Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie เอกสารประกอบการสอนบทที่ 1 (20)
เอกสารประกอบการสอนบทที่ 1
- 1. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
บทที ่ 1 บทนำ า และการเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล
- ความหมายของสถิติ
- ข้อมูลและการจำาแนก
- แหล่งข้อมูลและวิธีการเก็บข้อมูล
- การสุ่มตัวอย่างและเทคนิคการสุ่มตัวอย่าง
แบบทดสอบบทที่ 1
1. ความหมายของสถิ ต ิ
สถิ ต ิ (STATISTICS)
ขอบข่ายของความหมายของคำาว่า “สถิต” มีหลายประเด็นและได้
ิ
ขยายกว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็วจนถึงศตวรรษที่ 20 จากสถิติที่มี
ความหมายถึงข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารของรัฐแล้ว สถิติได้พัฒนาเป็น
ข้อมูลแสดงสภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ข้อมูลที่เป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึง
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่สนใจ แนวทางในการดำาเนินธุรกิจ เช่น ข้อมูล
เกี่ยวกับการอากาศยาน ซึ่งจะมีข้อมูลที่จำาเป็นมากมาย ได้แก่ เกี่ยวกับ
ภูมิอากาศ เกี่ยวกับสภาพภูมิประเทศ เกี่ยวกับสภาพของผู้โดยสาร หรือ
ข้อมูลทางการแพทย์ เหล่านี้เป็นต้น จนกระทั่งถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการ
ทางสถิติศาสตร์ก็มีการพัฒนามากยิ่งขึ้นและเกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ
เกือบทั้งหมด สถิติศาสตร์จึงมีความสำาคัญมากขึ้นพร้อม ๆ กับการ
เปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบันที่มีความสลับซับซ้อน เพราะยิ่งสังคมมี
ความสลับซับซ้อนมากขึ้นเพียงไร ก็ยิ่งมีความจำาเป็นต้องทำาการเก็บ
ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมมากขึ้นนั่นเอง เพื่อทำาความเข้าใจในสังคมนั้นอย่าง
ลึกซึ้ง ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำาให้เราต้องทราบข้อเท็จจริง และความเป็น
ไปของสังคม จึงจำาเป็นต้องใช้เครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งช่วยในการ
ตัดสินใจ เครื่องมือนี้ก็คือ สถิติ ตัวอย่างเช่น เทคนิคว่าด้วยการสุ่ม
ตัวอย่าง และการประมาณข้อมูลจากตัวอย่างได้ถูกนำามาใช้อย่างกวาง
ขวางในการเก็บรวบรวมข้อมูลระดับชาติและการรวบรวมข้อมูลเพื่อการ
วิเคราะห์วิจัยในส่วนที่สนใจ
สถิติจัดได้ว่าเป็นทั้งวิทยาศาสตร์ และศิลปะ เช่นเดียวกับ
คณิตศาสตร์ โดยจะประกอบด้วย กระบวนการที่จะทำาให้ได้ข่าวสารต่าง
ๆ ในเรื่องที่ต้องการจะศึกษา การจัดเป็นหมวดหมู่และการนำาเสนอ ซึ่งมี
ส่วนของศิลปะมาผสมผสานด้วย และในส่วนที่เป็นกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ จะประกอบด้วยขั้นตอนที่จะทำาให้ได้ค่าสังเกตต่าง ๆ ที่เรา
ต้องการศึกษาอย่างเหมาะสม มีเหตุมีผลสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้นจึงมี
รูปแบบในการวัด หรือการสังเกตมากมาย
- 2. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ความหมายของสถิติ
