SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 26
Downloaden Sie, um offline zu lesen
P a g e | 1
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ใบควำมรู้ 1 เรื่อง กำรเลือกจุดเก็บตัวอย่ำงน้ำและกำรเก็บตัวอย่ำงน้ำ
กำรเลือกจุดเก็บตัวอย่ำงน้ำ
ในการเก็บตัวอย่างน้าที่จะนามาใช้ในการวิเคระห์ปัจจัยต่าง ๆ ควรเก็บจากจุดเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า “จุดเก็บตัวอย่างน้า
หรือจุดเก็บน้า” ซึ่งมีวิธีเลือกจุดเก็บตัวอย่างน้าจืด ดังนี้
1. ถ้าจุดเก็บตัวอย่างน้าเป็นบริเวณน้าไหล เช่น ลาธารหรือแม่น้า ให้เลือกจุดเก็บตัวอย่างน้าบริเวณที่น้าไหลไม่แรง และ
ไม่เร็วหรือช้าเกินไป
2. ถ้าจุดเก็บน้าเป็นบริเวณน้านิ่ง เช่น ในทะเลสาบ หรืออ่างเก็บน้า ควรเลือกจุดเก็บตัวอย่างน้าที่ใกล้กับทางน้าไหลออก
จากทะเลสาบหรืออยู่ตรงกลางแหล่งน้า แต่ให้หลีกเลี่ยงการเก็บน้าตัวอย่างใกล้จุดที่น้าไหลเข้าสู่ทะเลสาบหรืออ่างเก็บ
น้า
3. ในการเก็บตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ (Macro-Invertebrate) ควรเก็บตัวอย่างใกล้กับจุดเก็บตัวอย่างน้า
กำรเก็บตัวอย่ำงน้ำ (WATER SAMPLING)
ในการเก็บตัวอย่างน้า ถ้าสามารถปฏิบัติงาน ณ จุดเก็บตัวอย่างน้าได้อย่างปลอดภัย (มือเอื้อมถึง) ให้ทาการตรวจวัด ณ
จุดเก็บตัวอย่างได้เลย เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิของน้า (Temperature) พีเอช (pH) ออกซิเจนละลายในน้า (Dissolved Oxygen)
และสภาพนาไฟฟ้า (Electivity) สามารถทาในแหล่งน้านั้นได้เลย ส่วนการตรวจวัดสภาพความเป็นเบส (Alkalinity) ความเค็ม
(Salinity) และไนเตรต (Nitrate) อาจจะทาได้จากตัวอย่างน้าในถังเก็บน้า อย่างไรก็ตาม ควรจะทดสอบหรือตรวจวัดค่าต่างๆ
ทันทีหลังจากเก็บตัวอย่างน้า แต่ถ้ามีเหตุจาเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรนาน้าตัวอย่างบรรจุลงขวดเก็บตัวอย่างน้าและเก็บไว้ใน
ภาชนะที่มีอุณหภูมิ 4 OC เพื่อนาไปทดสอบภายหลัง ยกเว้นปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าตัวอย่างควรดาเนินการตรวจวัด
ทันที
วิธีการตรวจวัด
การเก็บตัวอย่างน้า
1. ในการเก็บตัวอย่างน้า ให้จับปลายเชือกที่ผูกกับถังน้าไว้ แล้วค่อยๆ หย่อนถังน้าลงไปจนถึงผิวน้า ปล่อยให้น้าไหลเข้า
ถังน้าโดยดึงเชือกพลิกให้ถังน้าหงายขึ้น เมื่อมีน้าอยู่ในถังบางส่วนแล้ว ให้สาวเชือกดึงถังขึ้นในแนวตั้งฉากและหมุน
ถังน้าเพื่อใช้น้านั้นทาความสะอาดถัง แล้วจึงเทน้าทิ้งไปและทาซ้าเช่นนี้อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ห้ามใช้น้ากลั่นทาความ
P a g e | 2
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
สะอาดถังน้าโดยเด็ดขาด เพราะจะทาให้ผลการทดลองผิดพลาดได้สูง ในทานองเดียวกันอย่านาถังเก็บตัวอย่างน้าไปใช้
ทาความสะอาดหรือนาไปใช้กับงานอื่นๆ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการทดลองอีกด้วย
2. ถ้าจุดเก็บตัวอย่างน้าเป็นลาธารก็ให้เหวี่ยงถังเก็บตัวอย่างน้าลงไปในบริเวณที่น้ามีการผสมรวมตัวกันดี และห่างจากฝั่ง
ไม่มากนักโดยความเป็นจริงแล้ว น้าในลาธารควรจะไหลไม่แรงหรือไหลเอื่อยๆ ถ้าจาเป็นเก็บน้าตัวอย่างในลาธารที่
ไหลเชี่ยวควรยึดจับเชือกที่ผูกถังเก็บน้าให้แน่นเพื่อกันมิให้ถังหลุดมือ
3. การเก็บตัวอย่างจากทะเลสาบ อ่าว หรือในมหาสมุทร ให้เก็บน้าที่ชายฝั่งโดยเหวี่ยงถังเก็บน้าออกไปให้ไกลมากที่สุด
เท่าที่จะทาได้เพื่อเก็บน้าตัวอย่างที่ต้องการ และควรเก็บน้าจากบริเวณผิวน้าเท่านั้น อย่าปล่อยให้ถังเก็บน้ามีน้าจนเต็ม
ถัง ซึ่งจะทาให้ถังจมลงไป และขณะเดียวกันก็ต้องระวังมิให้ตะกอนที่ก้นน้าลอยตัวขึ้นมาปนกับน้าที่ผิวหน้าตรง
บริเวณที่ต้องการเก็บน้าด้วย
4. ในการเก็บตัวอย่างนั้น ควรปล่อยให้น้าไหลเข้าถังประมาณ หรือ ของถังเท่านั้น เราจึงจะได้ตัวอย่างน้าที่ต้องการ
จากนั้นดึงถังตัวอย่างให้พ้นน้า
P a g e | 3
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
การบรรจุน้าตัวอย่างลงขวด
1. เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับตัวอย่างน้า ได้แก่ ชื่อโรงเรียน ชื่อครู ชื่อพื้นที่ศึกษา วันที่และเวลาในการเก็บน้าตัวอย่าง และ
ปัจจัยที่ต้องการตรวจวัด แล้วติดฉลากลงบนขวดโพลีเอธิลีนสาหรับเก็บน้าขนาด 500 มิลลิลิตร
2. ทาความสะอาดขวดเก็บตัวอย่างน้า โดยล้างขวด (Rinse) ด้วยน้าตัวอย่างจานวนเล็กน้อยปิดฝาจุก และเขย่าให้ทั่วแล้วเท
น้าทิ้งไป
3. จุ่มขวดเก็บตัวอย่างน้าลงบนผิวน้าด้านบนของแหล่งน้าตัวอย่าง ค่อย ๆ ให้น้าไหลเข้าไปในขวดจนเต็ม โดยไม่ให้มี
ฟองอากาศอยู่เหนือน้าในขวด แล้วจึงปิดฝาให้แน่น ถ้ามีฟองให้เก็บตัวอย่างน้าใหม่
4. นาเทปกาวมาปิดทับฝาจุกให้แน่นเพื่อไม่ให้น้าไหลออก ซึ่งเทปกาวจะทาหน้าที่เป็นฉลากบอกรายละเอียดการเก็บน้า
และยังทาหน้าที่บ่งชี้ว่า ขวดน้าตัวอย่างนั้นถูกเปิดแล้วหรือยัง และเทปกาวจะต้องไม่สัมผัส กับน้าตัวอย่างโดยเด็ดขาด
5. นาตัวอย่างน้าไปเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4 oC จนกว่าจะมีการตรวจวัด โดยในการวัดค่า pH และไนเตรต จะต้อง
ตรวจวัดภายใน 2 ชั่วโมง และการตรวจวัดหาค่าสภาพความเป็นเบส และความเค็ม หรือสภาพนาไฟฟ้า จะต้องตรวจวัด
ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเก็บตัวอย่างน้า
6. ถ้าเทปกาวที่ติดปากขวดหลุดหรือฉีกขาด สิ่งแรกที่จะต้องทาคือ ตรวจวัดหาค่า pH ของน้าทันที แล้วจึงทดสอบหาค่า
ความเค็มหรือสภาพนาไฟฟ้า สภาพความเป็นเบสและไนเตรต
ข้อควรระวัง
1. เพื่อความปลอดภัยในการใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการทดลอง ควรอ่านคาแนะนาที่มาพร้อมกับชุดทดลองสาเร็จรูป
หรือปรึกษากับหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลเรื่องความปลอดภัย
2. ในกรณีที่ใช้ชุดทดลองสาเร็จรูปภาคสนาม ซึ่งอาจจะต้องสัมผัสสารเคมีต่างๆ ผู้ใช้ควรสวมถุงมือยาง และสวมแว่นตา
ป้องกันเพื่อความปลอดภัย
P a g e | 4
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ใบควำมรู้ 2 เรื่อง กำรตรวจวัดควำมโปร่งใสของน้ำ
กำรตรวจวัดควำมโปร่งใสของน้ำ (TRANSPARENCY)
การวัดความโปร่งใสของน้า คือ การวัดความสามารถของแสงที่ส่องผ่านน้าลงไปได้ลึกเท่าไร ซึ่งสามารถตรวจวัดได้2
วิธี คือ วิธีการวัดด้วยจานวัดความโปร่งใส (Secchi Disk) ใช้สาหรับแหล่งน้านิ่ง หรือน้าลึก แสดงดังภาพที่ 1 และวิธีใช้หลอดวัด
ความโปร่งใส (Transparency Tube) ใช้สาหรับแหล่งน้าไหล หรือน้าตื้น แสดงดังภาพที่ 2
ภำพที่ 1 จานวัดความโปร่งใส (Secchi Disk)
ภำพที่ 2 หลอดวัดความโปร่งใส (Transparency Tube)
ส่วนใหญ่จะพบว่า ความโปร่งใสของน้าธรรมชาติจะมีค่าอยู่ระหว่าง 1 – 3 หรือ 4 เมตร ถ้ามีค่าต่ากว่า 1 เมตร จะถือว่า
แหล่งน้านั้นจะมีอัตราการเจริญเติบโตของพืชน้าสูง หรืออาจจะหมายถึง มีของแข็งแขวนลอยอยู่ในปริมาณสูงก็ได้ส่วนบริเวณ
P a g e | 5
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ทะเลสาบบางแห่งที่มีน้าใสและลึกมาก ซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตของพืชน้าต่า หรือน้าชายฝั่งอาจจะมีความโปร่งใสของน้ามาก
ถึง 30 – 40 เมตร ก็ได้เช่น บริเวณแนวปะการัง เป็นต้น
วิธีการตรวจวัด
วิธีที่ 1 การตรวจวัดความโปร่งใสของน้าด้วยจานวัดความโปร่งใส
1. ค่อยๆ หย่อนจานวัดความโปร่งใสลงในน้า (ภาพที่ 3) จนกระทั่งถึงจุดที่มองไม่เห็นสีขาวสลับดาบนจานวัดความ
โปร่งใส ทาเครื่องหมายบนเชือก ณ จุดผิวหน้าน้า (อาจจะใช้เข็มหมุดปักผ้าเสียบไว้) แต่ถ้าไม่สามารถทาเครื่องหมาย
ณ จุดผิวน้าได้โดยตรง ต้องทาเครื่องหมายบนเชือกที่สูงจากผิวน้า ซึ่งรู้ค่าระยะที่แน่นอน
ภำพที่ 3 วิธีหย่อนจานวัดความโปร่งใส
2. ค่อยๆ ดึงเชือกให้สูงขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งมองเห็นสีบนจานวัดความโปร่งใสอีกครั้งหนึ่ง (ภาพที่ 4) แล้วทา
เครื่องหมายบนเชือกที่ระดับผิวน้าอีกครั้ง(หรือจะใช้วิธีการวัดระยะทางจากผิวน้าถึงจุดที่วัดได้เหนือน้า) ดังนั้น จึงมี
เครื่องหมายบนเชือกอยู่ 2 จุด ซึ่งน่าจะไม่ต่างกันเกิน 2 – 3 เซนติเมตร เท่านั้น
P a g e | 6
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ภำพที่ 4 วิธีหย่อนจานวัดความโปร่งใส
3. บันทึกระยะต่างระหว่าง 2 จุดที่วัด ถ้าระยะที่วัดได้มีค่าเป็นเศษของเซนติเมตร ให้คิดเป็นค่าเซนติเมตรที่ใกล้เคียงที่สุด
เช่น 2.1 เซนติเมตร บันทึก 2 เซนติเมตร ในใบบันทึกข้อมูล
4. ถ้าความแตกต่างระหว่างค่าความลึกที่วัดได้ทั้ง 2 ค่า มีค่ามากกว่า 10 เซนติเมตร ให้ทาการทดลองซ้าใหม่ แล้วจึงบันทึก
ค่าที่วัดได้ใหม่
5. ถ้าจานวัดความโปร่งใสจมลงถึงก้นน้า ณ จุดตรวจวัดแต่ยังคงเห็นสีของจานดังกล่าวอยู่ให้บันทึกว่า ค่าความโปร่งใส
ของน้ามากกว่าความลึกจากจานวัดถึงผิวน้าโดยเขียนเครื่องหมายมากกว่า (>) หน้าตัวเลขที่อ่านได้
6. ชี้บ่งปริมาณเมฆที่ปกคลุมในท้องฟ้าเหนือบริเวณที่ศึกษา หาระยะทางระหว่างเครื่องหมายที่ทาไว้บนเชือกและผิวน้า
แล้วบันทึกค่าทั้งสองในใบบันทึกข้อมูล (หากทาเครื่องหมายบนเชือกที่ผิวน้าให้ใส่ 0)
วิธีที่ 2 การตรวจวัดความโปร่งใสของน้าด้วยหลอดวัดความโปร่งใส
1. ค่อยๆ รินน้าตัวอย่างลงในหลอดวัดความโปร่งใสทีละน้อย (ภาพที่ 5) สังเกตสีขาวสลับดาบนแผ่นกลมที่ก้นหลอดแล้ว
ค่อยๆ รินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสีขาวสลับดาที่มองเห็นนั้นเลือนหายไปขณะที่มองจากปากของหลอดวัดความ
โปร่งใสไปยังจานสีขาวสลับดาที่ก้นหลอดนั้น ควรจะหมุนหลอดวัดความโปร่งใสไปพร้อมๆ กันด้วยเพื่อให้เห็นความ
แตกต่างระหว่างสีขาวและสีดาบนจานที่ก้นหลอด
P a g e | 7
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ภำพที่ 5 รินน้าตัวอย่างลงในหลอดวัดความโปร่งใส
2. บันทึกค่าที่อ่านได้ลงในใบงานบันทึกข้อมูล ถ้าค่าที่อ่านได้เป็นเศษของเซนติเมตร ให้คิดเป็นจานวนเต็มที่ใกล้เคียง
ที่สุด เช่น 2.1 เซนติเมตร บันทึกเป็น 2 เซนติเมตร
3. เมื่อเติมน้าตัวอย่างจนเต็มหลอดวัดความโปร่งใสแล้ว ถ้ายังคงเห็นสีบนจานวัดอยู่ ก็ให้บันทึกว่าความโปร่งใสของน้า
จะมีค่ามากกว่า (>) ความยาวหรือความสูงของหลอดวัดความโปร่งใสนั้น
P a g e | 8
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ใบควำมรู้ 3 เรื่อง กำรตรวจวัดอุณหภูมิน้ำและพีเอชน้ำ
กำรตรวจวัดอุณหภูมิ (TEMPERATURE) ของน้ำ
การวัดอุณหภูมิของน้าเป็นการวัดปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ที่น้ารับไว้รวมทั้งดินและอากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบด้วย
ถ้าน้ารับพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้มากก็จะทาให้อุณหภูมิของน้าสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ น้าจากโรงงานก็อาจทาให้
อุณหภูมิของแหล่งน้าสูงขึ้นได้อีกทางหนึ่ง การระเหยของน้าที่ผิวโลกสามารถช่วยลดอุณหภูมิของน้าในบริเวณผิวหน้าน้าที่ไม่
ลึกนัก การวัดอุณหภูมิของน้าทาให้เข้าใจถึงรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรอบปี ทั้งนี้เพราะอุณหภูมิของน้าในแหล่ง
น้าจะมีอิทธิพลสูงต่อปริมาณและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้านั้น
วิธีการตรวจวัด
กำรปรับค่ำมำตรฐำนเทอร์มอมิเตอร์
ก่อนตรวจวัดอุณหภูมิน้า ควรปรับค่ามาตรฐานของเทอร์มอมิเตอร์เสียก่อนโดย
1. ใส่น้าแข็งก้อนเล็กๆ ลงในแก้ว แล้วเติมน้าลงไปเล็กน้อย (ให้มีน้าแข็งมากกว่าน้า)
2. จุ่มเทอร์มอมิเตอร์ลงในแก้วในข้อ 1 คนเทอร์มอมิเตอร์อย่างเบามือ ซึ่งจะทาให้เทอร์มอมิเตอร์ค่อยๆ เย็นลง
3. ตั้งทิ้งไว้10 – 15 นาที
4. อ่านค่าอุณหภูมิ ถ้าค่าที่อ่านได้อยู่ระหว่าง 0.5 ํC แสดงว่าเทอร์มอมิเตอร์นั้นใช้ได้ แต่ถ้าน้อยกว่า -0.5 ํC หรือ
มากกว่า +0.5 ํC ให้ตรวจสอบว่ามีสารอื่นใดปนเปื้อนหรือไม่ เช่น มีเกลือเจือปนอยู่ แต่ถ้าตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสาร
อื่นใดเจือปน และค่าอุณหภูมิที่อ่านได้ยังคงน้อยกว่า -0.5 ํC หรือมากกว่า +0.5 ํC ให้เปลี่ยนเทอร์มอมิเตอร์
ภำพที่ 1 แสดงวิธีการวัดอุณหภูมิในน้าลึกจากผิวน้า 10 เซนติเมตร
P a g e | 9
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
กำรตรวจวัดพีเอชน้ำ (pH)
ความเป็นกรด-เบส หรือค่าพีเอช (pH) เป็นค่าที่บอกปริมาณของกรดที่ปนอยู่ในน้า ค่าพีเอชมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยาเคมี
ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในน้า น้าบริสุทธิ์ที่ปราศจากสิ่งปนเปื้อน (และต้องไม่สัมผัสกับอากาศด้วย) จะมีค่าพีเอชเท่ากับ 7 น้าซึ่งมี
สิ่งเจือปนอยู่ด้วยอาจจะมีค่าพีเอชเท่ากับ 7 ได้ถ้าน้านั้นมีกรดและเบสอยู่ในปริมาณที่เท่ากันและสมดุลกัน ถ้าน้ามีค่าพีเอชต่ากว่า
7 แสดงว่า น้านั้นมีปริมาณกรดอยู่มากเกินจุดที่สมดุล แต่ถ้ามีค่าพีเอชมากกว่า 7 แสดงว่าในน้านั้นมีเบสมากเกินจุดที่สมดุล
โดยธรรมชาติแล้ว น้าฝนที่ไม่มีสิ่งปนเปื้อนจะมีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 5 – 6 ดังนั้นแม้ว่าน้าฝนที่ตกในบริเวณที่มีภาวะ
มลพิษน้อยที่สุดบนพื้นโลก ก็ยังคงมีส่วนเป็นกรดอยู่นั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศสามารถละลายได้
ในหยดน้าฝน น้ากลั่นที่สัมผัสกับอากาศก็จะมีค่าพีเอชประมาณ 5 – 6 เช่นกัน ฝนกรดส่วนใหญ่มักจะมีค่าพีเอชประมาณ 4 แต่ถ้า
เป็นหมอกในเขตเมืองอาจจะมีค่าพีเอชต่ากว่า 2 ก็ได้ น้าในทะเลสาบและลาธารส่วนใหญ่จะมีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 6.5 – 8.5 เรา
อาจจะพบน้าซึ่งมีสภาพเป็นกรดเองโดยธรรมชาติในบริเวณที่มีสินแร่บางชนิดอยู่ในดิน (เช่น ซัลไฟด์) การทาเหมืองแร่อาจจะมี
สินแร่บางอย่างที่ทาให้เกิดกรดถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้าเช่นเดียวกัน น้าที่มีสภาพเป็นเบสเองโดยธรรมชาติมักจะพบเฉพาะในดินที่
มีสินแร่บางชนิดปนอยู่มาก เช่น ปูนขาว หรือหินปูน
ค่าพีเอชในน้าจะมีอิทธิพลสูงต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในแหล่งน้านั้น กบ และสัตว์ครึ่งน้าครึ่งบก มักจะไวต่อน้าที่มีค่าพีเอช
ต่าๆ แมลง สัตว์ครึ่งน้าครึ่งบก และปลา จะไม่สามารถดารงชีวิตในแหล่งน้าที่น้ามีค่าพีเอชต่ากว่า 4 ได้การตรวจวัดค่าพีเอช
สามารถทาได้หลายวิธี เช่น ใช้กระดาษวัดค่าพีเอช (pH Paper) ปากกาวัดค่าพีเอช (pH Pen) เครื่องมือวัดค่าพีเอช (pH Meter) ซึ่ง
ในกิจกรรมนี้จะตรวจวัดค่าพีเอช โดยใช้ปากกาวัดค่าพีเอช และเครื่องวัดค่าพีเอช ซึ่งจะแสดงค่าที่ถูกต้องแม่นยามากกว่าการใช้
กระดาษวัดค่าพีเอช
วิธีการตรวจวัด
วิธีที่ 1 โดยใช้กระดาษวัดค่าพีเอช
1. ล้างบีกเกอร์ขนาด 50 หรือ 100 มิลลิลิตร ด้วยน้าตัวอย่างอย่างน้อย 2 ครั้ง
2. เติมน้าตัวอย่างลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของบีกเกอร์
3. จุ่มปลายข้างหนึ่งของกระดาษวัดค่าพีเอชลงในน้าตัวอย่าง นานอย่างน้อย 1 นาที
4. ยกกระดาษวัดค่าพีเอชออกจากน้าตัวอย่าง และเปรียบเทียบกับตารางเทียบสีที่อยู่หลังกล่องกระดาษวัดค่าพีเอชนั้น
5. บันทึกค่าที่อ่านได้ลงในใบงานบันทึกข้อมูล
วิธีที่ 2 โดยใช้ปากกาวัดค่าพีเอช หรือเครื่องวัดค่าพีเอช
1. ปรับค่ามาตรฐานของเครื่องมือควรทาก่อนการตรวจวัดโดยอาจทาในชั้นเรียนก่อนการเดินทางไปยังภาคสนาม
P a g e | 10
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
1.1. เทสารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอชเท่ากับ 4, 7 และ 10 ลงในบีกเกอร์ขนาด 50 หรือ 100 มิลลิลิตร
ภำพที่ 2 สารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอชเท่ากับ 4, 7 และ 10
1.2 ล้างอิเล็กโทรด (ส่วนที่เป็นแก้วดังภาพที่ 3) และบริเวณรอบๆ ด้วยน้ากลั่นอย่างน้อย 2 ครั้ง และซับให้แห้งด้วย
กระดาษเช็ดหน้าหลังการล้างแต่ละครั้ง โดยมีบีกเกอร์สาหรับน้าทิ้งหรืออ่างที่รองรับอยู่ ห้ามไม่ให้น้าที่ล้าง
อิเล็กโทรดไหลลงในบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายบัฟเฟอร์และไม่ให้นิ้วมือสัมผัสแท่งอิเล็กโทรด (ส่วนที่เป็นแก้ว)
