SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 30
Downloaden Sie, um offline zu lesen
การ เรียนรเู พอพฒนากระบวนการคด
               ่ื ั           ิ

              ทศนา แขมมณี
                ิ                                                      พิมพันธ เดชะคุปต
              ศิรชย กาญจนวาสี
                  ิ ั                                                  ศรนธร วทยะสรนนท
                                                                          ิ     ิ    ิิ ั
              นวลจตต เชาวกรตพงศ
                      ิ    ี ิ

              ความสําคญของเรองการคดและการสอนเพอพฒนากระบวนการคด
                      ั     ่ื    ิ           ่ื ั           ิ
                            ปจจุบนเรืองของ “การคด” และ “การสอนคด” เปนเรืองทีจดวาสําคัญ
                                      ั ่                           ิ                                               ิ                        ่ ่ั
อยางยงในการจดการศกษาเพอใหไดคณภาพสง ประเทศตาง ๆ ทัวโลกหันมาศึกษาและ
           ่ิ                ั         ึ         ่ื   ุ                   ู                                                 ่
เนนในเรืองของการพัฒนาผูเ รียนใหเติบโตขึนอยางมีคณภาพในทุก ๆ ดาน ทังทางดาน
                ่                                                        ้                    ุ                                                        ้
สติปญญา คุณธรรมและการเปนพลเมืองทีดของประเทศ การพฒนาดานสตปญญา เปน      ่ี                                             ั                        ิ 
ดานทมกไดรบความเอาใจใสสงสด เนองจากเปนดานทเ่ี หนผลเดนชด ผูเ รียนทีมความรู
         ่ี ั  ั                                ู ุ           ่ื                                      ็                  ั                              ่ ี
ความสามารถสูง มักจะไดรบการยอมรับและไดรบโอกาสทีดกวาผูมความรูความสามารถ
                                              ั                                      ั                        ่ี  ี                           
ตากวา และเปนทีเ่ ขาใจกันวา ความรูความสามารถนี้สามารถวัด และประเมนกนไดดวย
   ่ํ                                                                                                                                           ิ ั 
ปริมาณความรทผเู รยนสามารถตอบในการทดสอบตาง ๆ อยางไรกตามในสองทศวรรษท่ี
                          ู ่ี ี                                                                                          ็
ผานมา วงการศึกษาทังในประเทศไทยและตางประเทศตางก็ไดคนพบวา การพัฒนาสติ
                                         ้                                                                                
ปญญาของผเู รยนยงทาไดในขอบเขตที่จากด และยงไปไมถงเปาหมายสงสดทตองการ
                         ี ั ํ                                     ํ ั                              ั              ึ                        ู ุ ่ี 
ในประเทศอเมริกามีผลการวิจยนับเปนรอย ๆ เรืองทีบงชีวา ในการสอบวิชาตาง ๆ
                                                   ั                                   ่ ่  ้
ผูเรียนมักสามารถทําไดดในสวนทเ่ี กยวของกบทกษะขนพนฐาน แตเมือมาถึงสวนทีตอง
                                           ี               ่ี  ั ั                           ้ั ้ื                                      ่                        ่ 
ใชความคิดและเหตุผล ผูเ รียนยังไมสามารถทําไดดี เชน นกเรยนอเมรกนสามารถคด                                           ั ี                     ิั                        ิ
คํานวณได แตไมสามารถใชเ หตผลในการแกโจทยปญหาได นักเรียนสามารถเขียน
                                                       ุ                       
ประโยคไดถกตอง แตไมสามารถเขียนโตแยงได เชนนเ้ี ปนตน (Paul, ๑๙๙๓) สําหรบใน
                     ู                                                                                                                                       ั
ประเทศไทยนันก็เชนกัน วงการศกษาไทยไดมความเคลอนไหวในเรองของการคดนมา
                       ้                                   ึ                   ี                      ่ื                             ่ื                         ิ ้ี
หลายปแลว ซึงทําใหเกิดแนวความคิดที่นามาใชในการสอนหลายเรอง อาทเิ ชน แนว
                               ่                                       ํ                                                        ่ื                        
ความคดเรองการสอนให “คิดเปน ทําเปน และแกปญหาเปน” และการสอนใหคิดตาม
              ิ ่ื                                                                                             
แนวพุทธศาสตร ซงไดแก “การคิดอยางถูกวิธตามหลักโยนิโสมนสิการ” เปนตน แต
                                    ่ึ                                         ี                                                                      
แนวคดเหลานนยงไมไดรบการนาไปใชอยางกวางขวาง และปญหาคุณภาพดานการคิด
        ิ  ้ั ั   ั                                 ํ
ขั้นสูง ก็ยงมีอยูเ รือยมา ดังนันเมือมีนโยบายการปฏิรปการศึกษาเกิดขึน การมุงเนนการ
                   ั              ่                  ้ ่                                          ู                                 ้                    
ปฏิรูปการเรยนการสอนเพอพฒนาคณภาพดานกระบวนการคด จงนบเปนกระบวนการ
             ี          ่ื ั     ุ                          ิ   ึ ั 
สําคัญทีจาเปนตองเรงปรบปรงและพฒนากนอยางจรงจง
          ่ํ    ั ุ               ั      ั  ิ ั
        การสอนกระบวนการคิด หรอการสอนใหผเู รยนคดเปน ยังเปนเรืองทีมความคลุม
                                   ื                 ี ิ             ่ ่ ี
เครืออยูมาก เนองจากกระบวนการคดนน ไมไดมลกษณะเปนเนอหาทครจะสามารถเหน
              ่ื                      ิ ้ั        ีั      ้ื    ่ี ู             ็
ไดงาย และสามารถนําไปสอนไดงาย การคดมลกษณะเปนกระบวนการ ดงนนการสอน
                                               ิ ีั                     ั ้ั
จึงตองเปนการสอนกระบวนการดวย ดวยเหตุน้ี จงเปนความจาเปนอยางยิงทีผสอน
                                                      ึ        ํ           ่ ่ ู
กระบวนการคิดจะตองมีความเขาใจวากระบวนการคิดนั้นมีลักษณะอยางไร เกิดขึ้นได
อยางไร และประกอบไปดวยอะไรบาง
                              
ทฤษฏี หลักการ และแนวคดเกยวกบ “การคด” จากตางประเทศ
                                      ิ ่ี ั                       ิ
              มีนักคิดนักจตวทยา และนกวชาการจากตางประเทศจํานวนมากทีไดศกษาเกียวกับ
                                ิ ิ                ั ิ                                                  ่ ึ         ่
การคด ทฤษฎี หลกการ และแนวคิดที่สาคัญ ๆ ในเรืองนีมดงนี้ (ทศนา แขมมณี,
          ิ                       ั                              ํ                       ่ ้ ีั           ิ
๒๕๔๐)
              ! เลวน (Lewin) นักทฤษฎกลมเกสตตลท (Gestalt) เชือวา ความคิดของบุคคล
                         ิ                              ี ุ           ั                      ่
เกิดจากการรบรสงเรา ซึ่งบุคคลมักรับรูในลักษณะภาพรวมหรือสวนรวมมากกวาสวน
                   ั ู ่ิ                                    
ยอย
              ! บลม (Bloom, ๑๙๖๑) ไดจาแนกการรู (Cognition) ออกเปน ๕ ขั้น ไดแก การ
                       ู                                  ํ
รูขั้นความรู การรูขั้นเขาใจ การรขนวเิ คราะห การรขนสงเคราะห และการรขนประเมน
                                             ู ้ั                            ู ้ั ั                          ู ้ั   ิ
              ! ทอแรนซ (Torrance, ๑๙๖๒) ไดเ สนอแนวคดเกยวกบองคประกอบของความ          ิ ่ี ั         
คิดสรางสรรค วาประกอบไปดวย ความคลองแคลวในการคิด (Fluency) ความยืดหยุนใน
                                                                                                                          
การคด (Flexibility) และความคดรเิ รมในการคด (Originality)
        ิ                                   ิ ่ิ                     ิ
              ! ออซเู บล (Ausubel, ๑๙๖๓) อธบายวา การเรียนรูอยางมีความหมาย         ิ                  
(Meaningful Verbal Learning) จะเกิดขึ้นได หากการเรียนรูนนสามารถเชือมโยงกับสิงใด           ้ั               ่                ่
ส่ิงหนงทมมากอน ดงนน การใหกรอบความคิดแกผเู รียนกอนการสอนเนือหาสาระใด ๆ
            ่ึ ่ี ี             ั ้ั                                                                            ้
จะชวยเปนสะพานหรือโครงสรางที่ผูเรียนสามารถนําเนื้อหา/สิ่งที่เรียนใหมไปเชื่อมโยง
ยึดเกาะได ทําใหการเรยนรเู ปนไปอยางมความหมาย
                                   ี                  ี
              ! เพยเจต (Piaget, ๑๙๖๔) ไดอธบายพฒนาการทางสตปญญาวาเปนผลเนองมา
                     ี                                        ิ            ั                    ิ                    ่ื
จากการปะทะสมพนธระหวางบคคลกบสงแวดลอม โดยบุคคลพยายามปรับตัวโดยใช
                           ั ั         ุ               ั ่ิ           
กระบวนการดูดซึม (Assimi-lation) และกระบวนการปรบใหเ หมาะ (Accommodation)               ั

                                                                                                                         ๔๖
โดยการพยายามปรับความรู ความคดเดมกบสงแวดลอมใหม ซึงทําใหบคคลอยในภาวะ
                                                     ิ ิ ั ่ิ                           ่           ุ       ู
สมดุล สามารถปรบตวเขากบสงแวดลอมได กระบวนการดงกลาวเปนกระบวนการ
                                  ั ั  ั ่ิ                                              ั  
พัฒนาโครงสรางทางสติปญญาของบุคคล
        ! บรนเนอร (Bruner, ๑๙๖๕) กลาววา เด็กเรมตนเรยนรจากการกระทํา ตอไป
                 ุ                                                                ่ิ  ี ู
จงจะสามารถจนตนาการ สรางภาพในใจหรือในความคิดขึ้นได แลวจงถงขนการคดและ
 ึ             ิ                                                                              ึ ึ ้ั                  ิ
เขาใจในสงทเ่ี ปนนามธรรม
          ่ิ 
        ! กานเย (Gagne, ๑๙๖๕) ไดอธบายวาผลการเรยนรของมนษยมี ๕ ประเภท ได
                                                           ิ                      ี ู      ุ 
แก
                     ๑) ทักษะทางปญญา (Intellectual Skills) ซึ่งประกอบดวยทักษะยอย ๔
ระดับ คือ การจําแนกแยกแยะ การสรางความคดรวบยอด การสรางกฎ และการสราง
                                                                        ิ                     
กระบวนการหรือกฎขันสูง              ้
                     ๒) กลวธในการเรยนรู (Cognitive Strategies) ซ่ึงประกอบดวยกลวธการ
                                     ิี            ี                                                                    ิี
ใสใจ การรับและทําความเขาใจขอมูล การดึงความรูจากความทรงจํา การแกปญหา และ                                
กลวธการคด
     ิี ิ
                     ๓. ภาษา (Verbal Information)
                     ๔. ทกษะการเคลอนไหว (Motor Skills)
                           ั                  ่ื
                     ๕. เจตคติ (Attitudes)
        ! กิลฟอรด (Guilford, 1967) ไดอธบายวาความสามารถทางสมองของมนษย
                                                                      ิ                                                   ุ
ประกอบดวยมิติ 3 มติ คือ     ิ
                     ๑. ดานเนอหา (Contents) หมายถึง วตถ/ุ ขอมลทใชเ ปนสอกอใหเ กดความ
                           ้ื                                             ั  ู ่ี  ่ื                        ิ
คิด ซ่ึงมหลายรปแบบ เชน อาจเปนภาพ เสียง สญลกษณ ภาษา และพฤตกรรม
         ี           ู                                                ั ั                           ิ
                     ๒. มตดานปฏบตการ (Operations) หมายถง กระบวนการตาง ๆ ทบคคล
                                ิ ิ       ิ ั ิ                                      ึ                              ่ี ุ
ใชในการคิด ซงไดแก การรบรและเขาใจ (Cognition) การจํา การคิดแบบเอนกนัย การคด
                   ่ึ                   ั ู                                                                                ิ
แบบเอกนัย และการประเมนคา                ิ 
                     ๓. มิติดานผลผลิต (Products) หมายถง ผลของการคด ซึงอาจมีลกษณะ
                                                                            ึ                    ิ ่               ั
เปนหนวย (Unit) เปนกลมหรอพวกของสงตาง ๆ (Classes) เปนความสัมพันธ (Relation)
                                ุ ื                           ่ิ 
เปนระบบ (System) เปนการแปลงรป (Transformation) และการประยกต (Implication)
                                                     ู                                           ุ



                                                                                                                         ๔๗
ความสามารถทางการคิดของบุคคล เปนผลจากการผสมผสานมตดานเนอหา และดาน                                                ิ ิ  ้ื
ปฏิบตการเขาดวยกัน
        ั ิ
            ! ลิปแมน และคณะ (Lipman, ๑๙๘๑) ไดนาเสนอแนวคิดในการสอนคิดผาน                ํ
ทางการสอนปรชญา (Teaching Philosophy) โดยมความเชอวา ความคิดเชิงปรัชญาเปน
                           ั                                                   ี                  ่ื 
สิ่งที่ขาดแคลนมากในปจจุบัน เราจาเปนตองสรางชมชนแหงการเรยนรู (Community of
                                                              ํ    ุ                                                ี
Inquiry) ที่ผูคนสามารถรวมสนทนากันเพื่อแสวงหาความรูความเขาใจทางการคิด ปรชญา                                                                       ั
เปนวิชาทีจะชวยเตรียมใหเด็กฝกฝนการคิด
              ่
            ! คลอสไมเออร (Klausmier, ๑๙๘๕) ไดอธิบายกระบวนการคิดโดยใชทฤษฎี
การประมวลผลขอมล (Information Processing) วา การคดมลกษณะเหมอนการทางาน
                              ู                                                                   ิ ีั                             ื             ํ
ของคอมพิวเตอร คือ มการนําขอมูลเขาไป (Input) ผานตัวปฏิบตการ (Processer) แลวจง
                                        ี                                                                      ั ิ                                        ึ
สงผลออกมา (Output) กระบวนการคิดของมนุษยมการรับขอมูล มีการจดกระทาและ
                                                                                    ี                                                   ั       ํ
แปลงขอมูลทีรบมา มีการเก็บรักษาขอมูล และมีการนําขอมลออกมาใชอยางเหมาะสมกบ
                    ่ั                                                                          ู                                                       ั
สถานการณ กระบวนการเกดขนในสมองไมสามารถสงเกตไดโดยตรง แตสามารถศกษา
                                                     ิ ้ึ                              ั                                                            ึ
ไดจากการอางอง หรือการคาดคะเนกระบวนการนัน
                 ิ                                                        ้
            ! สเตรนเบอรก (Sternberg, ๑๙๘๕) ไดเ สนอทฤษฎสามศร (Triarchich Theory)
                         ิ                                                                             ี
ซ่ึงประกอบดวยทฤษฎยอย 3 สวน คือ ทฤษฎยอยดานบรบทสงคม (Contexual Subtheory)
                                    ี                              ี                   ิ ั
ซึ่งอธิบายถึงความสามารถทางสติปญญาที่เกี่ยวของกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม
ของบุคคล และทฤษฎียอยดานประสบการณ (Experiential Subtheory) ซึงอธิบายถึงผล
                                                                                                                                      ่
ของประสบการณทมตอความสามารถทางปญญา รวมทั้งทฤษฎียอยดานกระบวนการคิด
                               ่ี ี                                                                                
(Componential Subtheory) ซึ่งเปนความสามารถทางสติปญญาทีเ่ กียวของกับกระบวนการ                                       ่
คิด
            ! ปรชญาการสรางความรู (Constructivism) อธิบายวา การเรียนรู เปนกระบวน
                       ั                           
การทเ่ี กดขนภายในบคคล บคคลเปนผสราง (Construct) ความรูจากการสัมพันธสงทีพบ
            ิ ้ึ                  ุ                   ุ       ู                                                                            ่ิ ่
เห็นกับความรู ความเขาใจทมอยเู ดม เกดเปนโครงสรางทางปญญา (Cognitive Structure)
                                     ่ี ี ิ ิ                                                     
            ! การดเนอร (Gardner, ๑๙๘๓) เปนผูบกเบิกแนวคิดใหมเกียวกับสติปญญาของ
                                                                        ุ                                               ่                 
มนุษย คือ ทฤษฎีพหุปญญา (Multiple Intelligences) ซงแตเ ดม ทฤษฎทางสตปญญามก
                                                                                           ่ึ               ิ                  ี          ิ                ั
กลาวถงความสามารถเพยงหนงหรอสองดาน แตการดเนอรเ สนอไวถง ๘ ดาน ไดแก
       ึ                                     ี         ่ึ ื                                                             ึ
ดานดนตรี ดานการเคลอนไหวรางกายและกลามเนอ ดานการใชเหตุผลเชิงตรรกะและ
                                               ่ื                     ้ื