คำาว่า “สถิต” มาจากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า “statistics” ซึ่งมี
ิ
รากศัพท์มาจากคำาว่า “state” ดังนั้นตามความหมายดั้งเดิม สถิติ จึง
หมายถึง ข้อมูลหรือข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐในด้านต่างๆ เช่น
ข้อมูลในการวางแผนกำาลังคน การเก็บภาษีอากร การประกันสังคม การ
จัดการศึกษา และการสาธารณสุข เป็นต้น ต่อมาคำาว่า สถิติ มีความ
หมายกว้างขวางขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน สถิติมีความหมายต่างๆ ดังนี้
1. สถิติ ในความหมายของ “ข้อมูลสถิต” หมายถึง ตัวเลขที่
ิ
ใช้แทนข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆ เช่น สถิติการเข้าชั้นเรียน ปริมาณการ
ขายสินค้า สถิติจำานวนบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
2. สถิติ ในความหมายของ “ระเบียบวิธีการทางสถิต” ิ
หมายถึง ระเบียบวิธีการทางสถิติ ซึ่งประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล
การนำาเสนอข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการแปลความหมายข้อมูล
ดังนั้นสถิติตามความหมายนี้จึงเป็นเครื่องมือสำาคัญของนักวิจัย นัก
วิชาการ และนักบริหาร
3. สถิติ ในความหมายของ “ค่าสถิต” หมายถึง ค่าตัวเลขที่
ิ
คำานวณได้จาก ข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง (Sample data) เช่น ค่าเฉลี่ย
เลขคณิต ( X ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เป็นต้น
4. สถิติ ในความหมายของ “วิชาสถิต” หมายถึงวิชา
ิ
วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาและรากฐานมาจากวิชาคณิตศาสตร์
(Mathematics) และตรรกวิทยา (logic) โดยสถิติเป็นศาสตร์ของการ
ตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน
สถิติ หมายถึง ข้อมูลตัวเลขที่ใช้แทนข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆ
หรืออาจหมายถึงวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล แปลความหมายของข้อมูล
การเปรียบเทียบ การจัดลำาดับและนำาเสนอข้อมูล
ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง ส ถิ ติ
นักคณิตศาสตร์ได้แบ่งสถิติในฐานะที่เป็นศาสตร์ออกเป็นสาขา
ใหญ่ ๆ 2 สาขาด้วยกัน คือ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics)
และการอนุมานเชิงสถิติ หรือ สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics)
ซึ่งแต่ละสาขามีรายละเอียดดังนี้
- 3. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
1.สถิ ต ิ พ รรณนา (Descriptive Statistics) หมายถึง การ
บรรยายลักษณะของข้อมูล (Data) ที่ผู้วิจัยเก็บรวบรวมจากประชากร
หรือกลุ่มตัวอย่างที่สนใจ ซึ่งอาจจะแสดงในรูป ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน
ฐานนิยม ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความแปรปรวน เป็นต้น
2.สถิ ต ิ เ ชิ ง อนุ ม าน (Inferential Statistics) หมายถึง สถิติที่ว่า
ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมาจากกลุ่มตัวอย่าง เพื่ออธิบายสรุป
ลักษณะบางประการของประชากร โดยมีการนำาทฤษฎีความน่าจะเป็นมา