โดยเด็ดขาด
ภำพที่ 2 ปากกาวัดค่า pH
1.3 จุ่มปากกาวัดค่าพีเอชลงในสารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอช 7 ให้ส่วนที่เป็นหัววัดจุ่มอยู่ในสารละลาย และอย่า
จุ่มเครื่องมือวัดลงมากเกินไป หรืออย่าให้แท่งแก้วอิเล็กโทรดสัมผัสกับส่วนใดส่วนหนึ่งของภาชนะ
1.4 ใช้ปากกาวัดค่าพีเอชกวนน้าตัวอย่างอย่างช้าๆ และรอจนค่าคงที่จึงกดปุ่ม HOLD/CON แล้วอ่านค่าพีเอช ซึ่ง
ควรอ่านค่าได้เท่ากับค่าพีเอชของสารละลายบัฟเฟอร์นั้น คือ 7
1.5 ถ้าปากกาวัดค่า pH อ่านค่าได้ไม่เท่ากับ 7 ให้ใช้ไขควงขนาดเล็กปรับด้านหลังของปากกาให้แสดงค่า pH
เท่ากับ7
1.6 ยกปากกาวัดค่าพีเอชออกจากสารละลายบัฟเฟอร์ แล้วนาไปล้างด้วยน้ากลั่น และใช้กระดาษเช็ดหน้าซับ
อิเล็กโทรดให้แห้ง
P a g e | 11
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
1.7 ทาซ้าในข้อ 2 – 5 โดยเปลี่ยนไปใช้สารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอช 4 และ 10
1.8 วางเครื่องวัดค่าพีเอชที่พร้อมใช้งานแล้วลงบนกระดาษเช็ดมือ ปิดเครื่องโดยกดปุ่มเปิด/ปิดอีกครั้ง
2. วัดค่าพีเอชในภาคสนาม
2.1 ล้างหัวอิเล็กโทรดและบริเวณรอบๆ ด้วยน้ากลั่น ซับให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดหน้า
2.2 ล้างบีกเกอร์ขนาด 100 มิลลิลิตร ที่สะอาดและแห้งด้วยน้าตัวอย่าง แล้วเติมน้าตัวอย่าง 50 มิลลิลิตร
2.3 จุ่มแท่งอิเล็กโทรดลงในน้าตัวอย่างและต้องแน่ใจว่าส่วนหัวของอิเล็กโทรดจมอยู่ในน้า และควรหลีกเลี่ยงมิให้
แท่งอิเล็กโทรดจมลงมากเกินไป
2.4 กวนเบาๆ ด้วยแท่งอิเล็กโทรดและรอจนกระทั่งตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอปากกาวัดค่าพีเอช หรือเครื่องวัดค่าพี
เอชคงที่
2.5 อ่านค่าพีเอชแล้วบันทึกลงในใบบันทึกข้อมูล
2.6 ทดลองซ้าตามวิธีการในข้อ 1 – 5 เพื่อควบคุมคุณภาพการตรวจวัดและค่าพีเอชที่วัดได้จากน้าตัวอย่างเดียวกัน
นั้นจะต้องต่างกันไม่เกิน 0.2
2.7 ล้างหัวอิเล็กโทรดด้วยน้ากลั่น ซับให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดหน้า ปิดฝาครอบหัวอิเล็กโทรดแล้วปิดเครื่อง
P a g e | 12
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ใบควำมรู้ 4 เรื่อง กำรตรวจวัดออกซิเจนที่ละลำยในน้ำ
กำรตรวจวัดออกซิเจนที่ละลำยในน้ำ (DISSOLVED OXYGEN: DO)
สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในน้าต้องการปริมาณออกซิเจนแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตในน้าต้องการ
ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้าอย่างน้อยที่สุด 6 ppm เพื่อการเติบโตและการพัฒนาการของชีวิต อุณหภูมิของน้าและระดับความสูง
ของพื้นที่มีอิทธิพลต่อปริมาณออกซิเจนที่สามารถละลายได้ในน้า หรือเรียกว่า “ค่าสมดุล” โดยทั่วไปแล้วพบว่าน้าที่อุ่นกว่าไม่
สามารถดึงหรือละลายออกซิเจนไว้ได้มากเท่ากับน้าที่เย็นกว่า ในทานองเดียวกันน้าที่พบในระดับที่มีความสูงกว่าไม่สามารถดึง
หรือละลายออกซิเจนไว้ได้มากเท่ากับน้าที่พบในพื้นที่ระดับที่ต่ากว่า
ปริมาณของออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ตรวจวัดได้นั้น อาจจะสูงกว่าหรือต่ากว่าค่าสมดุลได้ เนื่องจากแบคทีเรียใน
แหล่งน้าจะใช้ออกซิเจนในขณะที่กาลังย่อยสลายเศษซากพืช ซากสัตว์ในแหล่งน้านั้น ซึ่งอาจทาให้ระดับของออกซิเจนที่ละลาย
ในน้าในแหล่งน้านั้นลดลง ในทางกลับกันพบว่าสาหร่ายในน้าจะสร้างออกซิเจนในขณะที่ทาการสังเคราะห์แสง ซึ่งทาให้ใน
บางครั้งพบว่า ในช่วงฤดูร้อน ระดับของออกซิเจนที่ละลายในน้าจะสูงกว่าในฤดูอื่น
ในการตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าสามารถทาได้โดยวิธีการไตเตรต ซึ่งอาจเก็บน้าตัวอย่างมาตรวจวัดทันทีใน
ห้องปฏิบัติการหรืออาจตรวจวัดในภาคสนามโดยชุดตรวจวัดออกซิเจนที่ละลายในน้า ซึ่งจะมีคู่มือแสดงขั้นตอนการตรวจวัด
อย่างชัดเจน
วิธีการตรวจวัด
1. วิธีการเก็บตัวอย่างน้า
1.1 ล้างขวดและจุกขวดเก็บตัวอย่างน้า และล้างมือของผู้ทาการทดลองด้วยน้าตัวอย่าง 3 ครั้ง และล้างขวดแก้ว
ขนาดเล็กด้วยน้ากลั่น 3 ครั้ง
1.2 ปิดจุกขวดเก็บตัวอย่างน้า
1.3 จุ่มขวดเก็บตัวอย่างลงในน้า ตัวอย่างให้จมอยู่ใต้ผิวหน้าน้าจึงเปิดจุกและปล่อยให้น้าไหลสู่ขวดจนเต็ม
1.4 เคาะขวดเก็บตัวอย่างน้าเบา ๆ เพื่อไล่ฟองอากาศ
1.5 ปิดจุกขวดให้เรียบร้อย ในขณะที่ขวดเก็บตัวอย่างยังจมอยู่ในน้าแล้วจึงยกขวดขึ้นจากน้า
1.6 ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่าไม่มีฟองอากาศอยู่ในขวด ถ้าพบว่ายังคงมีฟองอากาศอยู่ให้ทาการเก็บตัวอย่างน้า
ใหม่ทันที
P a g e | 13
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
2. วิธีการเก็บรักษาตัวอย่างน้าและทดลอง
ภำพที่ 1 ชุดทดสอบออกซิเจนละลายในน้าสาเร็จรูป
2.1 ตักแมกนีเซียมซัลเฟตด้วยช้อนตักสารที่แห้ง 1 ช้อน เทลงในน้าตัวอย่าง แล้วปิดฝาให้สนิท
2.2 ใช้นิ้วชี้กดที่ฝาขวดไว้(ดังภาพที่ 2) แล้วเขย่าสารให้เข้ากัน โดยคว่าและหงายขวดขึ้นช้าๆ สลับกันไป พักไว้
สักครู่ให้ออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ถูกตรึงไว้ตกเป็นตะกอนสีน้าตาล ถ้าน้าตัวอย่างมีออกซิเจนที่ละลายใน
น้าปริมาณมาก จะมีตะกอนสีน้าตาลเข้มจานวนมากที่ก้นขวด (ดังภาพที่ 3) และถ้าน้าตัวอย่างมีออกซิเจนที่
ละลายในน้าปริมาณน้อยจะมีตะกอนสีน้าตาลอ่อนปริมาณเล็กน้อย
ภำพที่ 2 วิธีเขย่าขวดที่ถูกต้อง ภำพที่ 3 ตะกอนสีน้าตาลของออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ถูกตรึงไว้
2.3 เปิดฝาและเติมกรดซัลฟามิก (Sulfamic Acid) หรือกรดซัลฟูริก(Sulfuric acid) ลงไปเพื่อละลายตะกอนสี
น้าตาลปิดฝาแล้วเขย่าให้เข้ากัน จะได้เป็นน้าสีน้าตาลใส (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 1 ในภาพที่ 4)
1 2 3 4
ภำพที่ 4 ตัวอย่างน้าในการตรวจวัดออกซิเจนที่ละลายในน้าตามขั้นตอนต่างๆ
P a g e | 14
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
2.4 เติม Alk Pot Iodide Azide ลงไปเพื่อทาให้น้าตัวอย่างเกิดสีเมื่อทาปฏิกิริยากับน้าแป้ง (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 2
ในภาพที่ 4)
2.5 หยดน้าแป้ง (Starch Indicator) ลงไปทาปฏิกิริยากับน้าตัวอย่างเปลี่ยนเป็นสีน้าเงิน (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 3 ใน
ภาพที่ 4)
2.6 หาปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า โดยการไตเตรตด้วยไธโอซัลเฟต (Thiosulfate) 0.025N จนกว่าสีน้าเงิน
ของน้าตัวอย่างจะเป็นน้าใส (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 4 ในภาพที่ 4) ถือเป็นจุดยุติ
2.7 อ่านค่าปริมาณไธโอซัลเฟตที่ใช้ไป ซึ่งก็คือค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้านั่นเอง
2.8 บันทึกค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ได้จากนักเรียนทุกกลุ่มใส่ลงในใบบันทึกข้อมูล
2.9 หาค่าเฉลี่ยของปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าที่วัดโดยนักเรียนทุกกลุ่มถ้าค่าที่วัดได้จากนักเรียนทุกกลุ่ม
แตกต่างจากค่าเฉลี่ยไม่เกิน ±1 กรัม/ลิตร (g/l) ถือว่ายอมรับได้แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ให้ทาการตรวจวัดซ้า
ใหม่
2.10 เทของเหลวที่ใช้แล้วทั้งหมดจากการตรวจวัดลงในขวดสาหรับทิ้งน้ายา
P a g e | 15
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ใบควำมรู้ 5 เรื่อง กำรตรวจวัดควำมเค็มของน้ำ
กำรตรวจวัดควำมเค็มของน้ำ (SALINITY)
การตรวจวัดความเค็ม เป็นการตรวจวัดปริมาณเกลือที่ละลายน้าที่พบในน้าเค็มหรือน้ากร่อย โดยมีหน่วยเป็นส่วนใน
หนึ่งพันส่วน (ppt ย่อมาจาก part per thousand) ความเค็มของน้าทะเลของโลกมีค่าเฉลี่ย 35 ppt น้าจืดมีค่าไม่เกิน 0.5 ppt น้ากร่อย
มีค่า 0.5 – 25 ppt ค่าความเค็มจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณหยาดน้าฟ้า น้าจากหิมะละลาย หรือบริเวณรอยต่อระหว่างน้าเค็ม
กับน้าจืด เช่น บริเวณปากแม่น้า ปริมาณของเกลือในน้าเป็นตัวการสาคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ชี้บ่งว่าจะพบสิ่งมีชีวิตชนิดใดในบริเวณ
แหล่งน้านั้น ดังนั้นชนิดสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้าจืดและที่อาศัยในน้าเค็มจึงแตกต่างกันมาก พืชหรือสัตว์ที่อาศัยในน้าจืดจะมีเกลือ
ในเซลล์มากกว่าในแหล่งน้าที่อาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะกาจัดเหลือออกมาเป็นของเสีย ส่วนพืชหรือสัตว์ที่อาศัยในน้าทะเลมี
ปริมาณของเกลือเท่ากับหรือน้อยกว่าสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่และมีกลไกของร่างกายที่จะยังคงสภาพสมดุลของเกลือ นอกจากนี้
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ยังสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มในแหล่งน้าที่อาศัยอยู่ได้
`ในการตรวจวัดความเค็มสามารถตรวจวัดได้หลายวิธี แต่ในกิจกรรมนี้จะใช้ไฮโดรมิเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการตรวจวัด
ซึ่งไฮโดรมิเตอร์จะตรวจวัดค่าความถ่วงจาเพาะหรือความหนาแน่นของของเหลว การออกแบบอุปกรณ์นี้จะใช้หลักการของนัก
คานวณ ชาวกรีกที่ชื่อว่า อาร์คิมีดีส ซึ่งกล่าวไว้ว่า น้าหนักที่หายไปของของแข็งที่อยู่ในของเหลวจะมีค่าเท่ากับน้าหนักของ
ของเหลวนี้ ถูกแทนที่ ดังนั้นของเหลวที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะทาให้ของแข็งที่อยู่ในของเหลวนั้นจมตัวลงแทนที่น้าหนัก
ของตัวมันเอง น้าจะมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นถ้าอุณหภูมิของน้าลดลง และมีค่าสูงสุดเท่ากับ 1 ที่อุณหภูมิ 4 ํC และความ
หนาแน่นของน้าที่อุณหภูมิเข้าใกล้จุดเยือกแข็งจะลดลง น้าแข็งจึงลอยน้าได้ เพราะมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้า จะเห็นได้ว่า
อุณหภูมิของน้าทาให้ความหนาแน่นของน้าแปรเปลี่ยนไป ดังนั้นในการตรวจวัดความเค็ม (ปริมาณเกลือในน้า) เราจึงต้องวัด
อุณหภูมิของน้าควบคู่กับการวัดความหนาแน่นของน้าด้วย
วิธีการตรวจวัด
1. ล้างกระบอกตวงพลาสติกใสขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้วยน้าตัวอย่าง อย่างน้อย 2 ครั้ง ก่อนเริ่มการทดลอง
2. เติมน้าตัวอย่าง 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในกระบอกตวง
3. วัดค่าอุณหภูมิของน้าโดยให้กระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์อยู่ใต้ระดับผิวหน้าน้าลงไปลึก 10 เซนติเมตร และบันทึก
ค่าที่ได้ลงในใบบันทึกข้อมูล
4. หย่อนไฮโดรมิเตอร์ลงในน้าในกระบอกตวงอย่างช้า ๆ โดยต้องระวังมิให้ไฮโดรมิเตอร์สัมผัสกับผนังด้านในของ
กระบอกตวง รอให้ไฮโดรมิเตอร์ลอยอย่างอิสระจนกว่าจะหยุดนิ่ง และอ่านค่าจากไฮโดรมิเตอร์ ณ จุดโค้งต่าสุด
ของน้าเท่านั้น (ท้องน้า) (ดังภาพ) ค่าที่อ่านได้คือ ค่าความถ่วงจาเพาะของน้า และอ่านตัวเลขหลังจุดทศนิยม 3
ตาแหน่งเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายควรอ่านค่าให้ได้ตัวเลขหลังจุดทศนิยมเป็น 4
ตาแหน่ง
P a g e | 16
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
กำรอ่ำนค่ำควำมสะดวกจำเพำะของน้ำ
5. นาค่าอุณหภูมิของน้าและความถ่วงจาเพาะของน้าไปเทียบกับตารางการเทียบค่าแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเค็ม
ของน้า (ppt) กับความหนาแน่น และอุณหภูมิของน้าในตารางที่ 4 เพื่อให้ได้ค่าความเค็มของน้า แล้วบันทึกค่าลงในใบ
บันทึกข้อมูล เช่น ถ้าน้าตัวอย่างมีอุณหภูมิ 22 ํC และมีความถ่วงจาเพาะ 1.0070 ค่าความเค็มของน้าตัวอย่างมีค่า
เท่ากับ10.6 ppt
6. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนาน้าตัวอย่างเดิมมาทาซ้าตั้งแต่ข้อ 2 – 5 อีก 2 ครั้ง
7. หาค่าเฉลี่ยของค่าความเค็มที่ได้จากนักเรียนทุกกลุ่ม โดยถ้าค่าความเค็มของทุกตัวอย่างอยู่ในช่วง ±2 ppt ของค่าความ
เค็มเฉลี่ยแล้วถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าสูงกว่าหรือต่ากว่า 2 ppt นักเรียนต้องหาค่าความเค็มจากตัวอย่างน้าที่เก็บใหม่ (ไม่ใช่
ตัวอย่างน้าที่ทาการตรวจวัดไปแล้ว) จดบันทึกและคานวณหาค่าเฉลี่ยใหม่ ถ้ามีค่าใดค่าหนึ่งที่แตกต่างไปจากค่าอื่นๆ
มากให้ตัดค่านั้นทิ้งไป แล้วเฉลี่ยเฉพาะค่าที่เหลือเท่านั้น แต่ถ้าค่าที่ได้นั้นยังไม่อยู่ในเกณฑ์อีก ให้อภิปรายเพื่อหา
วิธีการที่ถูกต้องแล้วทาการทดลองซ้าอีกครั้งหนึ่ง
P a g e | 17
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเค็มของน้า (ส่วนในพันส่วน: ppt) กับความหนาแน่นและอุณหภูมิ
P a g e | 18
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
P a g e | 19
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
P a g e | 20
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
ใบควำมรู้ 6 เรื่อง กำรตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์
กำรตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์ (NITRATE AND NITRITE)
ไนโตรเจนเป็นหนึ่งในสามของสารอาหารสาคัญที่พืชต้องการ พืชส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ไนโตรเจนที่อยู่ในรูปที่เป็น
โมเลกุล (N2) ได้ในระบบนิเวศที่เป็นน้า พบว่า สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินสามารถเปลี่ยนแก๊สไนโตรเจนให้กลายเป็นแอมโมเนีย
(NH3) และไนเตรต ซึ่งพืชน้าสามารถนาไปใช้ได้สัตว์ที่กินพืชน้าเหล่านี้นาไนโตรเจนที่ได้ไปสร้างโปรตีน เมื่อพืชและสัตว์ตาย
ลง โมเลกุลของโปรตีนจะถูกย่อยให้เล็กลงโดยแบคทีเรียกลายเป็นแอมโมเนีย จากนั้นแบคทีเรียชนิดอื่นๆ จะออกซิไดซ์
แอมโมเนียให้กลายเป็นไนไตรต์ และไนเตรต แต่ในสภาวะที่ขาดออกซิเจนหรือมีออกซิเจนในปริมาณน้อย พบว่าไนเตรตจะ
เปลี่ยนรูปโดยแบคทีเรียชนิดอื่นๆ กลายเป็นแอมโมเนีย (NH3) และนั่นคือ การเริ่มต้นวัฏจักรของไนโตรเจนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น
ไนโตรเจนที่พบในแหล่งน้าที่สาคัญมีอยู่ 2 รูป คือ ไนเตรต (NO3
-
) และไนไตรต์ (NO2
-
) ไนโตรเจนในรูปไนเตรตจัดว่ามี
ความสาคัญมากที่สุดในน้า
ไนโตรเจนในรูปไนเตรต มักพบในน้าที่มีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่ในน้าค่อนข้างต่า ไนเตรตเป็นสารอาหารที่สาคัญ
ต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายและพืชน้าทั้งหลายและสามารถตรวจพบในน้าได้ในปริมาณที่สูงหรือต่าขึ้นอยู่กับปริมาณการรับ
ไนเตรตจากแหล่งต่างๆ สู่แหล่งน้า โดยปกติ ระดับของไนโตรเจนที่พบในแหล่งน้าธรรมชาติจะค่อนข้างต่า (น้อยกว่า 1 ppm
ของไนโตรเจนในรูปของไนเตรต) เกิดจากกระบวนการย่อยสลายของเสียจากสัตว์และซากพืชซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งพืชจะ
นาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ในแหล่งน้าที่มีระดับไนโตรเจนค่อนข้างสูง อาจจะทาให้เกิดกระบวนการยูโทรฟิเคชั่นได้ ระดับ
ไนโตรเจนอาจจะสูงขึ้นเนื่องจากผลตามธรรมชาติหรือเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์หรือเป็ดและห่านทาให้ปริมาณไนโตรเจนใน
แหล่งน้าที่พวกมันอาศัยอยู่มีปริมาณสูงขึ้นได้จากการถ่ายมูลลงน้า ไนโตรเจนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่ การทิ้งขยะ
หรือของเสียลงแม่น้า ปุ๋ ยเคมีที่ถูกชะล้างลงสู่ลาน้าต่างๆ ซึ่งอาจปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้าใต้ดินได้ตลอดจนน้าไหลชะจากการเลี้ยง
สัตว์บางชนิด และคอกสัตว์เป็นต้น
การตรวจวัดไนโตรเจนในแหล่งน้า จะวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์ แต่การตรวจวัดไนเตรตโดยตรงนั้นทา
ได้ค่อนข้างยากเพราะไนเตรตสามารถถูกรีดิวซ์ให้กลายเป็นไนไตรต์ได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นการตรวจวัดปริมาณไนไตรต์แทนที่จะ
ตรวจวัดปริมาณไนเตรต ผลการตรวจวัดจึงมักจะเป็นความเข้มข้นของไนไตรต์ (ถ้ามีอยู่ในแหล่งน้า) รวมกับไนเตรต แต่
เนื่องจากเราสนใจจะตรวจวัดปริมาณไนเตรต ดังนั้นจึงจาเป็นต้องตรวจวัดปริมาณไนไตรต์ควบคู่ไปด้วย ผลการตรวจวัดไนเตรต
