Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie ระบบหายใจ (1-2560) (20)
Mehr von Thitaree Samphao (8)
ระบบหายใจ (1-2560)
- 2. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปความสาคัญของการรักษาดุลยภาพภายใน
ร่างกาย
สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย เปรียบเทียบ และสรุปโครงสร้างที่ใช้ในการ
แลกเปลี่ยนแก๊สของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและของสัตว์
สืบค้นข้อมูล ทดลอง อภิปราย เปรียบเทียบ และสรุปโครงสร้างและ
กระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนแก๊สของคนและของสัตว์
สืบค้นข้อมูล อภิปราย สรุป และนาเสนอเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกี่ยวข้อง
กับปอด และโรคของระบบทางเดินหายใจ
จุดประสงค์การเรียนรู้
- 3. การหายใจ (RESPIRATION) การรักษาสมดุลของระบบในร่างกาย
(Homeostasis)
เมื่อร่างกายได้รับ O2 จากภายนอกเข้าสู่
ร่างกายและนา CO2 จากภายในขับ
ออกมาทิ้งภายนอกร่างกาย โดยอาศัย
ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นตัวกลางในการ
ลาเลียงแก๊ส
การหายใจภายใน (Internal
Respiration) / การหายใจระดับเซลล์
(Cellular Respiration) : สลายสาร
โมเลกุลใหญ่เป็นโมเลกุลเล็กและให้
พลังงาน
การหายใจภายนอก (External
Respiration) : การแลกเปลี่ยนแก๊ส
ของสิ่งมีชีวิต อาศัยคุณสมบัติคือ พื้นที่
ผิวมาก ผนังบาง และมีความชื้น
- 4. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา
เซลล์สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นน้าตลอดเวลา
แลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งแวดล้อมผ่านเยื่อหุ้ม
เซลล์ (cell membrane) โดยอาศัยการแพร่
สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้า
สัตว์ชั้นต่า ฟองน้า ไฮดรา และหนอนตัวแบน
ผิวร่างกาย (Body Surface) แลกเปลี่ยนแก๊ส
โดยอาศัยกระบวนการแพร่
การหายใจของสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์
- 5. เหงือก (gill) เป็นอวัยวะ
แลกเปลี่ยนแก๊ส ลักษณะเป็นซี่
ภายในมีเส้นเลือดฝอย
หอยสองฝา
หมึก
เหงือก (gill) เรียกว่า
Dibranchia อยู่ในช่องตัว
การแลกเปลี่ยนแก๊ส เกิดขึ้น
เมื่อน้าไหลเวียนเข้าในตัวหมึก
- 6. ไส้เดือนดิน (Earth warm)
แลกเปลี่ยนแก๊สทางผิวหนัง (skin)
ระบบหมุนเวียนเลือดช่วยลาเลียง O2
ไปยังเซลล์และลาเลียง CO2 เพื่อขับออก
จากเซลล์
เฮโมโกลบินละลายในน้าเลือด และ
Hemoerythrin อยู่ในเซลล์เม็ดเลือด
แม่เพรียง
อวัยวะสาหรับแลกเปลี่ยนแก๊ส คือ
parapodia ซึ่งยื่นออกมาด้านข้างลาตัว
ในแต่ละปล้อง ภายในมีเส้นเลือดฝอย
- 7. respiratory tree ยื่นเข้าไปใน
ร่างกาย เป็นท่อยาวแตกแขนง
คล้ายต้นไม้
การแลกเปลี่ยนก๊าชเกิดเมื่อน้า