ประยุกต์ใช้ สถิติสาขานี้ ได้แก่ การประมาณค่าทางสถิติ การทดสอบ
สมมุติฐานทางสถิติ การวิเคราะห์การถดถอยและสหสัมพันธ์ เป็นต้น
2. ข้ อ มู ล และการจำ า แนก
ข้ อ มู ล
ข้อมูล(Data) หมายถึง ข้อมูลหรือตัวเลขที่แสดงคุณสมบัติที่ผู้วิจัย
ต้องการศึกษา เช่น อายุ รายได้ ยอดขาย เป็นต้น
ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง ข้ อ มู ล
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมา ไม่ว่าจะใช้ในงานวิจัย หรือวัตถุประสงค์อื่น
ใดก็ตาม ย่อมมีลักษณะแตกต่างกันไป โดยการจำาแนกข้อมูล อาจ
จำาแนกตามเกณฑ์ใหญ่ ๆ ได้ 3 ประการ คือ จำาแนกตามแหล่งข้อมูล
จำาแนกตามลักษณะของข้อมูล และจำาแนกตามมาตรการวัด เป็นต้น
จำ า แนกตามแหล่ ง ข้ อ มู ล
1. ข้ อ มู ล ปฐมภู ม ิ (Primary Data) หมายถึง ข้อมูลที่ผู้วิจัยเป็นผู้
เก็บรวบรวมข้อมูลที่สนใจเอง โดยที่อาจจะใช้วิธีเก็บแบบสอบถาม แบบ
สัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น
2. ข้ อ มู ล ทุ ต ิ ย ภู ม ิ (Secondary Data) หมายถึง ข้อมูลที่ผู้วิจัย
ไม่ได้เป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลที่สนใจเอง โดยนำาข้อมูลที่ผู้อื่น ๆ เก็บมา
ใช้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานที่กระทรวงแรงงานรวบรวมไว้
เป็นต้น
จำ า แนกตามลั ก ษณะของข้ อ มู ล
1.ข้ อ มู ล เชิ ง ปริ ม าณ (Quantitative Data) หมายถึง ข้อมูลที่
สามารถแสดงในรูปตัวเลขได้ เช่น นำ้าหนัก อายุ คะแนน จำานวนสินค้า
งบประมาณ จำานวนพนักงานในบริษัท เป็นต้น ข้อมูลเชิงปริมาณยังแบ่ง
ได้ ๒ ประเภท คือ
- 4. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
1.1 ข้ อ มู ล แบบต่ อ เนื ่ อ ง (Continuous Data) หมายถึง
ข้อมูลที่มีค่าต่าง ๆ ทุกค่าต่อเนื่องกัน โดยแสดงได้ทั้งเศษส่วนหรือตัวเลข
ที่เป็นจำานวนเต็ม เช่น ส่วนสูง นำ้าหนัก ความยาวของโต๊ะ
1.2 ข้ อ มู ล แบบไม่ ต ่ อ เนื ่ อ ง (Discrete Data) หมายถึง
ข้อมูลที่มีค่าเป็นจำานวน
เต็มหรือจำานวนนับ เช่น ค่าใช้จ่าย จำานวนสินค้า งบประมาณ จำานวน
พนักงานในบริษัท
2.ข้ อ มู ล เชิ ง คุ ณ ภาพ (Qualitative Data) หมายถึง ข้อมูลที่ไม่
สามารถแสดงในรูปตัวเลขได้ หรือ อาจจะแสดงในรูปตัวเลขได้แต่ไม่
สามารถคำานวณในเชิงปริมาณได้ เนื่องจากตัวเลขเหล่านั้นไม่สามารถ
อธิบายได้ เช่น เพศ สถานภาพ วุฒิการศึกษา เป็นต้น
จำ า แนกตามมาตรการวั ด
1. นามบั ญ ญั ต ิ (Nominal Scales) คือระดับของข้อมูลที่เป็นการ
กำาหนดชื่อหรือแบ่งแยกประเภทของสิ่งต่าง ๆ เช่น เบอร์โทรศัพท์
ห้องเรียน อาคารเรียน บ้านเลขที่ เป็นต้น
2. เรี ย งลำ า ดั บ (Ordinal Scales) คือระดับของข้อมูลที่สามารถ
จัดลำาดับความสำาคัญของข้อมูลตามความแตกต่างได้ เช่น ชอบมาก
ชอบปานกลาง ชอบน้อย ไม่ชอบ เป็นต้น
3. อั น ตรภาค (Interval Scales) คือระดับของข้อมูลที่สามารถ
บอกถึงปริมาณของความแตกต่างของข้อมูลได้ แต่ไม่มีศูนย์แท้ เช่น
อุณหภูมิ คะแนนสอบวัดความรู้ ความสูง เป็นต้น
4. อั ต ราส่ ว น (Ratio Scales) คือระดับของข้อมูลที่เป็นการบอก
