Weitere ähnliche Inhalte Ähnlich wie คนกลาง Mediator (6) Mehr von maruay songtanin (20) คนกลาง Mediator 4. PDM เหมาะสาหรับผู้ทาหน้าที่คนกลาง ผู้ประสานงาน และ
นักจิตวิทยา โดยมีหลักการคือ
1.คนกลางพบปะกับคู่กรณีทั้งสองฝ่ าย เพื่อเตรียมความพร้อม
ก่อนให้ทั้งคู่มาพบกัน คือให้ทั้งสองฝ่ าย ฝึกทักษะการฟังอย่าง
เห็นใจ (empathic listening skills) และฝึกทักษะการต่อรอง
(interpersonal negotiation skills)
2.เมื่อคู่กรณีมาพบกัน ให้เจรจาตกลงกันเอง โดยมีคนกลางอยู่
ด้วย คนกลางมีการรบกวนการเจรจาน้อยมาก แต่จะทาหน้าที่
เป็นผู้ประสานงาน
7. 2 เสาหลักของ PDM คือ
1.ระยะเตรียมความพร้อม (pre-caucus) เป็นการที่คนกลางพบ
กับคู่กรณีทั้งสองฝ่ ายแยกจากกัน (อาจจะหลายครั้งจนกว่าทั้งสอง
ฝ่ ายจะพร้อม) เพื่อเตรียมความพร้อมให้ทั้งคู่ก่อนมานั่งเจรจากัน
2.การเจรจา (joint session) เมื่อทั้งสองฝ่ ายมีความพร้อมแล้ว จึง
ให้เจรจากันโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง
12. คู่กรณีทั้งสองฝ่ าย ต้องเรียนรู้ที่จะฟังตนเองและผู้อื่น
การเตรียมพร้อมล่วงหน้าไม่ได้หมายความว่า คนกลางจะรู้วิธี
แก้ปัญหา แต่คู่กรณีเป็นคนกาหนดกันเองว่าจะออกมาเช่นไร
ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมคือ คนกลางแนะนาตนเองสั้น ๆ
แล้วให้บุคคลได้กล่าวอย่างเปิดใจ โดยคนกลางฟังอย่างเห็นใจ
และฟังอย่างไม่ตัดสินถูกผิด (empathic listening &
nonjudgmental way)
16. แนวทางการฟังอย่างเห็นใจนี้ Carl Rogers ในปี ค.ศ. 1951 ใช้
เป็นแนวทางในการรักษาผู้ป่ วย และใช้ในการบริหารบุคลากร
เมื่อบุคคลรู้สึกว่า มีคนเข้าใจเขา ความหนักอกหนักใจจะเบาบาง
ลง ความเครียดและการปกป้องตนเองน้อยลง จะทาให้เขามี
ทักษะในการฟังและการเจรจาต่อรองดีขึ้น
18. ในการสนทนา เมื่อฝ่ ายหนึ่งเล่าเรื่องปัญหาที่พบ ผู้คนมักไม่ค่อย
ฟังให้รู้เรื่องราวก่อน โดยมากมักจะให้คาแนะนาหรือวิธีการ
แก้ปัญหาให้กับเขาเลย ซึ่งจะไม่ได้ผล ยิ่งทาให้เขารู้สึกขัดใจ
ควรให้เขาคิดแนวทางแก้ปัญหา หรือคิดหาทางออกของเขาเอง
ออกมาดัง ๆ พึงอดใจไม่เสนอแนะ แต่ให้ถามความรู้สึกแทน