จะรายงานเป็นปริมาณไนโตรเจนในรูปไนเตรต (มิลลิกรัม/ลิตร: mg/l) และไนไตรต์จะรายงานเป็นปริมาณไนโตรเจนในรูปไน
ไตรต์ (มิลลิกรัม/ลิตร)
วิธีการตรวจวัด
กำรปรับค่ำมำตรฐำนของเครื่องมือและกำรควบคุมคุณภำพ
การปรับค่ามาตรฐานควรกระทาเป็นประจาอย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน
1. เตรียมสารละลายไนเตรตสาหรับเก็บไว้ใช้ โดยวิธีการดังนี้
P a g e | 21
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
1.1 นา KNO3 (โพแทสเซียมไนเตรต) ไปอบให้แห้งในเตาอบที่อุณหภูมิ 105 ํC เป็นเวลานาน 24 ชั่วโมง แล้วชั่ง 3.6
กรัม ละลายในน้ากลั่นจานวนหนึ่ง ในกระบอกตวงขนาด 500 มิลลิลิตร ที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ากลั่นจนครบ 500
ลูกบาศก์เซนติเมตร
1.2 หมุนกระบอกตวงอย่างช้าๆ (ห้ามเขย่า) เพื่อให้ได้สารละลายที่ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
1.3 เทสารละลายที่เตรียมได้นั้นใส่ในขวดเก็บสารละลายขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ติดฉลากชื่อและวันที่ที่เตรียม
สารละลายด้วยเทปกาว สารละลายที่เตรียมได้นี้จะมีความเข้มข้นของ KNO3 7,200 mg/l (หรือเทียบได้เท่ากับ
ปริมาณไนโตรเจนในรูปไนเตรต 1,000 mg/l)
2. เตรียมสารละลายไนเตรตมาตรฐาน โดยวิธีการดังนี้
2.1 ตวงสารละลายไนเตรตที่เตรียมไว้จากข้อ 1 จานวน 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร โดยใช้กระบอกตวงขนาด 100 ลูกบาศก์
เซนติเมตร เทสารละลายที่ตวงได้ใส่ในกระบอกตวงขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วเติมน้ากลั่นจนครบ 500
ลูกบาศก์เซนติเมตร
2.2 หมุนกระบอกตวงอย่างช้าๆ เพื่อให้ได้สารละลายที่ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน สารละลายที่ได้นี้ คือสารละลายไนโตรเจน
ในรูปไนเตรตมาตรฐาน ซึ่งมีความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/ลิตร
2.3 เทสารละลายมาตรฐานที่เตรียมได้ใส่ในขวดเก็บสารละลายขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ติดฉลากชื่อและวันที่ที่
เตรียมสารด้วยเทปกาว
วิธีกำรควบคุมคุณภำพ
1. นักเรียนทาการเจือจางสารละลายไนเตรตมาตรฐานเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/ลิตร ให้เป็นสารละลายมาตรฐานเข้มข้น 2
มิลลิกรัม/ลิตร ซึ่งจะถูกนาไปใช้เป็นสารละลายมาตรฐานสาหรับการตรวจวัดความถูกต้องของชุดตรวจวัดไนเตรต
แบบสาเร็จรูป โดย
1.1 ตวงสารละลายไนเตรตมาตรฐานเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/ลิตร มา 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้วยกระบอกตวงขนาด 100
ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วเทใส่ขวดรูปชมพู่หรือบีกเกอร์ขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร
1.2 ตวงน้ากลั่น 490 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้วยกระบอกตวงขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วเทในขวดรูปชมพู่หรือบีก
เกอร์ซึ่งมีสารละลายไนเตรตมาตรฐานอยู่ 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร ติดฉลากชื่อสารและวันที่ที่เตรียมสารด้วยเทปกาว
1.3 ค่อยๆ หมุนขวดใส่สารละลายอย่างช้าๆ เพื่อให้ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน
2. ทาการตรวจวัดไนเตรต โดยใช้สารละลายไนเตรตมาตรฐานแทน “น้าตัวอย่าง”
3. บันทึกผลลงในใบบันทึกข้อมูล
4. ถ้าพบว่าสารละลายไนเตรตมาตรฐานที่ตรวจวัดมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (2 มิลลิกรัม/ลิตร) อยู่ 1
มิลลิกรัม/ลิตร ให้เตรียมสารละลายมาตรฐานใหม่โดยเจือจางและตรวจวัดค่าใหม่อีกครั้ง และถ้าผลการทดลองครั้งที่ 2
นี้ ยังมากกว่าหรือน้อยกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร อีก ให้นักเรียนเตรียมสารละลายไนเตรตสาหรับเก็บไว้ใช้ใหม่ แล้วทดลอง
ซ้าอีกจนกว่าจะได้ สารละลายไนเตรตมาตรฐานตามที่ต้องการ
P a g e | 22
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
วิธีกำรตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์
1. การตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตรวมกับไนไตรต์
1.1 เติมสารชนิดแรกจากชุดทดสอบสาเร็จรูปในน้าตัวอย่างเพื่อไปทาปฏิกิริยากับไนเตรตที่มีอยู่ในน้าให้กลายเป็นไน
ไตรต์
1.2 เติมสารชนิดที่สองเพื่อทาปฏิกิริยากับไนไตรต์แล้วเกิดสีขึ้น ความเข้มของสีที่เกิดขึ้นจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับ
ปริมาณไนเตรตที่มีอยู่ในน้าตัวอย่าง
1.3 หาความเข้มข้นของไนเตรตรวมกับไนไตรต์จากการเปรียบเทียบความเข้มของสีที่เกิดขึ้นในหลอดทดลองกับตาราง
เทียบสีมาตรฐานซึ่งแนบมาในชุดทดสอบสาเร็จรูป
1.4 ให้นักเรียนอย่างน้อย 3 คน ในกลุ่มเป็นผู้อ่านผลการเทียบสี นักเรียนแต่ละกลุ่มบันทึกผลความเข้มข้นของไนเตรต
ลงในใบบันทึกข้อมูล
1.5 คานวณหาค่าเฉลี่ยจากการอ่านทั้ง 3 ครั้ง ถ้าค่าที่ได้ทุกค่าอยู่ในเกณฑ์ ±1 มิลลิกรัม/ลิตร ของค่าเฉลี่ยแล้วบันทึก
ค่าเฉลี่ยที่ได้นั้นลงบนใบบันทึกข้อมูล แต่ถ้าค่าที่ได้นั้นไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ ±1 มิลลิกรัม/ลิตร ของค่าเฉลี่ย ให้นักเรียน
อ่านผลการเทียบสีใหม่ แล้วจึงบันทึกและคานวณหาค่าเฉลี่ยใหม่อีกครั้งหนึ่ง หากทาการวัดใหม่แล้วยังมีค่าใดค่า
หนึ่งซึ่งเกินเกณฑ์มากให้ตัดค่าที่เกินนี้ทิ้งไปแล้วคานวณหาค่าเฉลี่ยใหม่อีกครั้งหนึ่ง
2. การตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนไตรต์
P a g e | 23
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
การตรวจวัดเฉพาะไนไตรต์ จะมีวิธีการตรวจวัดเหมือนกับการหาไนเตรตรวมกับไนไตรต์แต่ไม่ต้องเติมสาร
ชนิดที่ 1 แต่ไปเติมเฉพาะสารชนิดที่ 2 แล้วเทียบความเข้มของสีที่เกิดขึ้นกับตารางเทียบสีมาตรฐานซึ่งแนบมาในชุด
ทดสอบสาเร็จรูป
ใบควำมรู้ 7 เรื่อง กำรใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพื่อบ่งชี้คุณภำพน้ำในแหล่งน้ำจืด
กำรใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพื่อบ่งชี้คุณภำพน้ำในแหล่งน้ำจืด (MACRO INVERTEBRATE)
ในการที่จะทราบถึงคุณภาพน้าของแหล่งน้าที่เราสนใจนั้น นอกจากการตรวจวัดโดยใช้ลักษณะทางด้านกายภาพ (เช่น
สี กลิ่น ความขุ่น อุณหภูมิ) เคมี (เช่น ความเป็นกรด-เบส ปริมาณออกซิเจนละลายน้า ไนเตรต ความเค็ม) และชีวเคมี (เช่น ความ
สกปรกในรูปของ BOD) แล้ว นักเรียนยังสามารถใช้สิ่งมีชีวิตในแหล่งน้า เช่น “สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง” เป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพ
น้าได้ด้วย
สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีขนาดเล็ก และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีขนาดใหญ่ สัตว์เหล่านี้บางชนิดมีความไวต่อ
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น ความเป็นกรด-เบส ออกซิเจนที่ละลายในน้า อุณหภูมิ ความเค็ม และตัวแปรอื่นๆ ใน
ถิ่นอาศัยของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารมลพิษที่ปนเปื้อนในน้า สารมลพิษบางตัวยากต่อการวิเคราะห์และตรวจหาด้วยวิธีทาง
เคมี แต่สามารถใช้สัตว์พวกนี้เป็นดัชนีชีวภาพที่บ่งชี้สภาวการณ์ของสารมลพิษนั้นได้ (นันทนา, 2536) รวมทั้งสามารถใช้บ่งชี้
คุณภาพ และความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้านั้นได้ (วิลาสินี วัฒนาวงศ์ดอน, 2549)
กำรจำแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนำดใหญ่ในแหล่งน้ำ
การจาแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ในแหล่งน้าทาได้หลายวิธี แต่ในกิจกรรมนี้ได้รวบรวมวิธีการจาแนก
พันธุ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่อย่างง่ายที่นักเรียนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ 2 วิธี ได้แก่
1. ชุดสาเร็จรูปสาหรับการจาแนกชนิดพันธุ์ตามหลักวิธีดาเนินการ GLOBE
1.1 ตาข่าย Kick Screen ใช้สาหรับเก็บตัวอย่างในแหล่งน้าที่มีน้าไหลและบริเวณใต้ท้องน้าเป็นหินหรือกรวด
1.2 ตาข่าย D-Frame net ใช้สาหรับเก็บตัวอย่างสัตว์ในแหล่งน้าที่มีน้านิ่งและบริเวณใต้ท้องน้าเป็นโคลน
2. คู่มือจาแนกพันธุ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างง่าย ของมูลนิธิโลกสีเขียว ซึ่งใช้บ่งชี้คุณภาพน้าในแหล่งน้าจืดที่เป็น
แหล่งน้าไหล
วิธีกำรจำแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนำดใหญ่ในแหล่งน้ำ
โดยชุดสาเร็จรูปสาหรับการจาแนกชนิดพันธุ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ตามหลักวิธีดาเนินการ GLOBE
P a g e | 24
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
การเก็บตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มีอยู่ 2 วิธี ขึ้นอยู่กับสภาพของแหล่งน้าที่ใช้ศึกษา ถ้าแหล่งน้าที่เลือ
dศึกษามีกรวดก้อนหินอยู่ที่พื้นท้องน้า และน้าไหลอยู่ตลอดเวลา นักเรียนควรจะเลือกใช้ Kick Screen แต่ถ้าแหล่งน้าที่เลือก
ศึกษานั้นมีพื้นท้องน้าเป็นโคลนและน้านิ่ง นักเรียนควรจะเลือกใช้ D – Frame net แทน
1. การเก็บตัวอย่างโดยใช้ Kick Screen
1.1 แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน แต่ละกลุ่มจะได้รับถังน้า 1 ใบ ตาข่ายและชุดเก็บตัวอย่าง
1.2 ให้แต่ละกลุ่มจาแนกลักษณะของจุดเก็บตัวอย่างของกลุ่ม แต่ละจุดควรจะอยู่ห่างกัน 3 – 4 เมตร และเป็นตัวแทนของ
สภาพแหล่งน้าแต่ละส่วนด้วย ตัวอย่างเช่น เป็นบริเวณที่มีวัชพืชขึ้นอยู่ หรือเป็นบริเวณที่มีหิน
1.3 เริ่มจากกลุ่มที่อยู่ปลายน้าซึ่งอยู่ไกลสุด ให้นักเรียน 1 – 2 คน ใช้เท้าและมือ หรือใช้ไม้กวนบริเวณใต้น้า ควรจะมีการ
เหยียบย่า กวาดผิวหน้าก้อนกรวดก้อนหินมีอยู่ใต้น้าด้วย นานอย่างน้อย 1 นาที ในขณะที่นักเรียนที่เหลืออีก 2 คน ขึง
ตาข่ายห่างไปทางปลายน้า จากจุดที่กวนให้น้าขุ่น 1 – 2 เมตร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ถ้าบริเวณที่เป็นจุดเก็บตัวอย่าง
นั้นลึกเกินกว่า 1.5 เมตร ห้ามนักเรียนยืนในน้าเด็ดขาด
1.4 ยกตาข่ายออกจากน้าโดยการขยับส่วนล่างของตาข่ายไปข้างหน้าตามแนวพื้นใต้น้า ให้นาน้าจากจุดเก็บน้าประมาณ
100 – 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร เทไปที่ตาข่ายเพื่อให้สัตว์ที่อยู่บนตาข่ายตามลงไปในถาดจาแนกชนิดของสัตว์
1.5 แยกสิ่งมีชีวิตที่ได้โดยใช้กระบอกฉีดยาดูดหรือใช้ปากคีบจับสัตว์แล้วจึงนาไปใส่ไว้ในภาชนะเก็บตัวอย่างซึ่งมีน้า
จากจุดเก็บตัวอย่างบรรจุไว้
1.6 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเก็บตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของสัตว์ที่ต้องการ โดยทาซ้าตามข้อ 1.3 – 1.5
2. การเก็บตัวอย่างโดยใช้ D-Frame net
2.1 แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน นักเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับถังน้า 1 ใบ ตาข่าย และชุดเก็บตัวอย่าง
2.2 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจาแนกลักษณะของจุดเก็บตัวอย่างของกลุ่ม แต่ละจุดควรอยู่ห่างกัน 3 – 4 เมตร แต่ควรเป็น
ตัวแทนของสภาพแหล่งน้าแต่ละส่วนด้วย ตัวอย่างเช่น เป็นบริเวณที่มีวัชพืชขึ้นอยู่หรือเป็นบริเวณที่มีหิน
2.3 ให้นักเรียนกลุ่มที่ 1 วางตาข่ายลงในน้าจนกระทั่งถึงใต้น้า แล้วจึงเลื่อนตาข่ายนั้นไปประมาณ 30 เซนติเมตรเพื่อทา
ให้น้าขุ่น เลื่อนตาข่ายไปให้รอบๆ จุดเก็บตัวอย่างน้าอีก 30 เซนติเมตร เพื่อทาให้น้าขุ่น แล้วจึงยกตาข่ายขึ้นมาบน
ผิวหน้าน้า
2.4 ยกตาข่ายให้สูงเหนือน้าและระวังมิให้สิ่งใดหลุดออกจากตาข่ายได้จากนั้นจึงนาน้าจากจุดเก็บน้ามาประมาณ 100 –
200 ลูกบาศก์เซนติเมตร เทลงบนตาข่ายเพื่อให้สิ่งต่างๆ จากตาข่ายหลุดออก และใส่ลงในถาดจาแนกชนิดของสัตว์
2.5 ให้นักเรียน 2 คนจากแต่ละกลุ่มใช้หลอดฉีดยาดูดหรือใช้ปากคีบจับสิ่งมีชีวิตที่เก็บมาได้แล้วใส่ลงในภาชนะซึ่งมีน้า
จากจุดเก็บตัวอย่างนั้นบรรจุอยู่
2.6 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเก็บตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของสัตว์ที่ต้องการ โดยทาซ้าตามข้อ 2.3 – 2.5
3. การคานวณหาดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ
3.1 ให้นักเรียนทาตารางช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาด 4 ตารางเซนติเมตร บนถาดนับจานวนรวม 60 ช่อง
3.2 เขียนหมายเลขลงในช่องแต่ละช่องตามลาดับตั้งแต่ 1 – 60
P a g e | 25
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ
3.3 เทน้าตัวอย่างลงใส่ถาดโดยให้มีสัตว์ตัวอย่างกระจายตัวอยู่ในช่องต่างๆ ของตาราง โดยเทน้าใส่ถาดให้สูง 4
มิลลิเมตร จากผิวหน้าถาด
3.4 ให้นักเรียน 1 คน ทาหน้าที่จับฉลากหมายเลข (ตัวอย่างเช่น จับฉลากได้หมายเลข 8)
3.5 ให้นักเรียนอีกคนหนึ่งทาหน้าที่หาตัวเลข (เลข 8) บนช่องตารางเล็กๆ และแยกสัตว์จากช่องสี่เหลี่ยมเล็กนั้น (ช่องที่
8) โดยใช้หลอดหยด ดูดหรือใช้ปากคีบ นาสัตว์ตัวอย่าง (ตัวที่ 1) ใส่ลงในถ้วยที่มีน้าบรรจุอยู่
3.6 ให้เขียนเครื่องหมาย X บนใบบันทึกข้อมูล แทนสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1
3.7 จับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 จากช่องสี่เหลี่ยมเล็กเดิม (ช่องที่ 8 ถ้ายังมีอีก) แต่ถ้าไม่มีสัตว์อีก ก็ให้จับฉลากหมายเลขใหม่
แทน และจับสัตว์ตัวอย่างจากช่องสี่เหลี่ยมเล็กอันใหม่
3.8 นาสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 มาวางคู่กับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ในถ้วยที่ใส่สัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ไว้
3.9 ถ้าสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 มีลักษณะเหมือนกับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ให้เขียนเครื่องหมายเดิม คือ X ลงบนใบบันทึกข้อมูล
แต่ถ้าสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 ต่างจากสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ให้เขียน O ลงบนใบบันทึกข้อมูลแทน
3.10 นาสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ใส่ลงในถาดน้าแข็ง หรือถาดจาแนกชนิด
3.11 จับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 3 จากช่องสี่เหลี่ยมเล็กเดิม (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีก็จับฉลากใหม่
3.12 นาสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 3 มาวางคู่กับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2
3.13 ถ้าสัตว์ตัวที่ 3 เหมือนกับสัตว์ตัวที่ 2 ให้เขียนเครื่องหมายเช่นเดียวกันบนใบงานที่นักเรียนใช้แทนสัตว์ตัวที่ 2 (X
หรือ O) แต่ถ้าสัตว์ตัวที่ 3 ต่างจากสัตว์ตัวที่ 2 ก็ให้เขียนเครื่องหมายตรงกันข้าม (O หรือ X )
3.14 นาสัตว์ตัวที่ 2 ใส่ลงในถาดน้าแข็ง ถ้าเหมือนกับสัตว์ตัวที่ 1 ให้ใส่สัตว์ตัวที่ 2 ที่ได้รวมกับสัตว์ตัวที่ 1 แต่ถ้าไม่
เหมือนกันก็นาไปใส่ในหลุมใหม่
3.15 ให้นักเรียนทาการสุ่มตัวอย่างโดยการจับฉลากหมายเลขและเก็บตัวอย่างต่อไป บันทึกสัตว์ตัวอย่างแต่ละตัวเป็น X
และ O จากนั้นจึงนาสัตว์ที่จาแนกชนิดแล้วใส่ลงในถ้วยจาแนกชนิด ทาเช่นนี้จนกระทั่งครบ 50 ตัวอย่าง นับจานวน
“ครั้งที่พบสัตว์ต่างชนิด” บนใบบันทึกข้อมูล (แสดงในตัวอย่างข้างล่าง) และบันทึกผล
3.16 นับจานวน “ครั้งที่พบสัตว์ต่างชนิดกัน” แล้วบันทึกลงบนใบบันทึกข้อมูล
3.17 นาจานวน “ครั้งที่พบสัตว์ต่างชนิด” มาเป็นตัวตั้งและหารด้วยจานวนตัวของสัตว์ตัวอย่าง (50 ตัว) และบันทึก
ผลลัพธ์ที่ได้ลงในใบบันทึกข้อมูล
3.18 นับจานวนชนิดของสัตว์ตัวอย่างในถ้วยจาแนกชนิด แล้วบันทึกผลลงบนใบบันทึกข้อมูล
3.19 นาผลลัพธ์ข้อ 17 คูณกับจานวนชนิดของสัตว์ในข้อ 18 บันทึกผลลัพธ์ใหม่นี้ไว้ผลลัพธ์ที่ได้นี้คือดัชนีหลากหลาย
ทางชีวภาพ
3.20 ให้นักเรียนพยายามจาแนกสัตว์ตัวอย่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
P a g e | 26
ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
กลุ่ม น้ำ