ถึงปริมาณความแตกต่างของข้อมูลที่มีรายละเอียดมากที่สุดและมีศูนย์
แท้ เช่น ระยะทาง นำ้าหนัก ความเร็ว เป็นต้น
ลักษณะของข้อมูลที่เก็บแบ่งเป็น 2 ลักษณะ
1. ข้ อ มู ล ที ่ ไ ม่ ไ ด้ แ บ่ ง กลุ ่ ม (ungrouped Data) เป็นข้อมูลที่
เก็บจากลักษณะของแต่ละหน่วยประชากร หรือ หน่วยตัวอย่าง เช่น
ข้อมูลอายุของคนกลุ่มหนึ่ง 15 , 18 , 20 , 25 , 23 , 14 , 22 ปี เป็นต้น
2. ข้ อ มู ล ที ่ แ บ่ ง กลุ ่ ม (grouped Data) เป็นข้อมูลที่จัดแบ่ง
เป็นกลุ่ม ๆ เป็นอันตรภาคชั้น เช่น อายุของคนกลุ่มหนึ่ง คือ
15-20,21-26,27-32 ปี เป็นต้น
3. แหล่ ง ข้ อ มู ล และวิ ธ ี ก ารเก็ บ ข้ อ มู ล
แหล่ ง ที ่ ม าของข้ อ มู ล (Source of Data)
- 5. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ข้อมูลสถิติอาจจำาแนกตามแหล่งที่มาได้ 2 ทาง คือ
• ข้ อ มู ล ปฐมภู ม ิ (Primary Data) เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้หรือหน่วยงานที่
ใช้เป็นผู้ทำาการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอาจ
ใช้วิธีการสัมภาษณ์ การทดลอง หรือการสังเกตการณ์ ข้อมูลปฐมภูมิเป็น
ข้อมูลที่มีรายละเอียดตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ แต่มักจะเสียเวลาในการ
จัดหาและมีค่าใช้จ่ายสูง
• ข้ อ มู ล ทุ ต ิ ย ภู ม ิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ได้เก็บ
รวบรวมเอง แต่มีผู้อื่นหรือ หน่วยงานอื่นๆ ทำาการเก็บรวบรวมไว้แล้ว
เช่น จากรายงาน ที่พิมพ์แล้ว หรือยังไม่ได้พิมพ์ของ หน่วยงานของ
รัฐบาล สมาคม บริษัท สำานักงานวิจัย นักวิจัย วารสาร หนังสือพิมพ์
เป็นต้น การนำาเอาข้อมูลเหล่านี้มาใช้เป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้
จ่าย แต่ในบางครั้งข้อมูลอาจจะไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ หรือมี
รายละเอียดไม่เพียงพอที่จะนำาไปวิเคราะห์ นอกจากนี้ในบางครั้ง ข้อมูล
นั้นอาจมีความผิดพลาดและผู้ใช้มักจะไม่ทราบข้อผิดพลาดดังกล่าว ซึ่ง
อาจมีผลกระทบต่อการสรุปผล ดังนั้น ผู้ที่จะนำาข้อมูลทุติยภูมิมาใช้ควร
ระมัดระวังและตรวจสอบคุณภาพข้อมูลก่อนที่จะนำาไปวิเคราะห์
วิ ธ ี ก ารเก็ บ ข้ อ มู ล
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ ในทางปฏิบัติอาจทำาได้หลายวิธี คือ
1. วิธีการสัมภาษณ์จากผู้ให้คำาตอบโดยตรง (Personal interview
หรือ Face to face interview) เป็นวิธีการที่ส่งเจ้าหน้าที่หรือพนักงาน
ออกไปสัมภาษณ์ผู้ให้คำาตอบ และบันทึกคำาตอบลงในแบบข้อถาม วิธีนี้
นิยมใช้กันมากในการทำาสำามะโนและสำารวจ โดยเฉพาะอย่างยิงกับ ่
สภาพการณ์ของประเทศไทย เป็นวิธีการที่จะทำาให้ได้ข้อมูลที่ละเอียด
พนักงานสัมภาษณ์สามารถชี้แจงหรืออธิบายให้ ผู้ตอบเข้าใจในคำาถาม
ได้ ทำาให้ได้รับคำาตอบตรงตามวัตถุประสงค์ แต่การที่จะให้ได้คำาตอบที่
ดี ก็ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น วิสัยสามารถของผู้ตอบที่จะเข้าใจ
คำาถาม ความตั้งใจของผู้ตอบและความสุจริตใจที่จะให้คำาตอบ ความ
สามารถของพนักงาน ทีจะสัมภาษณ์ได้อย่างละเอียดครบถ้วน และ
่