สานึกว่าสิ่งที่เขาเล่าเป็นส่วนยอดของภูเขาน้าแข็งในทะเลเท่านั้น
19. การฟังในช่วงแรกแบ่งเป็นขั้นตอนย่อยได้ 3 ขั้นตอนคือ
1. แบ่งปัน (sharing) เป็นการที่เขาพูดอย่างรวดเร็ว เขาจะพูด
ออกมาในสิ่งที่รู้ หรืออยากจะพูดมานานแล้ว
2. สารวจ (exploring) เขาเริ่มพูดช้าลง มีหยุดเป็นบางครั้ง บางทีก็
เป็นความรู้สึกใหม่หรือคาพูดใหม่ที่เกิดขึ้น อาจเริ่มมีแนวทาง
แก้ปัญหาออกมาประปราย
3. ค้นพบ (discovering) เขาพูดด้วยจังหวะช้าลงอีก มีการเว้นคิด
ในระยะยาวขึ้น สิ่งที่พูดอาจเป็นสิ่งใหม่สาหรับเขาเอง
คนกลางต้องฟังอย่างอดทนอย่าเสนอแนะ ให้เขาคิดได้ด้วยตัวเอง
21. การฟังอย่างเห็นใจ (empathic listening) เป็นพลวัต (dynamic) ที่
ไม่เพียงแต่ให้ความสนใจ ยังต้องแสดงให้เห็น และต้องรู้สึกด้วย
เพราะผู้พูดจะรู้ว่า คนกลางรู้สึกเบื่อ ไม่มีสมาธิ หรือรู้สึกผิดหวัง
27. ในฐานะคนกลาง เมื่อฟังแล้ว ทาอย่างไรจึงจะไม่ขัดกับความเชื่อ
ของเราเอง
1. คนที่เล่าเรื่อง เมื่อมีผู้รับฟังอย่างเข้าใจ มักจะมีหนทางออก
ในทางที่ดีได้ ด้วยปัญญาของตนเอง แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ...
2. คนกลางมีสิทธิที่จะออกความเห็น โดยกล่าวถึงจุดบอดที่เขามี
อยู่ (challenge blind spots) ก่อน เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง คนกลาง
สามารถบอกความจริงได้ ตามความจาเป็น
นั่นคือ คนกลางต้องยึดมั่นในค่านิยมที่ดีงามที่ตนเองยึดถืออยู่
ด้วย ไม่ใช่เออออห่อหมกไปกับเขาทุกเรื่อง
29. ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมให้กับบุคคล
1. เตรียมหาหัวข้อที่จะอภิปราย (Prepare a list of topics to
discuss)
2. หัดให้ปล่อยวางอารมณ์ (Create distance from contentious
feelings)
3. ยืนยันอัตลักษณ์ (Validate identity projections)
4. สร้างอารมณ์บวก (Permit positive feelings)
5. หาจุดบอด (Challenge blind spots)
6. ฝึกด้วยการแสดงละคร (Practice through role-plays)
7. ปรับปรุงทักษะการสื่อสาร (Improve communication skills)
32. รู้จักตัวเอง ว่าตัวเองคือใคร (Deep inside, who are you?)