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

ใบงาน 3.1 3.2
ใบงาน 3.1 3.2ใบงาน 3.1 3.2
ใบงาน 3.1 3.2oraneehussem
 
วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2
วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2
วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2dnavaroj
 
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศkrupornpana55
 
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1Wuttipong Tubkrathok
 
แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์
แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์
แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์Jariya Jaiyot
 
ใบงานคลื่นกล ม.5 .docx
ใบงานคลื่นกล ม.5 .docxใบงานคลื่นกล ม.5 .docx
ใบงานคลื่นกล ม.5 .docxsathanpromda
 
ใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบ
ใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบ
ใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบssuserf8d051
 
ปริมาณสารสัมพันธ์
ปริมาณสารสัมพันธ์ปริมาณสารสัมพันธ์
ปริมาณสารสัมพันธ์Arocha Chaichana
 
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันเล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันPreeyapat Lengrabam
 
แบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆแบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆNaphachol Aon
 
แบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็ว
แบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็วแบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็ว
แบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็วJariya Jaiyot
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสAomiko Wipaporn
 
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยทศวรรษ โตเสือ
 
แบบประเมินผลชิ้นงาน
แบบประเมินผลชิ้นงานแบบประเมินผลชิ้นงาน
แบบประเมินผลชิ้นงานpacharawalee
 
ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2Sukanya Nak-on
 
เนื้อหาเมทริกซ์
เนื้อหาเมทริกซ์เนื้อหาเมทริกซ์
เนื้อหาเมทริกซ์Beer Aksornsart
 
เซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิต
เซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิตเซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิต
เซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิตPopeye Kotchakorn
 

Was ist angesagt? (20)

ใบงาน 3.1 3.2
ใบงาน 3.1 3.2ใบงาน 3.1 3.2
ใบงาน 3.1 3.2
 
วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2
วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2
วิทยาศาสตร์พื้นฐาน ม1เทอม2
 
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยระบบนิเวศ
 
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1การถ่ายโอนความร้อน ม.1
การถ่ายโอนความร้อน ม.1
 
แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์
แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์
แบบทดสอบ เรืื่องพอลิเมอร์
 
ใบงานคลื่นกล ม.5 .docx
ใบงานคลื่นกล ม.5 .docxใบงานคลื่นกล ม.5 .docx
ใบงานคลื่นกล ม.5 .docx
 
ใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบ
ใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบ
ใบงานวิทยาศาสตร์ ป.5 ครบ
 
7.ชุดที่ 4 การสังเคราะห์แสง
7.ชุดที่ 4 การสังเคราะห์แสง7.ชุดที่ 4 การสังเคราะห์แสง
7.ชุดที่ 4 การสังเคราะห์แสง
 
ปริมาณสารสัมพันธ์
ปริมาณสารสัมพันธ์ปริมาณสารสัมพันธ์
ปริมาณสารสัมพันธ์
 
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวันเล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
เล่ม 5 ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน
 
แบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆแบบประเมินต่างๆ
แบบประเมินต่างๆ
 
แบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็ว
แบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็วแบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็ว
แบบฝึกการหาอัตราเร็วความเร็ว
 
หน่วย 2
หน่วย 2หน่วย 2
หน่วย 2
 
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
ใบงานที่ 13 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
 
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทยม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
ม4 การตั้งถิ่นฐานในดินแดนไทย
 
แบบประเมินผลชิ้นงาน
แบบประเมินผลชิ้นงานแบบประเมินผลชิ้นงาน
แบบประเมินผลชิ้นงาน
 
ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2ระบบขับถ่าย ม.2
ระบบขับถ่าย ม.2
 