บันทึกคำาตอบอย่างถูกต้อง และที่สำาคัญที่สุดคือ ความซื่อสัตย์สุจริต
ของพนักงานสัมภาษณ์ที่จะไม่กรอกข้อมูลเอง ซึ่งในทางปฏิบัติก่อนที่
จะส่งเจ้าหน้าที่หรือพนักงานออกไปปฏิบัติงาน จะต้องทำาการอบรม
ชี้แจงให้เข้าใจถึงขั้นตอนการสัมภาษณ์ ตลอดจนวัตถุประสงค์ของ
- 6. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
โครงการ คำาจำากัดความหรือความหมายของคำาต่างๆ ที่ใช้ในแบบข้อ
ถาม การกรอกแบบข้อถาม ซึ่งรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ ได้กำาหนดไว้ใน
คู่มือการปฏิบัติงานเก็บรวบรวมข้อมูล
2. วิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone)
เป็นวิธีการที่อาจทำาได้อย่างรวดเร็ว และทุ่นค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องเดิน
ทาง แต่มีขอบเขตจำากัด คือใช้ได้เฉพาะผู้ที่มีโทรศัพท์เท่านั้น คำาถามที่
ถามจะต้องสั้นและเข้าใจง่าย วิธีนี้จึงใช้ในการเก็บรวบรวมทีรายการข้อ
่
ถามไม่มากนัก ประมาณ 1 – 2 รายการ จึงมักใช้รวมกับวิธีอื่น หรือใช้ใน
่
การทวงถามใบแบบข้อถาม หรือสอบถามเพิ่มเติมเมื่อมีข้อสงสัย เกี่ยว
กับคำาตอบ หรือไม่ได้รับคำาตอบในบางรายการ หรืออาจใช้ในการตรวจ
สอบการทำางานของพนักงาน
3. วิธีการให้พนักงานไปทอดแบบไว้ให้ผู้ตอบกรอกข้อมูลเอง
(Self enumeration) วิธีนี้พนักงานจะนำาแบบข้อถามไปมอบไว้ให้กับผู้
ตอบ โดยอธิบายถึงวิธีการกรอกเท่าที่จำาเป็น ผู้ตอบจะต้องกรอกแบบ
ข้อถามเอง พนักงานจะกลับไปรับแบบข้อถามที่กรอกข้อมูลแล้วในวันที่
กำาหนด ในขณะเดียวกันพนักงานจะต้องทำาการตรวจสอบความถูกต้อง
และความครบถ้วนของข้อมูลที่กรอกแล้ว ถ้าผิดพลาดหรือ ไม่ครบถ้วน
จะต้องสัมภาษณ์เพิ่มเติม วิธีนี้เหมาะที่จะใช้กับผู้ที่ มีการศึกษาพอที่จะ
อ่าน เขียน เข้าใจคำาถามได้ สำาหรับประเทศไทยระดับการศึกษาและการ
ให้ความร่วมมือของประชากรยังแตกต่างกันมาก ฉะนั้นจึงเหมาะสมที่จะ
ใช้กับงานบางโครงการเท่านั้น แบบข้อถามที่จะใช้วิธีนี้จะต้องมีคำาถามที่
เข้าใจง่าย มีคำาอธิบายอย่างชัดเจน และการกรอกแบบข้อถามต้องไม่ยง ุ่
ยาก
4. วิธีการส่งแบบข้อถามให้ผู้ตอบทางไปรษณีย์ (Mailed
questionnaire) เป็นวิธีที่ส่งแบบข้อถาม ให้ผู้ตอบทางไปรษณีย์ และให้
ผู้ตอบส่งแบบข้อถามที่กรอกข้อมูลแล้วกลับคืนมาทางไปรษณีย์เช่น
เดียวกัน วิธีนี้คล้ายกับการทอดแบบ แต่ต่างกันตรงที่ส่งแบบทาง
ไปรษณีย์ เป็นวิธีการที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะเสียเพียงค่า
แสตมป์แทนค่าใช้จ่ายของพนักงานสนาม โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ที่จะให้
คำาตอบอยู่กระจัดกระจายกันมาก ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่จะส่งพนักงานสนาม
ไปทำาการสัมภาษณ์ได้ ในกรณีที่ผู้ตอบเห็นความสำาคัญของข้อมูล
ข้อมูลทีได้อาจมีคุณภาพดีกว่าข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เพราะผู้ตอบ
่
มีเวลาคิด ก่อนตอบ และไม่ต้องตอบภายใต้สภาวะการณ์เร่งรีบของ
พนักงานสัมภาษณ์ แต่วิธีนี้ก็มีข้อเสียที่มักจะมีอัตราการไม่ตอบ (non-
response rate) สูง วิธีนี้มีข้อจำากัดในการใช้คือ