การไม่รู้จักตนเองว่าเรามีจุดแข็งหรือจุดอ่อนอะไรบ้าง เป็น
สาเหตุที่ทาให้เกิดข้อขัดแย้งกับผู้อื่นได้
35. เป็นการฝึกโดยการสมมุติ มีคนกลางแสดงเป็นฝ่ ายตรงข้าม อาจ
มีการบันทึกวีดิโอ เพื่อให้บุคคลได้เรียนรู้การแสดงออกของ
ตนเอง ว่ามีอะไรต้องปรับปรุง เช่น การควบคุมอารมณ์ คาพูด
ท่าทาง น้าเสียง ภาษาที่ใช้ เป็นต้น
การฝึกนี้ เป็นเครื่องมือสาคัญที่สุดในการเตรียมความพร้อม
38. การต่อรอง ไม่ได้หมายถึงใครได้ใครเสีย แต่เป็นการทาให้ทั้งคู่มี
ส่วนในการได้ จึงต้องมีการวางแผนล่วงหน้า
ความขัดแย้งเกิดจากเหตุได้หลายประการ เช่นพูดไม่ลงรอยกัน
คิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรม อิจฉา เข้าใจผิด สื่อสารกันไม่ดี
สรุปคือ เกี่ยวข้องกับความภาคภูมิใจ (pride) นั่นเอง
39. การโต้เถียง (contention) ต่างจากความขัดแย้ง (conflict) ความ
ขัดแย้งหมายถึงความคิดเห็นไม่ตรงกัน
การแก้ไขความขัดแย้ง (conflict resolution) หรือ การเจรจา
ต่อรอง (negotiation) ผลคือการแก้ปัญหาได้ดีและยั่งยืน
41. เพื่อนเราหรือเพื่อนร่วมงาน มักเห็นด้วยกับเรา เพราะเขาได้ยิน
เรื่องราวมาจากเรา มีมุมมองที่รับจากเรา เป็นวิธีการระบาย
ความเครียดได้ เช่นเดียวกับการเล่นกีฬา ฟังดนตรี อ่านหนังสือ
แต่การชื่นชมตนเอง (self-esteem) จะเกิดได้ ต่อเมื่อเรากล้า
เผชิญกับปัญหามากกว่าการหนีปัญหา
42. การกล้าเผชิญกับปัญหา ต้องใช้ทักษะ ความพยายาม และความ
มุ่งมั่น อีกทั้งมีความเครียดมากกว่า
คนเรามักตกหลุมพรางในการแก้ไขความขัดแย้งอย่างลวก ๆ
โดยยังไม่ทันได้เจรจาต่อรอง ได้แก่
1. ต่อสู้ (fight or compete)
2. ยอมแพ้ (yield)
3. หลีกเลี่ยง (avoid)
4. ประนีประนอม (weak compromise)
43. การแข่งขัน หรือการต่อสู้เพื่อเอาชนะ ไม่เป็นผลดีในระยะยาว
ทั้งสองฝ่ ายอาจต้องเป็นผู้แพ้ทั้งคู่ โดยเฉพาะ ถ้าทางานในที่
เดียวกัน
ตัวอย่างการแข่งขันเช่น การประมูลแข่งขันกันเสนอราคาต่าเพื่อ
ชนะกัน การแย่งที่จอดรถ
44. การยอมแพ้ เป็นการยอมให้กับอีกฝ่ าย เมื่อเห็นว่าไม่มีทางชนะ
หรือคิดว่ามีความสาคัญกับอีกฝ่ ายมากกว่า แล้วเลิกความสนใจ
กับอีกฝ่ าย
การยอมแพ้แล้วมาเสียใจภายหลัง หรือเป็นเพียงทาเพื่อเลี่ยงการ
ไม่เห็นด้วยเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์
49. เมื่อทักทายกันแล้ว ถึงเวลาต้อง
สนทนา คือมีการพูดและการฟัง
เปลี่ยนบทบาทกันและกัน
เพื่อให้การเจรจาเป็นไปด้วยดี
คือพยายามพูดให้สั้น แล้วดูว่าคู่
สนทนายังสนใจอยู่หรือไม่
พยายามแบ่งกันพูดแบ่งกันฟัง
อย่างละเท่า ๆ กัน
50. การสื่อสารต้องใช้เวลา เราอาจจะไม่รู้ตัวว่าสื่อสารทางลบออกมา
