารานุกรมพระพุทธศาสนา. กรุงเทพ”:
โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: นามมีบ๊ คส์พบลิเคชันส์, -
ุ ั
เคชันส์ จํากัด, ๒๕๔๒.
- 16. 16
ภาคผนวก
เรื่องพระเณรที่เปนตุด-เกย
จากข่าวทีเกย์ ตุ๊ด เข้ ามาบวชในพระพุทธศาสนามากขึน ทําให้ เป็ นทีลําบากใจของฝ่ าย
ปกครองสงฆ์ เพราะพระตุ๊ด พระเกย์ ทีเข้ ามา บวชแล้ ว ประพฤติดีก็มีอยู่ จนทําให้ ต้องมีการหา
ข้ อมูล เพือกําหนด กรอบความประพฤติของพระ ทีมีพฤติกรรม เบียงเบนทางเพศเหล่านี
จะหากรอบอย่างไร? หรือน่าจะยกออกนอกกรอบไปเลย! จึงจะถูกต้ องตามพระธรรมวินยมากกว่า ั
คงต้ อง มาพิจารณาเนือหา จากข่าวของ หนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก"ฉบับวันที ๑๓ ก.ค. ๔๖ ซึงได้
พาดหัวข่าว และ มีเนือข่าวดังนี เกย์ลามถึงเจ้ าวัด ตังคูขาเป็ นเลขาฯ "พระเกย์"โผล่อีก ชาวเมือง
่
เชียงใหม่ร้องพฤติกรรมฉาว แฉเป็ นระดับพระชันผู้ใหญ่ตงแต่พระครู-เจ้ าอาวาส ยันพระหนุ่ม เผย
ั
บางรายตัง "คูขา" เป็ นเลขาฯ คนขับรถ เพือบังหน้ า ตกดึกแอบย่องเข้ าไปตุยกันในกุฏิ จนติดเอดส์
่ ๋
ตาย หลังจาก "คม ชัด ลึก"ได้ รับการร้ องเรียนถึงพฤติกรรมพระเกย์ในวัดต่างๆ ทังจังหวัดลําพูน
และจังหวัดเชียงใหม่ จํานวนมาก ซึงพระดังกล่าว มีพฤติกรรม เบียงเบนทางเพศ และสร้ างความ
เสือมเสีย ให้ แก่พทธศาสนา จนกระทัง คณะกรรมการปกครองสงฆ์ จังหวัดเชียงใหม่ ได้ หา
ุ
มาตรการปองกัน โดยเตรียม จัดระเบียบพระสงฆ์ ให้ มความประพฤติ เหมาะสมกับสมณวิสย แต่
้ ี ั
ยังไม่ทน ทีจะกําหนด มาตรการ เพือแก้ ปัญหา ดังกล่าว ล่าสุด ได้ มีผ้ รู้ องเรียน เกียวกับพฤติกรรม
ั
ทีไม่เหมาะสม ของพระ-เณรทีมีพฤติกรรม เป็ นพระเกย์อกแล้ วี
สําหรับพฤติกรรมของพระเกย์รายนี ได้ ถกเปิ ดเผยจากชาวบ้ านในจังหวัดเชียงใหม่ ทีได้ ร้องเรียน
ู
ความประพฤติ ของกลุม พระเกย์ ตามวัดต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ซึงหลังจากตรวจสอบ "คม ชัด
่
ลึก"ก็พบว่า พฤติกรรม ดังกล่าวมีจริง พระสงฆ์รูปหนึงทีมีพฤติกรรมเป็ นเกย์ก็ยอมรับว่า พระเกย์มี
จริง โดยส่วนใหญ่จะเป็ นพระทีมีอายุมากแล้ ว ซึงมีทง ระดับพระครู ไปจนถึงเจ้ าอาวาสหลายวัดใน
ั
จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนียังมีพระเกย์บางรูป ทีจ้ าง ให้ คขา มาเป็ นคนขับรถ หรือเลขาฯ ส่วนตัว
ู่
เพือเป็ นการบังหน้ า แต่พอตกดึก หรือตอนทีไม่มีใครอยู่ ก็แอบย่อง เข้ าไป มีเพศสัมพันธ์กนในกุฏิ
ั
นายชัยมงคล แก้ วมา คนขับรถประจําตัวเจ้ าอาวาสแห่งหนึงในจังหวัดเชียงใหม่ยอมรับว่า มีพระ
เกย์ ทีให้ คขา คนสนิท มาเป็ นเลขาฯ คอยช่วยงานและเป็ นคนขับรถให้ จริง ซึงเรืองดังกล่าวมีมา
ู่
นานแล้ ว แต่ไม่มีใคร อยากเข้ าไป เกียวยุงด้ วย และพฤติกรรมพระเกย์ประเภทมีรกร่วมเพศ ก็สงผล
่ ั ่
ให้ พระสงฆ์หลายรูป ติดเชือเอดส์ จนเสียชีวิต ไปแล้ วหลายรูป อย่างเช่น พระสงฆ์รูปหนึง ในวัด
ย่านถนน ราชภาคินย ในตัวเมือง เชียงใหม่ ทียังคง รักษาตัวอยู่ ด้ านนายวัลลภ นามวงศ์พรหม
ั
กรรมการปกครองสงฆ์ (ฝ่ ายฆราวาส) จังหวัดเชียงใหม่กล่าวว่า สําหรับ พระสงฆ์ และสามเณร ทีมี
พฤติกรรมเป็ นพระเกย์ หรือตุ๊ด พบว่ามีการรวมกลุมกัน โดยส่วนใหญ่ จะเป็ น สามเณร ตามวัด