เข้า และออกผ่านส่วนปลาย
ของทางเดินอาหาร
ปลิงทะเล ดาวทะเล
แมงดาทะเล
แผงเหงือก (book gill)
บริเวณท้องเมื่อน้าไหลผ่านจะ
เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊ส
- 9. ปอดแผง (book lung) : ลักษณะเป็นท่อลมซ้อนเป็นพับไปมาคล้ายแผง มีหลอดเลือด
นา CO2 มาแลกเปลี่ยนที่แผงท่อลมนี้แล้วรับ O2 ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อ
แมงมุม
- 10. สัตว์น้า
ในน้ามีออกซิเจนเพียงร้อยละ 0.5
สัตว์น้ามีเนื้อเยื่อของอวัยวะที่มากพอสาหรับการแลกเปลี่ยนแก๊ส
เหงือกปลา และกุ้งมีลักษณะเป็นซี่ๆ เรียงกันเป็นแผง
ซี่ของเหงือกมีขนาดเล็ก มีเซลล์เรียงเป็นชั้นบางๆ ห่อหุ้มหลอดเลือดฝอย ทาให้แก๊ส
แพร่ผ่านได้ง่าย
- 11. นก (Aves) ต้องใช้พลังงานมาก ข้างๆ ปอดมีถุงลม 8-9 คู่
ขณะหายใจเข้ากระดูกของนกจะลดต่าลง ถุงลมขยายขนาดขึ้น
อากาศผ่านเข้าสู่หลอดลมผ่านปอดเข้าสู่ถุงลมตอนท้าย ส่วนอากาศที่ใช้แล้วออกจาก
ปอดเข้าสู่ถุงลม ตอนหน้า ถูกขับออกจากตัวนกทางลมหายใจออก
ถุงลมไม่ได้แลกเปลี่ยนแก๊สแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการถ่ายเทอากาศ
ถุงลมที่แทรกอยู่ในกระดูกทาให้กระดูกนกกลวง และเบาเหมาะต่อการบิน
นก
- 14. การหายใจของคน
การนาแก๊ส O2 จากอากาศภายนอกเข้าสู่เซลล์ สาหรับทาปฏิกิริยากับอาหาร เพื่อ
เปลี่ยนเป็นพลังงานแล้วถ่ายเท CO2 ส่วนที่ไม่ต้องการออกจากเซลล์
- 15. ส่วนที่อากาศผ่าน : ไม่มีการ
แลกเปลี่ยนแก๊ส ได้แก่โพรงจมูก
2 รู คอหอย (Pharynx) กล่อง
เสียง (Larynx) หลอดลม
(Trachea) ขั้วปอดหรือบรองคัส
(Bronchus) และ แขนงขั้วปอด
(Bronchiole)
ส่วนที่แลกเปลี่ยนแก๊ส : ถุงลม
เล็กๆ ผนังบางมาก เรียกว่า
Alveolus ซึ่งที่ผนังมีหลอดเลือด
ฝอยล้อมรอบ
การแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างปอด
และเลือดเกิดขึ้นที่ผนังแอลวีโอลัส
(Alveolus)
ระบบหายใจของคน
- 16. รูจมูก (nostrill): มีขนจมูกกรอง
ฝุ่นละออง มีสารหล่อลื่นดักจับฝุ่น
ละออง
โพรงจมูก (nasal cavity): เยื่อ
เมือกหนาบุอยู่ คอยดักจับเชื้อโรค มี
กลุ่มเซลล์ประสาทรับกลิ่น
คอหอย (pharynx): ท่อกลวง
ของกล้ามเนื้อ มีท่อยูสเตเชียนติดต่อ
กับหูตอนกลาง หลอดอาหาร
หลอดลม
กล่องเสียง (larynx): มี vocal
cord ทาให้เกิดเสียง กั้นไม่ให้อาหาร
ตกลงไปในหลอดลมขณะกลืนอาหาร
โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
- 20. โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
Respiration bronchiole: เริ่มมี
การแลกเปลี่ยนแก๊สครั้งแรก
Alveolar duct: ท่อถุงลมปอด
ถุงลมปอด (alveolus):
เกิดการแลกเปลี่ยนแก๊สมากที่สุด
เซลล์เรียงตัวชั้นเดียว
มีจานวน ≈ 300 ล้านถุง
Capillary ล้อมรอบจานวนมาก
อาศัยความดันระหว่างเส้นเลือด
กับปอดในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