เนื้อหาเมทริกซ์
เนื้อหาเมทริกซ์เนื้อหาเมทริกซ์
เนื้อหาเมทริกซ์
 
เซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิต
เซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิตเซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิต
เซลล์หน่วยของสิ่งมีชีวิต
 
วิทย์ ป.1
วิทย์ ป.1วิทย์ ป.1
วิทย์ ป.1
 

Mehr von Wichai Likitponrak

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยWichai Likitponrak
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfWichai Likitponrak
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64Wichai Likitponrak
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64Wichai Likitponrak
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564Wichai Likitponrak
 

Mehr von Wichai Likitponrak (20)

บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินรับสมัครGS2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินดับเพลิง2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินสอวนชีวะ2565_ครูวิชัย
 
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัยบันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
บันทึกข้อความประเมินทัศนศึกษา2565_ครูวิชัย
 
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdfSAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
SAR64-วิชัย(ชีววิทยา).pdf
 
การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64การสำรวจพืช Globe tu64
การสำรวจพืช Globe tu64
 
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
การสำรวจบรรยากาศ Globe tu64
 
การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64การสำรวจดิน Globe tu64
การสำรวจดิน Globe tu64
 
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
แนวข้อสอบสามัญชีวะ2564
 
Biotest kku60
Biotest kku60Biotest kku60
Biotest kku60
 
Key biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaituKey biotestku60 kruwichaitu
Key biotestku60 kruwichaitu
 
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichaiBi opat2 onet2564_kru_wichai
Bi opat2 onet2564_kru_wichai
 
BiOsaman2564
BiOsaman2564BiOsaman2564
BiOsaman2564
 
Biosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichaiBiosaman63 kruwichai
Biosaman63 kruwichai
 
Ijs obio62 testing
Ijs obio62 testingIjs obio62 testing
Ijs obio62 testing
 
Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62Pptgst uprojectplant62
Pptgst uprojectplant62
 
Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62Pptgst uprojectpaper62
Pptgst uprojectpaper62
 
Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61Pptgst uprojectnickle61
Pptgst uprojectnickle61
 
Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61Pptgst uprojectflower61
Pptgst uprojectflower61
 
Pptgst uprojectcoconut61
Pptgst uprojectcoconut61Pptgst uprojectcoconut61
Pptgst uprojectcoconut61
 

