Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie รับจัดฟอร์แมต ตัวอย่างงานจัดหน้าของม.ราชภัฎจัทรเกษม (8)
Mehr von rubtumproject.com (20)
รับจัดฟอร์แมต ตัวอย่างงานจัดหน้าของม.ราชภัฎจัทรเกษม
- 1. บทที
บทนํา
. ความเป็ นมาและความสําคัญของปัญหา
ในยุคสมัยหนึง อารยธรรม"ขอม" ถือว่าทรงอิทธิพลมากทีสุดในดินแดนเอเชียตะวันออก
เฉี ย งใต้ สํา หรับประวัติศ าสตร์ขอม เริมตังแต่ พุ ทธศตวรรษที ผ่ านการเปลียนแปลงจาก
อาณาจักรฟูนัน อาณาจักรเจนละ เจนละบกและเจนละนํ า มาสู่ยุคเมืองพระนครอันลือลัน โดย
อายธรรมขอมแบ่งออกเป็นยุคใหญ่ ยุค คือ ยุคก่อนเมืองพระนคร(พุทธศตวรรษที - ) ยุค
เมืองพระนคร(พุทธศตวรรษที - ) และยุคหลังเมืองพระนคร(หลังพุทธศตวรรษที จนสิน
อาณาจักรขอม) จากการทีขอมได้รบวัฒนธรรมและความเชือในศาสนาฮินดูมากจากอินเดีย ผ่าน
ั
เข้ามาทางการเดินเรือค้าขายสินค้า ทําให้ศิลปะของขอมได้รบการพัฒนามาจากพืนฐานทาง
ั
ศาสนาฮินดู แม้ว่าต่อมาในบางสมัย ขอมจะเปลียนไปนับถือศาสนาพุท ธมหายาน ซึงทังสอง
ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตามแต่กษัตริย์ทนับถือแต่ละศาสนา ประวัติศาสตร์ทยาวนานของขอม
ี
ี
นอกจากจะทําให้มการพัฒนาด้านงานศิลปกรรมทีเป็ นเอกลักษณ์ เป็ นของตัว เอง แล้วยังแผ่
ี
อิทธิพลไปในอาณาจักรใกล้เคียงในละแวกอินโดจีน รวมไปถึงอาณาจักรสยามด้วย อารยธรรม
ขอมเข้ามาสู่ดนแดนประเทศไทย ในราวๆ พุทธศตวรรษที ในสมัยอาณาจักรเจนละ ซึงตรง
ิ
กับยุคทวารวดีของไทย โดยเข้ามาทางภาคอีสานเป็ นแห่งแรก ซึงเข้ามาโดยผ่านทางศาสนา ทัง
ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธมหายาน โดยภาคอีสานแบ่งเป็ น พืนทีใหญ่ๆได้แก่อสานเหนือ
ี
หรือแอ่งสกลนคร และอีสานใต้หรือแอ่งโคราชมีเทือกเขาภูพานกันตรงกลาง ทําให้อารยธรรมใน
ภาคอีสานมีความแตกต่างกันทางด้านอีสานเหนือนันมักจะพบวัฒนธรรมในรูปแบบอาณาจักร
ล้านช้าง ส่วนทางอีสานใต้นนเราจะพบอารยธรรมในแบบเขมรทังนีเนืองจากอีสานเหนือมีความ
ั
- 2. 3
ห่างไกลจากเมืองหลวงของเขมรในอดีตหรือทีถูกเรียกว่า อังกอร์ ส่วนทางอีสานใต้นนนับได้ว่า
ั
เมืองพิมายเป็ นเมืองทีมีความสําคัญอย่างยิง เห็นได้จากการทีมีถนนหลวงตัดมายังเมืองพิมาย
ปรากฏเป็นศาสนสถานปราสาทหิน ทําให้ประเทศไทยมีศาสนสถานของขอมอยู่เป็ นจํานวนมาก
ซึงแต่ละแห่งจะมีความแตกต่างกันในด้า นรูปแบบศิลปกรรมเนืองจากขอมมีรูปแบบศิลปะอยู่
ค่อนข้างมากในแต่ละสมัย และจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทีโดดเด่นแตกต่างกันออกไป ในทีนี
บริเวณพืนทีจังหวัดศรีสะเกษก็มศาสนสถานของขอมอยู่จานวนมากในบริเวณใกล้เคียงกัน แต่ม ี
ี
ํ
ความแตกต่างกันทางด้านรูปแบบศิลปะอย่างชัดเจนเนืองจากช่วงเวลาในการสร้างทีไม่ใกล้เคียง
กันทําให้เกิดความหลากหลายทางด้านศิลปะขึน
. วตถุประสงค์ของการวิ จย
ั
ั
. เพือศึกษาพัฒนาการด้านศิลปะของขอมในโบราณสถานทีสร้างต่างยุคว่ามีเปลียนแปลง
ไปอย่างไร
. เพือเป็ นตัวอย่างสําหรับการสืบค้น เรืองพัฒนาการของศิลปะแบบขอมในจังหวัดศรีสะ
เกษ
. ประโยชน์ ทีคาดว่าจะได้รบ
ั
. ทําให้ได้รบรู้ถึงพัฒนาการของศิลปะขอมในยุคต่ างๆ ในช่วงพุทธศตวรรษที -
ั
บริเ วณ ปราสาทสระกํ าแพงใหญ่ ปราสาทสระกําแพงน้ อ ย ปราสาทปรางค์กู่ ปราสาทบ้า น
ปราสาท
. ทําให้ได้เห็นถึงวิศวกรรมและความรูความสามารถในการก่อสร้างของคนในยุคนันๆ
้
. งานวิจยนีสามารถนําไปประยุกต์ในการวางแผนการท่องเทียวเชิงประวัตศาสตร์ได้
ั
ิ
- 3. 4
. ขอบเขตการวิ จย
ั
. งานวิจยชินนีทําการศึกษาเฉพาะพืนทีของจังหวัดศรีสะเกษ
ั
. งานวิจยชินนีทําขึนเพือศึกษาเวลาในการสร้างศาสนสถานของ สถานที คือ ปราสาท
ั
หินวัดสระกําแพงใหญ่ ปราสาทหินวัดสระกําแพงน้อย ปราสาทปรางค์กู่ ปราสาทบ้านปราสาท
- 4. บทที
พืนทีทีทําการศึกษา
จังหวัดศรีส ะเกษ ลักษณะภูมประเทศทางตอนใต้เป็ นทีสูง และค่อย ๆ ลาดตําไปทาง
ิ
ั ั
เหนือลงสู่ลุ่มแม่นํามูลซึงอยู่ทางตอนเหนื อของจังหวัด ปจจุบนมีเนือที , ตารางกิโลเมตร
ประกอบด้วยอําเภอ อําเภอ มีประชากรราว . ล้านคน ประกอบด้วยกลุ่มชาติพนธุ์
ั
หลากหลาย ซึงพูดภาษาถินต่าง ๆ กัน อาทิ ภาษาถินอีสาน, ภาษากูย, ภาษาเยอ และภาษา
เขมร ส่วนใหญ่เป็ นพุทธศาสนิกชนและนับถือผีมาแต่เดิมมีการตังถินฐานในจังหวัดศรีสะเกษมา
แต่สมัยก่อนประวัตศาสตร์จนเกิดพัฒนาการทีเข้มข้นในสมัยอาณาจักรขอมซึ งได้ทงมรดกทาง
ิ
ิ
วัฒนธรรมหลายประการไว้ เช่น ปราสาทหินและปรางค์กู่ศลปะขอมตังกระจัดกระจายอยู่หลาย
ิ
แห่ง ครันในสมัยอาณาจักรอยุธยา มีการยกบ้านปราสาทสีเหลียมดงลําดวน (ตําบลลําดวนใหญ่
ั ั
อําเภอวังหิน ในปจจุบน) เป็ นเมืองศรีนครลําดวน ต่ อมาโยกย้ายลงทางใต้และได้ชอใหม่เป็ น
ื
เมืองขุขนธ์และในสมัยรัชกาลที แห่งอาณาจักรรัตนโกสินทร์ได้ยายเมืองไปยังบริเวณตําบล
ั
้
ั ั
เมืองเก่า (ตําบลเมืองเหนือ อําเภอเมืองศรีสะเกษ ในปจจุบน) แต่เรียกชือเมืองขุขนธ์ ตามเดิม
ั
กระทังยกฐานะเป็ น จังหวัดขุขนธ์ เมือ พ.ศ.
ั
แล้วเปลียนชือเป็ น จังหวัดศรีสะเกษ เมือ
พ.ศ.