(CO2 แพร่เข้าสู่ถุงลม O2 แพร่
เข้าสู่เส้นเลือด)
ถ้าถูกทาลายมากๆ จะเป็นโรคถุง
ลมโป่งพอง
- 21. รูจมูก (nostrils)โพรงจมูก (nasal cavity)คอหอย (Pharynx)หลอดลม
(trachea)ขั้วปอด (bronchus)แขนงขั้วปอด (bronchiole)ถุงลม (alveolus)หลอด
เลือดฝอย (capillary)
ทางเดินหายใจของคน (Respiratory System)
- 22. การทางานร่วมกันของ กระบังลม (Diaphragm) กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง (Inter-
costal muscle) และกระดูกซี่โครง (Ribs)
ปอด : เป็นการแลกเปลี่ยนก๊าชระหว่างถุงลมกับหลอดเลือดฝอย
เซลล์ของเนื้อเยื่อ : เป็นการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างหลอดเลือดฝอยกับเนื้อเยื่อ
กลไกการหายใจเข้า-ออก
หายใจ
ปริมาตร
ปอด
ความดัน
ปอด
กระดูก
ซี่โครง
กล้ามเนื้อ
กระบังลม
กล้ามเนื้อยืดซี่โครง กล้ามเนื้อ
หน้าทองแถบนอก แถบใน
เข้า เพิ่ม ลด ยกขึ้น หด หด คลาย
คลาย
ท้องป่อง
ออก ลด เพิ่ม กดต่า คลาย คลาย หด
หด
ท้องแฟบ
- 24. การหายใจเข้า (Inspiration):
กระบังลมหดตัว: ขึงตึงแบนราบ ช่วยเพิ่มปริมาตรของช่องอกในแนวดิ่ง
กล้ามเนื้อกระดูกซี่โครงแถบนอกหดตัว แถบในคลายตัว: ทาให้กระดูกซี่โครงยก
สูง ช่วยเพิ่มปริมาตรของช่องอกในแนวรัศมี
ช่องปอดขยาย: ความดันในช่องปอดลดลงต่ากว่าความดันภายนอก อากาศ
ภายนอกจึงดันไหลเข้าสู่ปอด
การหายใจออก (Expiration):
กระบังลมคลายตัว: จะโค้งเป็นรูปโดมกลับเข้าตาแหน่งเดิม
กล้ามเนื้อกระดูกซี่โครงแถบนอกคลายตัว แถบในหดตัว: ทาให้กระดูกซี่โครงลด
ระดับต่าลง
ช่องปอดเล็กลง: ความดันในปอดจึงสูงกว่าอากาศภายนอก ทาให้ดันอากาศ
ภายในปอดออกมาข้างนอก
กลไกการหายใจเข้า-ออก
- 28. มีก๊าช 2 ชนิดที่ถูกลาเลียงโดยเลือด คือ ก๊าช O2 ลาเลียงเข้า และ CO2 ลาเลียงออก
การลาเลียงก๊าชออกซิเจน:
ละลายใน plasma (น้าเลือด) 3% = ละลายได้น้อยมาก
จับ Hb ใน RBC 97%
Hb + 4O2 Hb(O2)4 (Oxyhemoglobin/HbO2) เลือดมีสีแดงสด
Hb 1 โมเลกุล มี heme 4 โมเลกุล , 1 heme มี Fe 1 อะตอม ซึ่งใช้จับ O2
Hb 1 โมเลกุล จับ O2 ได้ 4 โมเลกุล
การลาเลียงแก๊สผ่านระบบเลือด
บริเวณปอด
บริเวณเนื้อเยื่อ
- 29. การลาเลียงคาร์บอนไดออกไซด์:
ละลายอยู่ในพลาสมา (น้าเลือด) 7%
จับกับ Hb ใน RBC 23% Hb + CO2 HbCO2
(carbaminohemoglobin) เลือดสีคล้า
ขนส่งในรูป HCO3
- โดยรวมกับน้าใน RBC 70%
H2O + CO2 H2CO3 H+ + HCO3
-
การลาเลียงแก๊สผ่านระบบเลือด
บริเวณเนื้อเยื่อ
บริเวณปอด
ในเม็ดเลือดแดง
ในเม็ดเลือดแดง
- 30. Hemoglobin/Hb: โปรตีนที่มี 4 หน่วยย่อย แต่ละหน่วยมีฮีม สามารถจับกับโมเลกุล
ต่างๆ เรียงจากมากไปน้อย
CO: เร็วมาก จับที่ Fe กลายเป็น Carboxyhemoglobin (HbCO)
O2: Fe ในฮีมเป็นตัวจับกลายเป็นออกซีฮีโมโกลบิน (Oxy-Hemoglobin)