- 7. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
• แบบต้องไม่ยากและไม่ยาวเกินไป
• ใช้ในประเทศทีมีบริการไปรษณีย์ดี
่
• ผู้ตอบต้องสามารถอ่านคำาถาม และข้อสั่งชี้แจงได้เข้าใจ
• ต้องใช้เวลาคอยจนกว่าจะได้รับแบบครบจำานวนที่ต้องการ และบางที
ต้องมีการทวงถามหลายครั้ง
• ถ้าคำาตอบไม่ชัดเจน ต้องเสียเวลาถามซำ้าโดยวิธีการอื่น
5. วิธีการสังเกตการณ์ (Observation) เป็นวิธีเก็บข้อมูลโดยการ
สังเกตโดยตรงจากปฏิกิริยา ท่าทาง หรือเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ ที่
เกิดขึ้นในขณะใดขณะหนึ่ง และจดบันทึกไว้โดยไม่มีการสัมภาษณ์ วิธีนี้
ใช้กันอย่างกว้างขวางในการวิจย เช่น จะศึกษาดูปฏิกิริยาของผู้ขับ
ั
รถยนต์บนท้องถนนภายใต้ สภาพการณ์จราจรต่าง ๆ กัน ก็อาจจะส่งเจ้า
หน้าที่ไปยืนสังเกตการณ์ได้ การสังเกตจำานวนลูกค้าและบันทึกปริมาณ
การขายของสถานประกอบการ โดยพนักงานเก็บภาษีของกรมสรรพากร
เพราะการไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการถึงปริมาณการขาย ย่อมไม่ได้
ข้อมูลทีแท้จริง
่
6. วิธีการบันทึกข้อมูลจากการวัดหรือนับ วิธีนี้จะมีอุปกรณ์เพื่อใช้ใน
การวัดหรือนับตามความจำาเป็นและความเหมาะสม เช่น การนับจำานวน
รถยนต์ที่แล่นผ่านที่จุดใดจุดหนึ่ง ก็อาจใช้เครื่องนับโดยให้รถ แล่นผ่าน
เครื่องดังกล่าว หรือ การเก็บข้อมูลด้วยการวัด เช่น การเก็บข้อมูลเกี่ยว
กับขนาดของ แปลงเพาะปลูก พืช ทำาได้โดยการวัดความยาวของแต่ละ
ด้าน เพื่อคำานวณหาพื้นที่ตามหลักเกณฑ์การหาพื้นที่ เป็นต้น
การรวบรวมข้อมูล ( Data Compilation )
หมายถึง การนำาเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้อื่นได้ทำาการเก็บรวบรวมมาแล้ว
และได้รายงานหรือมาทำาการศึกษาวิเคราะห์ต่อ
4. การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งและเทคนิ ค การสุ ่ ม ตั ว อย่ า ง
การวิจัยทางสังคมศาสตร์จำาเป็นต้องอาศัยวิธีวิทยาศาสตร์ในการคัด
เลือกกลุ่มเป้าหมายที่จะทำาการศึกษาซึ่งสามารถทำาได้โดยการอาศัยการ
สุ่มตัวอย่าง (Sampling) การสุ่มตัวอย่างเป็นการคัดเลือกจากประชากร
ทั้งหมด โดยสุ่มตัวอย่างมาเพียงส่วนหนึ่ง เป็นตัวแทนของประชากร
ทั้งหมดเพื่อนำามาศึกษา
องค์ ค วามรู ้ ใ นการสุ ่ ม ตั ว อย่ า ง
- 8. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
١. ข้ อ มู ล ประชากร (Population) หมายถึง กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ
ศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจจะเป็น คน สัตว์ พืช วัตถุ หรือปรากฎการณ์ต่างๆ
เช่น ในการศึกษาความรู้ในการประกอบอาชีพด้านหม่อนไหมของ
เกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในเขต ภาคอีสานตอนบน ประชากรในที่
นี้คือ เกษตรกร ที่มีภูมิลำาเนาอยู่ในเขตจังหวัดต่างๆ ของภาคอีสานตอน
บนในการวิจัยเชิงสังคมศาสตร์ ประชากรแบ่งออกได้ ٢ ประเภทดังนี้
١.١ ประชากรที ่ ม ี จ ำ า นวนจำ า กั ด (Finite population)
หมายถึงประชากรที่มีปริมาณซึ่งสามารถนับออกมาเป็นตัวเลขได้ครบ
