Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie (๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf (20)
Mehr von maruay songtanin (20)
(๑๐) พระปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน มจร.pdf
- 1. 1
พระประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก
ตอนที่ ๑๐ ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
พลตรี มารวย ส่งทานินทร์
๑๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑
๘. ปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
ประวัติในอดีตชาติของพระปิณโฑลภารทวาชเถระ
เกริ่นนา
เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมพระองค์นั้น ทรงประกาศธรรมวินัย ผู้นี้ จักเกิดเป็นบุตรของ
พราหมณ์ ออกจากตระกูลพราหมณ์แล้วบวชในขณะนั้น เขามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบาเพ็ญเพียร เป็นผู้สงบระงับ
ไม่มีอุปธิ กาหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
(พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เมื่อจะประกาศประวัติในอดีตชาติของตน จึงกล่าวว่า)
[๖๑๓] ครั้งนั้น พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้เป็นพระสยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ ประทับ
อยู่บนภูเขาจิตรกูฏ เบื้องหน้าภูเขาหิมพานต์
[๖๑๔] ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นพญาเนื้ อ ไม่มีความกลัวเกรง สามารถวิ่งไปได้ทั้ง ๔ ทิศ อยู่ ณ ที่นั้น
ซึ่งสัตว์จานวนมากได้ฟังเสียงแล้วย่อมครั่นคร้าม
[๖๑๕] ข้าพเจ้าได้คาบดอกปทุมที่บานดีแล้ว เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้องอาจกว่านรชน ได้บูชา
พระพุทธเจ้าผู้เสด็จออกจากสมาธิ
[๖๑๖] ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้นมัสการพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐที่สุด ผู้สูงสุดแห่งนรชน ในทิศทั้ง ๔
ทาจิตของตนให้เลื่อมใส ได้บันลือสีหนาท
[๖๑๗] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชา ประทับนั่งบน
อาสนะของพระองค์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ ว่า
[๖๑๘] เทวดาทั้งปวง พอทราบพระดารัสของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มาประชุมกันด้วยคิดว่า
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่าเจ้าลัทธิทั้งหลายเสด็จมาแล้ว พวกเราจักฟังธรรมของพระองค์
[๖๑๙] พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระมหามุนี ผู้ทรงเป็นผู้นาสัตว์โลก ทรงเห็นกาลไกล ทรงประกาศเสียง
ของข้าพเจ้าข้างหน้าของเทวดา และมนุษย์เหล่านั้นผู้มีความร่าเริงว่า
[๖๒๐] เราจักพยากรณ์ผู้ที่ได้ถวายดอกปทุมนี้ และได้บันลือสีหนาท ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
เถิด
- 2. 2
[๖๒๑] ในกัปที่ ๘ นับจากกัปนี้ ไป ผู้นั้นจักเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗
ประการ เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔
[๖๒๒] จักครองความเป็นใหญ่ในแผ่นดินถึง ๖๔ ชาติ จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่าปทุม
ตามโคตร มีพลานุภาพมาก
[๖๒๓] ในกัปที่ ๑๐๐,๐๐๐ (นับจากกัปนี้ ไป) พระศาสดาพระนามว่าโคดม ตามพระโคตร ทรง
สมภพในราชสกุลโอกกากราช จักอุบัติขึ้นในโลก
[๖๒๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดมพระองค์นั้น ทรงประกาศธรรมวินัย ผู้นี้ จักเกิดเป็น
บุตรของพราหมณ์ ออกจากตระกูลพราหมณ์แล้วบวชในขณะนั้น
[๖๒๕] เขามีจิตเด็ดเดี่ยวเพื่อบาเพ็ญเพียร เป็นผู้สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กาหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้
ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๖๒๖] ณ เสนาสนะที่สงัด เว้นจากผู้คน พลุกพล่านด้วยเนื้ อร้าย เขากาหนดรู้อาสวะทั้งปวงเป็นผู้
ไม่มีอาสวะแล้วนิพพาน
[๖๒๗] คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ ข้าพเจ้าได้ทาให้แจ้งแล้ว
คาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ทาสาเร็จแล้ว ดังนี้ แล
ได้ทราบว่า ท่านพระปิณโฑลภารทวาชเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วประการฉะนี้
ปิณโฑลภารทวาชเถราปทานที่ ๘ จบ
---------------------------------------------------
คาอธิบายเพิ่มเติมนี้ นามาจากบางส่วนของอรรถกถา ขุททกนิกายอปทาน ภาค ๑
เถราปทาน ๑. พุทธวรรค
พรรณนาปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
แม้พระเถระนี้ ก็ได้กระทาบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ก่อสร้างบุญทั้งหลายอันเป็น
อุปนิสัยแก่วิวัฏฏะไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดในกาเนิด
ราชสีห์อยู่ในถ้าที่เชิงภูเขา. เพื่อจะทรงกระทาความอนุเคราะห์แก่ราชสีห์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเสด็จเข้า
ไปยังถ้าเป็นที่อยู่ของราชสีห์นั้น ในเวลาที่ออกไปหาเหยื่อ ทรงนั่งเข้านิโรธสมาบัติอยู่.