ั
การศึกษาครังนีได้กําหนดพืนทีศึกษาใน บริเวณจังหวัดศรีสะเกษฝงตะวันตก ภายใน
อําเภอ คือ อําเภออุทุมพรพิสย อําเภอปรางค์กู่ อําเภอห้วยทับทัน ซึงมีรปแบบศิลปะของศาสน
ั
ู
สถานของขอมปรากฎอยู่จํานวนมาก และหลากหลายรูปแบบ ในช่วงตั งแต่สมัยพุทธศตวรรษที
โดยเริมศึกษาในพืนทีทีค่อนข้างแน่ ชดแล้วว่าเป็ นสถานทีทีเป็ นโบราณสถานของขอม โดย
ั
เริมจากปราสาทสระกําแพงใหญ่ ซึงเป็ นศิลปะแบบคลัง แบบบาปวน และแบบนครวัด ปราสาท
- 6. บทที
รายละเอียดของสถานทีทีทําการศึกษา
. ปราสาทสระกําแพงใหญ่ อาเภออุทมพรพิ สย จงหวัดศรีสะเกษ
ํ
ุ
ั ั
ภาพที - - ปราสาทสระกําแพงใหญ่
ทีมา : http://freedom4yous-travel.blogspot.com
ทีตังและลักษณะ
ปราสาทสระกําแพงใหญ่ต งอยู่ส ายถนนอุ ทุมพรพิสย -ห้วยทับทัน เขตบ้านกําแพงใหญ่
ั
ั
อําเภออุทุมพรพิสย อยู่ห่างจากตัวจังหวัดศรีสะเกษไปทางทิศตะวันตกประมาณ กิโลเมตร
ั
และห่างจากตลาดอําเภออุทุมพรพิสยประมาณ กิโลเมตร
ั
ปราสาทสระกําแพงใหญ่แห่งนีจัดว่าเป็นปราสาทขอมขนาดใหญ่ทสุด ในจังหวัดศรีสะเกษ
ี
ลักษณะของปราสาทประกอบด้วย
- 7. 8
ระเบียงคดรูปสีเหลียมผืนผ้าก่อด้วยหินทรายและแลงขนาด * เมตร ทางเดินภายใน
ระเบีย งกว้า ง เมตรประตู ท งสีทิศ มีมุ ข ช่ อ งหน้ า ต่ า งและช่ อ งลมติด ลู ก กลมหิน กลึง ประตู
ั
ด้านหน้าอยู่ทางทิศตะวันออก มีซุ้มประตูเป็ นรูปกากะบาดและทีเสากรอบประตูมจารึกอักษร
ี
ขอมนับได้ บรรทัด
วิหารคู่ห่างจากซุมประตูหน้าเข้าไปประมาณ เมตรมีวหารคู่หนึงก่อด้วยอิฐ มีมุขประตู
้
ิ
สําหรับเข้าทางทิศตะวันตก เสาและกรอบประตูทาด้วยหินทราย ทับหลังของประตูวหาร ด้านทิศ
ํ
ิ
เหนือสลักเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ ส่วนทับหลังของประตูดานทิศใต้สลักเป็ นรูปพระศิวะ
์
้
อุมนางปารพตี(พระอุทาชายา)ประทับเหนือโคอุศุภราช(โคนนทิ)มีเทพบริวารถือเครืองสูงแลพัด
้
โบกประกอบ
ปรางค์ องค์ ถัดจากวิหารคู่เข้าไปเป็ นปรางค์ องค์ ก่อด้วยอิฐ เรียงแถวจากเหนือไป
ใต้ แต่โครงร่างส่วนสําคัญ เช่น เสาและกรอบประตูทําด้วยหินทราย ปรางค์องค์กลางซึงเป็ น
ปรางค์องค์ประธานนัน มีขนาดใหญ่กว่าอีก องค์ นับว่ามีรูปทรงค่อนข้างสมบูรณ์ทสุดและ
ี
สวยงามทีสุดในบริเวณปราสาทสระกําแพงใหญ่แห่งนี ประตูของปรางค์ประธานหันหน้าไปทาง
ทิศตะวันออก ทับหลังประตูมขตอนในซึงยังติดอยู่กบทีจําหลักเป็ นรูปพระอินทร์ทรงช้างยืนแท่น
ุ
ั
เหนือเศียรเกียรติมุข มีรปเทวดา รูปสิงห์และลายก้านขดประกอบ เสาหินข้างกอบประตูดานใน
ู
้
สลักเป็ นลวดลายคล้ายกรีบดอกไม้(คล้ายดอกลําดวน)เป็ นชันๆไป สําหรับกรอบประตูดานนอก
้
สลักเป็นลวดลายรูปสิงห์ประกอบลายก้านขด ผนังด้านข้างทิศเหนือและใต้มประตูหลอกทําด้วย
ี
ศิลาซึงปรักหักพังไปมาก รอบๆบริเวณปรางค์ประธานพบหินสลักลวดลายต่างๆเช่น รูปโคกับ
มนุ ษย์หรือเทวดา รูปเหราจับนาค รูปพญานาค รูปพญาครุฑจับนาคเป็ นต้น รูปจําหลักเหล่านี
ตกกองอยูกบพืนดินทัวไป
่ ั
ปรางค์เดียว ข้างหลังปรางค์แถว องค์ ห่างออกไปประมาณ . เมตร มีปรางค์เดียว
ก่ อ ด้ว ยอิฐ อยู่อ งค์ห นึ งค่ อ นข้า งใกล้ม าข้า งระเบีย งคดด้า นทิศ ใต้ ลักษณะของปรางค์อ งค์นี
คล้ายคลึงกับปรางค์องค์หน้าทุกประการ ไม่ว่าจะเป็ นกรอบประตูททําด้วยศิลาหรือประตูหลอก
ี
ด้วยอิฐด้านข้างทีทําด้วยอิฐก็ตามอันทีจริงตําแหน่ งทีตังปรางค์เดียวองค์นีทําให้คดว่าน่ าจะมี
ิ
ปรางค์อกองค์หนึงอยู่ทางด้านข้างระเบียงคดด้านทิศเหนือ จึงจะดูสมบูรณ์แบบและสวยงามแต่
ี
อาจเป็ นไปได้ว่าปรางค์ด้านทิศเหนืออาจจะยังไม่ทนได้ก่อสร้าง หรืออาจจะก่อสร้างแล้วถูกรือ
ั
หรือสูญหายไปแล้วก็ได้
ั ั
ปจจุบนทีในบริเวณปราสาทสระกําแพงใหญ่ แ ห่ง นี มีวห ารของใหม่ห ลัง หนึงสร้างเพือ
ิ
ประดิษฐานพระพุทธรูปศิลาทรายนาคปรกปรางขัดสมาธิ หน้าตักกว้าง นิว สูง นิว ซึงขุด
พบในบริเวณปรางค์ประธาน พระภิกษุเครือง สุภทฺโท เจ้าอาวาสได้เล่าว่า
- 8. 9
ก่อน พ.ศ.
โบสถ์หลังนียังไม่สร้าง ต่อมาเมือปี พ.ศ.
ได้นิมตเห็นพระทองคํา
ิ
ขนาดใหญ่อยูตรงหน้าปราสาทหลังที ส่งรัศมีไปทัวบริเวณสว่างไสวไปหมด พระภิกษุเครืองจึง
่
ได้ช วนสามเณรมาขุด ด้ว ยกัน รูป ครันขุดลึก ประมาณคืบ เดีย วเสีย มก็ส ับถู ก พระกรของ
พระพุทธรูป และพบว่าเป็ นพระพุทธรูปนาคปรกปรางขัดสมาธิทําด้วยศิลาทราย จึงได้นําไปไว้
หน้าปราสาทหลังที ทีขุดพบนันเอง ด้วยเห็นว่าเป็ นพระพุทธรูปธรรมดาไม่ใช่ทองคํา ต่อมามี
นักเรียนโรงเรียนกําแพงมาขีดเขียนเล่นบนพระพุทธรูป พอตกกลางคืนเด็กก็ไม่สบาย หมอมา
นังทางในดูก็พ บว่า เด็ก ไปขีด เขีย นพระพุ ทธรูป นาคปรกเล่ น พระภิกษุ เ ครืองจึง ปรึก ษากับ
ชาวบ้านเห็นว่าพระพุทธรูปองค์นีศักดิสิทธิสมควรสร้างโบสถ์ไว้ประดิษฐานในบริเวณใกล้ๆทีพบ
ั ั
เดิม เมือ พ.ศ. จึงได้สร้างโบสถ์ไว้ดงทีเห็นในปจจุบน
ั
อัน ทีจริง ภายในโบสถ์ ห รือ วิห ารทีประดิษ ฐานพระพุ ท ธรูป นาคปรกนี ยัง เป็ น ทีเก็บ
โบราณวัตถุมค่าอืนๆอีก เช่น ศิลาทับหลังสลักเป็ นลวดลายเทพเจ้าของพราหมณ์ทรงสัตว์เป็ น
ี
ั
พาหนะชนิดต่างๆโปงไม้โบราณขนาดใหญ่ กลองโบราณ เครืองปนดินเผาโบราณจําพวกโอ่ง ไห
ตู้เก็บพระธรรมลวดลายพืนเมืองและทีสําคัญทีสุดก็คอ มีรูปจําลองของปรางค์ประธานเป็ นรูป
ื
ปรางค์ยอดแหลมสูงมีลกษณะเหมือนปรางค์องค์จริงทุกประการ
ั
สระกําแพง เมือข้ามทางรถไฟไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบริเวณสระกําแพงใหญ่จะ
พบสระใหญ่โบราณขนาด * เมตร ลึกประมาณ เมตร มีนําขังตลอดปี เข้าใจว่าคงจะขุด
ขึนพร้อมๆกับการสร้างปราสาท เพือใช้เป็นแหล่งกักเก็บนําไว้บริโภคสําหรับชุมชน
ประวัติความเป็ นมา
แม้ว่าเรืองราวความเป็ นมาของปราสาทสระกําแพงใหญ่จะยังไม่อาจหาข้อยุตได้ว่าสร้าง
ิ
ขึนในสมัยใดแน่ กตาม แต่กมผรสนนิษฐานไว้ว่า คงจะได้สร้างขึนราว พ.ศ.