การสำรวจน้ำ Globe tu64

  • 1. P a g e | 1 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ใบควำมรู้ 1 เรื่อง กำรเลือกจุดเก็บตัวอย่ำงน้ำและกำรเก็บตัวอย่ำงน้ำ กำรเลือกจุดเก็บตัวอย่ำงน้ำ ในการเก็บตัวอย่างน้าที่จะนามาใช้ในการวิเคระห์ปัจจัยต่าง ๆ ควรเก็บจากจุดเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า “จุดเก็บตัวอย่างน้า หรือจุดเก็บน้า” ซึ่งมีวิธีเลือกจุดเก็บตัวอย่างน้าจืด ดังนี้ 1. ถ้าจุดเก็บตัวอย่างน้าเป็นบริเวณน้าไหล เช่น ลาธารหรือแม่น้า ให้เลือกจุดเก็บตัวอย่างน้าบริเวณที่น้าไหลไม่แรง และ ไม่เร็วหรือช้าเกินไป 2. ถ้าจุดเก็บน้าเป็นบริเวณน้านิ่ง เช่น ในทะเลสาบ หรืออ่างเก็บน้า ควรเลือกจุดเก็บตัวอย่างน้าที่ใกล้กับทางน้าไหลออก จากทะเลสาบหรืออยู่ตรงกลางแหล่งน้า แต่ให้หลีกเลี่ยงการเก็บน้าตัวอย่างใกล้จุดที่น้าไหลเข้าสู่ทะเลสาบหรืออ่างเก็บ น้า 3. ในการเก็บตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ (Macro-Invertebrate) ควรเก็บตัวอย่างใกล้กับจุดเก็บตัวอย่างน้า กำรเก็บตัวอย่ำงน้ำ (WATER SAMPLING) ในการเก็บตัวอย่างน้า ถ้าสามารถปฏิบัติงาน ณ จุดเก็บตัวอย่างน้าได้อย่างปลอดภัย (มือเอื้อมถึง) ให้ทาการตรวจวัด ณ จุดเก็บตัวอย่างได้เลย เช่น การตรวจวัดอุณหภูมิของน้า (Temperature) พีเอช (pH) ออกซิเจนละลายในน้า (Dissolved Oxygen) และสภาพนาไฟฟ้า (Electivity) สามารถทาในแหล่งน้านั้นได้เลย ส่วนการตรวจวัดสภาพความเป็นเบส (Alkalinity) ความเค็ม (Salinity) และไนเตรต (Nitrate) อาจจะทาได้จากตัวอย่างน้าในถังเก็บน้า อย่างไรก็ตาม ควรจะทดสอบหรือตรวจวัดค่าต่างๆ ทันทีหลังจากเก็บตัวอย่างน้า แต่ถ้ามีเหตุจาเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรนาน้าตัวอย่างบรรจุลงขวดเก็บตัวอย่างน้าและเก็บไว้ใน ภาชนะที่มีอุณหภูมิ 4 OC เพื่อนาไปทดสอบภายหลัง ยกเว้นปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าตัวอย่างควรดาเนินการตรวจวัด ทันที วิธีการตรวจวัด การเก็บตัวอย่างน้า 1. ในการเก็บตัวอย่างน้า ให้จับปลายเชือกที่ผูกกับถังน้าไว้ แล้วค่อยๆ หย่อนถังน้าลงไปจนถึงผิวน้า ปล่อยให้น้าไหลเข้า ถังน้าโดยดึงเชือกพลิกให้ถังน้าหงายขึ้น เมื่อมีน้าอยู่ในถังบางส่วนแล้ว ให้สาวเชือกดึงถังขึ้นในแนวตั้งฉากและหมุน ถังน้าเพื่อใช้น้านั้นทาความสะอาดถัง แล้วจึงเทน้าทิ้งไปและทาซ้าเช่นนี้อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ห้ามใช้น้ากลั่นทาความ
  • 2. P a g e | 2 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ สะอาดถังน้าโดยเด็ดขาด เพราะจะทาให้ผลการทดลองผิดพลาดได้สูง ในทานองเดียวกันอย่านาถังเก็บตัวอย่างน้าไปใช้ ทาความสะอาดหรือนาไปใช้กับงานอื่นๆ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการทดลองอีกด้วย 2. ถ้าจุดเก็บตัวอย่างน้าเป็นลาธารก็ให้เหวี่ยงถังเก็บตัวอย่างน้าลงไปในบริเวณที่น้ามีการผสมรวมตัวกันดี และห่างจากฝั่ง ไม่มากนักโดยความเป็นจริงแล้ว น้าในลาธารควรจะไหลไม่แรงหรือไหลเอื่อยๆ ถ้าจาเป็นเก็บน้าตัวอย่างในลาธารที่ ไหลเชี่ยวควรยึดจับเชือกที่ผูกถังเก็บน้าให้แน่นเพื่อกันมิให้ถังหลุดมือ 3. การเก็บตัวอย่างจากทะเลสาบ อ่าว หรือในมหาสมุทร ให้เก็บน้าที่ชายฝั่งโดยเหวี่ยงถังเก็บน้าออกไปให้ไกลมากที่สุด เท่าที่จะทาได้เพื่อเก็บน้าตัวอย่างที่ต้องการ และควรเก็บน้าจากบริเวณผิวน้าเท่านั้น อย่าปล่อยให้ถังเก็บน้ามีน้าจนเต็ม ถัง ซึ่งจะทาให้ถังจมลงไป และขณะเดียวกันก็ต้องระวังมิให้ตะกอนที่ก้นน้าลอยตัวขึ้นมาปนกับน้าที่ผิวหน้าตรง บริเวณที่ต้องการเก็บน้าด้วย 4. ในการเก็บตัวอย่างนั้น ควรปล่อยให้น้าไหลเข้าถังประมาณ หรือ ของถังเท่านั้น เราจึงจะได้ตัวอย่างน้าที่ต้องการ จากนั้นดึงถังตัวอย่างให้พ้นน้า
  • 3. P a g e | 3 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ การบรรจุน้าตัวอย่างลงขวด 1. เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับตัวอย่างน้า ได้แก่ ชื่อโรงเรียน ชื่อครู ชื่อพื้นที่ศึกษา วันที่และเวลาในการเก็บน้าตัวอย่าง และ ปัจจัยที่ต้องการตรวจวัด แล้วติดฉลากลงบนขวดโพลีเอธิลีนสาหรับเก็บน้าขนาด 500 มิลลิลิตร 2. ทาความสะอาดขวดเก็บตัวอย่างน้า โดยล้างขวด (Rinse) ด้วยน้าตัวอย่างจานวนเล็กน้อยปิดฝาจุก และเขย่าให้ทั่วแล้วเท น้าทิ้งไป 3. จุ่มขวดเก็บตัวอย่างน้าลงบนผิวน้าด้านบนของแหล่งน้าตัวอย่าง ค่อย ๆ ให้น้าไหลเข้าไปในขวดจนเต็ม โดยไม่ให้มี ฟองอากาศอยู่เหนือน้าในขวด แล้วจึงปิดฝาให้แน่น ถ้ามีฟองให้เก็บตัวอย่างน้าใหม่ 4. นาเทปกาวมาปิดทับฝาจุกให้แน่นเพื่อไม่ให้น้าไหลออก ซึ่งเทปกาวจะทาหน้าที่เป็นฉลากบอกรายละเอียดการเก็บน้า และยังทาหน้าที่บ่งชี้ว่า ขวดน้าตัวอย่างนั้นถูกเปิดแล้วหรือยัง และเทปกาวจะต้องไม่สัมผัส กับน้าตัวอย่างโดยเด็ดขาด 5. นาตัวอย่างน้าไปเก็บไว้ในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 4 oC จนกว่าจะมีการตรวจวัด โดยในการวัดค่า pH และไนเตรต จะต้อง ตรวจวัดภายใน 2 ชั่วโมง และการตรวจวัดหาค่าสภาพความเป็นเบส และความเค็ม หรือสภาพนาไฟฟ้า จะต้องตรวจวัด ภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเก็บตัวอย่างน้า 6. ถ้าเทปกาวที่ติดปากขวดหลุดหรือฉีกขาด สิ่งแรกที่จะต้องทาคือ ตรวจวัดหาค่า pH ของน้าทันที แล้วจึงทดสอบหาค่า ความเค็มหรือสภาพนาไฟฟ้า สภาพความเป็นเบสและไนเตรต ข้อควรระวัง 1. เพื่อความปลอดภัยในการใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ในการทดลอง ควรอ่านคาแนะนาที่มาพร้อมกับชุดทดลองสาเร็จรูป หรือปรึกษากับหน่วยงานท้องถิ่นที่ดูแลเรื่องความปลอดภัย 2. ในกรณีที่ใช้ชุดทดลองสาเร็จรูปภาคสนาม ซึ่งอาจจะต้องสัมผัสสารเคมีต่างๆ ผู้ใช้ควรสวมถุงมือยาง และสวมแว่นตา ป้องกันเพื่อความปลอดภัย
  • 4. P a g e | 4 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ใบควำมรู้ 2 เรื่อง กำรตรวจวัดควำมโปร่งใสของน้ำ กำรตรวจวัดควำมโปร่งใสของน้ำ (TRANSPARENCY) การวัดความโปร่งใสของน้า คือ การวัดความสามารถของแสงที่ส่องผ่านน้าลงไปได้ลึกเท่าไร ซึ่งสามารถตรวจวัดได้2 วิธี คือ วิธีการวัดด้วยจานวัดความโปร่งใส (Secchi Disk) ใช้สาหรับแหล่งน้านิ่ง หรือน้าลึก แสดงดังภาพที่ 1 และวิธีใช้หลอดวัด ความโปร่งใส (Transparency Tube) ใช้สาหรับแหล่งน้าไหล หรือน้าตื้น แสดงดังภาพที่ 2 ภำพที่ 1 จานวัดความโปร่งใส (Secchi Disk) ภำพที่ 2 หลอดวัดความโปร่งใส (Transparency Tube) ส่วนใหญ่จะพบว่า ความโปร่งใสของน้าธรรมชาติจะมีค่าอยู่ระหว่าง 1 – 3 หรือ 4 เมตร ถ้ามีค่าต่ากว่า 1 เมตร จะถือว่า แหล่งน้านั้นจะมีอัตราการเจริญเติบโตของพืชน้าสูง หรืออาจจะหมายถึง มีของแข็งแขวนลอยอยู่ในปริมาณสูงก็ได้ส่วนบริเวณ
  • 5. P a g e | 5 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ทะเลสาบบางแห่งที่มีน้าใสและลึกมาก ซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตของพืชน้าต่า หรือน้าชายฝั่งอาจจะมีความโปร่งใสของน้ามาก ถึง 30 – 40 เมตร ก็ได้เช่น บริเวณแนวปะการัง เป็นต้น วิธีการตรวจวัด วิธีที่ 1 การตรวจวัดความโปร่งใสของน้าด้วยจานวัดความโปร่งใส 1. ค่อยๆ หย่อนจานวัดความโปร่งใสลงในน้า (ภาพที่ 3) จนกระทั่งถึงจุดที่มองไม่เห็นสีขาวสลับดาบนจานวัดความ โปร่งใส ทาเครื่องหมายบนเชือก ณ จุดผิวหน้าน้า (อาจจะใช้เข็มหมุดปักผ้าเสียบไว้) แต่ถ้าไม่สามารถทาเครื่องหมาย ณ จุดผิวน้าได้โดยตรง ต้องทาเครื่องหมายบนเชือกที่สูงจากผิวน้า ซึ่งรู้ค่าระยะที่แน่นอน ภำพที่ 3 วิธีหย่อนจานวัดความโปร่งใส 2. ค่อยๆ ดึงเชือกให้สูงขึ้นทีละน้อยๆ จนกระทั่งมองเห็นสีบนจานวัดความโปร่งใสอีกครั้งหนึ่ง (ภาพที่ 4) แล้วทา เครื่องหมายบนเชือกที่ระดับผิวน้าอีกครั้ง(หรือจะใช้วิธีการวัดระยะทางจากผิวน้าถึงจุดที่วัดได้เหนือน้า) ดังนั้น จึงมี เครื่องหมายบนเชือกอยู่ 2 จุด ซึ่งน่าจะไม่ต่างกันเกิน 2 – 3 เซนติเมตร เท่านั้น
  • 6. P a g e | 6 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ภำพที่ 4 วิธีหย่อนจานวัดความโปร่งใส 3. บันทึกระยะต่างระหว่าง 2 จุดที่วัด ถ้าระยะที่วัดได้มีค่าเป็นเศษของเซนติเมตร ให้คิดเป็นค่าเซนติเมตรที่ใกล้เคียงที่สุด เช่น 2.1 เซนติเมตร บันทึก 2 เซนติเมตร ในใบบันทึกข้อมูล 4. ถ้าความแตกต่างระหว่างค่าความลึกที่วัดได้ทั้ง 2 ค่า มีค่ามากกว่า 10 เซนติเมตร ให้ทาการทดลองซ้าใหม่ แล้วจึงบันทึก ค่าที่วัดได้ใหม่ 5. ถ้าจานวัดความโปร่งใสจมลงถึงก้นน้า ณ จุดตรวจวัดแต่ยังคงเห็นสีของจานดังกล่าวอยู่ให้บันทึกว่า ค่าความโปร่งใส ของน้ามากกว่าความลึกจากจานวัดถึงผิวน้าโดยเขียนเครื่องหมายมากกว่า (>) หน้าตัวเลขที่อ่านได้ 6. ชี้บ่งปริมาณเมฆที่ปกคลุมในท้องฟ้าเหนือบริเวณที่ศึกษา หาระยะทางระหว่างเครื่องหมายที่ทาไว้บนเชือกและผิวน้า แล้วบันทึกค่าทั้งสองในใบบันทึกข้อมูล (หากทาเครื่องหมายบนเชือกที่ผิวน้าให้ใส่ 0) วิธีที่ 2 การตรวจวัดความโปร่งใสของน้าด้วยหลอดวัดความโปร่งใส 1. ค่อยๆ รินน้าตัวอย่างลงในหลอดวัดความโปร่งใสทีละน้อย (ภาพที่ 5) สังเกตสีขาวสลับดาบนแผ่นกลมที่ก้นหลอดแล้ว ค่อยๆ รินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสีขาวสลับดาที่มองเห็นนั้นเลือนหายไปขณะที่มองจากปากของหลอดวัดความ โปร่งใสไปยังจานสีขาวสลับดาที่ก้นหลอดนั้น ควรจะหมุนหลอดวัดความโปร่งใสไปพร้อมๆ กันด้วยเพื่อให้เห็นความ แตกต่างระหว่างสีขาวและสีดาบนจานที่ก้นหลอด
  • 7. P a g e | 7 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ภำพที่ 5 รินน้าตัวอย่างลงในหลอดวัดความโปร่งใส 2. บันทึกค่าที่อ่านได้ลงในใบงานบันทึกข้อมูล ถ้าค่าที่อ่านได้เป็นเศษของเซนติเมตร ให้คิดเป็นจานวนเต็มที่ใกล้เคียง ที่สุด เช่น 2.1 เซนติเมตร บันทึกเป็น 2 เซนติเมตร 3. เมื่อเติมน้าตัวอย่างจนเต็มหลอดวัดความโปร่งใสแล้ว ถ้ายังคงเห็นสีบนจานวัดอยู่ ก็ให้บันทึกว่าความโปร่งใสของน้า จะมีค่ามากกว่า (>) ความยาวหรือความสูงของหลอดวัดความโปร่งใสนั้น
  • 8. P a g e | 8 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ใบควำมรู้ 3 เรื่อง กำรตรวจวัดอุณหภูมิน้ำและพีเอชน้ำ กำรตรวจวัดอุณหภูมิ (TEMPERATURE) ของน้ำ การวัดอุณหภูมิของน้าเป็นการวัดปริมาณพลังงานแสงอาทิตย์ที่น้ารับไว้รวมทั้งดินและอากาศที่อยู่บริเวณโดยรอบด้วย ถ้าน้ารับพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้มากก็จะทาให้อุณหภูมิของน้าสูงขึ้นด้วย นอกจากนี้ น้าจากโรงงานก็อาจทาให้ อุณหภูมิของแหล่งน้าสูงขึ้นได้อีกทางหนึ่ง การระเหยของน้าที่ผิวโลกสามารถช่วยลดอุณหภูมิของน้าในบริเวณผิวหน้าน้าที่ไม่ ลึกนัก การวัดอุณหภูมิของน้าทาให้เข้าใจถึงรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรอบปี ทั้งนี้เพราะอุณหภูมิของน้าในแหล่ง น้าจะมีอิทธิพลสูงต่อปริมาณและความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้านั้น วิธีการตรวจวัด กำรปรับค่ำมำตรฐำนเทอร์มอมิเตอร์ ก่อนตรวจวัดอุณหภูมิน้า ควรปรับค่ามาตรฐานของเทอร์มอมิเตอร์เสียก่อนโดย 1. ใส่น้าแข็งก้อนเล็กๆ ลงในแก้ว แล้วเติมน้าลงไปเล็กน้อย (ให้มีน้าแข็งมากกว่าน้า) 2. จุ่มเทอร์มอมิเตอร์ลงในแก้วในข้อ 1 คนเทอร์มอมิเตอร์อย่างเบามือ ซึ่งจะทาให้เทอร์มอมิเตอร์ค่อยๆ เย็นลง 3. ตั้งทิ้งไว้10 – 15 นาที 4. อ่านค่าอุณหภูมิ ถ้าค่าที่อ่านได้อยู่ระหว่าง 0.5 ํC แสดงว่าเทอร์มอมิเตอร์นั้นใช้ได้ แต่ถ้าน้อยกว่า -0.5 ํC หรือ มากกว่า +0.5 ํC ให้ตรวจสอบว่ามีสารอื่นใดปนเปื้อนหรือไม่ เช่น มีเกลือเจือปนอยู่ แต่ถ้าตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสาร อื่นใดเจือปน และค่าอุณหภูมิที่อ่านได้ยังคงน้อยกว่า -0.5 ํC หรือมากกว่า +0.5 ํC ให้เปลี่ยนเทอร์มอมิเตอร์ ภำพที่ 1 แสดงวิธีการวัดอุณหภูมิในน้าลึกจากผิวน้า 10 เซนติเมตร
  • 9. P a g e | 9 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ กำรตรวจวัดพีเอชน้ำ (pH) ความเป็นกรด-เบส หรือค่าพีเอช (pH) เป็นค่าที่บอกปริมาณของกรดที่ปนอยู่ในน้า ค่าพีเอชมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยาเคมี ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในน้า น้าบริสุทธิ์ที่ปราศจากสิ่งปนเปื้อน (และต้องไม่สัมผัสกับอากาศด้วย) จะมีค่าพีเอชเท่ากับ 7 น้าซึ่งมี สิ่งเจือปนอยู่ด้วยอาจจะมีค่าพีเอชเท่ากับ 7 ได้ถ้าน้านั้นมีกรดและเบสอยู่ในปริมาณที่เท่ากันและสมดุลกัน ถ้าน้ามีค่าพีเอชต่ากว่า 7 แสดงว่า น้านั้นมีปริมาณกรดอยู่มากเกินจุดที่สมดุล แต่ถ้ามีค่าพีเอชมากกว่า 7 แสดงว่าในน้านั้นมีเบสมากเกินจุดที่สมดุล โดยธรรมชาติแล้ว น้าฝนที่ไม่มีสิ่งปนเปื้อนจะมีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 5 – 6 ดังนั้นแม้ว่าน้าฝนที่ตกในบริเวณที่มีภาวะ มลพิษน้อยที่สุดบนพื้นโลก ก็ยังคงมีส่วนเป็นกรดอยู่นั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศสามารถละลายได้ ในหยดน้าฝน น้ากลั่นที่สัมผัสกับอากาศก็จะมีค่าพีเอชประมาณ 5 – 6 เช่นกัน ฝนกรดส่วนใหญ่มักจะมีค่าพีเอชประมาณ 4 แต่ถ้า เป็นหมอกในเขตเมืองอาจจะมีค่าพีเอชต่ากว่า 2 ก็ได้ น้าในทะเลสาบและลาธารส่วนใหญ่จะมีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 6.5 – 8.5 เรา อาจจะพบน้าซึ่งมีสภาพเป็นกรดเองโดยธรรมชาติในบริเวณที่มีสินแร่บางชนิดอยู่ในดิน (เช่น ซัลไฟด์) การทาเหมืองแร่อาจจะมี สินแร่บางอย่างที่ทาให้เกิดกรดถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้าเช่นเดียวกัน น้าที่มีสภาพเป็นเบสเองโดยธรรมชาติมักจะพบเฉพาะในดินที่ มีสินแร่บางชนิดปนอยู่มาก เช่น ปูนขาว หรือหินปูน ค่าพีเอชในน้าจะมีอิทธิพลสูงต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในแหล่งน้านั้น กบ และสัตว์ครึ่งน้าครึ่งบก มักจะไวต่อน้าที่มีค่าพีเอช ต่าๆ แมลง สัตว์ครึ่งน้าครึ่งบก และปลา จะไม่สามารถดารงชีวิตในแหล่งน้าที่น้ามีค่าพีเอชต่ากว่า 4 ได้การตรวจวัดค่าพีเอช สามารถทาได้หลายวิธี เช่น ใช้กระดาษวัดค่าพีเอช (pH Paper) ปากกาวัดค่าพีเอช (pH Pen) เครื่องมือวัดค่าพีเอช (pH Meter) ซึ่ง ในกิจกรรมนี้จะตรวจวัดค่าพีเอช โดยใช้ปากกาวัดค่าพีเอช และเครื่องวัดค่าพีเอช ซึ่งจะแสดงค่าที่ถูกต้องแม่นยามากกว่าการใช้ กระดาษวัดค่าพีเอช วิธีการตรวจวัด วิธีที่ 1 โดยใช้กระดาษวัดค่าพีเอช 1. ล้างบีกเกอร์ขนาด 50 หรือ 100 มิลลิลิตร ด้วยน้าตัวอย่างอย่างน้อย 2 ครั้ง 2. เติมน้าตัวอย่างลงไปประมาณครึ่งหนึ่งของบีกเกอร์ 3. จุ่มปลายข้างหนึ่งของกระดาษวัดค่าพีเอชลงในน้าตัวอย่าง นานอย่างน้อย 1 นาที 4. ยกกระดาษวัดค่าพีเอชออกจากน้าตัวอย่าง และเปรียบเทียบกับตารางเทียบสีที่อยู่หลังกล่องกระดาษวัดค่าพีเอชนั้น 5. บันทึกค่าที่อ่านได้ลงในใบงานบันทึกข้อมูล วิธีที่ 2 โดยใช้ปากกาวัดค่าพีเอช หรือเครื่องวัดค่าพีเอช 1. ปรับค่ามาตรฐานของเครื่องมือควรทาก่อนการตรวจวัดโดยอาจทาในชั้นเรียนก่อนการเดินทางไปยังภาคสนาม
  • 10. P a g e | 10 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ 1.1. เทสารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอชเท่ากับ 4, 7 และ 10 ลงในบีกเกอร์ขนาด 50 หรือ 100 มิลลิลิตร ภำพที่ 2 สารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอชเท่ากับ 4, 7 และ 10 1.2 ล้างอิเล็กโทรด (ส่วนที่เป็นแก้วดังภาพที่ 3) และบริเวณรอบๆ ด้วยน้ากลั่นอย่างน้อย 2 ครั้ง และซับให้แห้งด้วย กระดาษเช็ดหน้าหลังการล้างแต่ละครั้ง โดยมีบีกเกอร์สาหรับน้าทิ้งหรืออ่างที่รองรับอยู่ ห้ามไม่ให้น้าที่ล้าง อิเล็กโทรดไหลลงในบีกเกอร์ที่ใส่สารละลายบัฟเฟอร์และไม่ให้นิ้วมือสัมผัสแท่งอิเล็กโทรด (ส่วนที่เป็นแก้ว) โดยเด็ดขาด ภำพที่ 2 ปากกาวัดค่า pH 1.3 จุ่มปากกาวัดค่าพีเอชลงในสารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอช 7 ให้ส่วนที่เป็นหัววัดจุ่มอยู่ในสารละลาย และอย่า จุ่มเครื่องมือวัดลงมากเกินไป หรืออย่าให้แท่งแก้วอิเล็กโทรดสัมผัสกับส่วนใดส่วนหนึ่งของภาชนะ 1.4 ใช้ปากกาวัดค่าพีเอชกวนน้าตัวอย่างอย่างช้าๆ และรอจนค่าคงที่จึงกดปุ่ม HOLD/CON แล้วอ่านค่าพีเอช ซึ่ง ควรอ่านค่าได้เท่ากับค่าพีเอชของสารละลายบัฟเฟอร์นั้น คือ 7 1.5 ถ้าปากกาวัดค่า pH อ่านค่าได้ไม่เท่ากับ 7 ให้ใช้ไขควงขนาดเล็กปรับด้านหลังของปากกาให้แสดงค่า pH เท่ากับ7 1.6 ยกปากกาวัดค่าพีเอชออกจากสารละลายบัฟเฟอร์ แล้วนาไปล้างด้วยน้ากลั่น และใช้กระดาษเช็ดหน้าซับ อิเล็กโทรดให้แห้ง
