Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
Ähnlich wie คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล (20)
Mehr von Kiat Chaloemkiat
Mehr von Kiat Chaloemkiat (16)
คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
- 1. พระทรงศักดิ์ อรุโณ
น.ธ.ตรี
คาสอนของหลวงปู๑
่
ค าสอนของหลวงปู่ ดู่ พรหมปญฺ โ ญ แห่ ง วั ด สะแก ต าบลธนู อ าเภออุ ทั ย จั ง หวั ด
พระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านได้สอนให้ญาติโยมและศิษย์ของท่านทุกคนให้ปฏิบัติภาวนาตามแนวทางที่
พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา มุ่งสอนให้เป็นนักปฏิบัติ คือหมั่นปฏิบัติสมาธิ
ภาวนาด้ว ยความไม่ป ระมาท ท่ า นสอนให้ มี ป ฏิ ป ทาสม่าเสมอ โดยให้ยึ ด เอา พระพุ ทธ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นสรณะ จนจิตของเราเกิดศรัทธาคือ เชื่อปัญญาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เราก็ย่อมเกิดกาลังใจ
ขึ้นว่าพระพุทธองค์เดิมก็เป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับเรา ความผิดพลาดพระองค์ก็เคยทรงทามาก่อน
แต่ด้วยความเพียรประกอบกับพระสติปัญญาที่ทรงอบรมมาดีแล้ว จึงสามารถข้ามวัฏฏะสงสารสู่ความ
หลุ ดพ้ น เป็ นการบุ กเบิ กทางที่เ คยรกชัฏ ให้พ วกเราได้เ ดินกัน ดัง นั้นเราซึ่ง เป็ นมนุษย์ เ ช่นเดีย วกับ
พระองค์ ก็ย่อมจะมีศักยภาพที่จะฝึกฝนอบรม กาย วาจา ใจ ด้วยตัวเราเองได้เช่นเดียวกับพระองค์ที่ ได้
ทรงกระทามา พูดอีกอย่างก็คือ กาย วาจา และใจ เป็นสิ่งที่ฝึกฝนอบรมกันได้ ใช่ว่าจะปล่อยให้ไหลไป
ตามยถากรรม เมื่อจิตเราเกิดศรัทธาดังกล่าวมานี้แล้ว ก็มีการน้อมนาเอาคาสอนต่างๆมาประพฤติ
ปฏิ บัติ ขัดเกลากิเ ลสออกจากใจตน จิต ใจของเราก็จะเลื่ อนชั้นจากปุถุชนที่หนาแน่นด้ว ยกิเลสขึ้นสู่
กัลยาณชนและอริยชนเป็นลาดับ เมื่อเป็นดังนี้แล้วในที่สุดเราก็ย่อมเข้าถึงที่พึ่งคือตัวเราเอง อันเป็นที่
พึ่งที่แท้จริงเพราะ กาย วาจา และใจที่ได้ผ่านขั้นตอนการฝึกฝนอบรมโดยการเจริญ ศีล สมาธิ และ
ปัญญาแล้ว ก็ย่อมกลายเป็นกายสุจริต วาจาสุจริต และมโนสุจริต ทาสิ่งใด พูดสิ่งใด คิดสิ่งใด ก็ไม่อาจ
๑
บันทึกขณะบวชในพรรษา ปี พ.ศ.๒๕๕๖ ณ วัดป่าโยธาประสิทธิ์ จังหวัดสุรินทร์
- 2. ที่จะทาให้เราเกิดความหวั่นไหว และหวาดกลัวขึ้นได้เ ลย ให้พิ จารณาร่างกายสัง ขารของตัวเราว่ า
ร่างกายสังขารของตัวเรานั้น ก่อเกิดมาจากธาตุทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน น้า ลม ไฟ เมื่อสังขารใช้มานานเข้า
ก็ย่อมดับสลายไปในที่สุด พระพุทธเจ้ าเคยตรัสเป็นพุทธภาษิตว่า “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้
นั้นชื่อว่าบูชาเราตถาคต” คือหมายถึงว่า ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ได้เตรียมใจของเราให้
เป็นภาชนะอย่างดีไว้สาหรับรองรับธรรม และสามารถเก็บรักษาธรรมไว้ไม่ห้ตกหล่นและสูญหายไปได้