                                                                                                                                                       ๔๘
คณตศาสตร ดานภาษา ดานมิติสัมพันธ ดานการสมพนธกบผอน ดานการเขาใจตนเอง
  ิ                                       ั ั  ั ู ่ื    
และดานความเขาใจในธรรมชาติ
แนวทางการพฒนาการคด จากตางประเทศ
          ั      ิ     
         ไดมีผูเสนอแนวคิดและแนวทางในการพัฒนาการคิดไวจานวนไมนอย อาทเิ ชน
                                                                 ํ                    
         ! เอ็ดเวิรด เดอ โบโน (Edward De Bono, ๑๙๗๓) ไดนาเสนอแนวทางการ
                                                                   ํ
พัฒนาการคิดไวจํานวนมาก เชน การพฒนาการคดโดยใชโปรแกรมสาเร็จรูป การใช
                                             ั         ิ              ํ
เทคนคหมวก ๖ ใบ เปนตน
     ิ                    
         ! ศูนยพฒนาการคิดอยางมีวจารณญาณ (Center for Critical Thinking, Sonoma
                     ั                ิ
State University, ๑๙๙๖) ไดพฒนาคมอการสอนเพอพฒนาการคดอยางมวจารณญาณ
                                   ั     ู ื            ่ื ั      ิ  ีิ
สําหรับการสอนในโรงเรียนทุกระดับ และยงไดผลตสอประเภทเทปเสยงบรรยาย และวีดิ
                                               ั  ิ ่ื              ี
ทศน ขนเปนจํานวนมาก
  ั ้ึ 
         !มี นั ก ศึ ก ษาจํ านวนหลายท  า นได  พั ฒ นารู ป แบบการสอนที่ เ น  น การพั ฒ นา
กระบวนการคิดขึ้นหลายรูปแบบ เชน จอยสและเวลส (Joyce and Weil) เอนนิส (Ennis)
                                                
และวลเลยมส (Williams) เปนตน
       ิ ี                     
หลักการ และแนวคดของไทย
               ิ
         ! พระธรรมปฎก (๒๕๓๙) ไดนําเสนอแนวคดในการจดการศกษาและการสอน
                                                 ิ      ั   ึ
ตามหลกพทธธรรม ซึงครอบคลุมในเรืองการพัฒนาปญญา และการคิดไวจํานวนมาก
        ั ุ           ่            ่
และไดมนกการศึกษาไทยนําแนวคิดเหลานีมาประยุกตใชเปนรูปแบบ กระบวนการ และ
          ี ั                        ้
เทคนิคในการสอน ทําใหประเทศไทยมีการศึกษาวิจยในเรืองนีมากขึน
                                            ั       ่ ้ ้
         หลกการ และแนวคิด ตามหลักพุทธธรรมทีนามาใชในการจดการศกษา และการ
              ั                               ่ ํ         ั    ึ
สอนทีพระธรรมปฎกไดเผยแผทสําคัญ ๆ มดงน้ี
      ่                    ่ี          ีั
แนวคดพนฐาน
    ิ ้ื
        ๑. ความสขของมนษยเ กดจากการรจกดาเนินชีวตใหถกตองทังตอตัวเองและผูอน
                       ุ         ุ ิ         ู ั ํ       ิ       ู        ้            ่ื
        ๒. การรจกดาเนนชวตอยางถกตอง คือการรูจกคิดเปน พูดเปน และทาเปน
                   ู ั ํ ิ ี ิ  ู                   ั                      ํ
        ๓. การคดเปนหรอการคดอยางถกตองเปนศนยกลางทบรหารการดาเนนชวตทง
                         ิ  ื          ิ  ู   ู                  ่ี ิ       ํ ิ ี ิ ้ั
หมด ทําหนาที่ชี้นําและควบคมการกระทํา การคดจะเรมเขามามบทบาทเมอมนษยไดรบ
                                    ุ                ิ      ่ิ  ี           ่ื ุ   ั
ขอมูลจากสิงแวดลอม ซงมอยมาก หากคิดเปนหรือคิดดีกจะเกิดการเลือกรับเปนหรือ
            ่                  ่ึ ี ู                              ็
เลือกรับแตสงทีดี ๆ เมอรบมาแลวกจะเกดการคด ตความเชอมโยงและตอบสนองออกมา
              ่ิ ่          ่ื ั        ็ ิ        ิ ี        ่ื

                                                                                       ๔๙
เปนการกระทา ในขั้นตอนนี้จะมีสิ่งปรุงแตงความคิดเขามา ไดแก อารมณชอบ ชัง คติ
                         ํ                                                                                                          
และอคติตาง ๆ ซึงมีผลตอการคิดตีความเชือมโยงและการกระทํา ถาคดเปนคดโดยรถง
                                       ่                                             ่                                     ิ  ิ                   ู ึ
สิ่งปรุงแตงตาง ๆ นันก็จะสามารถบริหารการกระทําอยางเหมาะสมได
                                         ้
                 ๔. กระบวนการคดเปน เปนสงทพฒนาได ฝกฝนไดโดยกระบวนการทเ่ี รยกวา
                                                      ิ             ่ิ ่ี ั                                                                   ี 
การศกษาหรอสกขา การพฒนานนเรยกวา การพัฒนาสัมมาทิฏฐิ ผลทไดคอมรรคหรอ
       ึ                 ื ิ                            ั         ้ั ี                                                      ่ี  ื                     ื
การกระทําที่ดีงาม
                 ๕. แกนแทของการศึกษา คอการพฒนาปญญาของตนเองใหเ กดมสมมาทฏฐคอ
                                                                        ื              ั                                   ิ ี ั              ิ ิื
การมความรู ความเขาใจ ความคิดเห็น คานยมทถกตอง ดีงาม เกอกลแกชวต และครอบ
         ี                                                                        ิ ่ี ู                           ้ื ู  ี ิ
ครัว
                 ๖. สัมมาทิฏฐิ ทําใหเกิดการพูดและการกระทําทีถกตองดีงาม สามารถดบทกข                      ู่                                 ั ุ
และแกปญหาได
                 ๗. ปจจยททาใหเกิดสัมมาทิฎฐิ ไดมี ๒ ประการคือ
                         ั ่ี ํ
                                    ๗.๑ ปจจัยภายนอก หรือเรียกวา ปรโตโฆสะ ไดแก สิ่งแวดลอมตาง ๆ ครู
พอแม เพื่อน สอมวลชน ฯลฯ        ่ื
                                    ๗.๒ ปจจยภายใน หรือเรียกวา โยนิโสมนสิการ ไดแก การคดเปน
                                                   ั                                                                             ิ 
                 ๘. การศึกษาทงหลายทจดกนมาตงแตอดตถงปจจบน ทํากนอยางเปนงานเปนการ
                                               ้ั           ่ี ั ั             ้ั  ี ึ  ุ ั                          ั                      
เปนระบบ ระเบยบ ถอวาเปนปรโตโฆสะทงสน ี ื                                         ้ั ้ิ
                 ๙. บุคคลสวนใหญในโลกจะสามารถพัฒนาตนเองใหใชโยนิโสมนสิการอยาง
เดียวไมได จาเปนตองอาศัยปรโตโฆสะกอนในเบืองตน
                      ํ                                                                    ้
                 ๑๐. โยนิโสมนสิการเรียกไดวา คอการคดเปน เปนความสามารถทบคคลรจกมอง
                                                                        ื               ิ                                     ่ี ุ       ู ั
รูจักพิจารณาสงทงหลายตามสภาวะโดยวธคดหาเหตปจจย สบคนจากตนเหตตลอดทาง
                               ่ิ ้ั                                           ิีิ               ุ  ั          ื              ุ
จนถึงผลสดทายทเ่ี กด ุ                     ิ            แยกแยะเรองออกใหเ หนตามสภาวะทเ่ี ปนจรง คิดตามความ
                                                                          ่ื                 ็                           ิ
สัมพันธที่สืบทอดจากเหตุโดยไมเอาความรูสึกอุปทานของตนเองเขาไปจับหรือเคลือบ
คลุม บคคลนนจะสามารถแกปญหาตาง ๆ ไดอยางเหมาะสม ดวยวธการแหงปญญา
               ุ            ้ั                                                                               ิี                 
                 ๑๑. โยนิโสมนสิการ เปนองคประกอบภายในมความเกยวของกบการฝกใชความ
                                                                                                     ี           ่ี  ั                 
คิดใหรจกคดอยางถกวธี คิดอยางมีระเบียบ คิดอยางวิเคราะห ไมมองเห็นสิ่งตาง ๆ อยาง
            ู ั ิ  ู ิ                                                                                                                             
ต้ืน ๆ ผิวเผิน เปนขันตอนสําคัญของการสรางปญญา ทําใจใหบรสทธ์ิ และเปนอสระ ทํา
                                             ้                                                                 ิ ุ                     ิ



                                                                                                                                                  ๕๐
ใหทกคนชวยตนเองได นําไปสความเปนอสระไรทกข พรอมดวยสันติสขเปนจุดหมายสูง
     ุ                                                 ู                    ิ                      ุ                                   ุ
สุดของพระพุทธศาสนา
             ๑๒. โยนิโสมนสิการ ไมใชตวปญญา แตเ ปนปจจยใหเ กดปญญา มเี ปาหมายสงสด
                                                                ั                                      ั                   ิ                                   ู ุ
คือการดับทุกข
             ๑๓. โยนิโสมนสิการ มองคประกอบ 4 สวนคือ  ี 
                      ๑๓.๑ อบายมนสการุ                      ิ                                คอการคดอยางเขาถงความจรง
                                                                                                ื                ิ   ึ                        ิ
                      ๑๓.๒ ปถมนสการ                ิ                                         คอการคดอยางมลาดบขนตอนไมสบสน
                                                                                                  ื             ิ  ี ํ ั ้ั                                ั
                      ๑๓.๓ การณมนสิการ                                                       คือการคิดอยางมีเหตุผล
                      ๑๓.๔ อปปาทกมนสการ คอการคดอยางมเี ปาหมาย คิดใหเกิดผล
                                       ุ                               ิ                            ื             ิ             
ไมใชคดไปเรือยเปอย
           ิ        ่ 
             ๑๔. ในการดําเนินชีวิต สตเิ ปนองคธรรมทจําเปนตองใชในการทางานทุกอยาง                              ่ี                                    ํ                
โยนิโสมนสิการ เปนสิงหลอเลียงสติทยงไมเกิดใหไดเกิด ชวยใหสตทเ่ี กดแลวเกดตอเนอง
                                   ่                  ้                    ่ี ั                                              ิ ิ  ิ  ่ื
ตอไป
             ๑๕. กลไกการทางานของโยนโสมนสการในกระบวนการคด เมอบคคลรบรสงใด
                                         ํ                               ิ                 ิ                                        ิ ่ื ุ                      ั ู ่ิ
ความคดกจะพงเขาสความชอบหรอไมชอบทนที นันคือสิงปรุงแตง เนองจากบคคลมี
          ิ ็ ุ  ู                                           ื                      ั                   ่               ่                     ่ื              ุ
ประสบการณมากอน เรยกสงปรงแตงนนวาอวชชา ในตอนนเ้ี องทโยนโสมนสการจะเขา
                                            ี ่ิ ุ  ้ั  ิ                                                                          ่ี ิ                   ิ             
ไปสกัดกั้นความคิดนั้นแลวเปนตัวนําเอากระบวนการคิดบริสุทธิ์ที่จะพิจารณาตามสภาวะ
ตามเหตปจจย เปนลําดบไมสบสน มีเหตุผลและเกิดผลได (ตามองคประกอบทงสขอใน
             ุ  ั                        ั  ั                                                                                                             ้ั ่ี 
ขอ ๑๓) ทําใหคนเปนนายไมใชทาสของความคิด เอาความคิดมาใชแกปญหาได
  
             ๑๖. คนปกตสามารถใชโยนโสมนสการงาย ๆ ไดโดยการพยายามควบคุมกระแส
                             ิ                           ิ                           ิ 
ความคิดใหอยูในแนวทางที่ดีงามตามทางที่เคยไดรับการอบรมสั่งสอนจากกัลยาณมิตรมา
กอนแลว และเมื่อพิจารณาเห็นความจริง และรูวาคาแนะนําสังสอนนันถูกตองดีงาม มี                            ํ                   ่           ้
ประโยชน กยงมนใจและเกดศรทธาขนเอง เกิดเปนการประสานกันระหวางปจจัยภาย
                     ็ ่ิ ่ั                      ิ ั                           ้ึ
นอกกับปจจัยภายใน กลายเปนความหมายของตนเปนทีพงแหงตนได ดังนันในการสอน                                             ่ ่ึ                             ้
เพ่ือสรางศรทธาจะตองพยายามใหนกเรยนไดรบรผลและเกดความตระหนกในผลของการ
                  ั                                              ั ี                     ั ู                         ิ                    ั
กระทําความดี ตองเราใหเ กดการเสรมแรงภายใน
                                            ิ                      ิ
             ๑๗. กลาวโดยสรุปกลไกการทํางานของโยนิโสมนสิการ และความสัมพันธ
ระหวางปรโตโฆสะกบโยนโสมนสการ มดงน้ี
                                ั              ิ                  ิ                 ีั