็
็ ี ู้ ู้ ั
- และเป็ น
ศิลปะแบบคลังแบบบาปวนและแบบนครวัด การก่อสร้างนันคงจะไม่แล้วเสร็จในรัชกาลเดียว
หากแต่มการก่อสร้างเพิมเติมหลายยุคหลายสมัย ลักษณะวัสดุทใช้ในการก่อสร้างก็เป็ นวัสดุต่าง
ี
ี
ชนิดกันคือ ปราสาททีสร้างด้วยอิฐ หิน และแลง สังเกตเห็นได้ว่ามีการก่ อสร้างเพิมเติมหรือ
ซ่อมแซมอย่างเห็นได้ชด นอกจากนียังอาจสันนิษฐานเพิมเติมได้ว่า ปราสาทแห่งนีคงจะเป็ น
ั
เทวสถานทีค่อนข้างสมบูรณ์แบบและเป็ นปราสาทสําคัญทีพระมหากษัตริย หรือผูมอํานาจสูงสุด
์
้ ี
ในขณะนัน น่าจะมีส่วนร่วมในการก่อสร้างด้วย
ปราสาทหินทีมีระเบียงคดล้อมรอบ จัดเป็ นศาสนาสถานทีมีว ิวฒนาการถึงขันสมบูรณ์
ั
แบบตามคติของขอม มักประกอบด้วยคูนําล้อมรอบเป็ นรูปสีเหลียมผืนผ้า มีตําแหน่ งศิลาแลง
หรือหินล้อมรอบกําแพงนีอาจจะอยู่นอกคูนําหรือด้านในของคูนําก็ได้ มักมีโคปุระหรือซุมประตู
้
- 9. 10
ทิศ ถัดกํ าแพงแลคูนําไปเป็ นระเบียงคด มีโคปุระหรือ ซุ้มประตู ทิศ และมีทางเดินรอบ
ส่วนมากก่อสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง ภายในระบียงคดจึงจะถึงของอาคารปราสาทซึงจะ
ประกอบด้วยวิหารเล็ก หอสมุด และเทวาลัย ซึงมีมุขยืนออกมาทางทิศตะวันออก หรืออาจมี
ปราสาทอืนซึงเป็ นของคนรุ่นเก่ า หรือ รุ่นหลังมาสร้างรวมอยู่ด้วย มีหลายแห่งทีเดียวทีไม่ม ี
กํ า แพงล้อ ม แต่ ม ีเ พีย งระเบีย งคดล้อ มรอบส่ ว นมากปราสาทนี มัก เป็ น ปราสาท ทีสํ า คัญ ที
พระมหากษัต ริย์ทรงมีส่ว นร่ว มในการสร้างมีศิล าจารึกระบุการก่ อ สร้างและการอุ ทศ ข้าทาส
ิ
เครืองใช้และทีดินไว้ การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จในรัชกาลเดียว มีการก่อสร้างต่อเติมกันหลายยุค
หลายสมัย ยกตัวอย่างเช่นในสมัยแรกๆ สร้างเป็ นปราสาทอิฐก่อน เมือพังลงมามีการสร้างเป็ น
ปราสาทหิน ในสมัยต่อมาระเบียงคด และโคปุระก็มาสร้างขึนในสมัยหลังต่อเติมกันจนสมบูรณ์
แบบ เช่น ปราสาทพนมรุง ปราสาทเมืองตํา จังหวัดบุรรมย์ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทพนมวัน
้
ีั
จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทสระกําแพงใหญ่ และปราสาทพระวิหารในเขตจังหวัดศรีสะเกษ
เป็นต้น
ตามทีได้สงเกตดูลวดลายของศิลาทับหลังของปราสาทกําแพงใหญ่นี ซึงปรากฎว่าเป็ น
ั
ลวดลายสลักเกียวเนืองในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเกือบทังสิน ไม่ว่าจะเป็ นรูปสลักพระอิศวร
ทรงโคอุศุภราช(โคนนทิ)ก็ด รูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ก็ด หรือแม้แต่รูปพระอิศวรทรงช้าง
ี
ี
เอราวัณ ซึงมีส่วนเกียวข้องกับศาสนาพุทธอยู่บางก็ตาม รวมทังได้มการขุดพบพระพุทธรูปศิลา
้
ี
นาคปรกแบบลพบุรในบริเวณปราสาทหินแห่งนี ก็น่าเชือว่าปราสาทหินสระกําแพงใหญ่คงจะ
ี
สร้างไว้เป็นศาสนสถานทีเกียวเนืองในศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์ และได้เปลียนแปลงมา
เป็ นพุทธสถานในเวลาต่อมา ปราสาทสระกําแพงใหญ่ จัดเป็ นปราสาทขอมรุ่นเก่าแก่ทมีขนาด
ี
ใหญ่ และมีความสําคัญมากแห่งหนึงจึงชวนให้น่าสันนิษฐานในบริเวณแห่งนี คงจะเป็ นชุมชน
ขนาดใหญ่ ทีเคยมีความเจริญรุงเรืองเป็ นระยะเวลานาน การก่อสร้างเทวาลัย คงจะเป็ นลักษณะ
่
ของการเกณฑ์แรงงาน ซึงแบ่งออกเป็น ประเภทคือ การเกณฑ์แรงงานจากราษฎรธรรมดามา
เคลือนย้ายวัสดุก่ อสร้าง อันได้แ ก่ อิฐ หิน แลง และอีกประเภทหนึงก็ค ือการใช้ช่างฝี มอ ซึง
ื
กษัตริยหรือเจ้านายเป็ นผู้ชุบเลียง คนกลุ่มหลังนีจะทําหน้าทีแกะสลักลวดลายต่างๆจนถึงการ
์
ั
ออกแบบสถาปตยกรรม
ดัง นันประวัติค วามเป็ น มาของปราสาทสระกํ าแพงใหญ่ หรือ วัด กํา แพงนันยังไม่อ าจ
สามารถหาหลักฐานมายืนยันยุตได้แน่ ชดว่า สร้างในรัชกาลใดของขอม แต่คงจะอยู่ในราวพุทธ
ิ
ั
ศตวรรษที และเก่าแก่กว่าปราสาทหินกําแพงน้อย จัดได้ว่าเป็ นเทวสถานทีสําคัญขนาดใหญ่
แห่งหนึงในบริเวณทีราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึงคงจะได้เปลียนแปลงมา
ใช้เป็นพุทธสถานในระยะหลังต่อมา กษัตริยหรือผูมอํานาจสูงสุดในบริเวณชุมชนแห่งนี คงจะได้
์
้ ี
มีส่วนร่วมในการก่อสร้างหรือซ่อมแซม การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จในรัชกาลเดียวแต่น่าจะได้มการ
ี
- 10. 11
เพิมเติมเสริมแต่งและซ่อมแซมมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเป็ นทีแน่ ชดว่าเทวสถานแห่งนี คงจะ
ั
ได้เป็นศูนย์กลางชุมชนขนาดใหญ่ในบริเวณนีสืบมาเป็นเวลาช้านาน
ลกษณะรูปแบบศิ ลปะภายในปราสาท
ั
ภาพที - - ปราสาทประธานของปราสาทสระกําแพงใหญ่
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ปราสาทประธานของปราสาทสระกําแพงใหญ่ แม้ว่าลวดลายได้มอทธิพลของศิลปะนคร
ีิ
ั
วัดเข้ามาปะปนแล้ว แต่สําหรับแผนผังและองค์ประกอบทางสถาปตยกรรมนันยังคงแสดงความ
เกียวข้องกับปราสาทรุนเก่าอยู เช่น การไม่มมณฑปยาว มีแต่เพียงมุขสันๆ เป็นต้น
่
่
ี
การใช้อิฐกับหินทรายผสมกันนัน ถือเป็ นลักษณะพืนเมือง ไม่ปรากฏลักษณะเช่นนีใน
ศิลปะขอมทีเมืองพระนคร
- 11. 12
ภาพที - - หน้าบันด้านตะวันออกของปราสาทหลังกลาง
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
