SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 16
Downloaden Sie, um offline zu lesen
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[1]
เรื่อง
พระรัตนตรัย
โดย
พระมหามาติณ ถีนิติ
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[2]
บทนา
เรื่องรัตนตรัยนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจสําหรับทุกคน เพราะว่าคนเราต้อมีเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิตประจําวัน การมีพระรัตนตรัย
เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นสิ่งจําเป็น การมีชีวิตที่ดีได้ ต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิต เช่น มีบิดามารดาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของบุตรและ
ธิดามีครูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของศิษย์ มีสามีและภริยาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวต่อกันมีประเทศชาติเป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของ
ประชาชนและการปกครองมีพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของพสกนิกรทั้งประเทศ แต่ที่สําคัญคือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึด
เหนียว ที่สําคัญที่สุดของมนุษย์ เพราะว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ที่มั่นคงยั่งยืน ภายนอกและภายใน
และที่มีผลดีทั้งชาตินี้และชาติหน้าที่จะมีต่อไป แก่มนุษย์ทุกคน ส่วนเครื่องยึดเหนี่ยวอื่น ๆ นั้น มีผลแต่ภายนอกและมีผลแต่ใน
ปัจจุบัน แต่สําหรับเครื่องยึดเหนี่ยวภายในคือพระรัตนตรัยนั้น มีเครื่องยึดเหนี่ยวคือ
แก้วทั้งสามที่รวมเรียวว่าพระรัตนตรัยเท่านั้นที่ไม่เสียเวลา และไม่สิ้นเปลืองเงินทอง ไม่ต้องมีการลงทุน และไม่ต้องทํา
อะไร จะมีที่จําเป็นก็แต่เพียงแต่น้อมรําลึก เพียงจิตคิด และเพียงรําลึก ด้วยการกระทําการกราบไหว้บูชา ในเวลาที่จําเป็น หรือเวลา
ที่คิดได้ และจะให้ได้ผลตอบแทนอย่างดี ไม่บิดพลิ้ว ไม่ทรยศ ต่อตนเองและต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์และสังคม ให้ผลตลอดไปทั้งชาตินี้
และชาติหน้าต่อไป เพราะเราชาวพุทธมีความเชื่อในเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม เป็นหลักเกณฑ์ในการดํารงชีวิต และเรามีความเชื่อ
ว่ามีชีวิตหลังความตาย และเชื่ออย่างแน่นแฟ้ น ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด และท้ายสุดเชื่อว่า เมื่อเราทําบุญไว้มาก เราย่อม
ได้บุญมาก ทําบุญไว้น้อยย่อมมีบุญน้อย และเมื่อจิตคิดยากหลุดพ้นคือเบื่อหน่ายในชีวิต เช่นมองเห็นว่าชีวิตนี้มีทุกข์ เราก็สามารถ
เดินทางเข้าสู่การพ้นทุกข์ได้ หรือเมื่อเรียนแล้วกลัวสอบตก เราก็มีความทุกข์จะล่วงพ้นทุกข์ข้อนี้ได้ ก็ด้วยการดูหนังสือก่อนสอบ เรา
ก็จะพ้นทุกข์โดยการสอบได้ นี้คืออานิสงส์ซึ่งมีพระรัตนตรัยเป็นเครื่องคํ้าจุนเรา ที่เรานับถือเป็นพื้นฐานอยู่นั้น ๆ ที่จะทําให้เราพบ
ความสุข ที่พอเพียง และยั่งยืน และถาวรได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไร เพียงแต่มีความตั้งใจแน่วแน่ย่างเดียว
สรุปว่าความยึดเหนี่ยวที่สําคัญสําหรับเพื่อมนุษย์ คือพระรัตนตรัย และเครื่องยึดเหนี่ยวที่ ว่าดีหรือว่าไม่ดี คือมีผลต่าง
กันนั้นเพราะสาเหตุ ๒ ประการ คือ: ๑. สาเหตุภายใน ๒. สาเหตุภายนอก เครื่องยึดเหนี่ยวที่มีผลต่อภายในและภายนอก คือ พระ
รัตนตรัย ส่วนสาเหตุที่เป็นเฉพาะภายนอกและชั่วคราว คือเครื่องยึดเหนี่ยวทั่วไป การที่มนุษย์มีหลักคือเครื่องยึดเหนี่ยวในสิ่งที่ดีงาม
นี้จะทําให้คนมีความสุขตลอดไป เพราะฉะนั้นจึงเห็นสมควรอธิบายและแสดงเรื่องของพระรัตนตรัยอย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์
ในการนําไปใช้ในชีวิตประจําวัน และเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวมต่อไปได้ เพราะพระรัตนตรัยได้ชี้นําให้เราเดินทางถูก ไม่หลง
ผิด ไม่งมงาย เป็นคนมีเหตุผลและไม่เชื่อในสิ่งที่ขาดเหตุผลอะไรได้โดยง่าย
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[3]