                                                                                                                                                                    ๕๑
๑๗.๑ โยนโสมนสการจะทางาน ๒ ขั้นตอนคือ รับรูอารมณหรือประสบ
                                 ิ               ิ                  ํ                                                    
การณจากภายนอก การรบรดวยโยนโสมนสการจะเปนการรบรอยางถกตอง มีการคิดคน
                                     ั ู                ิ                 ิ                            ั ู  ู 
พิจารณษอารมณหรือเรื่องราวที่เก็บเขามาเปนการพิจารณาขอมูลดวยสติซึ่งจะเอาไปใช
ประโยชนในการดําเนินชีวิตและทํากจกรรมตาง ๆ ตอไป        ิ                     
                  ๑๗.๒ กลยาณมตร (ปรโตโฆสะทีด) และโยนโสมนสการเปนจดเชอมตอ
                            ั              ิ                                           ่ี                    ิ             ิ     ุ ่ื 
ระหวางบคคลกบโลกหรอสภาพแวดลอมภายนอก โดยกลยาณมตรเชอมใหบคคลตดตอ
             ุ       ั             ื                                                                ั                ิ ่ื         ุ     ิ 
กับโลกทางสังคมอยางถูกตอง และโยนิโสมนสิการเชือมตอบุคคลกับโลกทางจิตใจของ                          ่
ตนเองอยางถกตอง
             ู 
         ๑๘. วธคดตามหลกโยนโสมนสการมี ๑๐ วิธีคือ
                   ิีิ                ั        ิ                 ิ
                  ๑๘.๑ วธคดแบบสบสาวเหตปจจย เปนวิธคดเพือใหรสภาวะทีเ่ ปนจริง
                         ิีิ                 ื                     ุ  ั                        ีิ ่               ู
                  ๑๘.๒ วธคดแบบแยกแยะองคประกอบ เปนวธคดเพอกําหนดแยกปรากฏ
                            ิีิ                                                                        ิ ี ิ ่ื
การณตาง ๆ ออกเปนสงทเ่ี ปนรปธรรมและสงทเ่ี ปนนามธรรม
                         ่ิ  ู                                          ่ิ 
                  ๑๘.๓ วธคดแบบสามญลกษณ เปนวิธคดเพือใหรเู ทากัน คือรูวาสิ่งตาง ๆ
                          ิีิ                      ั ั                                    ีิ ่
นั้นเกิดขึนเอง และจะดับไปเอง เรียกวา รูอนิจจัง และรูวาสิ่งตาง ๆ นั้นเกิดขึ้นมาเองไมมี
          ้                                                           
ใครบังคับหรือกําหนดขึ้น เรียกวา รูอนัตตา           
                  ๑๘.๔ วธคดแบบอริยสจจ เปนวิธคดแบบแกปญหา โดยเรมจากตวปญหา
                          ิีิ                         ั                               ีิ                                    ่ิ       ั 
หรอทกข ทําความเขาใจใหชัดเจน สบคนสาเหตุ เตรยมแกไข วางแผนกําจัดสาเหตุของ
     ื ุ                                                      ื                              ี         
ปญหา มีวธการปฏิบติ ๕ ขั้นตอน คือ
               ิี         ั
                         ๑) ทุกข - การกําหนดใหรสภาพปญหา                          ู            
                         ๒) สมุทย - การกาหนดเหตแหงทกขเ พอกําจัด
                                         ั                  ํ                      ุ  ุ ่ื
                         ๓) นิโรธ - การดับทุกขอยางมีจุดหมาย ตองมการกําหนดวาจุดหมาย                           ี
ทตองการคออะไร
  ่ี          ื
                         ๔) มรรค - การกําหนดวธีการในรายละเอยดและปฏบตเิ พอกาจัด         ิ                               ี         ิ ั ่ื ํ
ปญหา
                   ๑๘.๕ วธคดแบบอรรถธรรมสมพนธ เปนวิธีคิดใหมีความสัมพันธกัน
                                ิีิ                                             ั ั
ระหวางหลักการ และความมุงหมาย สามารถตอบคําถามไดวาททําหรือจะทําอยางนน                                             ่ี                   ้ั
อยางนี้เพื่ออะไร ทําใหการกระทํามีขอบเขต ไมเลยเถิด
                              



                                                                                                                                      ๕๒
๑๘.๖ วิธคิดแบบคุณโทษและทางออก
                                      ี                                                         เปนการคิดบนพื้นฐานความ
ตระหนักทวาทกสงในโลกนมทงสวนดและสวนดอย ดงนนเมอตองคดตดสนใจเลอกเอา
              ่ี  ุ ่ิ                   ้ี ี ้ั  ี                                  ั ้ั ่ื  ิ ั ิ                   ื
ของส่ิงใดเพยงอยางเดยวจะตองยอมรบสวนดของสงทไมไดเ ลอกไว และไมมองขามโทษ
                 ี  ี                                      ั  ี               ่ิ ่ี  ื
หรือขอบกพรอง จดออน จุดเสียของสิงทีเ่ ลือกไว การคิดและมองตามความจริงนี้ ทําให
                     ุ                                        ่
ไมประมาท อาจนาเอาสวนดของสงทไมไดเ ลอกนนมาใชประโยชนได และสามารถหลีก
                           ํ          ี                ่ิ ่ี  ื ้ั                                     
เล่ียงหรอโอกาสแกไขสวนเสยบกพรองทตดมากบสงทเ่ี ลอกไว
            ื                  ี                           ่ี ิ ั ่ิ ื
                     ๑๘.๗ วธคดแบบรคณคาแท-คณคาเทยม เปนวธคดทสามารถแยกแยะไดวา
                               ิีิ               ู ุ               ุ  ี                    ิ ี ิ ่ี                             
คุณคาแทคืออะไร คุณคาเทียมคืออะไร
          คุณคาแท คอคณคาของสงมประโยชนแกรางกายโดยตรง อาศยปญญาตราคา
                               ื ุ                       ่ิ ี                                                ั          ี
เปนคุณคาสนองปญญา
          คุณคาเทยม คอคณคาพอกเสรมสงจําเปนโดยตรง อาศยตณหาตราคา เปนคณคา
                     ี         ื ุ                           ิ ่ิ                               ั ั          ี         ุ 
สนองตณหา  ั
                      วิธีคิดนี้ใชเพื่อมุงใหเกิดความเขาใจและเลือกเสพคุณคาแทที่เปนประโยชน
แกชีวิต เพอพนจากการเปนทาสของวตถุ เปนการเกียวของดวยปญญา มีขอบเขตเหมาะ
                  ่ื                                             ั                 ่
สม
                     ๑๘.๘ วธคดแบบเราคณธรรม เปนการคิดถึงแตสงทีดมกศล เมอไดรบ
                                 ิีิ                   ุ                                           ่ิ ่ ี ี ุ           ่ื  ั
ประสบการณใด แทนทจะคดถงสงทไมดงาม เปนวธคดทสกดกน ขัดเกลาตัณหา
                                   ่ี ิ ึ ่ิ ่ี  ี                            ิ ี ิ ่ี ั ้ั
                     ๑๘.๙ วิธคิดแบบเปนอยูกบปจจุบน เปนวิธคดใหตระหนักถึงสิงทีเ่ ปนอยูใน
                                 ี                            ั            ั             ีิ                        ่             
ขณะปจจุบันกําหนดเอาที่ความเกียวของกับความเปนอยูประจําวนเชอมโยงตอกนมาถงสง
                                                    ่                                             ั ่ื             ั           ึ ่ิ
ที่กําลังรับรู กิจการตามหนาทีหรือการปฏิบติ โดยมจดหมายไมเ พอฝนกบอารมณขอบ
                                               ่                        ั              ีุ                     ั              
หรือชัง
                     ๑๘.๑๐ วิธีคิดแบบวิภัชวาท เปนการคดแบบมองใหเ หนความจรง โดยแยก
                                                                                  ิ                    ็             ิ
แยะออกใหเห็นแตละแง แตละดานจนครบทกดาน ไมพิจารณาสิ่งใด ๆ เพียงดานหรือแง
                                                                        ุ 
มมเดยว
  ุ ี
แนวทาง รปแบบ กระบวนการ วธการ เทคนิคการสอนและการพัฒนากระบวนการคิด
          ู                    ิี
ของไทย
       ในระยะประมาณ 50 ปทผานมา ไดมีนักคิดและนักการศึกษาที่ไดใหความสนใจ
                          ่ี 
ในเรืองพัฒนาการคิดตลอดมา โดยเฉพาะอยางยงในระยะหลง ๆ ไดมีการนําหลกธรรม
     ่                              ่ิ           ั                  ั

                                                                                                                                ๕๓
ทางพระพทธศาสนามาประยกตใชในการสอน และศกษาวจยกนมากขน ควบคูไปกับ
           ุ                ุ                  ึ ิั ั        ้ึ       
การนําทฤษฎและหลกการของตางประเทศมาประยกตใช จงทาใหประเทศไทยไดรปแบบ
               ี     ั                       ุ  ึ ํ               ู
การสอน กระบวนการสอนและเทคนคตาง ๆ เพิ่มขึ้นมาก อาทเิ ชน การสอนให “คิด
                                      ิ                    
เปน ทําเปน และแกปญหาเปน” โดย โกวิท วรพิพัฒน “การสอนโดยสรางศรัทธาและ
                             
โยนิโสมนสิการ” โดย สุมน อมรววฒน “การสอนความคิด” โดย โกวิท ประวาลพฤกษ
                                   ิั
“การสอนทักษะกระบวนการ” โดย กรมวชาการ กระทรวงศกษาธการ และ “กระบวนการ
                                        ิ             ึ ิ
คิดเปนเพื่อการดารงชวตในสงคมไทย”
                 ํ ีิ        ั            โดย หนวยศกษานเิ ทศก กรมสามญศกษา
                                                   ึ                ั ึ
กระทรวงศกษาธการ เปนตน
             ึ    ิ      
กรอบความคิดของ “การคด”     ิ
      จากการประมวลขอมูลเกียวกับการคิด พบวา มีคาทีแสดงถึงลักษณะของการคิด
                                      ่              ํ ่
และคําทเ่ี กยวของกบการใชความคดเปนจานวนมาก อาทเิ ชน
            ่ี  ั                     ิ  ํ         
      การสังเกต                คิดผิด-คิดถูก       กระบวนการคดอยางวจารณญาณ
                                                              ิ  ิ
      การเปรยบเทยบ     ี ี     คดสน-คิดยาว/คดไกล กระบวนการคิดแกปญหา
                                     ิ ้ั        ิ                      
      การตงคาถาม
               ้ั ํ            คิดแคบ-คิดกวาง     กระบวนการคดรเิ รมสรางสรรค
                                                             ิ ่ิ 
      การแปลความหมาย คิดรอบคอบ คิดทบทวน กระบวนการตดสนใจ        ั ิ
      การตความ   ี             คดคลอง คิดไว
                                   ิ              กระบวนการทางวทยาศาสตร
                                                                      ิ
      การขยายความ              คดอยางมเี หตผล
                                    ิ         ุ   กระบวนการศึกษาวิจย     ั
      การอางอิง               คิดหลากหลาย         กระบวนการปฏบติ ิ ั
      การคาดคะเน               คดละเอยดลออ
                                ิ          ี
      การสรป       ุ           คดเปน
                                  ิ 
      การสราง        
                                              ฯลฯ
     จะเห็นไดวาคําตาง ๆ ทเ่ี กยวของกบการคดจํานวนมากนั้น สามารถจดกลมได 3
                                 ่ี  ั     ิ                     ั ุ
กลมใหญ ๆ คือ
  ุ
       กลุมที่ ๑ เปนคําทีแสดงออกถึงการกระทําหรอพฤตกรรมซงตองใชความคด เชน
                         ่                    ื      ิ   ่ึ       ิ
การสังเกต การเปรียบเทียบ การจําแนกแยกแยะ การขยายความ การแปลความ การตความ
                                                                       ี
การจดกลม/หมวดหมู การสรป ฯลฯ คําตาง ๆ เหลานแมจะเปนพฤตกรรมทไมมคาวา
    ั ุ                    ุ                     ้ี       ิ  ่ี  ี ํ


                                                                         ๕๔
“คิด” อยู แตกมความหมายของการคดอยในตว คําในกลมนมลกษณะของพฤตกรรม/
                    ็ ี                   ิ ู ั              ุ ้ี ี ั           ิ
การกระทาทชดเจนหรอคอนขางชดเจนหรอเปนทเ่ี ขาใจตรงกน ซงหากบคคลสามารถทํา
             ํ ่ี ั        ื   ั            ื             ั ่ึ         ุ
ไดอยางชํานาญ กจะเรยกกนวา ทักษะ ดงนน ทศนา แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) จงเรยก
                       ็ ี ั               ั ้ั ิ                                   ึ ี
ชื่อคํากลุมนีวา ทักษะการคิด ทักษะการคิดแตละทักษะ จะประกอบไปดวยพฤตกรรม
             ้                                                                     ิ
หรือการกระทํายอย ๆ มากบาง นอยบาง และมกจะมการจดลําดบของการกระทาเหลานั้น
                                                 ั    ี ั ั                    ํ
ดั งนั้ น ทัก ษะการคิ ด จึ งเป น ความสามารถของบุคคลในการแสดงพฤติกรรมการคิดซึ่ง
ประกอบไปดวยการกระทํายอย ๆ ทเ่ี ปนไปตามลําดบเพอใหเ กดเปนพฤตกรรมการคดนน
                                                    ั ่ื       ิ     ิ              ิ ้ั
ๆ การคิดในระดับทักษะมักบงชีถงพฤติกรรมการคิดไดคอนขางชัดเจน ทกษะการคดนมี
                                      ้ึ                                    ั           ิ ้ี
๓ ระดับ คือ ทักษะการคิดพื้นฐาน (Basic Thinking Skills) ทักษะการคิดทีเ่ ปนแกนสําคัญ
(Core Thinking Skills) และทักษะการคิดชั้นสูง (Higher-Ordered Thinking Skills) ทักษะ
การคิดชั้นสูง มักจะประกอบไปดวยการกระทํายอย ๆ และมขนตอนของการกระทาที่
                                                                   ี ้ั                   ํ
มากกวาทกษะการคดขนตน ๆ
           ั            ิ ้ั 
       กลุมที่ ๒ เปนคาที่แสดงลักษณะของการคิด ซงใชในลกษณะเปนคาวิเศษณ เชน
                       ํ                              ่ึ  ั                 ํ
คิดกวาง คิดถูก คิดคลอง คิดรอบคอบ ซึ่งคําไมไดแสดงออกถงพฤตกรรมหรอการกระทํา
                                                               ึ     ิ           ื
โดยตรง แตสามารถแปลความไปถงพฤตกรรมหรอการกระทาประการใดประการหนง
                                 ึ       ิ          ื               ํ                      ่ึ
หรือหลายประการรวมกัน เชน คิดคลอง มความหมายถงพฤตกรรมการบอกความคดได
                                            ี            ึ         ิ                      ิ
จํานวนมาก และในเวลาทรวดเรว คิดหลากหลายมีความหมายถึงพฤติกรรมการสามารถ
                          ่ี   ็
บอกความคิดที่มีลักษณะ/รปแบบ/ประเภท ทีหลากหลาย คําประเภทนี้ ทศนา แขมมณี
                             ู                 ่                               ิ
และคณะ (๒๕๔๐) จงเรยกวา ลกษณะการคด ซงหมายถง การคิดทีมลกษณะพิเศษเปน
                      ึ ี  ั                 ิ ่ึ         ึ              ่ ีั
เอกลักษณเฉพาะของการคิดนั้น ๆ ซงลกษณะดงกลาว ไมไดบงชถงพฤตกรรมหรอการ
                                    ่ึ ั           ั             ้ี ึ        ิ      ื
กระทําทีชดเจน ตองอาศัยการแปลความและตีความไปถึงพฤติกรรมตาง ๆ ทเ่ี มอประกอบ
         ่ ั                                                                         ่ื
กันเปนลาดับขันตอนแลวจะชวยใหเกิดเปนลักษณะการคิดนัน ๆ
      ํ       ้                                             ้
         กลุมที่ ๓ เปนคําทแสดงถง การดําเนินกิจกรรมการคิดอยางเปนลําดบขนตอน
                           ่ี     ึ                                  ั ้ั
หรือเปนกระบวนการ ซงจะชวยใหบรรลวตถประสงคของการคดนน ๆ และในกระบวน
                       ่ึ         ุั ุ              ิ ้ั
การแตละขั้นตอน จะตองอาศยทกษะการคดและลกษณะการคดทจาเปนจํานวนมาก อาทิ
                              ั ั     ิ       ั      ิ ่ี ํ
เชน กระบวนการคดอยางมวจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิดริเริม
                     ิ  ีิ                                               ่
สรางสรรค เปนตน กระบวนการคิดเหลานีมวตถุประสงคเฉพาะทีแตกตางกันและตอง
                                       ้ ีั               ่
อาศยความสามารถทางการคดตาง ๆ หลายประการมาชวยใหแตละขันตอนของกระบวน
     ั                     ิ                                  ้