หน้าบันด้านตะวันออกของปราสาทหลังกลาง เป็นภาพศิวนาฏราชแวดล้อมไปด้วยบริวาร
ซึงพระศิวะทีอยู่ตรงกลางของหน้าบันนัน แสดงการเต้นโดยไม่ยกพระบาทจากพืน มีพระหัตถ์
จํานวนมากเช่นเดียวกับศิวนาฏราชในศิลปะขอมแห่งอืนๆ
ภาพบุคคลบนหน้าบัน ยังคงมีขนาดใหญ่ และมีการปล่อยพืนทีว่างด้านหลัง ซึงทังหมดนี
แสดงถึงศิลปะบาปวน อนึง การประดับลายก้านต่อดอกทีกรอบหน้าบันและใบระกาก็แสดงถึง
ศิลปะบาปวนเช่นกัน
ภาพที - - เสากรอบประตูทางด้านตะวันออกของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ในศิลปะบาปวน เสากรอบประตูมกสลักด้วยลายก้านต่อดอกทีมีขด เส้นทีก้านดอก โดย
ั
ี
ทีโคนเสามักปรากฏลายรูปสัตว์ เช่นเสาต้นนีซึงมีรปลิงกําลังคายลายก้านต่อดอก เสาติดผนังต้น
ู
- 12. 13
นียังคงสลัก ไม่เ สร็จ จึงแสดงให้เ ห็นถึงเทคนิค การสลักได้ เช่น การสลักโกลน และการเก็ บ
รายละเอียดโดยยังคงเหลือ “หินยึด” ระหว่างลายกนกกับกรอบ
ภาพที - - ทับหลังทางด้านตะวันออก ภายในปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
เป็ นทับหลังทีแสดงถึงหัวเลียวหัวต่อระหว่างศิลปะบาปวนตอนปลายและนครวัดตอนต้น
โดยองค์ประกอบสําคัญยังคงแสดงให้เห็นถึงศิลปะบาปวน เช่น มีหน้ากาลอยู่ดานล่างสุดของทับ
้
หลัง และมีท่อนพวงมาลัยทีม้วนจากด้านล่างขึนมาตรงกลางทับหลังก่อนทีจะม้วนลงไปด้านล่าง
อีกครังทีปลายสุดของทับหลัง อย่างไรก็ตาม การทีปรากฏเสียวซึงมีรูปครุฑอยู่ด้านบนนัน มี
รูปแบบคล้ายคลึงกับทับหลังทีปราสาทศรีขรภูมซงมีรูปสัตว์อยู่ด้านบนเสียวเช่นกัน ทําให้ท ั บ
ิ ึ
หลังชินนีอาจมีอายุอยูในสมัยบาปวนตอนปลายต่อต้นนครวัดได้
่
ภาพที - - ทับหลังทางด้านทิศเหนือของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
- 13. 14
เป็ นทับหลังทีแสดงถึงหัวเลียวหัวต่อระหว่างศิลปะบาปวนตอนปลายและนครวัดตอนต้น
เช่นกัน ทับหลังนียังเป็นตัวอย่างของทับหลังทีสลักไม่เสร็จ โดยยังเห็นส่วนทีเป็ นโกลน และส่วน
ทีลงรายละเอียดแล้วแต่ยงคงหินเชือมทีร่องระหว่างกนก
ั
ภาพที - - เสากรอบประตูทางด้านเหนือของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
นอกจากลายก้านต่อดอกแล้ว ในศิลปะบาปวน ยังปรากฏเสากรอบประตูลายก้านขดที
ออกรูปสัตว์ โดยทีโคนเสามักปรากฏลายรูปสัตว์ เช่นเสาต้นนีซึงมีรปลิงกําลังคายลายก้านขด
ู
โดยแต่ละวงของก้านขดปรากฏรูปหงส์
เสาติดผนังต้นนียังคงสลักไม่เสร็จ จึงแสดงให้เห็นถึงเทคนิคการสลักได้ เช่น การสลัก
โกลน และการเก็บรายละเอียด เป็นต้น
ภาพที - - นาคปลายกรอบซุมหน้าบันทางด้านทิศเหนือของปราสาทหลังกลาง
้
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
- 14. 15
กรอบหน้าบันของปราสาทหลังกลาง มีลกษณะเป็นรูป “หน้ากาล” หรือหน้าสิงห์ซงหันข้าง
ั
ึ
และกําลังคายนาค ซึงแตกต่างไปจากปราสาทในศิลปะนครวัดโดยทัวไปทีนาคมักคายออกจาก
ปาก “มกร” หรือ “เหรา”
หน้ากาลคายนาคปลายกรอบซุม ถือเป็นลักษณะเก่าของศิลปะคลังหรือบาปวนตอนต้น ที
้
ยังคงตกค้างอยู่ทปราสาทสระกําแพงใหญ่นี อย่างไรก็ ตาม นาคทีมีกระบังหน้า แสดงแนวโน้ม
ี
ไปสู่ศลปะนครวัดแล้ว โดยอาจเปรียบเทียบได้กบนาคของปราสาทพิมาย
ิ
ั
ภาพที - - หน้าบันทางด้านทิศเหนือของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
รูปแบบของหน้าบันดังกล่าวยังคงแสดงลักษณะสําคัญของศิลปะบาปวน เช่น การบรรจุ
ลายก้านต่อดอกทีกรอบหน้าบันและใบระกา รวมถึงการปรากฏใบไม่มวนภายในหน้าบัน การที
้
ประติมากรรมบุคคลภาพเล่าเรืองมีขนาดใหญ่นัน ทําให้หน้าบันชินนีมีความใกล้เคียงกับศิลปะ
นครวัดมากขึน
ภาพที - - มุขด้านหน้าปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
- 15. 16
ปราสาทประธาน ปราสาทสระกํ า แพงใหญ่ ยัง คงปรากฏมุข สันๆด้า นหน้ า แสดงถึง
ลักษณะเก่าซึงแตกต่างไปจากปราสาทในศิลปะนครวัดอย่างแท้จริงทีนิยมมณฑปทียืดยาวและมี
อันตราละเชือม
วัสดุการสร้างปราสาทแห่งนี มีการปะปนกันทังการใช้หนทรายและอิฐ โดยอิฐมักใช้ก่อ
ิ
เป็นผนัง ส่วนหินทรายมักใช้ก่อในส่วนทีมีลวดลายสลัก
ภาพที - - ทับหลังทางด้านทิศใต้ของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ทับหลังทางด้านทิศใต้ของปราสาทประธาน ปราสาทสระกําแพงใหญ่ มีเค้าโครงตามแบบ
บาปวนโดยทัวไป คือหน้ากาลอยู่ดานล่างของทับหลัง มีภาพบุคคลอยู่ดานบนหน้ากาล มีท่อน
้
้
พวงมาลัยออกมาจากปากหน้ากาล วกขึนด้นบนและม้วนตกลงด้านล่าง ด้านบนมีใบไม้ตงขึน
ั
ด้านล่างมีใบไม้หอยตกลง ทับหลังนียังเป็ นตัวอย่างของทับหลังทีสลักไม่เสร็จ โดยยังเห็นส่วนที
้
เป็นโกลน และส่วนทีลงรายละเอียดแล้วแต่ยงคงหินเชือมทีร่องระหว่างกนก
ั
ภาพที - - หน้าบันรูปอุมามเหศวร ทางด้านทิศใต้ของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
- 16. 17
ประติมากรรมบุคคลทีปรากฏอยู่บนหน้าบันนี ล้วนแต่ทรงเครืองแบบบาปวน คือ ทรงผม
แบบบาปวน ทรงผ้านุ่งทีเว้าลงด้านหน้าอุทรมาก ผ้านุ่ งสัน มีพลีต และมีขมวดชายพกขนาดเล็ก
ทางด้านหน้า ซึงทังหมดถือเป็นตัวอย่างการแต่งกายแบบบาปวนอย่างแท้จริง
ภาพที - - เสาประดับกรอบประตูของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