ท่านพุทธทาสภิกขุก็เคยให้โอวาทตอนหนึ่งว่า “ให้เอางานในความหมายของคนทั่วไปเป็นงานอดิเรก
เอางานคื อ การปฏิ บั ติ ธ รรมเป็ น งานหลัก ของชี วิ ต เป็ น งานที่ แ ท้ จริ ง ของชี วิ ต ” ถ้ า เราเข้า ใจใน
ความหมายนี้ จะทาให้ชีวิตของเราจะสดใสขึ้น ปลอดโปร่งใจขึ้น ความกังวล ความกลัดกลุ้มภายในใจก็
จะลดลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็จะลดลง หากได้ฝึกปฏิบัติให้ถูกต้องทุกอย่า งที่เราทาวันนี้
เพื่อเอาไว้กินในวันข้างหน้า พอตายแล้ว โลกเขาขนเอาบาปกันไป แต่เราจะขนเอาบุญเอานิพพานไป
เวลาไม่กี่ปีบนโลกใบนี้ เรายังเตรียมอะไรกันตั้งมากมาย ขวนขวายหาซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ซื้อรถยนต์ หา
เงิน เก็บเงินฝากธนาคาร แสวงหาสมบัติพัสถาน และยังต้องแสวงหาไว้เผื่อลูกเมีย ลูกหลาน ไว้กินกัน
ไม่หมด แต่ที่สุดแล้วทุกชีวิตบนโลกใบนี้ก็สิ้นสุดอยู่ ที่ “ความตาย” คาเดียวเสมอกันหมด เราพร้อม
สาหรับวันนั้นกันแล้วหรือยัง
ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งกรรมและความเพียรไม่ใช่ ศาสนาแห่งกรรมหรือพรหมลิขิต พระ
พุทธองค์แรกประสูติ ก็ได้เปล่งอาสภิวาจาว่า “เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก
การเกิดของเรานี้เป็นครั้งสุดท้าย ภพใหม่ต่อไปไม่มี ” การเปล่งวาจาอย่างอาจหาญของพระพุทธองค์
จึงเป็นการประกาศอิสรภาพว่ามนุษย์เดินดินธรรมดานี้แหละหากฝึกฝนอบรมตนดีแล้ว อย่าว่าแต่มนุษย์
ด้วยกันเลย แม้เทวดา และพรหมก็ยังต้องมานอบน้อม สักการบูชา พระองค์จึงอยู่ในฐานะพี่ใหญ่สุด
เปรียบดังลูกนกตัวแรกที่เอาจะงอยปากเจาะเปลือกไข่ ออกมาได้ก่อนลูกนกตัวอื่นๆ เหลือเวลาอีกไม่
มาก ให้รีบพากันปฏิบัติ มีหลักอยู่ว่ าต้องบริกรรมภาวนาด้วยใจที่สบายๆ ไม่เคร่งเครียด หรือจี้จ้อง
บังคับใจจนเกินไป ทาความสุขว่าร่างกายของเราโปร่ง มีจิตยินดีในทุกๆคาบริกรรมภาวนาว่าทุกๆคา
บริกรรมภาวนาจะกลืนจิตของเราให้ใสสว่างขึ้น เอาจิตที่เป็นสมาธินี้มาพิจารณาร่างกายล้ามันเป็นทุกข์
ยามแก่ จะเจ็บ จะตาย เราก็ไม่อาจไปบั งคับหรือห้ามปรามมันได้ ให้พิจารณาให้ล ะเอียดลงไปซ้าๆ
จนกว่าจิตจะเห็นความจริง และยอมรับเมื่อจิตก็จะคลายจากความยึดมั่นว่ากายของเราเป็นเราหรือเป็น
ของเรา เมื่อปฏิบัติจนจิตเริ่มปลอดโปร่ง หลวงปู่เคยแนะนาให้ผู้ปฏิบัติอธิฐานบวชจิต โดยตั้งความ
ปรารถนาขึ้นในใจว่า ข้าพเจ้าขอถือเอาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้า ขอถือเอา
พระอริยสงฆ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ขอจงสาเร็จการบวชจิต ณ บัดนี้ เทอญ หากผู้นั้นหมั่นเจริญ
ภาวนาเป็นประจา จิตจะยกระดับจากการเข้าถึง เปลี่ยนแปลงเป็นธรรม ซึ่งความสว่างที่เกิดขึ้ นในตนก็
จะมีเพิ่มขึ้นเป็นลาดับ ในขั้นนี้ผู้ภาวนาสามารถอุทิศส่วนกุศลไปยังผู้อื่นได้ทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือผู้ที่