                                                                                         ๕๕
การสัมฤทธิ์ผล      การคดทตองอาศยพฤตกรรมหรอการกระทําหรือทักษะจํานวนมากนี้
                       ิ ่ี      ั     ิ           ื
ทศนา แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) จดใหอยในกลมของ กระบวนการคิด เชน กระบวน
  ิ                                 ั  ู       ุ
การคิดอยางมีวิจารณญาณ มวตถประสงคเ พอใหไดความคดทผานการกลนกรองพจารณา
                         ีั ุ             ่ื            ิ ่ี      ่ั     ิ
มาอยางดีแลว กระบวนการคิดจึงประกอบไปดวยขันตอนในการพิจารณากลันกรองขอ
                                                      ้                 ่
มูล ในขณะทีกระบวนการแกปญหา มีวตถุประสงค เพือแกปญหาใดปญหาหนึง หรือ
               ่                     ั                 ่                ่
กระบวนการคดรเิ รมสรางสรรค มีวตถุประสงคเพือสรางผลงานทีใหมแตกตางไปจากเดิม
              ิ ่ิ             ั             ่                    ่
        อันทจรงแลว ทงทักษะการคด ลกษณะการคด และกระบวนการคิด เมอ
             ่ี ิ     ้ั        ิ     ั         ิ                      ่ื
วิเคราะหละเอียดลงไปแลว จะเห็นวามีลกษณะรวมกันคือ ประกอบไปดวยพฤติกรรม
                                     ั
หรือการกระทํายอย ๆ หลายพฤตกรรม และมีการเรียงลําดับพฤติกรรมเปนขันตอนที่
                              ิ                                    ้
สามารถนาไปสูวตถุประสงค หรอกลาวอยางสน ๆ ไดวามลกษณะเปนขนตอนหรอ
           ํ     ั           ื   ้ั              ีั        ้ั        ื
กระบวนการเชนเดียวกัน แตมีความแตกตางกันตรงความชัดเจนของคํา และปริมาณและ
ความซบซอนของพฤตกรรมหรอการกระทํา ซงหากจะจดลําดบโดยใชเ กณฑดงกลาวแลว
       ั           ิ       ื            ่ึ     ั ั              ั  
สามารถจดไดวาทกษะการคด เปนการคิดในระดับพื้นฐาน ลกษณะการคดเปนการคดใน
          ั  ั          ิ                          ั        ิ      ิ
ระดับกลาง และกระบวนการคิดเปนการคิดในระดับสูง
       จากกรอบความคิดดังกลาว ประกอบกับการศึกษาคนควาองคความรูเ กียวกับการ
                                                                     ่
คิด ทศนา แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) ไดจัดมิติของการคิดไว ๖ ดาน เพอใชเ ปนกรอบ
     ิ                                                        ่ื       
ความคิดในการพัฒนา ความสามารถทางการคิดของเด็กและเยาวชนตอไป
      มิติของ “การคด” มี ๖ ดาน ดังนี้
                   ิ
      ๑. มตดานขอมลหรอเนอหาทใชในการคด
          ิ ิ   ู ื ้ื   ่ี     ิ
      ๒. มิตดานคุณสมบัตทเ่ี อืออํานวยตอการคด
            ิ         ิ ้                ิ
      ๓. มิตดานทักษะการคิด
            ิ
      ๔. มตดานลกษณะการคด
          ิ ิ ั       ิ
      ๕. มิตดานกระบวนการคิด
            ิ
      ๖. มตดานการควบคมและประเมนการคดของตน
          ิ ิ       ุ        ิ    ิ
      สําหรับรายละเอียดเกียวกับมิตแตละดานนัน
                          ่       ิ          ้   ไมสามารถกลาวไดในทนทงหมด
                                                                 ่ี ้ี ้ั
โดยเฉพาะเกียวกับทักษะการคิดและลักษณะการคิด
           ่                                      พบวามีผูไดใหคาอธบายทชดเจน
                                                                   ํ ิ    ่ี ั

                                                                           ๕๖
เก่ียวกับทกษะการคดอยบาง แตไมมากนัก ซึงสวนใหญมกจะเปนทักษะกระบวนการ
           ั      ิ ู                     ่      ั
ทางวิทยาศาสตร สวนลกษณะการคดตาง ๆ มีคาอธบายนอยมาก สําหรับกระบวนการคิด
                  ั                 ิ    ํ ิ   
น้ันพบวา กระบวนการคดทมผศกษาไวมากพอสมควร ไดแก กระบวนการคิดอยางมี
                        ิ ่ี ี ู ึ     
วิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการทางวทยาศาสตร และกระบวนการคิด
                                              ิ
ริเริมสรางสรรค
     ่
           ดวยเหตททกษะการคดและลกษณะการคด
                    ุ ่ี ั           ิ           ั        ิ     จานวนมากยงไมไดรบการศกษา
                                                                 ํ        ั  ั               ึ
วิเคราะห และขยายความใหเกิดความชัดเจนอยางเพียงพอ ความคลุมเครือนีจงอาจเปน          ้ึ
สาเหตุสําคัญทีทาใหการสอนกระบวนการคด ซงเปนการคดขนสง ไมบรรลผล เนองจาก
                 ่ ํ                                ิ ่ึ         ิ ้ั ู     ุ         ่ื
ผูเ รยนยงขาดทกษะขนพนฐานทจาเปนตอการพัฒนาความคิดในขั้นสูง ดวยเหตุน้ี ทศนา
      ี ั         ั          ้ั ้ื       ่ี ํ                                                ิ
แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) จงไดรวมกนวเิ คราะหทักษะการคดแตละทักษะ และ
                                                ึ  ั                  ิ 
ลักษณะการคิดที่สาคญแตละลกษณะ และเลอกลกษณะการคดบางประการทคดวาเปนพน
                         ํ ั  ั                       ื ั           ิ           ่ี ิ   ้ื
ฐานทีสาคัญ และจําเปนจะตองสงเสริมและฝกฝนใหผเู รียนตังแตระดับการศึกษาปฐมวัย
        ่ ํ                                                            ้
ประถมศึกษา และมธยมศกษา แลวจึงนําคําเหลานั้นมาวิเคราะหใหเห็นถึงจุดมุงหมาย
                               ั   ึ
และวธการในการคด รวมทังกําหนดเกณฑตดสน เพอใชในการประเมนการคดนน ๆ
        ิี                 ิ           ้               ั ิ   ่ื            ิ          ิ ้ั
ทั้งนี้ดวยวัตถุประสงคที่จะทําใหคาทีใชกนในลักษณะทีเ่ ปนนามธรรมมีความเปนรูปธรรม
                                              ํ ่ ั
มากขึ้น ซึงจะชวยใหแนวทางทีชดเจนแกครูในการสอน ทําใหครูสามารถสอนไดอยาง
               ่                            ่ ั
ชัดเจน ตรงทาง และบรรลวตถประสงคมากขนุั ุ             ้ึ
        อยางไรก็ตาม        การนําเสนอขอมลในทนจะนาเสนอเพยงรายการทักษะการคด
                                        ู       ่ี ้ี ํ      ี             ิ
ลักษณะการคด และกระบวนการคิด ทไดคดเลอกไวเ ทานน ไมสามารถนาเสนอราย
              ิ                         ่ี  ั ื          ้ั         ํ
ละเอียดที่วิเคราะหไดทั้งหมด เนองจากรายละเอยดนนมมาก ไมสามารถบรรจุลงในบท
                                 ่ื             ี ้ั ี
ความได ทานผูอานที่สนใจ ทีประสงคจะศึกษาและนําไปใช สามารถตดตอขอศกษาราย
                              ่                                 ิ      ึ
ละเอียดไดที่ ศูนยพฒนาการเรียนการสอน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ
                    ั
หรือที่คณะผูเขียน คณะครุศาสตร จฬาลงกรณมหาวทยาลย สําหรับขอมูลเกียวกับมิตแต
                                    ุ              ิ ั             ่     ิ
ละดานทสาคัญมีดังนี้
     ่ี ํ
๑. มตดานขอมลหรอเนอหาทใชในการคด
    ิ ิ   ู ื ้ื   ่ี     ิ
     ในการคิด บุคคลไมสามารถคิดโดยไมมีเนื้อหาของการคิดได เฉพาะการคดเปน
                                                                    ิ 
กระบวนการ ในการคิดจึงตองมีการคิดอะไรควบคูไปกับการคิดอยางไร
                                          

                                                                                           ๕๗
ขอมลทใชในการคดนน มจํานวนมากเกนกวาทจะกาหนดหรอบอกได โกวิท
            ู ่ี        ิ ้ั ี               ิ  ่ี ํ        ื
วรพิพัฒน (อางถึงในอุนตา นพคุณ) ไดจดกลมขอมลทมนษยใชในการคดพจารณาแก
                                          ั ุ  ู ่ี ุ      ิ ิ
ปญหาออกเปน ๓ ดาน ดวยกัน คือ
            
       ๑. ขอมลเกยวกบตนเอง
            ู ่ี ั
       ๒. ขอมูลเกียวกับสังคมและสิงแวดลอม
                   ่              ่
       ๓. ขอมูลวิชาการ
       ในการพจารณาหาทางแกปญหา บคคลจะตองพจารณาขอมลทง ๓ สวนควบกน
                ิ                     ุ         ิ       ู ้ั       ั
ไปอยางผสมกลมกลืน             จนกระทงพบทางออกหรอทางเลอกในการแกปญหาอยาง
                                     ่ั              ื     ื        
เหมาะสม
๒. มตดานคณสมบตทเ่ี อออํานวยตอการคด
    ิ ิ  ุ  ั ิ ้ื               ิ
            ในการคดพจารณาเรองใด ๆ โดยอาศยขอมลตาง ๆ คุณสมบัตสวนตัวบาง
                      ิ ิ          ่ื                ั  ู                   ิ 
ประการ มีผลตอการคิดและคุณภาพของการคิด ตวอยางเชน คนทมใจกวาง ยอมยนดทจะ
                                                      ั            ่ี ี   ิ ี ่ ี
รับฟงขอมลจากหลายฝาย จงอาจจะไดขอมลมากกวาคนทไมรบฟง ซงขอมลเหลานจะมี
         ู                      ึ          ู            ่ี  ั  ่ึ  ู  ้ี
ผลตอการคด ชวยใหการคดพจารณาเรองตาง ๆ มความรอบคอบขน หรอผทชางสงสย
                 ิ      ิ ิ                ่ื           ี            ้ึ ื ู ่ี  ั
อยากรอยากเหน มีความใฝรูยอมมีความกระตือรือรนที่จะแสวงหาขอมูลและคนหาคํา
         ู         ็
ตอบ ซงคณสมบตนมกจะชวยสงเสรมการคดใหมคณภาพขน ดังนั้นคุณภาพของการคิด
             ่ึ ุ       ั ิ ้ี ั        ิ        ิ  ีุ        ้ึ
สวนหนึงจึงยังตองอาศัยคุณสมบัตสวนตัวบางประการ แตในทานองเดียวกัน พัฒนาการ
               ่                         ิ                      ํ
ดานการคิดของบุคคลก็มักจะมีสวนยอนกลับไปพัฒนาคุณสมบัติสวนตัวของบุคคลนั้น
ดวย
       คุณสมบัตทเ่ี อืออํานวยตอการคดทนกคด นักจิตวิทยา และนักการศึกษาเห็นพอง
                ิ ้               ิ ่ี ั ิ
ตองกนมอยหลายประการ ทสาคัญมากไดแก ความเปนผูมีใจกวาง เปนธรรม ใฝรู
     ั ี ู                  ่ี ํ                                 
กระตือรือรน ชวงวิเคราะหผสมผสาน ขยัน ตอสู กลาเสยง อดทน มีความมั่นใจในตนเอง
                                                 ่ี
และนารักนาคบ
๓. มิติดานทักษะการคิด
         ในการคิด บุคคลจําเปนตองมทกษะพนฐานหลายประการในการดาเนินการคิด
                              ี ั     ้ื                         ํ
อาทเิ ชน ความสามารถในการจําแนกความเหมือนและความตางของสิ่ง ๒ สิงหรือมากกวา
                                                              ่
และความสามารถในการจดกลมของทมลกษณะเหมอนกน นับเปนทักษะพืนฐานในการ
                     ั ุ      ่ี ี ั      ื ั                   ้

                                                                                   ๕๘
สรางมโนทศนเ กยวกบสงนน ความสามารถในการสงเกต การรวบรวมขอมูล และการตั้ง
          ั ่ี ั ่ิ ้ั                          ั
สมมติฐาน นบเปนทกษะพนฐานในกระบวนการคดแกปญหา เปนตน ทักษะทีนบเปน
              ั  ั       ้ื                   ิ                        ่ ั
ทักษะการคดขนพนฐานจะมลกษณะเปนทกษะยอย ซงมกระบวนการหรอขนตอนในการ
           ิ ้ั ้ื           ีั    ั            ่ึ ี               ื ้ั
คิดไมมาก ทกษะทมกระบวนการหรอขนตอนมากและซบซอน สวนใหญจะตองใช
               ั     ่ี ี          ื ้ั                  ั                
ทักษะพื้นฐานหลายทักษะผสมผสานกัน ซงจะเรยกกนวา “ทกษะการคดขนสง” ทักษะ
                                        ่ึ   ี ั           ั       ิ ้ั ู
การคิดเปนพื้นฐานที่สาคัญในการคิด บุคคลจะคิดไดดีจําเปนตองมีทกษะการคิดทีจาเปน
                       ํ                                        ั             ่ํ
มาบางแลว และเชนเดียวกัน การคิดของบุคคลก็จะมีสวนสงผลไปถึงการพัฒนาทักษะ
                                                       
การคิดของบุคคลนั้นดวย โดยทัว ๆ ไป มการจดทกษะการคดไว ๓ ระดับ ไดแก
                                ่    ี ั ั                ิ
      ก.! ทักษะการคิดขั้นพื้นฐานที่สําคัญ มจานวนมากไดแก
                                           ีํ
          ๑) ทกษะการสอสาร ประกอบดวย
              ั          ่ื
             - ทักษะการฟง                - ทกษะการใชความรู
                                                      ั       
             - ทักษะการจํา                - ทักษะการอธบาย       ิ
             - ทักษะการอาน               - ทักษะการทําความกระจาง
             - ทักษะการรับรู             - ทักษะการบรรยาย
             - ทักษะการเกบความรู ็       - ทักษะการพูด
             - ทกษะการดงความรู
                 ั              ึ         - ทกษะการเขยน
                                                  ั         ี
             - ทักษะการจําได             - ทกษะการแสดงออก
                                                    ั
          ๒) ทักษะทีเ่ ปนแกนหรือทักษะขันพืนฐานทัวไป ไดแก
                                         ้ ้            ่
             - ทักษะการสังเกต             - ทักษะการระบุ
             - ทักษะการสํารวจ             - ทักษะการจําแนกความแตกตาง
             - ทักษะการตงคาถาม้ั ํ        - ทกษะการจดลาดับ
                                                ั         ั ํ
             - ทักษะการรวบรวมขอมูล - ทักษะการเปรยบเทยบ             ี ี
             - ทักษะการจัดหมวดหมู        - ทักษะการอางอง   ิ
             - ทักษะการตีความ             - ทกษะการแปลความ
                                              ั
             - ทักษะการเชือมโยง     ่     - ทักษะการขยายความ
             - ทกษะการใชเ หตผล
                   ั                  ุ   - ทักษะการสรปความ       ุ




                                                                            ๕๙
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด
การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

กระดาษเส้น
กระดาษเส้นกระดาษเส้น
กระดาษเส้น
Tik Msr
 
เอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครู
เอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครูเอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครู
เอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครู
Jaratpong Moonjai
 
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
srkschool
 
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
krupornpana55
 
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_editedPpt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
ไพรวัล ดวงตา
 
แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6
แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6
แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6
Napadon Yingyongsakul
 

Was ist angesagt? (20)

การสร้างกรอบแนวคิด
การสร้างกรอบแนวคิดการสร้างกรอบแนวคิด
การสร้างกรอบแนวคิด
 
บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน [โครงการอ่านหนังสือให้กับผู้พิการทางสายตา]
บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน [โครงการอ่านหนังสือให้กับผู้พิการทางสายตา]บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน [โครงการอ่านหนังสือให้กับผู้พิการทางสายตา]
บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน [โครงการอ่านหนังสือให้กับผู้พิการทางสายตา]
 
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถามIS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
IS1 - 1.2 การตั้งประเด็นปัญหาหรือคำถาม
 
รายงานการประชุมครั้งที่ 2 54
รายงานการประชุมครั้งที่ 2 54รายงานการประชุมครั้งที่ 2 54
รายงานการประชุมครั้งที่ 2 54
 
ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์
 
กระดาษเส้น
กระดาษเส้นกระดาษเส้น
กระดาษเส้น
 
เอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครู
เอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครูเอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครู
เอกสารประกอบการนิเทศการสอนฉบับครู
 
การนำเสนอผลการวิจัย
การนำเสนอผลการวิจัยการนำเสนอผลการวิจัย
การนำเสนอผลการวิจัย
 
ใบความรู้วิชาห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ 1
ใบความรู้วิชาห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ 1ใบความรู้วิชาห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ 1
ใบความรู้วิชาห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ 1
 
การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา
การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษาการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา
การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาการบริหารการศึกษา
 
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างแผนการสอนคอมพิวเตอร์
 
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
Slโครงสร้างรายวิชาหน่วย is1 การศึกษาและการสร้างองค์ความรู้
 
เครื่องมือการประกันคุณภาพภายใน
เครื่องมือการประกันคุณภาพภายในเครื่องมือการประกันคุณภาพภายใน
เครื่องมือการประกันคุณภาพภายใน
 
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_editedPpt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
Ppt บรรยาย 23700 paoเสริมครั้งที่1และ2_edited
 
การศึกษาตามหลักพิพัฒนาการนิยม
การศึกษาตามหลักพิพัฒนาการนิยมการศึกษาตามหลักพิพัฒนาการนิยม
การศึกษาตามหลักพิพัฒนาการนิยม
 
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยการวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
การวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัย
 
แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6
แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6
แผนการสอนการงานอาชีพ ป.6
 
เอกสารการสอนเรื่อง การเขียนบรรณานุกรม58
เอกสารการสอนเรื่อง การเขียนบรรณานุกรม58เอกสารการสอนเรื่อง การเขียนบรรณานุกรม58
เอกสารการสอนเรื่อง การเขียนบรรณานุกรม58
 
นวัตกรรมทางการศึกษา
นวัตกรรมทางการศึกษานวัตกรรมทางการศึกษา
นวัตกรรมทางการศึกษา
 
รายการประเมิน
รายการประเมินรายการประเมิน
รายการประเมิน
 

Andere mochten auch

ทักษะการคิด
ทักษะการคิดทักษะการคิด
ทักษะการคิด
Napakan Srionlar
 
ทฤษฎีแรงจูงใจ
ทฤษฎีแรงจูงใจทฤษฎีแรงจูงใจ
ทฤษฎีแรงจูงใจ
Poy Thammaugsorn
 
เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning
เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learningเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning
เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning
Utai Sukviwatsirikul
 
การเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 matการเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 mat
Sukanya Burana
 
โครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วย
โครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วยโครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วย
โครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วย
Waii Monkeynuaghty
 
พุทธศาสนากับการบริหาร
พุทธศาสนากับการบริหารพุทธศาสนากับการบริหาร
พุทธศาสนากับการบริหาร
Anchalee BuddhaBucha
 
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอน
wannaphakdee
 
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียนข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
สำเร็จ นางสีคุณ
 

Andere mochten auch (14)

ทักษะการคิด
ทักษะการคิดทักษะการคิด
ทักษะการคิด
 
ทฤษฎีแรงจูงใจ
ทฤษฎีแรงจูงใจทฤษฎีแรงจูงใจ
ทฤษฎีแรงจูงใจ
 
เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning
เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learningเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning
เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง Transformative Learning
 
คำสั่งเวร..
คำสั่งเวร..คำสั่งเวร..
คำสั่งเวร..
 
การเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 matการเรียนรู้แบบ4 mat
การเรียนรู้แบบ4 mat
 
โครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วย
โครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วยโครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วย
โครงงาน เคสโทรศัพท์จากใยกล้วย
 
พุทธศาสนากับการบริหาร
พุทธศาสนากับการบริหารพุทธศาสนากับการบริหาร
พุทธศาสนากับการบริหาร
 
การวัดความสามารถในการคิด
การวัดความสามารถในการคิดการวัดความสามารถในการคิด
การวัดความสามารถในการคิด
 
ภาวะผู้นำทางวิชาการ
ภาวะผู้นำทางวิชาการภาวะผู้นำทางวิชาการ
ภาวะผู้นำทางวิชาการ
 
การวัดและประเมินผลทักษะการคิด
การวัดและประเมินผลทักษะการคิดการวัดและประเมินผลทักษะการคิด
การวัดและประเมินผลทักษะการคิด
 
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอน
 
บทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำบทที่1 บทนำ
บทที่1 บทนำ
 
แบบทดสอบ บทที่ 5 มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
แบบทดสอบ บทที่ 5 มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมแบบทดสอบ บทที่ 5 มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
แบบทดสอบ บทที่ 5 มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
 
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียนข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
ข้อสอบ เรื่องชีวิตกับสิ่งแวดล้อม สำหรับ นักเรียน
 

Ähnlich wie การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด

ส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะ
ส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะ
ส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะ
krupornpana55
 
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วยภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
Pamkritsaya3147
 
จัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
Love Oil
 
ความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษา
ความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษาความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษา
ความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษา
itedu355
 
งานครูมือใหม่
งานครูมือใหม่งานครูมือใหม่
งานครูมือใหม่
Moss Worapong
 
Presentation 5
Presentation 5Presentation 5
Presentation 5
moohmed
 
สุขฯ ม.2 หน่วย 1
สุขฯ ม.2 หน่วย 1สุขฯ ม.2 หน่วย 1
สุขฯ ม.2 หน่วย 1
supap6259
 
ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1
Kiw E D
 
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
Tawanat Ruamphan
 
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
teacherhistory
 

Ähnlich wie การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด (20)

1ปกสอน
1ปกสอน1ปกสอน
1ปกสอน
 
ส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะ
ส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะ
ส่วนหน้าแบบฝึกเสริมทักษะ
 
Innovation
InnovationInnovation
Innovation
 
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วยภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
ภารกิจการเรียนรู้ระดับครูผู้ช่วย
 
จัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จัดการความรู้ คุณธรรมนำความรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
 
Information Literacy
Information LiteracyInformation Literacy
Information Literacy
 
05chap3
05chap305chap3
05chap3
 
ความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษา
ความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษาความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษา
ความหมาย ทฤษฎีด้านนวัตกรรมเพื่อการศึกษา
 
งานครูมือใหม่
งานครูมือใหม่งานครูมือใหม่
งานครูมือใหม่
 
Presentation 5
Presentation 5Presentation 5
Presentation 5
 
สุขฯ ม.2 หน่วย 1
สุขฯ ม.2 หน่วย 1สุขฯ ม.2 หน่วย 1
สุขฯ ม.2 หน่วย 1
 
Innovation
InnovationInnovation
Innovation
 
Innovation...
Innovation...Innovation...
Innovation...
 
ครูมือใหม่
ครูมือใหม่ครูมือใหม่
ครูมือใหม่
 
หลักสูตร
หลักสูตรหลักสูตร
หลักสูตร
 
ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1ระดับครูมือใหม่1
ระดับครูมือใหม่1
 
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
การเรียนรู้และทฤษฎีการเรียนรู้
 
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงานการพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
การพัฒนาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ โครงงาน
 
ปรัชญาความเป็นผู้นำ1
ปรัชญาความเป็นผู้นำ1ปรัชญาความเป็นผู้นำ1
ปรัชญาความเป็นผู้นำ1
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 

Mehr von สุรจักษ์ ชีวิตคือการเรียนรู้ (9)

ศูนย์เรียนรู้ฯ สมเด็จพิทยาคม
ศูนย์เรียนรู้ฯ สมเด็จพิทยาคมศูนย์เรียนรู้ฯ สมเด็จพิทยาคม
ศูนย์เรียนรู้ฯ สมเด็จพิทยาคม
 