เสาประดับกรอบประตูของปราสาทสระกําแพงใหญ่ มีเค้าโครงคล้ายคลึงกับเสาประดับ
กรอบประตูแบบบาปวน-นครวัดโดยทัวไป คือ มีวงแหวนจํานวนมากทีประดับด้วยใบไม้ขนาด
ั
เล็กคล้ายฟนปลา
ภาพที - - ทับหลังทางด้านทิศตะวันตกของปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
เป็ นทับหลังทีแสดงถึงหัวเลียวหัวต่อระหว่างศิลปะบาปวนตอนปลายและนครวัดตอนต้น
จากภาพเล่าเรืองทีประกอบไปด้วยลิงจํานวนมาก จึงน่ าจะเป็ นภาพเล่าเรืองในมหากาพย์รา
มายณะ โดยทีลิงสองตัวทีกําลังต่อตู่อยู่เหนือหน้ากาลนัน น่ าจะได้แก่พาลีรบสุครีพ ส่วนลิงตัว
- 17. 18
อืนๆทีกําลังเหาะอยู่ส่วนบนของทับหลังนัน ไม่แน่ ชดว่าจะเกียวข้องกับตอนหนุ มานเหาะเพื อไป
ั
ถวายแหวนให้กบนางสีดาทีเกาะลังกาหรือไม่
ั
ภาพที - - ทับหลังรูปพระกฤษณะปราบม้าเกษี บรรณาลัยด้านทิศเหนือ
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ทับหลังมีองค์ประกอบแบบบาปวนโดยทัวไป คือ มีหน้ากาลอยู่ด้านล่างของทับหลัง มี
ภาพบุคคลอยู่ดานบนหน้ากาล มีท่อนพวงมาลัยออกมาจากปากหน้ากาล วกขึนด้นบนและม้วน
้
ตกลงด้านล่าง ด้านบนมีใบไม้ตงขึน ด้านล่างมีใบไม้ห้อยตกลง ทีน่ าสนใจคือการจัดภาพเล่า
ั
เรือง กลุ่มไว้ทด้านบนของหน้ากาลและส่วนปลายของท่อนพวงมาลัยซึงไม่พบในทับหลังแบบ
ี
ปกติของบาปวน
ภาพที - - ทับหลังรูปนารายณ์บรรทมสินธุ บรรณาลัยด้านทิศเหนือ
์
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ทับหลังซึงมีภาพเล่าเรืองขนาดใหญ่เต็มพืนทีของทับหลัง โดยภาพบุคคลมีขนาดใหญ่นน
ั
ถือเป็ นรูปแบบอีกบบหนึงของทับหลังแบบบาปวน แตกต่างไปจากศิลปะนครวัดทีทับหลังมักมี
ภาพเล่าเรืองเต็มไปด้วยบุคคลขนาดเล็ก
- 18. 19
ภาพที - - ทับหลังรูปคชลักษมี บรรณาลัยทางด้านทิศใต้
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ทับหลังชินนีมีลกษณะแบบบาปวนทัวไป อย่างไรก็ตาม ได้ปรากฏเสียวทีด้านข้างของทับ
ั
หลัง ด้นบนเสียวปรากฏบุค คลเต้นรํา ซึงลักษณะเช่นนีสามารถเปรียบเทียบได้กับทับหลังที
ปราสาทศรีขรภูมในศิลปะนครวัด
ิ
ภาพที - - นาคปลายกรอบซุมหน้าบัน บรรณาลัยทางด้านทิศใต้
้
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
กรอบหน้าบันของบรรณาลัย มีลกษณะเป็ นรูป “หน้ากาล” หรือหน้าสิงห์ซงหันข้างและ
ั
ึ
กําลังคายนาค ซึงแตกต่างไปจากปราสาทในศิลปะนครวัดโดยทัวไปทีนาคมักคายออกจากปาก
“มกร” หรือ “เหรา” หน้ากาลคายนาคปลายกรอบซุม ถือเป็ น ลักษณะเก่าของศิลปะคลังหรือบาป
้
วนตอนต้น ทียังคงตกค้างอยูทปราสาทสระกําแพงใหญ่นี
่ ี
- 19. 20
ภาพที - - ทับหลังรูปอุมามเหศวร บรรณาลัยด้านทิศใต้
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ทับหลังซึงมีภาพเล่าเรืองขนาดใหญ่เต็มพืนทีของทับหลัง โดยภาพบุคคลมีขนาดใหญ่นน
ั
ถือเป็นรูปแบบอีกแบบหนึงของทับหลังแบบบาปวน แตกต่างไปจากศิลปะนครวัดทีทับหลังมักมี
ภาพเล่าเรืองเต็มไปด้วยบุคคลขนาดเล็ก
ภาพที - - ปราสาทด้านหลังปราสาทประธาน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
เป็ นปราสาททีตังอยู่นอกแผนผังทีสมมาตร กล่าวคือ เป็ นปราสาทเพียงหลังเดียวทีตังอยู่
ด้านหลังปราสาท องค์ด้นหน้า และตังเยืองไปทางทิศใต้ ยังไม่ทราบแน่ ชดว่าปราสาทหลังนี
ั
สร้างขึนเนืองด้ว ยคติใ ดและอุทศให้กบเทพหรือเทพีองค์ใ ด อย่างไรก็ตาม ย่อมแสดงให้เห็น
ิ
ั
ความเป็นพืนเมืองของปราสาทขอมในดินแดนไทยทีอาจสร้างปราสาทแบบไม่สมมาตรได้
- 20. 21
ภาพที - - กลีบขนุน
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
การประดับยอดวิมานด้วยกลีบขนุ น เริมต้นในศิลปะนครวัด โดยนักวิชาการหลายท่าน
เชือว่าเริมต้นทีปราสาทพิมายในประเทศไทยก่อ นทีจะแพร่หลายไปยังประเทศกัมพูชา การ
ปรากฏกลีบขนุ นทีปราสาทสระกําแพงใหญ่พร้อมกับการใช้ปราสาทจําลอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า
ปราสาทแห่งนีมีอายุอยูในระยะหัวเลียวหัวต่อระหว่างศิลปะบาปวนกับนครวัด
่
. ปราสาทบ้านปราสาท อาเภอห้วยทับทัน จงหวัดศรีสะเกษ
ํ
ั
ภาพที - - ปราสาทบ้านปราสาท
ทีมา : http://www.thaipackagetour.com
ตังอยู่ภายในวัดบ้านปราสาท ตําบลปราสาท อําเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ เป็ น
ปราสาท หลัง ทีสร้างขึนในศิลปะเขมรราวพุทธศตวรรษที - บริเวณทีตังปราสาทเป็ นเนิน
- 21. 22
สูงบ่งบอกถึงลักษณะของการเป็ นชุมชนโบราณอย่างเห็นได้ชดสร้างขึนเพือเป็ นศูนย์กลางของ
ั
ชุมชนตามแบบแผนของวัฒนธรรมขอม ได้รบการดัดแปลงบูรณะ ปฏิสงขรณ์ในภายหลัง เห็นได้
ั
ั
ชัดจากส่วนยอดของปราสาททีมีรปแบบต่างไปจากส่วนยอดของปราสาทในศิลปะเขมร ปราสาท
ู
ทังสามหลังก่อด้วยอิฐบนฐานศิลาแลงเดียวกัน มีประตูทางเข้าทิศตะวันออก เรียงกันในแนว
เหนือใต้
เมือซ่อมเสริมเสร็จแล้วยอดปราสาทองค์กลางทีองค์สําคัญกลับมียอดตํากว่ายอดปราสาท
สองหลังทีขนาบอยูขางๆการซ่อมแซมทีเกิดขึนนันควบคู่ไปกับการฟืนฟูศาสนสถาน
่ ้
ทีปราสาทประธานบนกรอบประตูด้านหน้า ยังคงมีทบหลังแสดงภาพหน้ากาลคายท่อน
ั
พวงมาลัย ทีบริเวณเสียวของท่อนพวงมาลัยมีภาพบุคคลยืนอยู่ในซุ้ม ภาพสลักบนเหนือหน้ า
กาลลบเลือนไปหมดแล้วทําให้ไม่สามารถดูได้ว่าเป็นรูปอะไร มีทบหลังซึงเหลือเพียงครึงแผ่นชิน