CO2: จับกันได้น้อยมาก จับกันกลายเป็น Carbaminohemoglobin (HbCO2)
ไมโอโกลบิน (Myoglobin/Mb):
โปรตีนทรงกลมคล้าย Hemoglobin
กล้ามเนื้อที่มี Mb มากมีสีแดง
Mb จับกับ O2 สูงกว่า Hb ทาให้ O2 จาก Hb ในเลือด เคลื่อนที่เข้าสู่ Mb ใน
กล้ามเนื้อ
รงควัตถุที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
- 31. อุณหภูมิ:
อุณหภูมิสูงขึ้น Hb จะจับกับ O2 ได้น้อยลง แต่ถ้าอุณหภูมิต่าลงจะจับกันได้ดีมาก
ขึ้น
เมื่อออกกาลังกาย กล้ามเนื้อจะได้รับ O2 จาก Hb เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายสูง Hb
จะปลดปล่อย O2 ออกทาให้เกิดประโยชน์แก่กล้ามเนื้อ
ค่า pH:
pH ลดลง (เป็นกรดเพิ่มขึ้น) Hb จะจับกับ O2 ได้น้อยลง ถ้า pH เพิ่มขึ้น (เป็นเบส
เพิ่มขึ้น) Hb จะจับกับ O2 เพิ่มขึ้น
เมื่อออกกาลังกาย CO2 สูงขึ้น เลือดเป็นกรดมากขึ้น Hb จะปลดปล่อย O2 ออก
ปัจจัยที่มีผลต่อการจับกันของฮีโมโกลบิน (Hb) และออกซิเจน (O2)
- 32. แบบอัตโนวัติ หรือทางระบบประสาท:
นอกอานาจจิตใจ
บังคับไม่ได้
เมดุลลาออบลองกาตา และพอนด์
ภายใต้อานาจจิตใจหรือทางรีเฟลกซ์ :
บังคับได้
สมองส่วนหน้าคือ ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ ไฮโพ
ทาลามัส และสมองส่วนหลังคือ ซีรีเบลลัม
ควบคุมการหายใจให้เหมาะสมกับ
พฤติกรรมต่างๆ ของร่างกาย
o การควบคุมทางเคมี:
o สารเคมีที่สาคัญ เช่น O2, CO2 และ H+
o การหายใจเข้า CO2 กระตุ้นศูนย์ควบคุม
การหายใจ (Medulla oblongata)
การควบคุมการหายใจ
- 33. จาม: ร่างกายพยายามขับสิ่ง
แปลกปลอมโดยหายใจเข้าลึกๆ แล้ว
หายใจออกทันที
หาว: มีปริมาณ CO2 ในเลือดมาก จึง
ขับออกโดยหายใจเข้ายาวและลึก
เพื่อรับ O2 เพื่อแลกเปลี่ยน CO2 ให้
ออกจากเลือด
สะอึก: กระบังลมหดตัวเป็นจังหวะ
ขณะหดตัวอากาศถูกดันผ่านสู่ปอด
ทันที ทาให้สายเสียงสั่นเกิดเสียงขึ้น
ไอ: การหายใจอย่างรุนแรงเพื่อ
ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้า
ไปในกล่องเสียง และหลอดลม
อาการที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
- 34. โรคปอดบวม (Pneumonia): เกิดจาก
การอักเสบและติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส
ทาให้พื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนแก๊ส
ลดลง
โรคถุงลมโป่งพอง (emphysema): เกิด
จากการสูดแก๊สพิษ ทาให้ถุงลมขาดความ
ยืดหยุ่น ขาดง่าย ทาให้พื้นที่ผิว
แลกเปลี่ยนแก๊สลดลง
โรคภูมิแพ้จมูก/แพ้อากาศ (Allergic
Rhinitis): เมื่อมีสารก่อภูมิแพ้เข้าร่างกาย
ร่างกายส่ง antibody ไปทาปฏิกิริยา กับ
สารก่อภูมิแพ้ที่หายใจเข้าไป ทาให้เซลล์
บางชนิดในจมูก มีการแตกตัวและหลั่ง
สารเคมีออกมาทาให้เกิดการอักเสบ
ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับปอด และโรคของระบบทางเดินหายใจ