Metacognition
MetacognitionMetacognition
Metacognition
 
บันทึกข้อความ
บันทึกข้อความบันทึกข้อความ
บันทึกข้อความ
 
แผน3ปี
แผน3ปีแผน3ปี
แผน3ปี
 
แผน 3 ปี
แผน 3 ปีแผน 3 ปี
แผน 3 ปี
 
Chepter2
Chepter2Chepter2
Chepter2
 
Chepter1
Chepter1Chepter1
Chepter1
 
Chepter3
Chepter3Chepter3
Chepter3
 
Fujitsu map new
Fujitsu map newFujitsu map new
Fujitsu map new
 

การเรียนรู้เพื่อพัฒนาการคิด

  • 1. การ เรียนรเู พอพฒนากระบวนการคด ่ื ั ิ ทศนา แขมมณี ิ พิมพันธ เดชะคุปต ศิรชย กาญจนวาสี ิ ั ศรนธร วทยะสรนนท ิ ิ ิิ ั นวลจตต เชาวกรตพงศ ิ ี ิ ความสําคญของเรองการคดและการสอนเพอพฒนากระบวนการคด ั ่ื ิ ่ื ั ิ ปจจุบนเรืองของ “การคด” และ “การสอนคด” เปนเรืองทีจดวาสําคัญ ั ่ ิ ิ ่ ่ั อยางยงในการจดการศกษาเพอใหไดคณภาพสง ประเทศตาง ๆ ทัวโลกหันมาศึกษาและ ่ิ ั ึ ่ื   ุ ู  ่ เนนในเรืองของการพัฒนาผูเ รียนใหเติบโตขึนอยางมีคณภาพในทุก ๆ ดาน ทังทางดาน ่ ้ ุ ้ สติปญญา คุณธรรมและการเปนพลเมืองทีดของประเทศ การพฒนาดานสตปญญา เปน ่ี ั  ิ  ดานทมกไดรบความเอาใจใสสงสด เนองจากเปนดานทเ่ี หนผลเดนชด ผูเ รียนทีมความรู ่ี ั  ั  ู ุ ่ื   ็  ั ่ ี ความสามารถสูง มักจะไดรบการยอมรับและไดรบโอกาสทีดกวาผูมความรูความสามารถ ั ั ่ี  ี  ตากวา และเปนทีเ่ ขาใจกันวา ความรูความสามารถนี้สามารถวัด และประเมนกนไดดวย ่ํ  ิ ั  ปริมาณความรทผเู รยนสามารถตอบในการทดสอบตาง ๆ อยางไรกตามในสองทศวรรษท่ี ู ่ี ี   ็ ผานมา วงการศึกษาทังในประเทศไทยและตางประเทศตางก็ไดคนพบวา การพัฒนาสติ ้  ปญญาของผเู รยนยงทาไดในขอบเขตที่จากด และยงไปไมถงเปาหมายสงสดทตองการ ี ั ํ ํ ั ั ึ  ู ุ ่ี  ในประเทศอเมริกามีผลการวิจยนับเปนรอย ๆ เรืองทีบงชีวา ในการสอบวิชาตาง ๆ ั ่ ่  ้ ผูเรียนมักสามารถทําไดดในสวนทเ่ี กยวของกบทกษะขนพนฐาน แตเมือมาถึงสวนทีตอง ี  ่ี  ั ั ้ั ้ื ่ ่  ใชความคิดและเหตุผล ผูเ รียนยังไมสามารถทําไดดี เชน นกเรยนอเมรกนสามารถคด ั ี ิั ิ คํานวณได แตไมสามารถใชเ หตผลในการแกโจทยปญหาได นักเรียนสามารถเขียน   ุ    ประโยคไดถกตอง แตไมสามารถเขียนโตแยงได เชนนเ้ี ปนตน (Paul, ๑๙๙๓) สําหรบใน ู     ั ประเทศไทยนันก็เชนกัน วงการศกษาไทยไดมความเคลอนไหวในเรองของการคดนมา ้ ึ  ี ่ื ่ื ิ ้ี หลายปแลว ซึงทําใหเกิดแนวความคิดที่นามาใชในการสอนหลายเรอง อาทเิ ชน แนว ่ ํ  ่ื  ความคดเรองการสอนให “คิดเปน ทําเปน และแกปญหาเปน” และการสอนใหคิดตาม ิ ่ื    แนวพุทธศาสตร ซงไดแก “การคิดอยางถูกวิธตามหลักโยนิโสมนสิการ” เปนตน แต ่ึ  ี   แนวคดเหลานนยงไมไดรบการนาไปใชอยางกวางขวาง และปญหาคุณภาพดานการคิด ิ  ้ั ั   ั ํ ขั้นสูง ก็ยงมีอยูเ รือยมา ดังนันเมือมีนโยบายการปฏิรปการศึกษาเกิดขึน การมุงเนนการ ั ่ ้ ่ ู ้ 
  • 2. ปฏิรูปการเรยนการสอนเพอพฒนาคณภาพดานกระบวนการคด จงนบเปนกระบวนการ ี ่ื ั ุ  ิ ึ ั  สําคัญทีจาเปนตองเรงปรบปรงและพฒนากนอยางจรงจง ่ํ    ั ุ ั ั  ิ ั การสอนกระบวนการคิด หรอการสอนใหผเู รยนคดเปน ยังเปนเรืองทีมความคลุม ื  ี ิ  ่ ่ ี เครืออยูมาก เนองจากกระบวนการคดนน ไมไดมลกษณะเปนเนอหาทครจะสามารถเหน  ่ื ิ ้ั   ีั  ้ื ่ี ู ็ ไดงาย และสามารถนําไปสอนไดงาย การคดมลกษณะเปนกระบวนการ ดงนนการสอน ิ ีั  ั ้ั จึงตองเปนการสอนกระบวนการดวย ดวยเหตุน้ี จงเปนความจาเปนอยางยิงทีผสอน   ึ  ํ ่ ่ ู กระบวนการคิดจะตองมีความเขาใจวากระบวนการคิดนั้นมีลักษณะอยางไร เกิดขึ้นได อยางไร และประกอบไปดวยอะไรบาง   ทฤษฏี หลักการ และแนวคดเกยวกบ “การคด” จากตางประเทศ ิ ่ี ั ิ มีนักคิดนักจตวทยา และนกวชาการจากตางประเทศจํานวนมากทีไดศกษาเกียวกับ ิ ิ ั ิ  ่ ึ ่ การคด ทฤษฎี หลกการ และแนวคิดที่สาคัญ ๆ ในเรืองนีมดงนี้ (ทศนา แขมมณี, ิ ั ํ ่ ้ ีั ิ ๒๕๔๐) ! เลวน (Lewin) นักทฤษฎกลมเกสตตลท (Gestalt) เชือวา ความคิดของบุคคล ิ ี ุ ั ่ เกิดจากการรบรสงเรา ซึ่งบุคคลมักรับรูในลักษณะภาพรวมหรือสวนรวมมากกวาสวน ั ู ่ิ   ยอย ! บลม (Bloom, ๑๙๖๑) ไดจาแนกการรู (Cognition) ออกเปน ๕ ขั้น ไดแก การ ู ํ รูขั้นความรู การรูขั้นเขาใจ การรขนวเิ คราะห การรขนสงเคราะห และการรขนประเมน ู ้ั ู ้ั ั ู ้ั ิ ! ทอแรนซ (Torrance, ๑๙๖๒) ไดเ สนอแนวคดเกยวกบองคประกอบของความ ิ ่ี ั  คิดสรางสรรค วาประกอบไปดวย ความคลองแคลวในการคิด (Fluency) ความยืดหยุนใน    การคด (Flexibility) และความคดรเิ รมในการคด (Originality) ิ ิ ่ิ ิ ! ออซเู บล (Ausubel, ๑๙๖๓) อธบายวา การเรียนรูอยางมีความหมาย ิ   (Meaningful Verbal Learning) จะเกิดขึ้นได หากการเรียนรูนนสามารถเชือมโยงกับสิงใด  ้ั ่ ่ ส่ิงหนงทมมากอน ดงนน การใหกรอบความคิดแกผเู รียนกอนการสอนเนือหาสาระใด ๆ ่ึ ่ี ี  ั ้ั ้ จะชวยเปนสะพานหรือโครงสรางที่ผูเรียนสามารถนําเนื้อหา/สิ่งที่เรียนใหมไปเชื่อมโยง ยึดเกาะได ทําใหการเรยนรเู ปนไปอยางมความหมาย  ี   ี ! เพยเจต (Piaget, ๑๙๖๔) ไดอธบายพฒนาการทางสตปญญาวาเปนผลเนองมา ี  ิ ั ิ    ่ื จากการปะทะสมพนธระหวางบคคลกบสงแวดลอม โดยบุคคลพยายามปรับตัวโดยใช ั ั   ุ ั ่ิ  กระบวนการดูดซึม (Assimi-lation) และกระบวนการปรบใหเ หมาะ (Accommodation) ั ๔๖
  • 3. โดยการพยายามปรับความรู ความคดเดมกบสงแวดลอมใหม ซึงทําใหบคคลอยในภาวะ ิ ิ ั ่ิ  ่  ุ ู สมดุล สามารถปรบตวเขากบสงแวดลอมได กระบวนการดงกลาวเปนกระบวนการ ั ั  ั ่ิ  ั   พัฒนาโครงสรางทางสติปญญาของบุคคล ! บรนเนอร (Bruner, ๑๙๖๕) กลาววา เด็กเรมตนเรยนรจากการกระทํา ตอไป ุ ่ิ  ี ู จงจะสามารถจนตนาการ สรางภาพในใจหรือในความคิดขึ้นได แลวจงถงขนการคดและ ึ ิ  ึ ึ ้ั ิ เขาใจในสงทเ่ี ปนนามธรรม  ่ิ  ! กานเย (Gagne, ๑๙๖๕) ไดอธบายวาผลการเรยนรของมนษยมี ๕ ประเภท ได  ิ  ี ู ุ  แก ๑) ทักษะทางปญญา (Intellectual Skills) ซึ่งประกอบดวยทักษะยอย ๔ ระดับ คือ การจําแนกแยกแยะ การสรางความคดรวบยอด การสรางกฎ และการสราง  ิ  กระบวนการหรือกฎขันสูง ้ ๒) กลวธในการเรยนรู (Cognitive Strategies) ซ่ึงประกอบดวยกลวธการ ิี ี  ิี ใสใจ การรับและทําความเขาใจขอมูล การดึงความรูจากความทรงจํา การแกปญหา และ    กลวธการคด ิี ิ ๓. ภาษา (Verbal Information) ๔. ทกษะการเคลอนไหว (Motor Skills) ั ่ื ๕. เจตคติ (Attitudes) ! กิลฟอรด (Guilford, 1967) ไดอธบายวาความสามารถทางสมองของมนษย  ิ  ุ ประกอบดวยมิติ 3 มติ คือ ิ ๑. ดานเนอหา (Contents) หมายถึง วตถ/ุ ขอมลทใชเ ปนสอกอใหเ กดความ  ้ื ั  ู ่ี  ่ื  ิ คิด ซ่ึงมหลายรปแบบ เชน อาจเปนภาพ เสียง สญลกษณ ภาษา และพฤตกรรม ี ู  ั ั ิ ๒. มตดานปฏบตการ (Operations) หมายถง กระบวนการตาง ๆ ทบคคล ิ ิ ิ ั ิ ึ ่ี ุ ใชในการคิด ซงไดแก การรบรและเขาใจ (Cognition) การจํา การคิดแบบเอนกนัย การคด ่ึ  ั ู  ิ แบบเอกนัย และการประเมนคา ิ  ๓. มิติดานผลผลิต (Products) หมายถง ผลของการคด ซึงอาจมีลกษณะ ึ ิ ่ ั เปนหนวย (Unit) เปนกลมหรอพวกของสงตาง ๆ (Classes) เปนความสัมพันธ (Relation)  ุ ื ่ิ  เปนระบบ (System) เปนการแปลงรป (Transformation) และการประยกต (Implication)  ู ุ ๔๗
  • 4. ความสามารถทางการคิดของบุคคล เปนผลจากการผสมผสานมตดานเนอหา และดาน  ิ ิ  ้ื ปฏิบตการเขาดวยกัน ั ิ ! ลิปแมน และคณะ (Lipman, ๑๙๘๑) ไดนาเสนอแนวคิดในการสอนคิดผาน  ํ ทางการสอนปรชญา (Teaching Philosophy) โดยมความเชอวา ความคิดเชิงปรัชญาเปน ั ี ่ื  สิ่งที่ขาดแคลนมากในปจจุบัน เราจาเปนตองสรางชมชนแหงการเรยนรู (Community of ํ    ุ  ี Inquiry) ที่ผูคนสามารถรวมสนทนากันเพื่อแสวงหาความรูความเขาใจทางการคิด ปรชญา ั เปนวิชาทีจะชวยเตรียมใหเด็กฝกฝนการคิด ่ ! คลอสไมเออร (Klausmier, ๑๙๘๕) ไดอธิบายกระบวนการคิดโดยใชทฤษฎี การประมวลผลขอมล (Information Processing) วา การคดมลกษณะเหมอนการทางาน  ู  ิ ีั ื ํ ของคอมพิวเตอร คือ มการนําขอมูลเขาไป (Input) ผานตัวปฏิบตการ (Processer) แลวจง ี ั ิ  ึ สงผลออกมา (Output) กระบวนการคิดของมนุษยมการรับขอมูล มีการจดกระทาและ  ี ั ํ แปลงขอมูลทีรบมา มีการเก็บรักษาขอมูล และมีการนําขอมลออกมาใชอยางเหมาะสมกบ ่ั  ู   ั สถานการณ กระบวนการเกดขนในสมองไมสามารถสงเกตไดโดยตรง แตสามารถศกษา ิ ้ึ  ั   ึ ไดจากการอางอง หรือการคาดคะเนกระบวนการนัน   ิ ้ ! สเตรนเบอรก (Sternberg, ๑๙๘๕) ไดเ สนอทฤษฎสามศร (Triarchich Theory) ิ  ี ซ่ึงประกอบดวยทฤษฎยอย 3 สวน คือ ทฤษฎยอยดานบรบทสงคม (Contexual Subtheory)  ี ี  ิ ั ซึ่งอธิบายถึงความสามารถทางสติปญญาที่เกี่ยวของกับบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ของบุคคล และทฤษฎียอยดานประสบการณ (Experiential Subtheory) ซึงอธิบายถึงผล  ่ ของประสบการณทมตอความสามารถทางปญญา รวมทั้งทฤษฎียอยดานกระบวนการคิด ่ี ี   (Componential Subtheory) ซึ่งเปนความสามารถทางสติปญญาทีเ่ กียวของกับกระบวนการ  ่ คิด ! ปรชญาการสรางความรู (Constructivism) อธิบายวา การเรียนรู เปนกระบวน ั  การทเ่ี กดขนภายในบคคล บคคลเปนผสราง (Construct) ความรูจากการสัมพันธสงทีพบ ิ ้ึ ุ ุ  ู   ่ิ ่ เห็นกับความรู ความเขาใจทมอยเู ดม เกดเปนโครงสรางทางปญญา (Cognitive Structure)  ่ี ี ิ ิ    ! การดเนอร (Gardner, ๑๙๘๓) เปนผูบกเบิกแนวคิดใหมเกียวกับสติปญญาของ   ุ ่  มนุษย คือ ทฤษฎีพหุปญญา (Multiple Intelligences) ซงแตเ ดม ทฤษฎทางสตปญญามก  ่ึ ิ ี ิ  ั กลาวถงความสามารถเพยงหนงหรอสองดาน แตการดเนอรเ สนอไวถง ๘ ดาน ไดแก  ึ ี ่ึ ื    ึ ดานดนตรี ดานการเคลอนไหวรางกายและกลามเนอ ดานการใชเหตุผลเชิงตรรกะและ  ่ื   ้ื ๔๘
  • 5. คณตศาสตร ดานภาษา ดานมิติสัมพันธ ดานการสมพนธกบผอน ดานการเขาใจตนเอง ิ  ั ั  ั ู ่ื   และดานความเขาใจในธรรมชาติ แนวทางการพฒนาการคด จากตางประเทศ ั ิ  ไดมีผูเสนอแนวคิดและแนวทางในการพัฒนาการคิดไวจานวนไมนอย อาทเิ ชน ํ  ! เอ็ดเวิรด เดอ โบโน (Edward De Bono, ๑๙๗๓) ไดนาเสนอแนวทางการ   ํ พัฒนาการคิดไวจํานวนมาก เชน การพฒนาการคดโดยใชโปรแกรมสาเร็จรูป การใช ั ิ  ํ เทคนคหมวก ๖ ใบ เปนตน ิ   ! ศูนยพฒนาการคิดอยางมีวจารณญาณ (Center for Critical Thinking, Sonoma ั ิ State University, ๑๙๙๖) ไดพฒนาคมอการสอนเพอพฒนาการคดอยางมวจารณญาณ  ั ู ื ่ื ั ิ  ีิ สําหรับการสอนในโรงเรียนทุกระดับ และยงไดผลตสอประเภทเทปเสยงบรรยาย และวีดิ ั  ิ ่ื ี ทศน ขนเปนจํานวนมาก ั ้ึ  !มี นั ก ศึ ก ษาจํ านวนหลายท  า นได  พั ฒ นารู ป แบบการสอนที่ เ น  น การพั ฒ นา กระบวนการคิดขึ้นหลายรูปแบบ เชน จอยสและเวลส (Joyce and Weil) เอนนิส (Ennis)  และวลเลยมส (Williams) เปนตน ิ ี   หลักการ และแนวคดของไทย ิ ! พระธรรมปฎก (๒๕๓๙) ไดนําเสนอแนวคดในการจดการศกษาและการสอน  ิ ั ึ ตามหลกพทธธรรม ซึงครอบคลุมในเรืองการพัฒนาปญญา และการคิดไวจํานวนมาก ั ุ ่ ่ และไดมนกการศึกษาไทยนําแนวคิดเหลานีมาประยุกตใชเปนรูปแบบ กระบวนการ และ ี ั ้ เทคนิคในการสอน ทําใหประเทศไทยมีการศึกษาวิจยในเรืองนีมากขึน ั ่ ้ ้ หลกการ และแนวคิด ตามหลักพุทธธรรมทีนามาใชในการจดการศกษา และการ ั ่ ํ  ั ึ สอนทีพระธรรมปฎกไดเผยแผทสําคัญ ๆ มดงน้ี ่ ่ี ีั แนวคดพนฐาน ิ ้ื ๑. ความสขของมนษยเ กดจากการรจกดาเนินชีวตใหถกตองทังตอตัวเองและผูอน ุ ุ ิ ู ั ํ ิ ู ้  ่ื ๒. การรจกดาเนนชวตอยางถกตอง คือการรูจกคิดเปน พูดเปน และทาเปน ู ั ํ ิ ี ิ  ู  ั ํ ๓. การคดเปนหรอการคดอยางถกตองเปนศนยกลางทบรหารการดาเนนชวตทง ิ  ื ิ  ู   ู  ่ี ิ ํ ิ ี ิ ้ั หมด ทําหนาที่ชี้นําและควบคมการกระทํา การคดจะเรมเขามามบทบาทเมอมนษยไดรบ ุ ิ ่ิ  ี ่ื ุ   ั ขอมูลจากสิงแวดลอม ซงมอยมาก หากคิดเปนหรือคิดดีกจะเกิดการเลือกรับเปนหรือ ่ ่ึ ี ู ็ เลือกรับแตสงทีดี ๆ เมอรบมาแลวกจะเกดการคด ตความเชอมโยงและตอบสนองออกมา ่ิ ่ ่ื ั  ็ ิ ิ ี ่ื ๔๙