ถ้วนเช่น ประชากรนิสิต หรือนักศึกษา ของมหาวิทยาลัยทุกแห่ง
ประชากรของเกษตรกรในภาคกลาง ฯลฯ
١.٢ ประชากรที ่ ม ี จ ำ า นวนไม่ จ ำ า กั ด (Infinite population)
หมายถึงประชากรที่มีปริมาณซึ่งไม่สามารถนับจำานวนออกมาเป็นตัวเลข
ได้ครบถ้วน เช่น ประชากรเมล็ดถั่วเหลืองที่จำาหน่ายในจังหวัดขอนแก่น
ฯลฯ
٢. ขนาดตั ว อย่ า ง (Sample size) ขนาดตัวอย่างต้องมากพอที่จะเป็น
ตัวแทนได้ วิธีการประมาณขนาดตัวอย่าง
โดยใช้สูตรของ TARO YAMANE ดังนี้
n= N
1+Nd2
เมื่อ n = ขนาดของหน่วยตัวอย่างกลุ่มเป้าหมาย
N = ประชากรทั้งหมด
D = ระดับความมีนัยสำาคัญ
ตัวอย่างเช่น N = ١,٠٠٠ คน
D = 0.05
แทนค่า n = 1,000
1+1,000(0.05)2
n = 285.7
n = 286
3. ประเภทและวิ ธ ี ก ารสุ ่ ม ตั ว อย่ า ง
ทฤษฎีการสุ่มตัวอย่าง ได้แบ่งประเภทการสุ่มตัวอย่างออกเป็น ٢ ประเภท
ใหญ่ๆ คือ
1. การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งในเชิ ง เป็ น ไปได้ (Probability sampling)
การสุ่มตัวอย่างแบบนี้เราสามารถกำาหนดได้ว่าทุกภาคส่วนของ
- 9. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ประชากรมีโอกาสได้รับเลือกเป็นตัวอย่างเท่ากัน การสุ่มแบบนี้มี
หลายวิธีดังนี้
1.1 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งแบบง่ า ย (Simple random sampling)
หมายถึง การสุ่มตัวอย่างที่ประชากรทุกภาคส่วนมีโอกาสเท่าเทียม
กันที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นตัวอย่างโดยวิธีการใช้
(1)ตารางเลขสุ่ม นำาจำานวนขนาดตัวอย่างไปสุ่มในตาราง
สำาเร็จรูปที่นักสถิติจัดทำาไว้แล้ว เพียงแต่นักวิจัยกำาหนดหลักที่
จะใช้ว่ามีกี่หลัก และจะนับไปซ้ายขวา ขึนบน ลงล่างอย่างไร
้
ต้องกำาหนดไว้และปฏิบัติอย่างนั้นตลอด สุ่มโดยการชี้ตัวเลขเริ่ม
ต้น เมื่อชี้ตรงไหนก็บอกว่าเป็นเลขประจำาตัวของประชากรหรือ
ไม่ถ้าไม่ใช่ให้ข้ามไป ทำาการคัดเลือกไปเรื่อยๆ จนได้ตาม
จำานวนที่ต้องการ
(2) โดยวิธีการจับฉลากโดยการเขียนหมายเลขกำากับประชากร
ตัวอย่าง แต่ละรายการก่อนแล้วจึงจับฉลากขึ้นมา ซึ่งวิธีการจับ
ฉลากอาจใช้ ٢ แบบคือ
1. ไม่สุ่มประชากรที่ถูกสุ่มแล้วขึ้นมาอีก (Simple Random
Sampling with out Replacement) คือหยิบแล้วเอาออก
ได้เลยไม่ต้องใส่กลับลงไปอีก
2. สุ่มประชากรที่ถูกสุ่มแล้วขึ้นมาได้อีก (Sample Random
Sampling with Replacement) คือ หยิบขึ้นมาแล้วก็ใส่
ลงไปใหม่เพื่อให้โอกาสแก่ประชากรทุกหน่วย มีโอกาส
ถูกเลือกขึ้นมาเท่าเดิม
1.2 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งแบบมี ร ะบบ (Systematic Sampling)
การสุ่มแบบนี้นักวิจัยจะต้องอาศัยบัญชีรายชื่อ เกี่ยวกับประชากร
กลุ่มเป้าหมาย โดยเลือกตามเลขที่ที่กำาหนดไว้ เช่น ประชากร
จำานวน ١,٠٠٠ นักวิจัยต้องการตัวอย่างจำานวน ١٠٠ นักวิจัยจะต้อง
คัดเลือกทุกหน่วยที่ ١٠ เป็นต้น
1.3 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งแบบแบ่ ง ชั ้ น (Stratified Random
Sampling) การสุ่มตัวอย่างแบบนี้ต้องแยกประเภทของประชากร
เป็นกลุ่มย่อยหรือชั้นก่อน แล้วจึงสุ่มตัวอย่างแยกกันคนและกลุ่ม