ราชสีห์จับเหยื่อแล้วกลับมายืนอยู่ที่ประตูถ้า เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทั้งร่าเริงและยินดี จึง
บูชาด้วยดอกไม้ที่เกิดในน้าและบนบก ทาจิตให้เลื่อมใส. เพื่อต้องการจะอารักขาพระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
บันลือสีหนาท ๓ เวลา เพื่อให้เนื้ อร้ายอื่นๆ หนีไป ได้ยืนอยู่ด้วยสติอันไปแล้วในพระพุทธเจ้า. บูชาอยู่ตลอด
๗ วัน เหมือนในวันแรก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดาริว่า เมื่อล่วง ๗ วันแล้วควรออกจากนิโรธสมาบัติ ส่วนแห่งบุญมี
ประมาณเท่านี้ จักเป็นอุปนิสัยแก่ราชสีห์นี้ ดังนี้ เมื่อราชสีห์นั้นเห็นอยู่นั่นแหละ จึงเหาะขึ้นไปสู่อากาศ เสด็จ
- 3. 3
ไปยังพระวิหารทีเดียว.
ราชสีห์ไม่อาจอดกลั้นความทุกข์ เพราะพลัดพรากจากพระพุทธเจ้า จึงกระทากาละแล้วบังเกิด
ในตระกูลมีโภคะมากในนครหังสวดี พอเจริญวัยแล้ว ได้ไปยังพระวิหารกับชาวเมือง ฟังพระธรรมเทศนาของ
พระศาสดาแล้วเลื่อมใส ยังมหาทานให้เป็นไปแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน ทาบุญ
ทั้งหลายจนชั่วชีวิต ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ในเทวดาและและมนุษย์.
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย จึงบังเกิดเป็นบุตรของปุโรหิตแห่งพระเจ้าอุเทน.
เขาได้มีชื่อว่า ภารทวาชะ. ภารทวาชะนั้นเจริญวัยแล้ว เรียนจบไตรเพทสอนมนต์แก่มาณพ
๕๐๐ คน เพราะความที่ตนเป็นผู้มีความประพฤติไม่เหมาะสม โดยความเป็นผู้กินจุ ถูกพวกมาณพเหล่านั้น
ละทิ้ง จึงไปยังนครราชคฤห์ ได้เห็นลาภสักการะของพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ จึงบวชในพระศาสนา
เป็นผู้ไม่รู้ประมาณในการบริโภคอยู่.
พระศาสดาทรงให้ตั้งอยู่ในความเป็นผู้รู้จักประมาณด้วยอุบาย ท่านจึงเริ่มตั้งวิปัสสนา ไม่นาน
นัก ก็ได้อภิญญา ๖.
ก็ครั้นเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ แล้ว จึงบันลือสีหนาทว่า ผู้ใดมีความสงสัยในมรรคและผล ผู้นั้นจง
ถามเราดังนี้ ทั้งต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าและในหมู่ภิกษุ ด้วยคิดว่า สิ่งใดที่สาวกทั้งหลายพึง
บรรลุ สิ่งนั้นเราบรรลุแล้ว. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในเอตทัคคะว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ปิณโฑลภารทวาชะนี้ เป็นเลิศแห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้บันลือสีหนาท.
พระเถระนั้นครั้นได้ตาแหน่งเอตทัคคะอย่างนี้ แล้ว ระลึกถึงบุญสมภารที่ได้กระทาไว้ในชาติก่อน
เมื่อจะทาให้แจ้งซึ่งอปทานแห่งบุญกรรมของตนด้วยความโสมนัส จึงกล่าวคามีอาทิว่า ปทุมุตฺตโร ดังนี้ .
จบพรรณนาปิณโฑลภารทวาชเถราปทาน
-----------------------------------------------------