  • 6. เปนการกระทา ในขั้นตอนนี้จะมีสิ่งปรุงแตงความคิดเขามา ไดแก อารมณชอบ ชัง คติ  ํ  และอคติตาง ๆ ซึงมีผลตอการคิดตีความเชือมโยงและการกระทํา ถาคดเปนคดโดยรถง ่ ่  ิ  ิ ู ึ สิ่งปรุงแตงตาง ๆ นันก็จะสามารถบริหารการกระทําอยางเหมาะสมได ้ ๔. กระบวนการคดเปน เปนสงทพฒนาได ฝกฝนไดโดยกระบวนการทเ่ี รยกวา ิ   ่ิ ่ี ั   ี  การศกษาหรอสกขา การพฒนานนเรยกวา การพัฒนาสัมมาทิฏฐิ ผลทไดคอมรรคหรอ ึ ื ิ ั ้ั ี  ่ี  ื ื การกระทําที่ดีงาม ๕. แกนแทของการศึกษา คอการพฒนาปญญาของตนเองใหเ กดมสมมาทฏฐคอ ื ั  ิ ี ั ิ ิื การมความรู ความเขาใจ ความคิดเห็น คานยมทถกตอง ดีงาม เกอกลแกชวต และครอบ ี  ิ ่ี ู  ้ื ู  ี ิ ครัว ๖. สัมมาทิฏฐิ ทําใหเกิดการพูดและการกระทําทีถกตองดีงาม สามารถดบทกข ู่ ั ุ และแกปญหาได ๗. ปจจยททาใหเกิดสัมมาทิฎฐิ ไดมี ๒ ประการคือ  ั ่ี ํ ๗.๑ ปจจัยภายนอก หรือเรียกวา ปรโตโฆสะ ไดแก สิ่งแวดลอมตาง ๆ ครู พอแม เพื่อน สอมวลชน ฯลฯ ่ื ๗.๒ ปจจยภายใน หรือเรียกวา โยนิโสมนสิการ ไดแก การคดเปน  ั ิ  ๘. การศึกษาทงหลายทจดกนมาตงแตอดตถงปจจบน ทํากนอยางเปนงานเปนการ ้ั ่ี ั ั ้ั  ี ึ  ุ ั ั    เปนระบบ ระเบยบ ถอวาเปนปรโตโฆสะทงสน ี ื   ้ั ้ิ ๙. บุคคลสวนใหญในโลกจะสามารถพัฒนาตนเองใหใชโยนิโสมนสิการอยาง เดียวไมได จาเปนตองอาศัยปรโตโฆสะกอนในเบืองตน ํ ้ ๑๐. โยนิโสมนสิการเรียกไดวา คอการคดเปน เปนความสามารถทบคคลรจกมอง  ื ิ  ่ี ุ ู ั รูจักพิจารณาสงทงหลายตามสภาวะโดยวธคดหาเหตปจจย สบคนจากตนเหตตลอดทาง ่ิ ้ั ิีิ ุ  ั ื   ุ จนถึงผลสดทายทเ่ี กด ุ  ิ แยกแยะเรองออกใหเ หนตามสภาวะทเ่ี ปนจรง คิดตามความ ่ื ็  ิ สัมพันธที่สืบทอดจากเหตุโดยไมเอาความรูสึกอุปทานของตนเองเขาไปจับหรือเคลือบ คลุม บคคลนนจะสามารถแกปญหาตาง ๆ ไดอยางเหมาะสม ดวยวธการแหงปญญา ุ ้ั     ิี   ๑๑. โยนิโสมนสิการ เปนองคประกอบภายในมความเกยวของกบการฝกใชความ   ี ่ี  ั   คิดใหรจกคดอยางถกวธี คิดอยางมีระเบียบ คิดอยางวิเคราะห ไมมองเห็นสิ่งตาง ๆ อยาง  ู ั ิ  ู ิ  ต้ืน ๆ ผิวเผิน เปนขันตอนสําคัญของการสรางปญญา ทําใจใหบรสทธ์ิ และเปนอสระ ทํา ้  ิ ุ  ิ ๕๐
  • 7. ใหทกคนชวยตนเองได นําไปสความเปนอสระไรทกข พรอมดวยสันติสขเปนจุดหมายสูง  ุ  ู  ิ  ุ ุ สุดของพระพุทธศาสนา ๑๒. โยนิโสมนสิการ ไมใชตวปญญา แตเ ปนปจจยใหเ กดปญญา มเี ปาหมายสงสด   ั    ั ิ   ู ุ คือการดับทุกข ๑๓. โยนิโสมนสิการ มองคประกอบ 4 สวนคือ ี  ๑๓.๑ อบายมนสการุ ิ คอการคดอยางเขาถงความจรง ื ิ   ึ ิ ๑๓.๒ ปถมนสการ ิ คอการคดอยางมลาดบขนตอนไมสบสน ื ิ  ี ํ ั ้ั  ั ๑๓.๓ การณมนสิการ คือการคิดอยางมีเหตุผล ๑๓.๔ อปปาทกมนสการ คอการคดอยางมเี ปาหมาย คิดใหเกิดผล ุ ิ ื ิ   ไมใชคดไปเรือยเปอย ิ ่  ๑๔. ในการดําเนินชีวิต สตเิ ปนองคธรรมทจําเปนตองใชในการทางานทุกอยาง   ่ี    ํ  โยนิโสมนสิการ เปนสิงหลอเลียงสติทยงไมเกิดใหไดเกิด ชวยใหสตทเ่ี กดแลวเกดตอเนอง ่ ้ ่ี ั   ิ ิ  ิ  ่ื ตอไป ๑๕. กลไกการทางานของโยนโสมนสการในกระบวนการคด เมอบคคลรบรสงใด ํ ิ ิ ิ ่ื ุ ั ู ่ิ ความคดกจะพงเขาสความชอบหรอไมชอบทนที นันคือสิงปรุงแตง เนองจากบคคลมี ิ ็ ุ  ู ื  ั ่ ่ ่ื ุ ประสบการณมากอน เรยกสงปรงแตงนนวาอวชชา ในตอนนเ้ี องทโยนโสมนสการจะเขา ี ่ิ ุ  ้ั  ิ ่ี ิ ิ  ไปสกัดกั้นความคิดนั้นแลวเปนตัวนําเอากระบวนการคิดบริสุทธิ์ที่จะพิจารณาตามสภาวะ ตามเหตปจจย เปนลําดบไมสบสน มีเหตุผลและเกิดผลได (ตามองคประกอบทงสขอใน ุ  ั  ั  ั  ้ั ่ี  ขอ ๑๓) ทําใหคนเปนนายไมใชทาสของความคิด เอาความคิดมาใชแกปญหาได  ๑๖. คนปกตสามารถใชโยนโสมนสการงาย ๆ ไดโดยการพยายามควบคุมกระแส ิ  ิ ิ  ความคิดใหอยูในแนวทางที่ดีงามตามทางที่เคยไดรับการอบรมสั่งสอนจากกัลยาณมิตรมา กอนแลว และเมื่อพิจารณาเห็นความจริง และรูวาคาแนะนําสังสอนนันถูกตองดีงาม มี ํ ่ ้ ประโยชน กยงมนใจและเกดศรทธาขนเอง เกิดเปนการประสานกันระหวางปจจัยภาย ็ ่ิ ่ั ิ ั ้ึ นอกกับปจจัยภายใน กลายเปนความหมายของตนเปนทีพงแหงตนได ดังนันในการสอน ่ ่ึ ้ เพ่ือสรางศรทธาจะตองพยายามใหนกเรยนไดรบรผลและเกดความตระหนกในผลของการ ั   ั ี  ั ู ิ ั กระทําความดี ตองเราใหเ กดการเสรมแรงภายใน   ิ ิ ๑๗. กลาวโดยสรุปกลไกการทํางานของโยนิโสมนสิการ และความสัมพันธ ระหวางปรโตโฆสะกบโยนโสมนสการ มดงน้ี  ั ิ ิ ีั ๕๑
  • 8. ๑๗.๑ โยนโสมนสการจะทางาน ๒ ขั้นตอนคือ รับรูอารมณหรือประสบ ิ ิ ํ  การณจากภายนอก การรบรดวยโยนโสมนสการจะเปนการรบรอยางถกตอง มีการคิดคน ั ู  ิ ิ  ั ู  ู  พิจารณษอารมณหรือเรื่องราวที่เก็บเขามาเปนการพิจารณาขอมูลดวยสติซึ่งจะเอาไปใช ประโยชนในการดําเนินชีวิตและทํากจกรรมตาง ๆ ตอไป ิ  ๑๗.๒ กลยาณมตร (ปรโตโฆสะทีด) และโยนโสมนสการเปนจดเชอมตอ ั ิ ่ี ิ ิ  ุ ่ื  ระหวางบคคลกบโลกหรอสภาพแวดลอมภายนอก โดยกลยาณมตรเชอมใหบคคลตดตอ ุ ั ื  ั ิ ่ื  ุ ิ  กับโลกทางสังคมอยางถูกตอง และโยนิโสมนสิการเชือมตอบุคคลกับโลกทางจิตใจของ ่ ตนเองอยางถกตอง  ู  ๑๘. วธคดตามหลกโยนโสมนสการมี ๑๐ วิธีคือ ิีิ ั ิ ิ ๑๘.๑ วธคดแบบสบสาวเหตปจจย เปนวิธคดเพือใหรสภาวะทีเ่ ปนจริง ิีิ ื ุ  ั ีิ ่ ู ๑๘.๒ วธคดแบบแยกแยะองคประกอบ เปนวธคดเพอกําหนดแยกปรากฏ ิีิ   ิ ี ิ ่ื การณตาง ๆ ออกเปนสงทเ่ี ปนรปธรรมและสงทเ่ี ปนนามธรรม  ่ิ  ู ่ิ  ๑๘.๓ วธคดแบบสามญลกษณ เปนวิธคดเพือใหรเู ทากัน คือรูวาสิ่งตาง ๆ ิีิ ั ั ีิ ่ นั้นเกิดขึนเอง และจะดับไปเอง เรียกวา รูอนิจจัง และรูวาสิ่งตาง ๆ นั้นเกิดขึ้นมาเองไมมี ้  ใครบังคับหรือกําหนดขึ้น เรียกวา รูอนัตตา  ๑๘.๔ วธคดแบบอริยสจจ เปนวิธคดแบบแกปญหา โดยเรมจากตวปญหา ิีิ ั ีิ  ่ิ ั  หรอทกข ทําความเขาใจใหชัดเจน สบคนสาเหตุ เตรยมแกไข วางแผนกําจัดสาเหตุของ ื ุ ื  ี  ปญหา มีวธการปฏิบติ ๕ ขั้นตอน คือ ิี ั ๑) ทุกข - การกําหนดใหรสภาพปญหา  ู  ๒) สมุทย - การกาหนดเหตแหงทกขเ พอกําจัด ั ํ ุ  ุ ่ื ๓) นิโรธ - การดับทุกขอยางมีจุดหมาย ตองมการกําหนดวาจุดหมาย  ี ทตองการคออะไร ่ี  ื ๔) มรรค - การกําหนดวธีการในรายละเอยดและปฏบตเิ พอกาจัด ิ ี ิ ั ่ื ํ ปญหา ๑๘.๕ วธคดแบบอรรถธรรมสมพนธ เปนวิธีคิดใหมีความสัมพันธกัน ิีิ ั ั ระหวางหลักการ และความมุงหมาย สามารถตอบคําถามไดวาททําหรือจะทําอยางนน   ่ี  ้ั อยางนี้เพื่ออะไร ทําใหการกระทํามีขอบเขต ไมเลยเถิด  ๕๒
  • 9. ๑๘.๖ วิธคิดแบบคุณโทษและทางออก ี เปนการคิดบนพื้นฐานความ ตระหนักทวาทกสงในโลกนมทงสวนดและสวนดอย ดงนนเมอตองคดตดสนใจเลอกเอา ่ี  ุ ่ิ ้ี ี ้ั  ี   ั ้ั ่ื  ิ ั ิ ื ของส่ิงใดเพยงอยางเดยวจะตองยอมรบสวนดของสงทไมไดเ ลอกไว และไมมองขามโทษ ี  ี  ั  ี ่ิ ่ี  ื หรือขอบกพรอง จดออน จุดเสียของสิงทีเ่ ลือกไว การคิดและมองตามความจริงนี้ ทําให   ุ  ่ ไมประมาท อาจนาเอาสวนดของสงทไมไดเ ลอกนนมาใชประโยชนได และสามารถหลีก ํ  ี ่ิ ่ี  ื ้ั   เล่ียงหรอโอกาสแกไขสวนเสยบกพรองทตดมากบสงทเ่ี ลอกไว ื   ี  ่ี ิ ั ่ิ ื ๑๘.๗ วธคดแบบรคณคาแท-คณคาเทยม เปนวธคดทสามารถแยกแยะไดวา ิีิ ู ุ  ุ  ี  ิ ี ิ ่ี  คุณคาแทคืออะไร คุณคาเทียมคืออะไร คุณคาแท คอคณคาของสงมประโยชนแกรางกายโดยตรง อาศยปญญาตราคา ื ุ  ่ิ ี   ั  ี เปนคุณคาสนองปญญา คุณคาเทยม คอคณคาพอกเสรมสงจําเปนโดยตรง อาศยตณหาตราคา เปนคณคา  ี ื ุ  ิ ่ิ ั ั ี  ุ  สนองตณหา ั วิธีคิดนี้ใชเพื่อมุงใหเกิดความเขาใจและเลือกเสพคุณคาแทที่เปนประโยชน แกชีวิต เพอพนจากการเปนทาสของวตถุ เปนการเกียวของดวยปญญา มีขอบเขตเหมาะ ่ื   ั ่ สม ๑๘.๘ วธคดแบบเราคณธรรม เปนการคิดถึงแตสงทีดมกศล เมอไดรบ ิีิ  ุ ่ิ ่ ี ี ุ ่ื  ั ประสบการณใด แทนทจะคดถงสงทไมดงาม เปนวธคดทสกดกน ขัดเกลาตัณหา ่ี ิ ึ ่ิ ่ี  ี  ิ ี ิ ่ี ั ้ั ๑๘.๙ วิธคิดแบบเปนอยูกบปจจุบน เปนวิธคดใหตระหนักถึงสิงทีเ่ ปนอยูใน ี ั ั ีิ ่  ขณะปจจุบันกําหนดเอาที่ความเกียวของกับความเปนอยูประจําวนเชอมโยงตอกนมาถงสง ่  ั ่ื  ั ึ ่ิ ที่กําลังรับรู กิจการตามหนาทีหรือการปฏิบติ โดยมจดหมายไมเ พอฝนกบอารมณขอบ ่ ั ีุ   ั  หรือชัง ๑๘.๑๐ วิธีคิดแบบวิภัชวาท เปนการคดแบบมองใหเ หนความจรง โดยแยก  ิ ็ ิ แยะออกใหเห็นแตละแง แตละดานจนครบทกดาน ไมพิจารณาสิ่งใด ๆ เพียงดานหรือแง   ุ  มมเดยว ุ ี แนวทาง รปแบบ กระบวนการ วธการ เทคนิคการสอนและการพัฒนากระบวนการคิด ู ิี ของไทย ในระยะประมาณ 50 ปทผานมา ไดมีนักคิดและนักการศึกษาที่ไดใหความสนใจ ่ี  ในเรืองพัฒนาการคิดตลอดมา โดยเฉพาะอยางยงในระยะหลง ๆ ไดมีการนําหลกธรรม ่  ่ิ ั ั ๕๓
  • 10. ทางพระพทธศาสนามาประยกตใชในการสอน และศกษาวจยกนมากขน ควบคูไปกับ ุ ุ   ึ ิั ั ้ึ  การนําทฤษฎและหลกการของตางประเทศมาประยกตใช จงทาใหประเทศไทยไดรปแบบ ี ั  ุ  ึ ํ  ู การสอน กระบวนการสอนและเทคนคตาง ๆ เพิ่มขึ้นมาก อาทเิ ชน การสอนให “คิด ิ   เปน ทําเปน และแกปญหาเปน” โดย โกวิท วรพิพัฒน “การสอนโดยสรางศรัทธาและ    โยนิโสมนสิการ” โดย สุมน อมรววฒน “การสอนความคิด” โดย โกวิท ประวาลพฤกษ ิั “การสอนทักษะกระบวนการ” โดย กรมวชาการ กระทรวงศกษาธการ และ “กระบวนการ ิ ึ ิ คิดเปนเพื่อการดารงชวตในสงคมไทย” ํ ีิ ั โดย หนวยศกษานเิ ทศก กรมสามญศกษา  ึ ั ึ กระทรวงศกษาธการ เปนตน ึ ิ   กรอบความคิดของ “การคด” ิ จากการประมวลขอมูลเกียวกับการคิด พบวา มีคาทีแสดงถึงลักษณะของการคิด ่ ํ ่ และคําทเ่ี กยวของกบการใชความคดเปนจานวนมาก อาทเิ ชน ่ี  ั  ิ  ํ  การสังเกต คิดผิด-คิดถูก กระบวนการคดอยางวจารณญาณ ิ  ิ การเปรยบเทยบ ี ี คดสน-คิดยาว/คดไกล กระบวนการคิดแกปญหา ิ ้ั ิ  การตงคาถาม ้ั ํ คิดแคบ-คิดกวาง กระบวนการคดรเิ รมสรางสรรค ิ ่ิ  การแปลความหมาย คิดรอบคอบ คิดทบทวน กระบวนการตดสนใจ ั ิ การตความ ี คดคลอง คิดไว ิ  กระบวนการทางวทยาศาสตร ิ การขยายความ คดอยางมเี หตผล ิ  ุ กระบวนการศึกษาวิจย ั การอางอิง คิดหลากหลาย กระบวนการปฏบติ ิ ั การคาดคะเน คดละเอยดลออ ิ ี การสรป ุ คดเปน ิ  การสราง  ฯลฯ จะเห็นไดวาคําตาง ๆ ทเ่ี กยวของกบการคดจํานวนมากนั้น สามารถจดกลมได 3 ่ี  ั ิ ั ุ กลมใหญ ๆ คือ ุ กลุมที่ ๑ เปนคําทีแสดงออกถึงการกระทําหรอพฤตกรรมซงตองใชความคด เชน  ่ ื ิ ่ึ   ิ การสังเกต การเปรียบเทียบ การจําแนกแยกแยะ การขยายความ การแปลความ การตความ ี การจดกลม/หมวดหมู การสรป ฯลฯ คําตาง ๆ เหลานแมจะเปนพฤตกรรมทไมมคาวา ั ุ ุ  ้ี   ิ ่ี  ี ํ ๕๔