  • 11. P a g e | 11 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ 1.7 ทาซ้าในข้อ 2 – 5 โดยเปลี่ยนไปใช้สารละลายบัฟเฟอร์ที่มีค่าพีเอช 4 และ 10 1.8 วางเครื่องวัดค่าพีเอชที่พร้อมใช้งานแล้วลงบนกระดาษเช็ดมือ ปิดเครื่องโดยกดปุ่มเปิด/ปิดอีกครั้ง 2. วัดค่าพีเอชในภาคสนาม 2.1 ล้างหัวอิเล็กโทรดและบริเวณรอบๆ ด้วยน้ากลั่น ซับให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดหน้า 2.2 ล้างบีกเกอร์ขนาด 100 มิลลิลิตร ที่สะอาดและแห้งด้วยน้าตัวอย่าง แล้วเติมน้าตัวอย่าง 50 มิลลิลิตร 2.3 จุ่มแท่งอิเล็กโทรดลงในน้าตัวอย่างและต้องแน่ใจว่าส่วนหัวของอิเล็กโทรดจมอยู่ในน้า และควรหลีกเลี่ยงมิให้ แท่งอิเล็กโทรดจมลงมากเกินไป 2.4 กวนเบาๆ ด้วยแท่งอิเล็กโทรดและรอจนกระทั่งตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอปากกาวัดค่าพีเอช หรือเครื่องวัดค่าพี เอชคงที่ 2.5 อ่านค่าพีเอชแล้วบันทึกลงในใบบันทึกข้อมูล 2.6 ทดลองซ้าตามวิธีการในข้อ 1 – 5 เพื่อควบคุมคุณภาพการตรวจวัดและค่าพีเอชที่วัดได้จากน้าตัวอย่างเดียวกัน นั้นจะต้องต่างกันไม่เกิน 0.2 2.7 ล้างหัวอิเล็กโทรดด้วยน้ากลั่น ซับให้แห้งด้วยกระดาษเช็ดหน้า ปิดฝาครอบหัวอิเล็กโทรดแล้วปิดเครื่อง
  • 12. P a g e | 12 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ใบควำมรู้ 4 เรื่อง กำรตรวจวัดออกซิเจนที่ละลำยในน้ำ กำรตรวจวัดออกซิเจนที่ละลำยในน้ำ (DISSOLVED OXYGEN: DO) สิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในน้าต้องการปริมาณออกซิเจนแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วสิ่งมีชีวิตในน้าต้องการ ออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้าอย่างน้อยที่สุด 6 ppm เพื่อการเติบโตและการพัฒนาการของชีวิต อุณหภูมิของน้าและระดับความสูง ของพื้นที่มีอิทธิพลต่อปริมาณออกซิเจนที่สามารถละลายได้ในน้า หรือเรียกว่า “ค่าสมดุล” โดยทั่วไปแล้วพบว่าน้าที่อุ่นกว่าไม่ สามารถดึงหรือละลายออกซิเจนไว้ได้มากเท่ากับน้าที่เย็นกว่า ในทานองเดียวกันน้าที่พบในระดับที่มีความสูงกว่าไม่สามารถดึง หรือละลายออกซิเจนไว้ได้มากเท่ากับน้าที่พบในพื้นที่ระดับที่ต่ากว่า ปริมาณของออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ตรวจวัดได้นั้น อาจจะสูงกว่าหรือต่ากว่าค่าสมดุลได้ เนื่องจากแบคทีเรียใน แหล่งน้าจะใช้ออกซิเจนในขณะที่กาลังย่อยสลายเศษซากพืช ซากสัตว์ในแหล่งน้านั้น ซึ่งอาจทาให้ระดับของออกซิเจนที่ละลาย ในน้าในแหล่งน้านั้นลดลง ในทางกลับกันพบว่าสาหร่ายในน้าจะสร้างออกซิเจนในขณะที่ทาการสังเคราะห์แสง ซึ่งทาให้ใน บางครั้งพบว่า ในช่วงฤดูร้อน ระดับของออกซิเจนที่ละลายในน้าจะสูงกว่าในฤดูอื่น ในการตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าสามารถทาได้โดยวิธีการไตเตรต ซึ่งอาจเก็บน้าตัวอย่างมาตรวจวัดทันทีใน ห้องปฏิบัติการหรืออาจตรวจวัดในภาคสนามโดยชุดตรวจวัดออกซิเจนที่ละลายในน้า ซึ่งจะมีคู่มือแสดงขั้นตอนการตรวจวัด อย่างชัดเจน วิธีการตรวจวัด 1. วิธีการเก็บตัวอย่างน้า 1.1 ล้างขวดและจุกขวดเก็บตัวอย่างน้า และล้างมือของผู้ทาการทดลองด้วยน้าตัวอย่าง 3 ครั้ง และล้างขวดแก้ว ขนาดเล็กด้วยน้ากลั่น 3 ครั้ง 1.2 ปิดจุกขวดเก็บตัวอย่างน้า 1.3 จุ่มขวดเก็บตัวอย่างลงในน้า ตัวอย่างให้จมอยู่ใต้ผิวหน้าน้าจึงเปิดจุกและปล่อยให้น้าไหลสู่ขวดจนเต็ม 1.4 เคาะขวดเก็บตัวอย่างน้าเบา ๆ เพื่อไล่ฟองอากาศ 1.5 ปิดจุกขวดให้เรียบร้อย ในขณะที่ขวดเก็บตัวอย่างยังจมอยู่ในน้าแล้วจึงยกขวดขึ้นจากน้า 1.6 ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่าไม่มีฟองอากาศอยู่ในขวด ถ้าพบว่ายังคงมีฟองอากาศอยู่ให้ทาการเก็บตัวอย่างน้า ใหม่ทันที
  • 13. P a g e | 13 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ 2. วิธีการเก็บรักษาตัวอย่างน้าและทดลอง ภำพที่ 1 ชุดทดสอบออกซิเจนละลายในน้าสาเร็จรูป 2.1 ตักแมกนีเซียมซัลเฟตด้วยช้อนตักสารที่แห้ง 1 ช้อน เทลงในน้าตัวอย่าง แล้วปิดฝาให้สนิท 2.2 ใช้นิ้วชี้กดที่ฝาขวดไว้(ดังภาพที่ 2) แล้วเขย่าสารให้เข้ากัน โดยคว่าและหงายขวดขึ้นช้าๆ สลับกันไป พักไว้ สักครู่ให้ออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ถูกตรึงไว้ตกเป็นตะกอนสีน้าตาล ถ้าน้าตัวอย่างมีออกซิเจนที่ละลายใน น้าปริมาณมาก จะมีตะกอนสีน้าตาลเข้มจานวนมากที่ก้นขวด (ดังภาพที่ 3) และถ้าน้าตัวอย่างมีออกซิเจนที่ ละลายในน้าปริมาณน้อยจะมีตะกอนสีน้าตาลอ่อนปริมาณเล็กน้อย ภำพที่ 2 วิธีเขย่าขวดที่ถูกต้อง ภำพที่ 3 ตะกอนสีน้าตาลของออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ถูกตรึงไว้ 2.3 เปิดฝาและเติมกรดซัลฟามิก (Sulfamic Acid) หรือกรดซัลฟูริก(Sulfuric acid) ลงไปเพื่อละลายตะกอนสี น้าตาลปิดฝาแล้วเขย่าให้เข้ากัน จะได้เป็นน้าสีน้าตาลใส (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 1 ในภาพที่ 4) 1 2 3 4 ภำพที่ 4 ตัวอย่างน้าในการตรวจวัดออกซิเจนที่ละลายในน้าตามขั้นตอนต่างๆ
  • 14. P a g e | 14 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ 2.4 เติม Alk Pot Iodide Azide ลงไปเพื่อทาให้น้าตัวอย่างเกิดสีเมื่อทาปฏิกิริยากับน้าแป้ง (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 2 ในภาพที่ 4) 2.5 หยดน้าแป้ง (Starch Indicator) ลงไปทาปฏิกิริยากับน้าตัวอย่างเปลี่ยนเป็นสีน้าเงิน (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 3 ใน ภาพที่ 4) 2.6 หาปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้า โดยการไตเตรตด้วยไธโอซัลเฟต (Thiosulfate) 0.025N จนกว่าสีน้าเงิน ของน้าตัวอย่างจะเป็นน้าใส (ดังน้าตัวอย่างขวดที่ 4 ในภาพที่ 4) ถือเป็นจุดยุติ 2.7 อ่านค่าปริมาณไธโอซัลเฟตที่ใช้ไป ซึ่งก็คือค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้านั่นเอง 2.8 บันทึกค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าที่ได้จากนักเรียนทุกกลุ่มใส่ลงในใบบันทึกข้อมูล 2.9 หาค่าเฉลี่ยของปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้าที่วัดโดยนักเรียนทุกกลุ่มถ้าค่าที่วัดได้จากนักเรียนทุกกลุ่ม แตกต่างจากค่าเฉลี่ยไม่เกิน ±1 กรัม/ลิตร (g/l) ถือว่ายอมรับได้แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ให้ทาการตรวจวัดซ้า ใหม่ 2.10 เทของเหลวที่ใช้แล้วทั้งหมดจากการตรวจวัดลงในขวดสาหรับทิ้งน้ายา
  • 15. P a g e | 15 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ใบควำมรู้ 5 เรื่อง กำรตรวจวัดควำมเค็มของน้ำ กำรตรวจวัดควำมเค็มของน้ำ (SALINITY) การตรวจวัดความเค็ม เป็นการตรวจวัดปริมาณเกลือที่ละลายน้าที่พบในน้าเค็มหรือน้ากร่อย โดยมีหน่วยเป็นส่วนใน หนึ่งพันส่วน (ppt ย่อมาจาก part per thousand) ความเค็มของน้าทะเลของโลกมีค่าเฉลี่ย 35 ppt น้าจืดมีค่าไม่เกิน 0.5 ppt น้ากร่อย มีค่า 0.5 – 25 ppt ค่าความเค็มจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณหยาดน้าฟ้า น้าจากหิมะละลาย หรือบริเวณรอยต่อระหว่างน้าเค็ม กับน้าจืด เช่น บริเวณปากแม่น้า ปริมาณของเกลือในน้าเป็นตัวการสาคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ชี้บ่งว่าจะพบสิ่งมีชีวิตชนิดใดในบริเวณ แหล่งน้านั้น ดังนั้นชนิดสิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้าจืดและที่อาศัยในน้าเค็มจึงแตกต่างกันมาก พืชหรือสัตว์ที่อาศัยในน้าจืดจะมีเกลือ ในเซลล์มากกว่าในแหล่งน้าที่อาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะกาจัดเหลือออกมาเป็นของเสีย ส่วนพืชหรือสัตว์ที่อาศัยในน้าทะเลมี ปริมาณของเกลือเท่ากับหรือน้อยกว่าสิ่งแวดล้อมที่อาศัยอยู่และมีกลไกของร่างกายที่จะยังคงสภาพสมดุลของเกลือ นอกจากนี้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ยังสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงความเค็มในแหล่งน้าที่อาศัยอยู่ได้ `ในการตรวจวัดความเค็มสามารถตรวจวัดได้หลายวิธี แต่ในกิจกรรมนี้จะใช้ไฮโดรมิเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการตรวจวัด ซึ่งไฮโดรมิเตอร์จะตรวจวัดค่าความถ่วงจาเพาะหรือความหนาแน่นของของเหลว การออกแบบอุปกรณ์นี้จะใช้หลักการของนัก คานวณ ชาวกรีกที่ชื่อว่า อาร์คิมีดีส ซึ่งกล่าวไว้ว่า น้าหนักที่หายไปของของแข็งที่อยู่ในของเหลวจะมีค่าเท่ากับน้าหนักของ ของเหลวนี้ ถูกแทนที่ ดังนั้นของเหลวที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะทาให้ของแข็งที่อยู่ในของเหลวนั้นจมตัวลงแทนที่น้าหนัก ของตัวมันเอง น้าจะมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นถ้าอุณหภูมิของน้าลดลง และมีค่าสูงสุดเท่ากับ 1 ที่อุณหภูมิ 4 ํC และความ หนาแน่นของน้าที่อุณหภูมิเข้าใกล้จุดเยือกแข็งจะลดลง น้าแข็งจึงลอยน้าได้ เพราะมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้า จะเห็นได้ว่า อุณหภูมิของน้าทาให้ความหนาแน่นของน้าแปรเปลี่ยนไป ดังนั้นในการตรวจวัดความเค็ม (ปริมาณเกลือในน้า) เราจึงต้องวัด อุณหภูมิของน้าควบคู่กับการวัดความหนาแน่นของน้าด้วย วิธีการตรวจวัด 1. ล้างกระบอกตวงพลาสติกใสขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้วยน้าตัวอย่าง อย่างน้อย 2 ครั้ง ก่อนเริ่มการทดลอง 2. เติมน้าตัวอย่าง 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ลงในกระบอกตวง 3. วัดค่าอุณหภูมิของน้าโดยให้กระเปาะของเทอร์มอมิเตอร์อยู่ใต้ระดับผิวหน้าน้าลงไปลึก 10 เซนติเมตร และบันทึก ค่าที่ได้ลงในใบบันทึกข้อมูล 4. หย่อนไฮโดรมิเตอร์ลงในน้าในกระบอกตวงอย่างช้า ๆ โดยต้องระวังมิให้ไฮโดรมิเตอร์สัมผัสกับผนังด้านในของ กระบอกตวง รอให้ไฮโดรมิเตอร์ลอยอย่างอิสระจนกว่าจะหยุดนิ่ง และอ่านค่าจากไฮโดรมิเตอร์ ณ จุดโค้งต่าสุด ของน้าเท่านั้น (ท้องน้า) (ดังภาพ) ค่าที่อ่านได้คือ ค่าความถ่วงจาเพาะของน้า และอ่านตัวเลขหลังจุดทศนิยม 3 ตาแหน่งเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายควรอ่านค่าให้ได้ตัวเลขหลังจุดทศนิยมเป็น 4 ตาแหน่ง
  • 16. P a g e | 16 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ กำรอ่ำนค่ำควำมสะดวกจำเพำะของน้ำ 5. นาค่าอุณหภูมิของน้าและความถ่วงจาเพาะของน้าไปเทียบกับตารางการเทียบค่าแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเค็ม ของน้า (ppt) กับความหนาแน่น และอุณหภูมิของน้าในตารางที่ 4 เพื่อให้ได้ค่าความเค็มของน้า แล้วบันทึกค่าลงในใบ บันทึกข้อมูล เช่น ถ้าน้าตัวอย่างมีอุณหภูมิ 22 ํC และมีความถ่วงจาเพาะ 1.0070 ค่าความเค็มของน้าตัวอย่างมีค่า เท่ากับ10.6 ppt 6. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนาน้าตัวอย่างเดิมมาทาซ้าตั้งแต่ข้อ 2 – 5 อีก 2 ครั้ง 7. หาค่าเฉลี่ยของค่าความเค็มที่ได้จากนักเรียนทุกกลุ่ม โดยถ้าค่าความเค็มของทุกตัวอย่างอยู่ในช่วง ±2 ppt ของค่าความ เค็มเฉลี่ยแล้วถือว่าใช้ได้ แต่ถ้าสูงกว่าหรือต่ากว่า 2 ppt นักเรียนต้องหาค่าความเค็มจากตัวอย่างน้าที่เก็บใหม่ (ไม่ใช่ ตัวอย่างน้าที่ทาการตรวจวัดไปแล้ว) จดบันทึกและคานวณหาค่าเฉลี่ยใหม่ ถ้ามีค่าใดค่าหนึ่งที่แตกต่างไปจากค่าอื่นๆ มากให้ตัดค่านั้นทิ้งไป แล้วเฉลี่ยเฉพาะค่าที่เหลือเท่านั้น แต่ถ้าค่าที่ได้นั้นยังไม่อยู่ในเกณฑ์อีก ให้อภิปรายเพื่อหา วิธีการที่ถูกต้องแล้วทาการทดลองซ้าอีกครั้งหนึ่ง
  • 17. P a g e | 17 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเค็มของน้า (ส่วนในพันส่วน: ppt) กับความหนาแน่นและอุณหภูมิ
  • 18. P a g e | 18 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ
  • 19. P a g e | 19 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ
  • 20. P a g e | 20 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ ใบควำมรู้ 6 เรื่อง กำรตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์ กำรตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์ (NITRATE AND NITRITE) ไนโตรเจนเป็นหนึ่งในสามของสารอาหารสาคัญที่พืชต้องการ พืชส่วนใหญ่ไม่สามารถใช้ไนโตรเจนที่อยู่ในรูปที่เป็น โมเลกุล (N2) ได้ในระบบนิเวศที่เป็นน้า พบว่า สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินสามารถเปลี่ยนแก๊สไนโตรเจนให้กลายเป็นแอมโมเนีย (NH3) และไนเตรต ซึ่งพืชน้าสามารถนาไปใช้ได้สัตว์ที่กินพืชน้าเหล่านี้นาไนโตรเจนที่ได้ไปสร้างโปรตีน เมื่อพืชและสัตว์ตาย ลง โมเลกุลของโปรตีนจะถูกย่อยให้เล็กลงโดยแบคทีเรียกลายเป็นแอมโมเนีย จากนั้นแบคทีเรียชนิดอื่นๆ จะออกซิไดซ์ แอมโมเนียให้กลายเป็นไนไตรต์ และไนเตรต แต่ในสภาวะที่ขาดออกซิเจนหรือมีออกซิเจนในปริมาณน้อย พบว่าไนเตรตจะ เปลี่ยนรูปโดยแบคทีเรียชนิดอื่นๆ กลายเป็นแอมโมเนีย (NH3) และนั่นคือ การเริ่มต้นวัฏจักรของไนโตรเจนอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น ไนโตรเจนที่พบในแหล่งน้าที่สาคัญมีอยู่ 2 รูป คือ ไนเตรต (NO3 - ) และไนไตรต์ (NO2 - ) ไนโตรเจนในรูปไนเตรตจัดว่ามี ความสาคัญมากที่สุดในน้า ไนโตรเจนในรูปไนเตรต มักพบในน้าที่มีปริมาณออกซิเจนละลายอยู่ในน้าค่อนข้างต่า ไนเตรตเป็นสารอาหารที่สาคัญ ต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายและพืชน้าทั้งหลายและสามารถตรวจพบในน้าได้ในปริมาณที่สูงหรือต่าขึ้นอยู่กับปริมาณการรับ ไนเตรตจากแหล่งต่างๆ สู่แหล่งน้า โดยปกติ ระดับของไนโตรเจนที่พบในแหล่งน้าธรรมชาติจะค่อนข้างต่า (น้อยกว่า 1 ppm ของไนโตรเจนในรูปของไนเตรต) เกิดจากกระบวนการย่อยสลายของเสียจากสัตว์และซากพืชซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งพืชจะ นาไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ในแหล่งน้าที่มีระดับไนโตรเจนค่อนข้างสูง อาจจะทาให้เกิดกระบวนการยูโทรฟิเคชั่นได้ ระดับ ไนโตรเจนอาจจะสูงขึ้นเนื่องจากผลตามธรรมชาติหรือเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์หรือเป็ดและห่านทาให้ปริมาณไนโตรเจนใน แหล่งน้าที่พวกมันอาศัยอยู่มีปริมาณสูงขึ้นได้จากการถ่ายมูลลงน้า ไนโตรเจนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ได้แก่ การทิ้งขยะ หรือของเสียลงแม่น้า ปุ๋ ยเคมีที่ถูกชะล้างลงสู่ลาน้าต่างๆ ซึ่งอาจปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้าใต้ดินได้ตลอดจนน้าไหลชะจากการเลี้ยง สัตว์บางชนิด และคอกสัตว์เป็นต้น การตรวจวัดไนโตรเจนในแหล่งน้า จะวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์ แต่การตรวจวัดไนเตรตโดยตรงนั้นทา ได้ค่อนข้างยากเพราะไนเตรตสามารถถูกรีดิวซ์ให้กลายเป็นไนไตรต์ได้ง่าย ดังนั้นจึงเป็นการตรวจวัดปริมาณไนไตรต์แทนที่จะ ตรวจวัดปริมาณไนเตรต ผลการตรวจวัดจึงมักจะเป็นความเข้มข้นของไนไตรต์ (ถ้ามีอยู่ในแหล่งน้า) รวมกับไนเตรต แต่ เนื่องจากเราสนใจจะตรวจวัดปริมาณไนเตรต ดังนั้นจึงจาเป็นต้องตรวจวัดปริมาณไนไตรต์ควบคู่ไปด้วย ผลการตรวจวัดไนเตรต จะรายงานเป็นปริมาณไนโตรเจนในรูปไนเตรต (มิลลิกรัม/ลิตร: mg/l) และไนไตรต์จะรายงานเป็นปริมาณไนโตรเจนในรูปไน ไตรต์ (มิลลิกรัม/ลิตร) วิธีการตรวจวัด กำรปรับค่ำมำตรฐำนของเครื่องมือและกำรควบคุมคุณภำพ การปรับค่ามาตรฐานควรกระทาเป็นประจาอย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน 1. เตรียมสารละลายไนเตรตสาหรับเก็บไว้ใช้ โดยวิธีการดังนี้