ทาให้ผู้รับไม่พึงพอใจ เช่นกล่าวอย่างไม่อดทน กระทบกระเทียบ
กล่าวด้วยน้าเสียงราคาญ หรือชอบสรุปว่าถูกหรือผิด
การเลือกคาพูด น้าเสียง สีหน้า รวมถึงท่าทาง แม้แต่เพียง
เล็กน้อย ผู้อื่นอาจจับได้
เราอาจมีข้อแก้ตัวว่าเพราะ เร่งรีบ ไม่มีเวลา กาลังผิดหวัง รู้สึกว่า
คนอื่นไม่เข้าใจเรา หรือต้องกระแทกกลับให้สาแก่ใจ ฯลฯ
วิธีการปรับเปลี่ยนคือ หายใจยาว ๆ ให้พูดช้าลง เสียงอ่อนลง
พูดอย่างเต็มใจ และมีความระมัดระวัง
51. จากหลักการในอุปนิสัย 7 ประการ ของ Steven Covey มีประการ
หนึ่งคือ พยายามเข้าใจเขาก่อน ก่อนที่จะให้เขาเข้าใจเรา (seek
first to understand, then to be understood) นั่นคือ ให้เขาอธิบาย
มุมมองของเขาก่อน แล้วจึงอธิบายมุมมองของเรา
ขณะที่ฟังเขาเล่า อดใจไว้ อย่าพึ่งออกความเห็นของเรา ถาม
ความเห็นเรื่องความเป็นไปได้ และไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด
เมื่อถึงคราวเราเล่าบ้าง ปรับคาพูดให้เขารู้สึกเข้าใจ จึงจะเกิดการ
แก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
53. Avoid the Presumption of the Devil (เมื่อเห็นผู้คนสนทนากัน อย่า
ไปนึกว่าเขานินทาเราเสมอไป)
Break Down Big Issues into Smaller Ones (การแบ่งปัญหาเป็น
ประเด็นย่อย ๆ ทาให้การแก้ปัญหาได้ดีขึ้น)
Move Away from Blame (เมื่อมีการต่อว่าต่อขานกัน สันติสุขก็จะ
หนีไป)
54. Seek to Discover Your Blind Spots (การที่มีแต่คนกล่าวถึงเรา
ในทางดี เกิดประโยชน์น้อย ถ้าเขาแนะนาเราเรื่องจุดอ่อนที่เรามี
จึงจะถือว่าเป็นมิตรที่แท้จริง)
Separate Problems from Self Worth (ให้แยกปัญหา ออกจากตัว
บุคคล)
Focus on Problems, Not Solutions (เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับหลักการ
ของคนอื่น แต่ผู้ประพันธ์กล่าวว่า เพราะบุคคลต้องการมีส่วนใน
การควบคุมวิธีการแก้ปัญหา หรือได้นาแนวทางของเขามาใช้ร่วม
ด้วยในการแก้ปัญหา ไม่ใช่เพียงแต่มีแนวทางแก้ปัญหา )
55. Reject Weak Solutions (ไม่
ควรรีบรับรองแนวทางการ
แก้ปัญหาง่าย ๆ โดยยัง
ไม่ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึง
ทางเลือกอื่นอีก)
Look for Creative Solutions
(เป็นการมองหาหนทางเลือก
ที่ไม่ใช่การประนีประนอม)
56. Consider the Worst Alternatives (ต้องมองถึงผลด้านลบ ที่อาจ
เกิดขึ้นได้กับทั้งสองฝ่ าย)
Maintain Integrity (การพึ่งพาอาศัยได้ ความซื่อสัตย์ ความคง
เส้นคงวา เป็นบ่อเกิดความไว้วางใจ)
57. Understand Time Pressure (อธิบายความสาคัญของเวลา ให้ทา
ตามกาหนดเวลาที่วางไว้)