โดยวิธี Simple Random Sampling หรือ Systematic Sampling
ก็ได้ กลุ่มย่อยที่มีลักษณะเป็น Homegeneous คือมีลักษณะเหมือน
กันภายในกลุ่มเช่น การแยกประเภทของประชากรตาม
สถานการณ์เป็นสมาชิกของกลุ่มเกษตรกร
1.4 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งแบบกลุ ่ ม (Cluster Sampling) คือการสุ่ม
ตัวอย่างประชากรโดยแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มๆ ให้แต่ละกลุ่มมี
- 10. เอกสารประกอบการสอน วิชา 905-101 สถิติเบื้องต้น
ผู้สอน อ.สุนิสา สายอุปราช สำานักสามัญศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ความเป็น Heterogeneous กัน คือมีความแตกต่างกันภายในกลุ่ม
เช่น การสุ่มตัวอย่างโดยการแบ่งตามเขตการปกครอง
1.5 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งในทุ ก ขั ้ น ตอน (Multi Stage Sampling)
เช่น ต้องการจะทำาการวิจัยโดยการสุ่มตัวอย่างประชากร โดย
ทำาการสุ่มจังหวัดที่เป็นตัวอย่างก่อน ต่อไปก็สุ่มอำาเภอ ตำาบล
หมู่บ้าน และครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างตามลำาดับ
2. การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งในเชิ ง เป็ น ไปไม่ ไ ด้ (Non-probability
sampling) คือ การสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาจกำาหนดได้ว่าทุกส่วนของ
ประชากรมีโอกาสได้รับการคัดเลือกโดยเท่ากัน ซึ่งทำาให้ไม่สามารถ
จะคาดคะเนหรือคำานวณหาความผิดพลาดในการสุ่มเลือกตัวอย่างได้
การสุ่มแบบนี้มีหลายวิธีคือ
2.1 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งแบบบั ง เอิ ญ (Accidental Sampling) เช่น
พบใครก็สัมภาษณ์ตามความพอใจของผู้วิจัย เช่น สุ่มนักท่องเที่ยว
ที่จะเข้าประเทศไทยที่สนามบินดอนเมือง
2.2 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งโดยวิ ธ ี ก ารจั ด สรรโควตา (Quota
Sampling) การสุ่มตัวอย่างเหล่านี้ต้องแบ่งกลุ่มของประชากรแล้ว
จัดสรรโควตาตัวอย่างไปให้แต่ละกลุ่มตามสัดส่วนของปริมาณ
ประชากรในกลุ่มนั้นๆ ที่มอยู่จากนั้นก็ทำาการสุ่มจากแต่ละกลุ่มตาม
ี
โควตาที่จัดสรร ทั้งนี้เพื่อให้ได้ตัวแทนจากกลุ่มต่างๆ อย่างเหมาะ
สม เช่น ชาย ٨٠ คน หญิง ٨٠ คน
2.3 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดย
จะเลือกศึกษาจากประชากรที่มีลักษณะตรงตามวัตถุประสงค์ที่จะ
ศึกษาเช่น เกษตรกรที่ปลูกหม่อน บร.٦٠ เป็นต้น
2.4 การสุ ่ ม ตั ว อย่ า งพิ จ ารณาตามความสะดวก
(Convenience Sampling) โดยจะเลือกศึกษากลุ่มประชากรที่
เห็นว่าง่ายต่อการศึกษา เช่น ไม่อยู่ในแดนของผู้ก่อการร้าย หรือ
เลือกเฉพาะผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มทางการเกษตร กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ปัจจัยที่ทำาให้สำาเร็จในการสุ่มตัวอย่าง (Key success factor)
١. ฐานข้อมูล/ประชากรต้องเป็นปัจจุบัน (update population)
٢. วิธีการสุ่ม ต้องมีความน่าเชื่อถือ (มีแหล่งที่มาอ้างอิงได้)
٣. ขนาดตัวอย่างต้องมีการกระจายตัวและครอบคลุมประชากรเพื่อ
ให้มีความคลาดเคลื่อนน้อยที่สุด