ั
หนึงตกอยูทพืน จากภาพแกะสลักทีปรากฏเป็นเรืองราวกวนเกษียรสมุทร
่ ี
ปราสาทอีก หลังได้รบการดัดแปลงเช่นเดียวกัน โดยการก่ออิฐปิ ดช่องประตูกลายเป็ น
ั
ผนังทึบทังสีด้าน ส่วนยอดของปราสาทดัดแปลงเช่นเดียวกัน
ปราสาททังสามหลังล้อมรอบด้วยกําแพงแก้วก่อด้วยศิลาแลง มีซุมประตูทางเข้า(โคปุระ)
้
ด้านทิศตะวันออกและทิศใต้
ปราสาทแต่เดิมทีเคยเป็ นเทวาลัย ได้ถูกเปลียนให้เป็ นสถูปเจดีย์ในทางพุทธศาสนาที
ั ั
เรียกว่าธาตุไป คือปจจุบนชาวบ้านเรียกว่าธาตุปราสาท มีการนํ าพระพุทธรูปมาประดิษฐานให้
เป็นทีกราบไหว้บชา
ู
ลักษณะรูปแบบศิ ลปะภายในปราสาท
ภาพที - - ทับหลังบนกรอบประตูดานหน้าปราสาทประธาน
้
ทีมา : http://www.mapculture.org/
- 22. 23
ทับหลังแสดงภาพหน้ากาลคายท่อนพวงมาลัย ทีบริเวณเสียวของท่อนพวงมาลัยมีภาพ
บุคคลยืนอยูในซุม ภาพสลักบนเหนือหน้ากาลลบเลือนไปหมดแล้ว
่ ้
ภาพที - - ทับหลังกวนเกษียรสมุทร
ทีมา : https://commons.wikimedia.org
ทับหลังซึงเหลือเพียงครึงแผ่นชินหนึงตกอยูทพืน จากภาพแกะสลักทีปรากฏเป็ นเรืองราว
่ ี
กวนเกษียรสมุทร
. ปราสาทปรางค์ก่ ู อาเภอปรางค์ก่ ู จงหวัดศรีสะเกษ
ํ
ั
ภาพที - - ปราสาทปรางค์กู่
ทีมา : http://travel.sanook.com
- 23. 24
ทีตังและลักษะ
ปราสาทปรางค์กู่ตงอยูทบ้านกู่ ตําบลกู่ อําเภอปรางค์กู่ อยูห่างจากอําเภอปรางค์กู่
ั ่ ี
่
ประมาณ กิโลเมตร
ลักษณะของโบราณสถานแห่งนีเป็นปรางค์ องค์ สร้างเป็นแนวจากเหนือจากใต้ อยูบน
่
ฐานเนินดินขนาดใหญ่มแลงประกอบเป็นเขือนกันดินพังทลาย ปรางค์ทง องค์ก่ อด้วยอิฐและ
ี
ั
อิฐปนแลง ขนาดของอิฐมีตงแต่ . × . × . เมตร ปรางค์แต่ละองค์มประตูเข้าได้เฉพาะ
ั
ี
ทิศตะวันออก อีก ทิศ เป็นประตูหลอก ทับหลังและกรอบประตูทาด้วยหินทราย จําหลักเป็ น
ํ
ั ั
ลวดลายต่างๆ งดงาม ปจจุบนเป็ นปรางค์เก่าชํารุดมาก
กรมศิลปกรเคยสํารวจว่า
ปรางค์องค์ท ี (ปรางค์ทศใต้) สร้างเป็ นรูป เหลียม กว้าง วา ศอก สูง วา
ิ
ศอก ทับหลังของปรางค์สลักเป็นรูปพระนารายณ์ กร ทรงครุฑเหยียบหลังสิงห์ ตัว สิงห์คาบ
พวงมาลัยทําหน้าเป็ นเหราคาบนาคราช ตามฝาผนังประตูจําหลักเป็ นพระพุทธรูป และคน
คน
ปรางค์องค์ท ี (องค์กลาง) ทําด้วยอิฐกว้าง วา ศอก รูปกลม เหลียม สูง วา
ศอก กรอบประตูทําด้วยหินทราย ทับหลังสลักเป็ นรูปพระอินทร์ทรงช้างยืนอยู่บนแท่นเหนือ
เศียรเกียรติมข มีรปพวงมาลัยก้านขด และรูปเทพรําประกอบ
ุ ู
ปรางค์องค์ท ี (ปรางค์ทศเหนือ) สร้างเป็นรูป เหลียม กว้าง วา ศอก สูง วา
ิ
ศอก ทําด้วยศิลาแลงแทบทังองค์ประกอบด้วยอิฐเสริมเฉพาะตอนบนๆ กรอบประตูทําด้วยหิน
ทราย ศิลาทับหลังจําหลักเป็ นรูปพระลักษณ์ ถูกศรนาคบาศ เสาริมกรอบประตูสลักเป็ นพระปติ
มายืน(นางอัปสร) เสาหน้ าประตูทางเข้าทัง ข้างมีฐานบัวรองรับจําหลักเป็ นลวดลายประจํา
ยาม บัวลอย บัวหงายและบัวแก้ว
บริเวณหน้าปราสาทยังมีศลาจารึกจําหลักสวดลายต่างๆ ตกลงมากองอยู่ทเชิงฐานหลาย
ิ
ี
ชิน เช่น บัวหัวเสา คานรับซุมประตู และบัวยอดปรางค์ เป็นต้น
้
ั ั
ทีจริงปราสาทปรางค์กู่ทปรากฏในสายตาปจจุบน นอกจากจะอยู่ในสภาพทีชํารุดมาก
ี
แล้ว ศิลาทับหลังตลอดจนลวดลายสลักเสาต่างๆ ได้สญหายไปเกือบหมด บางส่วนกรมศิลปากร
ู
- 24. 25
ได้นําไปเก็บรักษาไว้ เช่น ศิลาทับหลังของปรางค์องค์ทศใต้จาหลักเป็ นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ
ิ ํ
กรมศิลปากรได้นําไปรักษาไว้ทหน่ วยศิลปากรพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บางส่วนถูกลักหรือมี
ี
การตกหล่นสูญหายจมดินบ้างก็ม ี
บริเวณรอบๆปราสาท องค์ มีสระนําขนาดเล็กขุดเป็นคูรอบทัง ด้าน ตรงกลางกันเป็ น
ดินทางเดินทัง ทิศ แบ่งคูนําออกเป็ นระเล็กๆทัง สาย หน้าปราสาทมีสระนํ าโบราณขนาด
ใหญ่กว้างประมาณ กิโลเมตร เป็ นทําเลทีพักหากินของนกพันธุต่างๆ โดยเฉพาะนกเป็ ดนํา ที
์
จะมาหากินสวนนีเป็นประจํา
ประวัติความเป็ นมา
ครูอน อดีตครูโรงเรียนบ้านกู่ ได้เล่าว่าการสร้างปราสาทบ้านกู่ หรือปราสาทกู่ ได้อ้างอิง
ิ
หนังสือเล่ มหนึงเขียนเป็ นภาษขอมโบราณ ได้จากนายแมว อินนุ ช อยู่อําเภอสังขะ จังหวัด
สุรนทร์ ว่าได้อ่านแล้วแปลคําในหนังสือได้ใจความว่า
ิ
เป็ นเรืองราวเกียวกับปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทบ้านระแงง อําเภอศรีขรภูม และ
ิ
ปราสาทบ้านกู่ ปราสาททัง แห่ง สร้างเวลาไล่เลียกัน โดยเริมสร้างปราสาทเขาพระวิหารและ
ปราสาทบ้านระแงงก่อน แล้วจึงเริมสร้างปราสาทบ้านกู่ ปราสาททัง แห่ง สร้างในสมัยขอม
เรืองอํานาจ เมือพันปีเศษ ทังนีเพือใช้ประกอบศาสนกิจทางศาสนาพราหมณ์ โดยผูเป็ นประธาน
้
อยู่หลังกลาง รองประธาน คนที อยู่ขวามือ คนที อยู่ซายมือ สระล้อมปราสาท ลึก ศอก
้
ขูด เพือนํ า นํ าในสระมาประกอบศาสนกิจ พิธ ีก ารประกอบศาสนกิจ จัดขึนทุ กปี เวลา วัน
หนังสือยังกล่าวว่า บ้านกู่เดิมแห้งแล้งจึงได้ขดสระขยายให้กว้างเพือกักเก็บนําไว้ใช้
ุ
จากคํากล่าวของครูอน เมือมีการตรวจค้ นหลักฐาน พบว่า ในบรรดาปราสาททัง แห่ง
ิ
ปราสาทหินพระวิหารเก่าแก่ทสุด
ี
ปราสาทหินพระวิหารสร้างราวพุทธศตวรรษที สมัยพระเจ้าสุรยวรมันที ได้เสด็จ
ิ
ครองราชสมบัตทเมืองเขมร ตังแต่ พ.ศ.