Admit Error and Apology (ยอมรับความผิดพลาด และรู้จักขอโทษ
ด้วยความจริงใจ ที่ทาร้ายความรู้สึกของฝ่ ายตรงข้ามให้เจ็บปวด
หรือทาให้ฝ่ ายตรงข้ามเสียหาย ก่อนที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง และ
การรู้จักให้อภัย ถือว่าเป็นการทาทานชนิดหนึ่งคือ อภัยทาน)
Value Others and Oneself (ถ้ารู้จักชื่นชมความดีงามของฝ่ ายตรง
ข้าม เรื่องราวต่าง ๆ ก็จะแก้ไขได้ง่ายขึ้น ควรแสดงออกด้วย
คาพูดและการกระทา)
58. Be Flexible in Terms of a
Negotiation Approach (แนว
ทางการเจรจาต่อรองต้องมี
ความยืดหยุ่น)
Show Patience (มีความ
อดทน ให้เวลากับผู้อื่นบ้าง
ไม่ต้องรีบ)
Prepare Carefully (เตรียม
ความพร้อมล่วงหน้า)
59. Avoid Threats and Manipulative Tactics (หลีกเลี่ยงการใช้วิธีการ
ข่มขู่และลูกเล่นต่าง ๆ )
Avoid Generalizations, Name Calling, and Labels (หลีกเลี่ยงการ
ใช้สรรพนามที่เป็นการดูหมิ่นดูแคลน แบ่งแยกเชื้อชาติชนชั้น)
60. Avoid Distorted Mirroring (อย่ามองโลกอย่างบิดเบี้ยว หรือ
สุดโต่ง)
Search for Interests (พยายามมองหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด)
61. มีเครื่องมือ 2 ชนิด ที่ช่วยให้การเจรจาดาเนินไปได้ด้วยดีคือ
1. แนวทางการใช้ 7 คาเมื่อเริ่มต้นเจรจา (seven-words
confronting approach)
2. การแสดงออกอย่างเห็นใจ (empathy reflection)
63. 3.ก่อนเข้าประเด็น ให้บอกเขาว่า เรามองเห็นสิ่งที่ดีในตัวเขา
หรือมีความเห็นพ้องกันอยู่ เช่น ก่อนที่จะเข้าเรื่อง อยากจะบอก
ให้เขารู้ว่า เราชื่นชมเขาในเรื่อง.... หรือเคยร่วมมือกันทางาน
บางอย่างจนสาเร็จด้วยกัน เป็นต้น
4.เปิดประเด็นที่จะถกกันด้วยการพูดสรุปอย่างสั้น ๆ เพื่อเปิด
โอกาสให้เขาได้พูดก่อน ด้วยน้าเสียงที่นุ่มนวล ช้า ๆ ให้เขาได้
คิดคาพูดที่จะกล่าวแทรกได้ (เพื่อไม่ให้เขาเกิดความรู้สึกปกป้อง
ตนเอง และเปิดโอกาสให้เขาได้พูดก่อนนั่นเอง)
64. 5.ให้ฝ่ ายตรงข้ามรู้ว่าเราตั้งใจฟังอยู่ โดยกล่าวสรุปความเข้าใจ
ของเราด้วยภาษาของเขา แม้เราไม่เห็นด้วย จะได้รู้ว่าเขากลัว
(fears) อะไรอยู่ และความต้องการที่เขายังไม่สมปราถนา
(unmet needs) คืออะไร
6.เมื่อถึงคราวเราพูด จึงอภิปรายในมุมมองของเรา และทาให้
มั่นใจว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เราพูดอย่างแท้จริง
7.หาทางออกร่วมกันอย่างยั่งยืน ให้มองในระยะยาว มีการได้
ประโยชน์ร่วมกัน พยายามเลี่ยงการแพ้ชนะ
65. การที่ผู้อื่นมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เป็นเรื่องของเขา เรามี
ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เป็นเรื่องของเรา
การแสดงออกถึงความเห็นใจ เป็นการแสดงออกอย่างไม่แก่ตัว
แต่เป็นการหาทางออกอย่างมีสติ แม้ว่าเราแทบจะระงับสติไม่อยู่
การฟังอย่างเห็นใจ ต่างจากการแสดงออกอย่างเห็นใจ
การที่เรามีอารมณ์โกรธหรือโมโห อาจจะเป็นการเข้าทางของเขา
เราไม่ต้องใช้การฟังอย่างเห็นใจ แต่ให้แสดงออกอย่างเห็นใจ
67. 4.ตอบสนองด้วยการแสดงออกอย่างเห็นใจ ใช้หลักสังเกตแล้ว
ถาม (observing and asking for) เช่นกล่าวอย่างช้า ๆ นุ่มนวลว่า
ผมรู้ว่าคุณรู้สึกไม่สบายใจ คุณต้องการ .... ใช่หรือไม่ (ห้ามใช้คา
ว่าคุณกาลังโมโห หรือคุณกาลังโกรธ เพราะจะทาให้เขายิ่งปกป้อง
ตนเองมากขึ้น) การที่เขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจความรู้สึกเขา จะทาให้
เขาลดท่าทีที่ไม่เป็นมิตรลง และรู้สึกได้รับการสนับสนุน
5.อย่าเพิ่งเอาตัวเราเข้าไปยุ่งด้วย อาจทาให้สถานการณ์แย่ลง ให้
เน้นไปที่ความต้องการที่เขายังไม่สมหวัง
70. การใช้คนกลาง มี 2 แนวทางคือ
เน้นที่คนกลาง ในกรณีที่การแก้ปัญหาสาคัญกว่าความสัมพันธ์
เน้นคู่กรณี โดยคนกลางฝึกสอนให้ทั้งคู่มีทักษะในการต่อรอง มี
การเตรียมความพร้อมก่อนให้ทั้งคู่เจรจากันจริง
71. ข้อเตือนใจ วิธี PDM (Party-
Directed Mediation) ต้องอาศัยเวลา
อาจต้องใช้ pre-caucus หลายครั้ง
จนกว่าทั้งคู่จะพร้อม
เหมาะในกรณีที่ทั้งคู่มีความ
แตกต่างกันด้านวัฒนธรม
PDM ไม่ใช่การปรับตัวของฝ่ ายใด
ฝ่ ายหนึ่ง แต่เป็ นของทั้งสองฝ่ าย
ไม่ให้ทาร้ายจิตใจของฝ่ ายตรงข้าม
แต่ให้ข้ามผ่านอุปสรรคไปด้วยกัน
73. คนกลางหลังจากได้รับฟังคู่กรณีทั้งสองฝ่ ายมาแล้ว และได้
ฝึกสอนให้ทั้งคู่มีทักษะในการเจรจาต่อรอง จนกระทั่งคิดว่าทั้ง
สองฝ่ ายมีความพร้อม จึงให้มาเจรจากัน
การเจรจาควรจัดขึ้นในสถานที่ที่เป็นกลาง และมีความเป็น
ส่วนตัว ไม่มีโทรศัพท์หรือสิ่งใด ๆ มารบกวน
ขั้นตอนการเจรจาประกอบด้วย การจัดที่นั่ง การเกริ่นนา การ
เริ่มต้นเจรจา และการตกลงกัน
75. เมื่อถึงเวลานัด อาจมีฝ่ ายหนึ่งฝ่ ายใดมาก่อน คนกลางจะเชิญให้
บุคคลนั้นนั่งได้ แต่ตนเองจะคงยืนอยู่ เพื่อให้ฝ่ ายที่มาที่หลัง
ทราบว่า การเจรจายังไม่มีการเริ่มขึ้นแต่ประการใด
ระหว่างรออีกฝ่ ายจะมาสมทบ คนกลางอาจจะกล่าวด้านบวกที่
ฝ่ ายที่ยังไม่มากล่าวถึงฝ่ ายที่มาถึงก่อน เป็นการทาลายความ
เงียบ (break the ice) ถ้าได้รับอนุญาตจากอีกฝ่ ายในการเตรียม
ความพร้อมก่อนหน้านี้ แต่ไม่ควรกล่าวเยินยอข้อดีในขณะที่ทั้งคู่
อยู่พร้อมกัน เพราะเป็นการไม่สมควร ที่จะชี้แนะเกินบทบาท
ควรให้คู่กรณีกล่าวออกมาเอง ตามความสมัครใจ