่
- 17. 17
ต่างๆ ทีไปเรียนตามโรงเรียนพระปริยติธรรมโดยทราบว่ามีการตังชือกลุมว่า "เจ้ าหญิง" ด้ วย ซึงทํา
ั ่
ความเสือมเสีย ให้ แก่สมณเพศเป็ นอย่างยิง แต่ก็เข้ าใจว่า บางคนเป็ นเกย์-ตุ๊ด มาตังแต่เกิด ทําให้
แก้ ไขไม่ได้ "พระตุ๊ ดและพระเกย์ทีมีอยู่ในปั จจุบน มีหลายรูปทีมีความรู้ความสามารถ ประพฤติ
ั
ตนเป็ นประโยชน์ แก่พระพุทธศาสนา ไม่วาจะเป็ นพระนักเทศน์ชือดัง พระนักพัฒนา รวมถึงเป็ น
่
พระครู และพระอาจารย์ ทีคอย ให้ ความรู้ แก่พระนิสต จึงอยากจะให้ สงคม ช่วยพิจารณาให้ ดี
ิ ั
มิฉะนัน อาจทําให้ พระ ทีมีความประพฤติดี เสียกําลังใจได้" นายวัลลภกล่าว
ทางด้ านพระญาณสมโพธิ เจ้ าคณะ อ.เมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า ขณะนีคณะกรรมการสงฆ์ ทังฝ่ าย
สงฆ์ และ ฝ่ ายฆราวาส กําลังรวบรวมข้ อมูลและมีการศึกษา เพือเตรียมทีจะมีการกําหนดกรอบ
ความประพฤติของพระ ทีมีพฤติกรรม เบียงเบนทางเพศเหล่านี ไม่วาจะเป็ นพระตุ๊ด หรือพระเกย์
่
โดยจะมีการกําหนด ถึงระดับ ของความเหมาะสม ในการประพฤติตน ซึงหากเกินระดับทีมีการ
กําหนดไว้ ก็จะต้ องมีการกําหนดโทษต่อไป
ถ้ าพิจารณาผิวเผินก็อาจทําให้ คิดได้ วา การมีพระเกย์ พระตุ๊ดทีมีความรู้ ความสามารถ เป็ นทังพระ
่
ครู พระนักพัฒนา และพระนักเทศน์ชือดังน่าจะเป็ นผลดีตอพุทธศาสนา แต่หารู้ไม่วา บุคคลเหล่านี
่ ่
เป็ นอันตราย ต่อพุทธศาสนา อย่างยิง จัดอยูในหมวดบุคคลทีต้ องห้ ามเข้ ามาบวช อันได้ แก่พวกทํา
่
อนันตริยกรรมทังหลาย เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทําร้ ายภิกษุณี และทําร้ ายพระพุทธเจ้ า
บุคคลเหล่านี แม้ จะได้ ผานการบวช มาแล้ ว หากรู้ในภายหลัง พระพุทธองค์กทรงให้ จบสึกเสีย
่ ็ ั
เพราะถือว่า เป็ นผู้ไม่สามารถเจริญงอกงาม ในธรรมวินย ของ พระพุทธองค์ได้ อีกแล้ ว
ั
ในกรณีพวกทีมีพฤติกรรมเบียงเบนทางเพศนัน ถือเป็ นความวิปริตผิดธรรมชาติอย่างยิง เพราะ
ปกติของ การเสพกามนัน เป็ นธรรมชาติของมนุษย์ทีต้ องการจะสืบต่อเผ่าพันธุ์ให้ ดํารงอยู่กนต่อไป
ั
แต่ความต้ องการ เสพกาม ระหว่างเพศเดียวกัน มันเป็ นเรืองของกิเลสสดๆ โดยตรง ทีต้ องการเสพ
รูป รส กลิน เสียง สัมผัส อย่างเดียว โดยไม่เกียวข้ องกับเรืองของการสืบต่อเผ่าพันธุ์ อันเป็ นเรือง
ของธรรมชาติแต่อย่างใด ในสมัยพุทธกาลเคยมีนาคซึงเป็ นสัตว์เดรัจฉานปลอมตัวมาบวช แต่เมือ
เผลอตัวหลับไป ในคืนวันหนึง จึงเผยเกล็ด เผยหงอน ให้ เพือนพระได้ เห็นเข้ า เมือพระพุทธเจ้ าทรง
ทราบเรืองราวทีเกิดขึน ก็ให้ พระนาค ซึงเป็ นเดรัจฉาน ห้ ามบวช สึกออกไปทันที ซึงในทํานอง
เดียวกับพระตุ๊ดพระเกย์ เมือใดทีแสดงอาการ ผิดปกติ ออกมาให้ ปรากฏ ด้ วยกิริยาท่าทาง
กระตุ้งกระติงก็ดี หรือการแสดงออก ซึงความกําหนัด ยินดีตอเพือนภิกษุ หรือ สามเณร ด้ วยกัน
่
เมือชัดเจนว่าเป็ นตุ๊ด เป็ นเกย์แน่แล้ ว ก็ควรจัดการให้ สกทันที ไม่ควรต้ องไปพิจารณา หากรอบ ที
ึ
เหมาะสมให้ พระเกย์พระตุ๊ดปฏิบติ มิฉะนัน อาจทําให้ พระทังวัด เสียความบริสทธิ เพราะถูกตุ๊ด
ั ุ
ข่มขืน เลยพากันปาราชิก ไปหมดวัดเลยก็ได้ (เราคิดอะไร ฉบับที่ ๑๕๘ กันยายน ๒๕๔๖)