  • 11. “คิด” อยู แตกมความหมายของการคดอยในตว คําในกลมนมลกษณะของพฤตกรรม/ ็ ี ิ ู ั ุ ้ี ี ั ิ การกระทาทชดเจนหรอคอนขางชดเจนหรอเปนทเ่ี ขาใจตรงกน ซงหากบคคลสามารถทํา ํ ่ี ั ื   ั ื   ั ่ึ ุ ไดอยางชํานาญ กจะเรยกกนวา ทักษะ ดงนน ทศนา แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) จงเรยก ็ ี ั  ั ้ั ิ ึ ี ชื่อคํากลุมนีวา ทักษะการคิด ทักษะการคิดแตละทักษะ จะประกอบไปดวยพฤตกรรม  ้  ิ หรือการกระทํายอย ๆ มากบาง นอยบาง และมกจะมการจดลําดบของการกระทาเหลานั้น   ั ี ั ั ํ ดั งนั้ น ทัก ษะการคิ ด จึ งเป น ความสามารถของบุคคลในการแสดงพฤติกรรมการคิดซึ่ง ประกอบไปดวยการกระทํายอย ๆ ทเ่ี ปนไปตามลําดบเพอใหเ กดเปนพฤตกรรมการคดนน    ั ่ื ิ  ิ ิ ้ั ๆ การคิดในระดับทักษะมักบงชีถงพฤติกรรมการคิดไดคอนขางชัดเจน ทกษะการคดนมี ้ึ  ั ิ ้ี ๓ ระดับ คือ ทักษะการคิดพื้นฐาน (Basic Thinking Skills) ทักษะการคิดทีเ่ ปนแกนสําคัญ (Core Thinking Skills) และทักษะการคิดชั้นสูง (Higher-Ordered Thinking Skills) ทักษะ การคิดชั้นสูง มักจะประกอบไปดวยการกระทํายอย ๆ และมขนตอนของการกระทาที่  ี ้ั ํ มากกวาทกษะการคดขนตน ๆ  ั ิ ้ั  กลุมที่ ๒ เปนคาที่แสดงลักษณะของการคิด ซงใชในลกษณะเปนคาวิเศษณ เชน  ํ ่ึ  ั  ํ คิดกวาง คิดถูก คิดคลอง คิดรอบคอบ ซึ่งคําไมไดแสดงออกถงพฤตกรรมหรอการกระทํา   ึ ิ ื โดยตรง แตสามารถแปลความไปถงพฤตกรรมหรอการกระทาประการใดประการหนง  ึ ิ ื ํ ่ึ หรือหลายประการรวมกัน เชน คิดคลอง มความหมายถงพฤตกรรมการบอกความคดได ี ึ ิ ิ จํานวนมาก และในเวลาทรวดเรว คิดหลากหลายมีความหมายถึงพฤติกรรมการสามารถ ่ี ็ บอกความคิดที่มีลักษณะ/รปแบบ/ประเภท ทีหลากหลาย คําประเภทนี้ ทศนา แขมมณี ู ่ ิ และคณะ (๒๕๔๐) จงเรยกวา ลกษณะการคด ซงหมายถง การคิดทีมลกษณะพิเศษเปน ึ ี  ั ิ ่ึ ึ ่ ีั เอกลักษณเฉพาะของการคิดนั้น ๆ ซงลกษณะดงกลาว ไมไดบงชถงพฤตกรรมหรอการ ่ึ ั ั     ้ี ึ ิ ื กระทําทีชดเจน ตองอาศัยการแปลความและตีความไปถึงพฤติกรรมตาง ๆ ทเ่ี มอประกอบ ่ ั ่ื กันเปนลาดับขันตอนแลวจะชวยใหเกิดเปนลักษณะการคิดนัน ๆ  ํ ้ ้ กลุมที่ ๓ เปนคําทแสดงถง การดําเนินกิจกรรมการคิดอยางเปนลําดบขนตอน  ่ี ึ ั ้ั หรือเปนกระบวนการ ซงจะชวยใหบรรลวตถประสงคของการคดนน ๆ และในกระบวน  ่ึ   ุั ุ  ิ ้ั การแตละขั้นตอน จะตองอาศยทกษะการคดและลกษณะการคดทจาเปนจํานวนมาก อาทิ  ั ั ิ ั ิ ่ี ํ เชน กระบวนการคดอยางมวจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิดริเริม ิ  ีิ  ่ สรางสรรค เปนตน กระบวนการคิดเหลานีมวตถุประสงคเฉพาะทีแตกตางกันและตอง    ้ ีั ่ อาศยความสามารถทางการคดตาง ๆ หลายประการมาชวยใหแตละขันตอนของกระบวน ั ิ  ้ ๕๕
  • 12. การสัมฤทธิ์ผล การคดทตองอาศยพฤตกรรมหรอการกระทําหรือทักษะจํานวนมากนี้ ิ ่ี  ั ิ ื ทศนา แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) จดใหอยในกลมของ กระบวนการคิด เชน กระบวน ิ ั  ู ุ การคิดอยางมีวิจารณญาณ มวตถประสงคเ พอใหไดความคดทผานการกลนกรองพจารณา ีั ุ ่ื   ิ ่ี  ่ั ิ มาอยางดีแลว กระบวนการคิดจึงประกอบไปดวยขันตอนในการพิจารณากลันกรองขอ ้ ่ มูล ในขณะทีกระบวนการแกปญหา มีวตถุประสงค เพือแกปญหาใดปญหาหนึง หรือ ่  ั ่  ่ กระบวนการคดรเิ รมสรางสรรค มีวตถุประสงคเพือสรางผลงานทีใหมแตกตางไปจากเดิม ิ ่ิ  ั ่ ่ อันทจรงแลว ทงทักษะการคด ลกษณะการคด และกระบวนการคิด เมอ ่ี ิ  ้ั ิ ั ิ ่ื วิเคราะหละเอียดลงไปแลว จะเห็นวามีลกษณะรวมกันคือ ประกอบไปดวยพฤติกรรม ั หรือการกระทํายอย ๆ หลายพฤตกรรม และมีการเรียงลําดับพฤติกรรมเปนขันตอนที่  ิ ้ สามารถนาไปสูวตถุประสงค หรอกลาวอยางสน ๆ ไดวามลกษณะเปนขนตอนหรอ ํ ั ื   ้ั  ีั  ้ั ื กระบวนการเชนเดียวกัน แตมีความแตกตางกันตรงความชัดเจนของคํา และปริมาณและ ความซบซอนของพฤตกรรมหรอการกระทํา ซงหากจะจดลําดบโดยใชเ กณฑดงกลาวแลว ั  ิ ื ่ึ ั ั ั   สามารถจดไดวาทกษะการคด เปนการคิดในระดับพื้นฐาน ลกษณะการคดเปนการคดใน ั  ั ิ ั ิ  ิ ระดับกลาง และกระบวนการคิดเปนการคิดในระดับสูง จากกรอบความคิดดังกลาว ประกอบกับการศึกษาคนควาองคความรูเ กียวกับการ ่ คิด ทศนา แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) ไดจัดมิติของการคิดไว ๖ ดาน เพอใชเ ปนกรอบ ิ ่ื  ความคิดในการพัฒนา ความสามารถทางการคิดของเด็กและเยาวชนตอไป มิติของ “การคด” มี ๖ ดาน ดังนี้ ิ ๑. มตดานขอมลหรอเนอหาทใชในการคด ิ ิ   ู ื ้ื ่ี  ิ ๒. มิตดานคุณสมบัตทเ่ี อืออํานวยตอการคด ิ ิ ้  ิ ๓. มิตดานทักษะการคิด ิ ๔. มตดานลกษณะการคด ิ ิ ั ิ ๕. มิตดานกระบวนการคิด ิ ๖. มตดานการควบคมและประเมนการคดของตน ิ ิ ุ ิ ิ สําหรับรายละเอียดเกียวกับมิตแตละดานนัน ่ ิ ้ ไมสามารถกลาวไดในทนทงหมด    ่ี ้ี ้ั โดยเฉพาะเกียวกับทักษะการคิดและลักษณะการคิด ่ พบวามีผูไดใหคาอธบายทชดเจน ํ ิ ่ี ั ๕๖
  • 13. เก่ียวกับทกษะการคดอยบาง แตไมมากนัก ซึงสวนใหญมกจะเปนทักษะกระบวนการ ั ิ ู  ่ ั ทางวิทยาศาสตร สวนลกษณะการคดตาง ๆ มีคาอธบายนอยมาก สําหรับกระบวนการคิด  ั ิ  ํ ิ  น้ันพบวา กระบวนการคดทมผศกษาไวมากพอสมควร ไดแก กระบวนการคิดอยางมี  ิ ่ี ี ู ึ  วิจารณญาณ กระบวนการแกปญหา กระบวนการทางวทยาศาสตร และกระบวนการคิด  ิ ริเริมสรางสรรค ่ ดวยเหตททกษะการคดและลกษณะการคด ุ ่ี ั ิ ั ิ จานวนมากยงไมไดรบการศกษา ํ ั  ั ึ วิเคราะห และขยายความใหเกิดความชัดเจนอยางเพียงพอ ความคลุมเครือนีจงอาจเปน ้ึ สาเหตุสําคัญทีทาใหการสอนกระบวนการคด ซงเปนการคดขนสง ไมบรรลผล เนองจาก ่ ํ  ิ ่ึ  ิ ้ั ู  ุ ่ื ผูเ รยนยงขาดทกษะขนพนฐานทจาเปนตอการพัฒนาความคิดในขั้นสูง ดวยเหตุน้ี ทศนา ี ั ั ้ั ้ื ่ี ํ ิ แขมมณี และคณะ (๒๕๔๐) จงไดรวมกนวเิ คราะหทักษะการคดแตละทักษะ และ ึ  ั  ิ  ลักษณะการคิดที่สาคญแตละลกษณะ และเลอกลกษณะการคดบางประการทคดวาเปนพน ํ ั  ั ื ั ิ ่ี ิ   ้ื ฐานทีสาคัญ และจําเปนจะตองสงเสริมและฝกฝนใหผเู รียนตังแตระดับการศึกษาปฐมวัย ่ ํ ้ ประถมศึกษา และมธยมศกษา แลวจึงนําคําเหลานั้นมาวิเคราะหใหเห็นถึงจุดมุงหมาย ั ึ และวธการในการคด รวมทังกําหนดเกณฑตดสน เพอใชในการประเมนการคดนน ๆ ิี ิ ้  ั ิ ่ื  ิ ิ ้ั ทั้งนี้ดวยวัตถุประสงคที่จะทําใหคาทีใชกนในลักษณะทีเ่ ปนนามธรรมมีความเปนรูปธรรม ํ ่ ั มากขึ้น ซึงจะชวยใหแนวทางทีชดเจนแกครูในการสอน ทําใหครูสามารถสอนไดอยาง ่ ่ ั ชัดเจน ตรงทาง และบรรลวตถประสงคมากขนุั ุ  ้ึ อยางไรก็ตาม การนําเสนอขอมลในทนจะนาเสนอเพยงรายการทักษะการคด  ู ่ี ้ี ํ ี ิ ลักษณะการคด และกระบวนการคิด ทไดคดเลอกไวเ ทานน ไมสามารถนาเสนอราย ิ ่ี  ั ื  ้ั ํ ละเอียดที่วิเคราะหไดทั้งหมด เนองจากรายละเอยดนนมมาก ไมสามารถบรรจุลงในบท ่ื ี ้ั ี ความได ทานผูอานที่สนใจ ทีประสงคจะศึกษาและนําไปใช สามารถตดตอขอศกษาราย ่ ิ  ึ ละเอียดไดที่ ศูนยพฒนาการเรียนการสอน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ ั หรือที่คณะผูเขียน คณะครุศาสตร จฬาลงกรณมหาวทยาลย สําหรับขอมูลเกียวกับมิตแต ุ  ิ ั ่ ิ ละดานทสาคัญมีดังนี้  ่ี ํ ๑. มตดานขอมลหรอเนอหาทใชในการคด ิ ิ   ู ื ้ื ่ี  ิ ในการคิด บุคคลไมสามารถคิดโดยไมมีเนื้อหาของการคิดได เฉพาะการคดเปน ิ  กระบวนการ ในการคิดจึงตองมีการคิดอะไรควบคูไปกับการคิดอยางไร  ๕๗
  • 14. ขอมลทใชในการคดนน มจํานวนมากเกนกวาทจะกาหนดหรอบอกได โกวิท ู ่ี  ิ ้ั ี ิ  ่ี ํ ื วรพิพัฒน (อางถึงในอุนตา นพคุณ) ไดจดกลมขอมลทมนษยใชในการคดพจารณาแก   ั ุ  ู ่ี ุ   ิ ิ ปญหาออกเปน ๓ ดาน ดวยกัน คือ   ๑. ขอมลเกยวกบตนเอง  ู ่ี ั ๒. ขอมูลเกียวกับสังคมและสิงแวดลอม ่ ่ ๓. ขอมูลวิชาการ ในการพจารณาหาทางแกปญหา บคคลจะตองพจารณาขอมลทง ๓ สวนควบกน ิ   ุ  ิ  ู ้ั  ั ไปอยางผสมกลมกลืน จนกระทงพบทางออกหรอทางเลอกในการแกปญหาอยาง ่ั ื ื    เหมาะสม ๒. มตดานคณสมบตทเ่ี อออํานวยตอการคด ิ ิ  ุ ั ิ ้ื ิ ในการคดพจารณาเรองใด ๆ โดยอาศยขอมลตาง ๆ คุณสมบัตสวนตัวบาง ิ ิ ่ื ั  ู  ิ  ประการ มีผลตอการคิดและคุณภาพของการคิด ตวอยางเชน คนทมใจกวาง ยอมยนดทจะ ั   ่ี ี   ิ ี ่ ี รับฟงขอมลจากหลายฝาย จงอาจจะไดขอมลมากกวาคนทไมรบฟง ซงขอมลเหลานจะมี   ู  ึ  ู  ่ี  ั  ่ึ  ู  ้ี ผลตอการคด ชวยใหการคดพจารณาเรองตาง ๆ มความรอบคอบขน หรอผทชางสงสย  ิ   ิ ิ ่ื  ี ้ึ ื ู ่ี  ั อยากรอยากเหน มีความใฝรูยอมมีความกระตือรือรนที่จะแสวงหาขอมูลและคนหาคํา ู ็ ตอบ ซงคณสมบตนมกจะชวยสงเสรมการคดใหมคณภาพขน ดังนั้นคุณภาพของการคิด ่ึ ุ ั ิ ้ี ั   ิ ิ  ีุ ้ึ สวนหนึงจึงยังตองอาศัยคุณสมบัตสวนตัวบางประการ แตในทานองเดียวกัน พัฒนาการ ่ ิ   ํ ดานการคิดของบุคคลก็มักจะมีสวนยอนกลับไปพัฒนาคุณสมบัติสวนตัวของบุคคลนั้น ดวย คุณสมบัตทเ่ี อืออํานวยตอการคดทนกคด นักจิตวิทยา และนักการศึกษาเห็นพอง ิ ้  ิ ่ี ั ิ ตองกนมอยหลายประการ ทสาคัญมากไดแก ความเปนผูมีใจกวาง เปนธรรม ใฝรู ั ี ู ่ี ํ  กระตือรือรน ชวงวิเคราะหผสมผสาน ขยัน ตอสู กลาเสยง อดทน มีความมั่นใจในตนเอง  ่ี และนารักนาคบ ๓. มิติดานทักษะการคิด ในการคิด บุคคลจําเปนตองมทกษะพนฐานหลายประการในการดาเนินการคิด   ี ั ้ื ํ อาทเิ ชน ความสามารถในการจําแนกความเหมือนและความตางของสิ่ง ๒ สิงหรือมากกวา  ่ และความสามารถในการจดกลมของทมลกษณะเหมอนกน นับเปนทักษะพืนฐานในการ ั ุ ่ี ี ั ื ั ้ ๕๘
  • 15. สรางมโนทศนเ กยวกบสงนน ความสามารถในการสงเกต การรวบรวมขอมูล และการตั้ง ั ่ี ั ่ิ ้ั ั สมมติฐาน นบเปนทกษะพนฐานในกระบวนการคดแกปญหา เปนตน ทักษะทีนบเปน ั  ั ้ื ิ     ่ ั ทักษะการคดขนพนฐานจะมลกษณะเปนทกษะยอย ซงมกระบวนการหรอขนตอนในการ ิ ้ั ้ื ีั  ั  ่ึ ี ื ้ั คิดไมมาก ทกษะทมกระบวนการหรอขนตอนมากและซบซอน สวนใหญจะตองใช ั ่ี ี ื ้ั ั     ทักษะพื้นฐานหลายทักษะผสมผสานกัน ซงจะเรยกกนวา “ทกษะการคดขนสง” ทักษะ ่ึ ี ั  ั ิ ้ั ู การคิดเปนพื้นฐานที่สาคัญในการคิด บุคคลจะคิดไดดีจําเปนตองมีทกษะการคิดทีจาเปน ํ ั ่ํ มาบางแลว และเชนเดียวกัน การคิดของบุคคลก็จะมีสวนสงผลไปถึงการพัฒนาทักษะ  การคิดของบุคคลนั้นดวย โดยทัว ๆ ไป มการจดทกษะการคดไว ๓ ระดับ ไดแก ่ ี ั ั ิ ก.! ทักษะการคิดขั้นพื้นฐานที่สําคัญ มจานวนมากไดแก ีํ ๑) ทกษะการสอสาร ประกอบดวย ั ่ื - ทักษะการฟง - ทกษะการใชความรู ั  - ทักษะการจํา - ทักษะการอธบาย ิ - ทักษะการอาน  - ทักษะการทําความกระจาง - ทักษะการรับรู - ทักษะการบรรยาย - ทักษะการเกบความรู ็ - ทักษะการพูด - ทกษะการดงความรู ั ึ - ทกษะการเขยน ั ี - ทักษะการจําได - ทกษะการแสดงออก ั ๒) ทักษะทีเ่ ปนแกนหรือทักษะขันพืนฐานทัวไป ไดแก ้ ้ ่ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการสํารวจ - ทักษะการจําแนกความแตกตาง - ทักษะการตงคาถาม้ั ํ - ทกษะการจดลาดับ ั ั ํ - ทักษะการรวบรวมขอมูล - ทักษะการเปรยบเทยบ ี ี - ทักษะการจัดหมวดหมู - ทักษะการอางอง  ิ - ทักษะการตีความ - ทกษะการแปลความ ั - ทักษะการเชือมโยง ่ - ทักษะการขยายความ - ทกษะการใชเ หตผล ั ุ - ทักษะการสรปความ ุ ๕๙