  • 21. P a g e | 21 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ 1.1 นา KNO3 (โพแทสเซียมไนเตรต) ไปอบให้แห้งในเตาอบที่อุณหภูมิ 105 ํC เป็นเวลานาน 24 ชั่วโมง แล้วชั่ง 3.6 กรัม ละลายในน้ากลั่นจานวนหนึ่ง ในกระบอกตวงขนาด 500 มิลลิลิตร ที่เตรียมไว้ แล้วเติมน้ากลั่นจนครบ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร 1.2 หมุนกระบอกตวงอย่างช้าๆ (ห้ามเขย่า) เพื่อให้ได้สารละลายที่ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน 1.3 เทสารละลายที่เตรียมได้นั้นใส่ในขวดเก็บสารละลายขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ติดฉลากชื่อและวันที่ที่เตรียม สารละลายด้วยเทปกาว สารละลายที่เตรียมได้นี้จะมีความเข้มข้นของ KNO3 7,200 mg/l (หรือเทียบได้เท่ากับ ปริมาณไนโตรเจนในรูปไนเตรต 1,000 mg/l) 2. เตรียมสารละลายไนเตรตมาตรฐาน โดยวิธีการดังนี้ 2.1 ตวงสารละลายไนเตรตที่เตรียมไว้จากข้อ 1 จานวน 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร โดยใช้กระบอกตวงขนาด 100 ลูกบาศก์ เซนติเมตร เทสารละลายที่ตวงได้ใส่ในกระบอกตวงขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วเติมน้ากลั่นจนครบ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร 2.2 หมุนกระบอกตวงอย่างช้าๆ เพื่อให้ได้สารละลายที่ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน สารละลายที่ได้นี้ คือสารละลายไนโตรเจน ในรูปไนเตรตมาตรฐาน ซึ่งมีความเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/ลิตร 2.3 เทสารละลายมาตรฐานที่เตรียมได้ใส่ในขวดเก็บสารละลายขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ติดฉลากชื่อและวันที่ที่ เตรียมสารด้วยเทปกาว วิธีกำรควบคุมคุณภำพ 1. นักเรียนทาการเจือจางสารละลายไนเตรตมาตรฐานเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/ลิตร ให้เป็นสารละลายมาตรฐานเข้มข้น 2 มิลลิกรัม/ลิตร ซึ่งจะถูกนาไปใช้เป็นสารละลายมาตรฐานสาหรับการตรวจวัดความถูกต้องของชุดตรวจวัดไนเตรต แบบสาเร็จรูป โดย 1.1 ตวงสารละลายไนเตรตมาตรฐานเข้มข้น 100 มิลลิกรัม/ลิตร มา 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้วยกระบอกตวงขนาด 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วเทใส่ขวดรูปชมพู่หรือบีกเกอร์ขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร 1.2 ตวงน้ากลั่น 490 ลูกบาศก์เซนติเมตร ด้วยกระบอกตวงขนาด 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร แล้วเทในขวดรูปชมพู่หรือบีก เกอร์ซึ่งมีสารละลายไนเตรตมาตรฐานอยู่ 10 ลูกบาศก์เซนติเมตร ติดฉลากชื่อสารและวันที่ที่เตรียมสารด้วยเทปกาว 1.3 ค่อยๆ หมุนขวดใส่สารละลายอย่างช้าๆ เพื่อให้ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน 2. ทาการตรวจวัดไนเตรต โดยใช้สารละลายไนเตรตมาตรฐานแทน “น้าตัวอย่าง” 3. บันทึกผลลงในใบบันทึกข้อมูล 4. ถ้าพบว่าสารละลายไนเตรตมาตรฐานที่ตรวจวัดมีค่ามากกว่าหรือน้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (2 มิลลิกรัม/ลิตร) อยู่ 1 มิลลิกรัม/ลิตร ให้เตรียมสารละลายมาตรฐานใหม่โดยเจือจางและตรวจวัดค่าใหม่อีกครั้ง และถ้าผลการทดลองครั้งที่ 2 นี้ ยังมากกว่าหรือน้อยกว่า 1 มิลลิกรัม/ลิตร อีก ให้นักเรียนเตรียมสารละลายไนเตรตสาหรับเก็บไว้ใช้ใหม่ แล้วทดลอง ซ้าอีกจนกว่าจะได้ สารละลายไนเตรตมาตรฐานตามที่ต้องการ
  • 22. P a g e | 22 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ วิธีกำรตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตและไนไตรต์ 1. การตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนเตรตรวมกับไนไตรต์ 1.1 เติมสารชนิดแรกจากชุดทดสอบสาเร็จรูปในน้าตัวอย่างเพื่อไปทาปฏิกิริยากับไนเตรตที่มีอยู่ในน้าให้กลายเป็นไน ไตรต์ 1.2 เติมสารชนิดที่สองเพื่อทาปฏิกิริยากับไนไตรต์แล้วเกิดสีขึ้น ความเข้มของสีที่เกิดขึ้นจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับ ปริมาณไนเตรตที่มีอยู่ในน้าตัวอย่าง 1.3 หาความเข้มข้นของไนเตรตรวมกับไนไตรต์จากการเปรียบเทียบความเข้มของสีที่เกิดขึ้นในหลอดทดลองกับตาราง เทียบสีมาตรฐานซึ่งแนบมาในชุดทดสอบสาเร็จรูป 1.4 ให้นักเรียนอย่างน้อย 3 คน ในกลุ่มเป็นผู้อ่านผลการเทียบสี นักเรียนแต่ละกลุ่มบันทึกผลความเข้มข้นของไนเตรต ลงในใบบันทึกข้อมูล 1.5 คานวณหาค่าเฉลี่ยจากการอ่านทั้ง 3 ครั้ง ถ้าค่าที่ได้ทุกค่าอยู่ในเกณฑ์ ±1 มิลลิกรัม/ลิตร ของค่าเฉลี่ยแล้วบันทึก ค่าเฉลี่ยที่ได้นั้นลงบนใบบันทึกข้อมูล แต่ถ้าค่าที่ได้นั้นไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ ±1 มิลลิกรัม/ลิตร ของค่าเฉลี่ย ให้นักเรียน อ่านผลการเทียบสีใหม่ แล้วจึงบันทึกและคานวณหาค่าเฉลี่ยใหม่อีกครั้งหนึ่ง หากทาการวัดใหม่แล้วยังมีค่าใดค่า หนึ่งซึ่งเกินเกณฑ์มากให้ตัดค่าที่เกินนี้ทิ้งไปแล้วคานวณหาค่าเฉลี่ยใหม่อีกครั้งหนึ่ง 2. การตรวจวัดไนโตรเจนในรูปไนไตรต์
  • 23. P a g e | 23 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ การตรวจวัดเฉพาะไนไตรต์ จะมีวิธีการตรวจวัดเหมือนกับการหาไนเตรตรวมกับไนไตรต์แต่ไม่ต้องเติมสาร ชนิดที่ 1 แต่ไปเติมเฉพาะสารชนิดที่ 2 แล้วเทียบความเข้มของสีที่เกิดขึ้นกับตารางเทียบสีมาตรฐานซึ่งแนบมาในชุด ทดสอบสาเร็จรูป ใบควำมรู้ 7 เรื่อง กำรใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพื่อบ่งชี้คุณภำพน้ำในแหล่งน้ำจืด กำรใช้สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพื่อบ่งชี้คุณภำพน้ำในแหล่งน้ำจืด (MACRO INVERTEBRATE) ในการที่จะทราบถึงคุณภาพน้าของแหล่งน้าที่เราสนใจนั้น นอกจากการตรวจวัดโดยใช้ลักษณะทางด้านกายภาพ (เช่น สี กลิ่น ความขุ่น อุณหภูมิ) เคมี (เช่น ความเป็นกรด-เบส ปริมาณออกซิเจนละลายน้า ไนเตรต ความเค็ม) และชีวเคมี (เช่น ความ สกปรกในรูปของ BOD) แล้ว นักเรียนยังสามารถใช้สิ่งมีชีวิตในแหล่งน้า เช่น “สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง” เป็นดัชนีบ่งชี้คุณภาพ น้าได้ด้วย สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีขนาดเล็ก และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่มีขนาดใหญ่ สัตว์เหล่านี้บางชนิดมีความไวต่อ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เช่น ความเป็นกรด-เบส ออกซิเจนที่ละลายในน้า อุณหภูมิ ความเค็ม และตัวแปรอื่นๆ ใน ถิ่นอาศัยของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สารมลพิษที่ปนเปื้อนในน้า สารมลพิษบางตัวยากต่อการวิเคราะห์และตรวจหาด้วยวิธีทาง เคมี แต่สามารถใช้สัตว์พวกนี้เป็นดัชนีชีวภาพที่บ่งชี้สภาวการณ์ของสารมลพิษนั้นได้ (นันทนา, 2536) รวมทั้งสามารถใช้บ่งชี้ คุณภาพ และความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้านั้นได้ (วิลาสินี วัฒนาวงศ์ดอน, 2549) กำรจำแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนำดใหญ่ในแหล่งน้ำ การจาแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ในแหล่งน้าทาได้หลายวิธี แต่ในกิจกรรมนี้ได้รวบรวมวิธีการจาแนก พันธุ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่อย่างง่ายที่นักเรียนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ 2 วิธี ได้แก่ 1. ชุดสาเร็จรูปสาหรับการจาแนกชนิดพันธุ์ตามหลักวิธีดาเนินการ GLOBE 1.1 ตาข่าย Kick Screen ใช้สาหรับเก็บตัวอย่างในแหล่งน้าที่มีน้าไหลและบริเวณใต้ท้องน้าเป็นหินหรือกรวด 1.2 ตาข่าย D-Frame net ใช้สาหรับเก็บตัวอย่างสัตว์ในแหล่งน้าที่มีน้านิ่งและบริเวณใต้ท้องน้าเป็นโคลน 2. คู่มือจาแนกพันธุ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างง่าย ของมูลนิธิโลกสีเขียว ซึ่งใช้บ่งชี้คุณภาพน้าในแหล่งน้าจืดที่เป็น แหล่งน้าไหล วิธีกำรจำแนกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนำดใหญ่ในแหล่งน้ำ โดยชุดสาเร็จรูปสาหรับการจาแนกชนิดพันธุ์สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ตามหลักวิธีดาเนินการ GLOBE
  • 24. P a g e | 24 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ การเก็บตัวอย่างสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่มีอยู่ 2 วิธี ขึ้นอยู่กับสภาพของแหล่งน้าที่ใช้ศึกษา ถ้าแหล่งน้าที่เลือ dศึกษามีกรวดก้อนหินอยู่ที่พื้นท้องน้า และน้าไหลอยู่ตลอดเวลา นักเรียนควรจะเลือกใช้ Kick Screen แต่ถ้าแหล่งน้าที่เลือก ศึกษานั้นมีพื้นท้องน้าเป็นโคลนและน้านิ่ง นักเรียนควรจะเลือกใช้ D – Frame net แทน 1. การเก็บตัวอย่างโดยใช้ Kick Screen 1.1 แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน แต่ละกลุ่มจะได้รับถังน้า 1 ใบ ตาข่ายและชุดเก็บตัวอย่าง 1.2 ให้แต่ละกลุ่มจาแนกลักษณะของจุดเก็บตัวอย่างของกลุ่ม แต่ละจุดควรจะอยู่ห่างกัน 3 – 4 เมตร และเป็นตัวแทนของ สภาพแหล่งน้าแต่ละส่วนด้วย ตัวอย่างเช่น เป็นบริเวณที่มีวัชพืชขึ้นอยู่ หรือเป็นบริเวณที่มีหิน 1.3 เริ่มจากกลุ่มที่อยู่ปลายน้าซึ่งอยู่ไกลสุด ให้นักเรียน 1 – 2 คน ใช้เท้าและมือ หรือใช้ไม้กวนบริเวณใต้น้า ควรจะมีการ เหยียบย่า กวาดผิวหน้าก้อนกรวดก้อนหินมีอยู่ใต้น้าด้วย นานอย่างน้อย 1 นาที ในขณะที่นักเรียนที่เหลืออีก 2 คน ขึง ตาข่ายห่างไปทางปลายน้า จากจุดที่กวนให้น้าขุ่น 1 – 2 เมตร ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย ถ้าบริเวณที่เป็นจุดเก็บตัวอย่าง นั้นลึกเกินกว่า 1.5 เมตร ห้ามนักเรียนยืนในน้าเด็ดขาด 1.4 ยกตาข่ายออกจากน้าโดยการขยับส่วนล่างของตาข่ายไปข้างหน้าตามแนวพื้นใต้น้า ให้นาน้าจากจุดเก็บน้าประมาณ 100 – 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร เทไปที่ตาข่ายเพื่อให้สัตว์ที่อยู่บนตาข่ายตามลงไปในถาดจาแนกชนิดของสัตว์ 1.5 แยกสิ่งมีชีวิตที่ได้โดยใช้กระบอกฉีดยาดูดหรือใช้ปากคีบจับสัตว์แล้วจึงนาไปใส่ไว้ในภาชนะเก็บตัวอย่างซึ่งมีน้า จากจุดเก็บตัวอย่างบรรจุไว้ 1.6 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเก็บตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของสัตว์ที่ต้องการ โดยทาซ้าตามข้อ 1.3 – 1.5 2. การเก็บตัวอย่างโดยใช้ D-Frame net 2.1 แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 – 4 คน นักเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับถังน้า 1 ใบ ตาข่าย และชุดเก็บตัวอย่าง 2.2 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจาแนกลักษณะของจุดเก็บตัวอย่างของกลุ่ม แต่ละจุดควรอยู่ห่างกัน 3 – 4 เมตร แต่ควรเป็น ตัวแทนของสภาพแหล่งน้าแต่ละส่วนด้วย ตัวอย่างเช่น เป็นบริเวณที่มีวัชพืชขึ้นอยู่หรือเป็นบริเวณที่มีหิน 2.3 ให้นักเรียนกลุ่มที่ 1 วางตาข่ายลงในน้าจนกระทั่งถึงใต้น้า แล้วจึงเลื่อนตาข่ายนั้นไปประมาณ 30 เซนติเมตรเพื่อทา ให้น้าขุ่น เลื่อนตาข่ายไปให้รอบๆ จุดเก็บตัวอย่างน้าอีก 30 เซนติเมตร เพื่อทาให้น้าขุ่น แล้วจึงยกตาข่ายขึ้นมาบน ผิวหน้าน้า 2.4 ยกตาข่ายให้สูงเหนือน้าและระวังมิให้สิ่งใดหลุดออกจากตาข่ายได้จากนั้นจึงนาน้าจากจุดเก็บน้ามาประมาณ 100 – 200 ลูกบาศก์เซนติเมตร เทลงบนตาข่ายเพื่อให้สิ่งต่างๆ จากตาข่ายหลุดออก และใส่ลงในถาดจาแนกชนิดของสัตว์ 2.5 ให้นักเรียน 2 คนจากแต่ละกลุ่มใช้หลอดฉีดยาดูดหรือใช้ปากคีบจับสิ่งมีชีวิตที่เก็บมาได้แล้วใส่ลงในภาชนะซึ่งมีน้า จากจุดเก็บตัวอย่างนั้นบรรจุอยู่ 2.6 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเก็บตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของสัตว์ที่ต้องการ โดยทาซ้าตามข้อ 2.3 – 2.5 3. การคานวณหาดัชนีความหลากหลายทางชีวภาพ 3.1 ให้นักเรียนทาตารางช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขนาด 4 ตารางเซนติเมตร บนถาดนับจานวนรวม 60 ช่อง 3.2 เขียนหมายเลขลงในช่องแต่ละช่องตามลาดับตั้งแต่ 1 – 60
  • 25. P a g e | 25 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ 3.3 เทน้าตัวอย่างลงใส่ถาดโดยให้มีสัตว์ตัวอย่างกระจายตัวอยู่ในช่องต่างๆ ของตาราง โดยเทน้าใส่ถาดให้สูง 4 มิลลิเมตร จากผิวหน้าถาด 3.4 ให้นักเรียน 1 คน ทาหน้าที่จับฉลากหมายเลข (ตัวอย่างเช่น จับฉลากได้หมายเลข 8) 3.5 ให้นักเรียนอีกคนหนึ่งทาหน้าที่หาตัวเลข (เลข 8) บนช่องตารางเล็กๆ และแยกสัตว์จากช่องสี่เหลี่ยมเล็กนั้น (ช่องที่ 8) โดยใช้หลอดหยด ดูดหรือใช้ปากคีบ นาสัตว์ตัวอย่าง (ตัวที่ 1) ใส่ลงในถ้วยที่มีน้าบรรจุอยู่ 3.6 ให้เขียนเครื่องหมาย X บนใบบันทึกข้อมูล แทนสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 3.7 จับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 จากช่องสี่เหลี่ยมเล็กเดิม (ช่องที่ 8 ถ้ายังมีอีก) แต่ถ้าไม่มีสัตว์อีก ก็ให้จับฉลากหมายเลขใหม่ แทน และจับสัตว์ตัวอย่างจากช่องสี่เหลี่ยมเล็กอันใหม่ 3.8 นาสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 มาวางคู่กับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ในถ้วยที่ใส่สัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ไว้ 3.9 ถ้าสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 มีลักษณะเหมือนกับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ให้เขียนเครื่องหมายเดิม คือ X ลงบนใบบันทึกข้อมูล แต่ถ้าสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 ต่างจากสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ให้เขียน O ลงบนใบบันทึกข้อมูลแทน 3.10 นาสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 1 ใส่ลงในถาดน้าแข็ง หรือถาดจาแนกชนิด 3.11 จับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 3 จากช่องสี่เหลี่ยมเล็กเดิม (ถ้ามี) แต่ถ้าไม่มีก็จับฉลากใหม่ 3.12 นาสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 3 มาวางคู่กับสัตว์ตัวอย่างตัวที่ 2 3.13 ถ้าสัตว์ตัวที่ 3 เหมือนกับสัตว์ตัวที่ 2 ให้เขียนเครื่องหมายเช่นเดียวกันบนใบงานที่นักเรียนใช้แทนสัตว์ตัวที่ 2 (X หรือ O) แต่ถ้าสัตว์ตัวที่ 3 ต่างจากสัตว์ตัวที่ 2 ก็ให้เขียนเครื่องหมายตรงกันข้าม (O หรือ X ) 3.14 นาสัตว์ตัวที่ 2 ใส่ลงในถาดน้าแข็ง ถ้าเหมือนกับสัตว์ตัวที่ 1 ให้ใส่สัตว์ตัวที่ 2 ที่ได้รวมกับสัตว์ตัวที่ 1 แต่ถ้าไม่ เหมือนกันก็นาไปใส่ในหลุมใหม่ 3.15 ให้นักเรียนทาการสุ่มตัวอย่างโดยการจับฉลากหมายเลขและเก็บตัวอย่างต่อไป บันทึกสัตว์ตัวอย่างแต่ละตัวเป็น X และ O จากนั้นจึงนาสัตว์ที่จาแนกชนิดแล้วใส่ลงในถ้วยจาแนกชนิด ทาเช่นนี้จนกระทั่งครบ 50 ตัวอย่าง นับจานวน “ครั้งที่พบสัตว์ต่างชนิด” บนใบบันทึกข้อมูล (แสดงในตัวอย่างข้างล่าง) และบันทึกผล 3.16 นับจานวน “ครั้งที่พบสัตว์ต่างชนิดกัน” แล้วบันทึกลงบนใบบันทึกข้อมูล 3.17 นาจานวน “ครั้งที่พบสัตว์ต่างชนิด” มาเป็นตัวตั้งและหารด้วยจานวนตัวของสัตว์ตัวอย่าง (50 ตัว) และบันทึก ผลลัพธ์ที่ได้ลงในใบบันทึกข้อมูล 3.18 นับจานวนชนิดของสัตว์ตัวอย่างในถ้วยจาแนกชนิด แล้วบันทึกผลลงบนใบบันทึกข้อมูล 3.19 นาผลลัพธ์ข้อ 17 คูณกับจานวนชนิดของสัตว์ในข้อ 18 บันทึกผลลัพธ์ใหม่นี้ไว้ผลลัพธ์ที่ได้นี้คือดัชนีหลากหลาย ทางชีวภาพ 3.20 ให้นักเรียนพยายามจาแนกสัตว์ตัวอย่างให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
  • 26. P a g e | 26 ชมรมวิทยาศาสตร์โลกทั้งระบบ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กลุ่ม น้ำ