76. หลังจากคนกลางได้เกริ่นนา ให้คู่กรณียกประเด็นที่ต้องการ
พูดคุย ตามที่ได้จดไว้ ในการเตรียมความพร้อมก่อนหน้านี้
คนกลางอาจจะนาร่อง ด้วยการยกประเด็นแรกขึ้นมาก่อนก็ได้
แต่ต้องมั่นใจว่า ทุกประเด็นที่เตรียมไว้ ได้มีการถกแถลงกันก่อน
จบการเจรจา
คนกลางทาหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้การเจรจาดาเนินไปได้ด้วยดี
บางครั้งถ้าการเจรจาไม่ราบรื่น คนกลางสามารถเสนอตัวเข้ามา
ขัดจังหวะ ชี้แจงแนวทางการเจรจาให้เกิดความสมดุล เพื่อทาให้
การติดต่อสื่อสาร ดาเนินการต่อได้อย่างมีประสิทธิผล
78. คนกลางต้องสังเกตว่า การตกลงนั้น เป็นการยอมแพ้เพื่อให้
เรื่องราวจบ ๆ ไปหรือไม่
คนกลางอาจถามคู่กรณีเกี่ยวกับข้อตกลง และตั้งคาถามที่ท้าทาย
ต่อข้อตกลง ที่ดูแล้วยังไม่ดี หรืออาจไม่ยั่งยืนได้
79. จากหนังสือ Getting To Yes ของ Roger Fisher และ William Ury
กล่าวว่า ถ้าเน้นที่จุดยืน (positions) ของแต่ละฝ่ าย ทั้งคู่ไม่มีทาง
ตกลงกันได้
ทางเลือกคือ ให้ทั้งคู่ระบุว่าอะไรคือความต้องการ (needs) และ
อะไรคือข้อห่วงใย (fears) ของจุดยืนนั้น
83. หนทางสุดท้าย ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ เนื่องจากไม่อาจทาการ
ตอบสนองต่อความต้องการทั้งสองฝ่ ายได้อย่างลงตัว
โดยเฉพาะไม่สามารถแยกแยะระหว่างจุดยืนกับความต้องการได้
(needs and position)
เมื่อการเจรจาล้มเหลว อาจต้องใช้มาตรการทางกฏหมายมาใช้
หรือต้องพึงพาศาลยุติธรรมให้ตัดสินความ
แต่ถ้าการเจรจาล้มเหลว แต่ยังพอมีช่องทางที่จะเจรจากันได้อีก
ไม่ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การล้มเหลวของการเจรจาที่มีคน
กลาง คือคนกลางบังคับให้หาวิธีแก้ปัญหาให้ได้ ซึ่งจะไม่ยั่งยืน
84. หลักการ PDM ในการใช้คนกลางเป็นเสมือนผู้ฝึกสอน ให้คู่กรณีมี
ทักษะการสื่อสารและการเจรจาต่อรอง ก่อนเผชิญหน้ากัน เพื่อหา
วิธีแก้ปัญหาร่วมกัน
มีหลักอยู่ว่า ทุกคนต้องการเป็นคนดี และให้มั่นใจใน
กระบวนการการเตรียมความพร้อมให้กับคู่กรณีดังกล่าว จะทา
ให้การเจรจาต่อรองดาเนินไปได้อย่างมีประสิทธิผล และทาให้
เกิดความยั่งยืนของแนวทางแก้ปัญหา
ถ้าการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าดี คนกลางแทบไม่มีบทบาท
นอกจากเป็นผู้ช่วยเหลือให้การเจรจาราบรื่น และจบอย่างสันติ
85. เช่นเดียวกับหลักการของ Roger
Fisher และ William Ury ใน
หนังสือ Getting To Yes คือ ให้
คู่กรณีแยกจุดยืน (positions)
ออกจากความต้องการและความ
กังวล (needs and fears)
เมื่อเข้าใจความต้องการและ
ความกังวลของฝ่ ายตรงข้ามแล้ว
โอกาสการเจรจาต่อรอง จะมี
ความสาเร็จสูง