ิ ี
-
แม้พระองค์จะนับถือศาสนาฮินดู ลักธิ
ั
ไสวนิกาย แต่กมนําพระทัยฝกใฝ่ในพระพุทธสาสนา ดังทีจารึกส่วนหนึงของพระองค์เอยถึงพระ
็ ี
ศิวะ และพระพุทธเจ้า แต่หากดูตามฝี มอการก่อสร้าง ปราสาทหินพระวิหารก็อยู่ในราวกึงกลาง
ื
- 25. 26
ระหว่างศิลปะแบบปราสาทเกลียงและปราสาทบาปวน แน่นอนว่าสร้างขึนก่อนปราสาทหินพิมาย
และปราสาทนครวัด
ปราสาทศรีขรภูมจากทีผู้รศึกษาลวดลายศิลาทับหลังของปราสาทองค์กลางทีมีรูปหน้ า
ิ
ู้
เกียรติมข พอจะบอกไดว้าเป็นฝีมอของช่างรุนหลังชัยวรมันที ลงมา รัชกาลนีได้นําหน้าเกียรติ
ุ
ื
่
มุขหรือหน้ากาละแบบนีมาจากชาวบ้าน แต่เมือพิจารณาทังหมดแล้วประกอบกับรูปนางอัปสร
เห็นได้ชดว่าเป็นศิลปะรุนเดียวกับนครวัดสมัยสุรยวรมันที
ั
่
ิ
จากการสังเกตลวดลายของศิลาทับหลังบริเวณปราสาทปรางค์กู่ พบว่า มีการสลักลาย
เกียรติมุขหรือหน้ากาละ ปละนางอัปสร เช่นเดียวกับทีได้พบบริเวณปราสาทศรีขรภูมทําให้คด
ิ
ิ
ว่าปราสาททัง คงสร้างขึงในเวลาใกล้เลียกันจริง ข้อสังเกตอีกประการสําหรับลวดลายศิลาทับ
หลังทีได้พบบริเวณปราสาทกู่ คือ การทีศิลาทับหลังของปรางค์องค์กลาง สลักรูปพระอินทร์ทรง
ช้างยืนอยู่บนแท่นเหนือเศียรเกียรติมุข เป็ นลวดลายเกียวกับทีพบทีศิลาทับหลังของปรางค์
ประธาน บริเวณปราสาทหินวัดสระกําแพง อําเภออุทุมพรพิสย ตามประวัตศาสตร์ปราสาทหิน
ั
ิ
วัดสระกําแพง อาจจะสร้างขึนราว พ.ศ.
-
น่ าจะเข้าใจว่าปราสาทกู่ ได้สร้างขึนใน
เวลาใกล้เคียงกับปราสาทหินเขาพระวิหาร ปราสาทศรีขรภูม และปราสาทหินวัดสระกําแพง
ิ
ตามทีครูอนได้อางอิงตามหนังสือขอม
ิ
้
ั
สําหรับปญหาทีว่าสร้างขึนเพืออะไร น่ าจะสันนิษฐานได้ว่าเพือใช้เป็ นเทวสถานในลัทธิ
ศาสนาพราหมณ์ พร้อมๆกับใช้เป็นพุทธศาสนสถาน เพราะมีการพบลวดลายสลักต่างๆ
แม้ว่าการพบรูปพระอินทร์ทรงช้าง น่ าจะเป็ นเรืองศาสนาพุ ทธ แต่มการค้นคว้าอย่าง
ี
ละเอียดพบว่าพระอินทร์ก็มส่ วนเกียวข้องกับศาสนาพราหมณ์อยู่มาก และมีเรืองเล่าก็มากว่า
ี
พระอินทร์เป็ นเทพพระเจ้าทีสําคัญองค์หนึงในยุคไตรเทพ มีกายสีแดงหรือทองแดง ต่อมาชัน
หลังกลายเป็ นสีเขียว อาวุธประจําคือ วัชระ ศร และขอยานพาหนะทีโปรดคือรถทรงเทียนด้วย
ม้าคู่สแดง โปรดเสวยนําโสม พระอินทร์ตามศาสนาของพราหมณ์เป็ นใหญ่ในดินฟ้าและอากาศ
ี
กํากับฤดูกาล เป็นหัวหน้าเทวดามีอํานาจและกล้าหาญ เคยรบชนะพฤตาสูรย์ผบนดาลความแล้ง
ู้ ั
อาจกล่าวถึงประวัตปราสาทปรางค์กู่ว่า คงจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที – ในเวลาไล่เลีย
ิ
กับปราสาทหินเขาพระวิหาร ปราสาทศรีขรภูม ิ และปราสาทวัดสระกําแพงใหญ่ เพือไว้เทวสถาน
ในลัทธิศาสนาพราหมณ์ พร้อมๆกับใช้เป็นพุทธศาสนสถานในเวลาเดียวกัน
- 26. 27
ลักษณะรูปแบบศิ ลปะภายในปราสาท
ภาพที - - ทับหลังของปรางค์สลักเป็นรูปพระนารายณ์
ทีมา : http://commons.wikimedia.org
ทับหลังของปรางค์สลักเป็ นรูปพระนารายณ์ กร ทรงครุฑเหยียบหลังสิงห์ ตัว สิงห์
คาบพวงมาลัยทําหน้าเป็นเหราคาบนาคราช
ภาพที - - ทับหลังของปราสาทสลักเป็นรูปวานร
ทีมา : http://commons.wikimedia.org
ทับหลังของปรางค์สลักเป็นรูปวานรกําลังจับพระนารายณ์ ตามเนือเรืองของมหากาพย์ รา
มายณะ
- 27. 28
. ปราสาทสระกําแพงน้ อย อาเภออุทมพรพิ สย จงหวัดศรีสะเกษ
ํ
ุ
ั ั
ภาพที - - ปราสาทสระกําแพงน้อย
ทีมา : http://www.archae.su.ac.th/art_in_thailand
ทีตังและลักษณะ
ปราสาทกําแพงน้อย ตังอยูทริมถนนสายศรีสะเกษ – อุทุมพรพิสย ในเขตบ้านหนองหญ้า
่ ี
ั
ปล้อง ตําบลหนองหญ้าปล้อง อําเภอเมืองศรีสะเกษ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดศรีสะเกษไปทางทิศ
ตะวันตกประมาณ กิโลเมตร
บริเวณปราสาทแต่เดิมเป็ นปราสาทรกทึกมีเถาวัลย์และต้นไม้ปกคลุมอยู่ทวไป เป็ นที
ั
ั ั
อาศัยของลิงและชะนีเป็ นจํานวนมาก ปจจุบนค่อนข้างจะโล่งเตียน แต่มต้นไม้ใหญ่หลงเหลืออยู่
ี
บ้าง มีวดและพระภิกษุจําพรรษาอยู่โดยมีพระคุณเจ้าทองสด อตฺ ถภาโม บ้านเดิมอยู่ทบ้านข่า
ั
ี
อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี ธุดงค์มาจําพรรษาอยู่ก่อนเดือนสิงหาคม พ.ศ.
ในการมาจําพรรษาอยู่ทวัดสระกําแพงน้อยแห่งนี พระคุณเจ้าได้เล่าให้คณะค้นคว้าและศึกษา
ี
ั
โบราณคดีฟงว่า ท่านได้นิมตเห็นพระภูมเจ้าทีทีรักษาปราสาทเป็ นชายรูปร่างสูงดําใหญ่ มาก
ิ
ิ
กล่าวว่าหากจะอยู่บูรณะปราสาทนีจริง ก็ขอให้อธิษฐานจิตให้แน่ วแน่ และให้รบปากว่าจะมาอยู่
ั
บูรณะด้วยความจริงใจ และยังขอให้ท่านบอกผู้ทจะเข้าชมปราสาทให้แสดงความคารวะ โดย
ี
ขอให้บอกกล่าวให้ทราบเสียก่อนทีจะเข้าไปในบริเวณปราสาท ความจริงทางจังหวัดศรีสะเกษ
เคยคิดและพยายามจะบูรณะปราสาทแห่งนีมาครังหนึงแล้วในปี พ.ศ. แต่ยงไม่สามารถที
ั
จะดําเนินการได้ บริเวณปราสาทแห่งนีจึงยังคงเป็ นทีรกทึกเต็มไปด้วยเถาวัลย์พนธุไม้ต่างๆ จน
ั ์
- 28. 29
กระทัง พ.ศ.
หลังจากทีพระภิกษุ ทองสด อตฺ ถ ภาโม มาจําพรรษาอยู่ไม่นาน บริเ วณ
ั ั
ปราสาทก็สะอาดสะอ้าน โล้งเตียนขึนมากดังปรากฏแก่สายตาในปจจุบน
ลักษณะของปราสาทสระกําแพงน้อย ประกอบด้วยกําแพงรู ปสีเหลียมผืนผ้าก่อด้วนศิลา
แลงขนาด . * . เมตร สูง . เมตร ทางด้านทิศตะวันออกมีซุ้มประตูทางเข้า กรอบ
ประตูทาด้วยหินทรายตัวซุมประตูทาด้วยแลงวางซ้อนกันเป็ นชันๆขึนไปเป็ นรูปหน้าจัว ด้านข้าง
ํ
้
ํ
มีหน้ าต่างเตียๆ กรอบหน้ าต่างและลูกกรงหน้าต่างทําด้วยหินทรายลูกกรงมีลวดลายราวกับ
ได้ร ับ การกลึง เกลามาอย่ า งดี ซุ้ม ประตู ท างเข้า ทีข นาด . * . เมตร ทางด้า นทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้นอกบริเวณประตูทางเข้าปรากฏว่ามีศลาทับหลังแผ่นหนึงตกลงมากองอยู่กบ
ิ
ั
พืนหรืออาจจะถูกคนร้ายเคลือนย้ายมาวางไว้ทพืนนอกบริเวณปราสาทก็เป็ นได้ ศิล าทับหลังนี
ี
สลักเป็ นลวดลายพญานาคกําลังแผ่พงพาน พญานาคตรงกลางเป็ นรูปสลักใหญ่กว่าด้านข้างทัง
ั
ั ั
สองด้วย กําแพงทีล้อมรอบตัวปราสาทปจจุบนสลักหักพังเป็ นตอนๆ แต่ยงคงเหลือร่องรอยให้
ั
เห็นอย่างชัดเจน ส่วนซุมประตูทางเข้าทิศตะวันออกก็สลักหักพังเกือบหมดเช่นกัน
้
ถัดจากซุ้มประตูเข้าไปทางทิศ ตะวันตกมีปรางค์ประธานรูปสีเหลียมย่อมุมกว้าง .
เมตร สูงประมาณ เมตร มีประตูเข้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก กรอบประตูและเสาทําด้วย
หินทราย เสาประตูสลักเป็ นลวดลายและมีลกษณะเป็ นเสารูปแปดเหลียม ข้างในเป็ นห้องแคบๆ
ั
ั ั
มืดทึบ เดิมทีหน้ าประตูเ ป็ นมุขยืนออกมายาว . เมตร ปจจุบนมุขทียืนออกมานันได้ถู ก
คนร้ายทําลายจนหมดสิน ยังคงเหลือแต่แนวแลงทีปูพนยืนยาวออกมาเท่านัน ส่วนทางด้านทิศ
ื
ตะวันตกของปรางค์ป ระธานมีร่อ งรอยว่ า เป็ น ประตูห ลอก ซึงแนวของประตูนันได้เ อีย งไป
เนืองจากปรางค์ทรุดตัวและเอียงเอนมาทางทิศเหนือ
ด้า นทิศ ใต้เ ป็ นวิห ารหน้ า ก่ อ ศิล าแลงขนาด . * . เมตร มีประตู เ ข้า ออกทางทิศ
ั ั
ตะวันตก ศิลาจําหลัก เป็ นรูปพระวรุณเทพนังแท่นมีห งส์แ บก ตัว แต่ ปจจุบนนี วิหารได้ถู ก
ทําลายลงอย่างสินเชิงรวมทังศิลาทับหลังดังกล่าวด้วย เดิมทีซากวิหารหน้านี มีแท่นฐานศิวลึงค์
ั ั
จึง ถู ก นํ าไปทิงไว้ใ กล้ๆ กํ าแพงนอกปราสาท แต่ ปจจุบน นี ไม่เ หลือ ร่อ งรายของแท่ น ศิว ลึง ค์
ดังกล่าว
ตรงปลายสุดของแท่นศิลาแลงทีปูพนยืนยาวออกจากปรางค์ประธานด้านทิศตะวันออก
ื
ปรากฏว่ามีแผ่นแลงวางกองกันขึนเป็นแนว (เข้าใจว่าเป็ นแนวของใหม่) เดิมเคยมีแท่นยกสูงขึน
เป็ นชันๆ กว้า งยาวประมาณด้า นละ เมตร ตรงกลางแท่ นมีเ สาหินทรายตังอยู่ ต้น สูง
- 29. 30
ประมาณ เซนติเมตร แท่นนีมีพระพุทธรูปหินองค์ใหม่มาตังไว้แทน และสร้างศาลเพียงตา
ั ั
ครอบไว้ มีผูนําดอกไม้ธูปเทียนไปสักการะเป็ นประจํา ปจจุบนนีไม่มศาลเพียงตา หากมีการก่อ
้
ี
เสาปูนขึน ด้าน และมีหลังคาทรงตัดตรงทําด้วยปูนซีเมนต์ คงจะเพือประโยชน์ในการคุมแดด
้
คุมฝนแก่พระพุทธรูปทีเอามาตังไว้ใหม่เหล่านัน
้
เยืองบริเวณปราสาทไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีสระโบราณขนาดกว้าง เมตร ยาว
เมตร อยู่ สระ ขอบสระทําด้วยแลงวางเป็ นชันๆลึกลงไปนอกจากสระเล็กแห่งนีแล้ว ห่าง
จากปราสาทไปทางทิศตะวันออกประมาณ เมตร มีสระขนาดใหญ่อกสระหนึง ซึงคงจะสร้าง
ี
พร้อมๆ กับปราสาท สระเป็นรูปสีเหลียมผืนผ้า กว้างประมาณ เมตร ยาว เมตร มีนําขัง
ตลอดทังปีสองสระ รอบๆสระใหญ่มต้นไม้ขนปกคลุมอยู่ทวไปทําให้รอบๆบริเวณมีอากาศทีร่ม
ี
ึ
ั
รืน เป็ น ทีสัง เกตว่ า มีล ก ษณะของสระใหญ่ นี มีค วามโค้ง จากทิศ ตะวัน ออกเฉี ย งใต้ไ ปยัง ทิศ
ั
ตะวันออกเฉียงเหนือ มีสภาพคล้ายๆกับคูเมืองโบราณทําให้น่าทีจะสันนิษฐานได้ว่าบริเวณ
ปราสาทสระกําแพงน้อยแห่งนี คงจะเป็ นชุมชนชายแดนโบราณแห่ งหนึงทีตกอยู่ภายใต้อทธิพล
ิ
ของขอม และเป็นชุมชนทีมีอายุยนยาวมานานพอสมควรทีเดียว
ื
ประวัติความเป็ นมา
สันนิษฐานว่าปราสาทสระกําแพงน้อยคงจะสร้างในราวพุทธศตวรรษที ในรัชสมัยของ
พระเจ้าชัยวรมันที แห่งอาณาจักรนครหลวง (นครธม) และเป็นศิลปะแบบบายน
ตามพงศาวดารเขรมกล่ า วว่ า พระชัย วรมัน ที ทรงเป็ น พระราชโอรสของพระเจ้า
ธรณินวรมันที ครองราชย์อยู่ระหว่าง พ.ศ.
ทรงได้รบการยกย่องว่าเป็ นกษัตริย์
ั
นักธรรมและนักสร้าง
ในสมัยของพระเจ้าสุรยวรมันที ผูทรงสร้างปราสาทนครวัด พระองค์ได้ เคยแผ่พระราช
ิ
้
อํานาจและอาณาเขตไปยังอาณาจัก รจํา ปา จนในทีสุ ด อาณาจักรจําปาได้ถู กผนวกเข้าเป็ น
ดินแดนส่วนหนึงของขอมเมือปี พ.ศ. นอกจากนียังมีหลักฐานแสดงว่าพระองค์ได้แผ่อาณา
เขตและบุญญาบารมีมาทางตะวันตกถึงลํานํ ามูลและละโว้ แล้วข้ามไปจรดเขตของอาณาจักร
พุกามในพม่า ส่วนทางทิศใต้จดไชยา แต่ครันเมือกษัตริย์องค์นีสวรรณคตไปแล้ว อํานาจของ
ขอมครองอาณาจักรขอมก็เริมเสือมลงจนกระทังล่วงมาอีกหนึงรัชกาล พวกจามก็ยดเขรมได้
ึ