สารบัญ
๔
เรื่อง ๑
ปก ๑
บทนา ๒
สารบัญ ๔
บทที่ ๑ ๕
แก้วสามดวงคือเครื่องยึดเหนี่ยว พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์
บทที่ ๒ ๗
สรณะแปลว่าที่พึ่ง ความรัก ที่พึ่ง คน ๓ ชนิด ที่พึ่ง ๒ ชนิด ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว
ที่พึ่งถาวร
บทที่ ๓ ๑๒
คําไหว้รําลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คําสวดมนต์ที่ใช้อยู่ในวัดโดยพระภิกษุสงฆ์ (โดยย่อ
ภาษาไทย)ศีลห้าประกอบด้วย ศีลแปดประกอบด้วย ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วิธีปฏิบัติใน
การเข้าถึงพระรัตนตรัย การประณมมือ การไหว้ การกราบ สวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นคําร้อง
สวดสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดสรรเสริญพระสังฆคุณ ปัญญา
บทที่ ๔ ๑๕
สรุป ๑๕
บรรณานุกรม ๑๖
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[4]
บทที่ ๑
แก้วสามดวง
แก้วสามดวงคือเครื่องยึดเหนี่ยว ทุกคนทราบดีว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคืออะไร แต่แม้กระนั่นก็จะขอยํ้าว่า เครื่อง
ยึดเหนี่ยวในที่นี้หมายถึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อป้ องกันการตกไปสู้ที่ตํ่าในชีวิต หรือการสูญเสียชีวิต เช่นเมื่อเราจะ
จมนํ้า เราจะมองหาที่ยึดเกาะ มีเสาหรือไม้เป็นต้น เมื่อเรือจะจม เราจะมองหาฝั่ง หรือที่ที่เราจะรอดชีวิตโดยไม่จมนํ้าตาย
แล้วได้ลอยสู่ฝั่งได้ อันเสาสําหรับเกาะ และฝั่งที่จะขึ้นบกปลอดภัยได้นั้น ในที่นี่คือเครื่องยึดเหนี่ยว เมื่อภัยเช่นว่านั้น
มาถึง แก้วสามดวงคือพระรัตนตรัย ที่เป็นที่ยึดเกาะและเป็นฝั่งได้ ในที่นี่เรานําพระรัตนตรัยมาเป็นเครื่องเปรียบไห้เป็น
เครื่องยึดเหนี่ยวสําหรับชีวิต พระรัตนตรัยแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ :๑.พระพุทธ ๒.พระธรรม ๓.พระสงฆ์
ทั้งสามอย่างนี้รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ๆ แปลว่า แก้ว ๓ ดวง ตามธรรมเนียบและคติการนับถือของชาวพุทธ
ในประเทศไทย ทําไมจึงเรียกพระรัตนตรัยว่า ?แก้ว? สามดวง เพราะว่า เปรียบพระพุทธ คือแก้วดวงที่ ๑ พระธรรม คือ
แก้วดวงที่ ๒ พระสงฆ์คือแก้วดวงที่ ๓ การเปรียบพระรัตนตรัยว่า แก้ว ๆ ในที่นี้มิใช่แก้วโดยธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันว่าเป็น
ภาชนะใส่นํ้า ดื่มได้ก็หาไม่ และเมื่อแก้วตกลงพื้นก็แตกหักง่าย แต่พระรัตนตรัยในที่นี้มิใช่สิ่งที่แตกหักได้เหมือนแก้ว ทว่า
ใสเหมือนแก้ว ท่านเปรียบพระรัตนตรัยเหมือนความใสของแก้ว แล้วทําไมจึงเปรียบเหมือนแก้ว ๓ ดวง เรื่องนี้เป็น
ธรรมาธิษฐาน(คือการนํามาเปรียบเทียบให้เห็นสมจริง) ว่าภาชนะที่ใส่นํ้าและเมื่อหล่นก็แตกหักเปราะง่าย นั้นเป็นเช่นไร
พระรัตนตรัยถ้าไม่รักษาดี ๆ ก็เป็นเช่นนั้น ท่านเทียบว่าสิ่งนี้ว่าองค์ ๓ นี้นั้นให้เป็นพระรัตนตรัย เพราะเป็นสิ่งที่สะอาด
และหมดจด เป็นสิ่งปราศจากเครื่องเศร้าหมองทั้งลาย และเป็นสิ่งที่มองเห็นแบบทะลุผ่านได้ กล่าวคือพิสูจน์ได้ และผ่าน
ให้เห็นและจะพิสูจน์ได้ตลอดทุกเวลา ในทุกกรณี พระรัตนตรัย สิ่ง ๓ สิ่งเหล่านี้จึงเทียบได้ดุจแก้ว มีดังนี้คือ : พระพุทธ
พระพุทธเจ้า เป็นพระศาสดาที่ตรัสรู้พระธรรม เพื่อสั่งสอนให้พวกเรา ได้รู้ ได้เห็น สิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ควรเห็น ในสิ่งที่เข้าใจได้
ในสิ่งที่ชอบที่ควร อันจะไม่นําความผิดหวัง และความหายนะมาสู่ชีวิต และสามารถนําปัญญาของพุทธองค์ที่ตรัสรู้แล้ว
นั้น ที่จะนําไปพัฒนาชีวิต ให้ตนเองมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตนได้ จะทําให้ตนเองไม่โง่งมงาย มองเห็นทางผิดเป็นทาง
ถูก มองเห็นหนทางถูกเป็นทางผิดไปได้เช่น การเป็นคนรู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก ทําให้เราเป็นคนดีของสังคม การรู้จัก
พึ่งตนเอง การนําปัญญาที่ได้เรียนรู้มา เพื่อพัฒนาตนเองในเมื่อพึ่งตนเองได้แล้ว เมื่อถึงคราวตก ยาก ก็ไม่เป็นไร หรือเมื่อ
อยู่ในสถานะที่ดีแล้ว ก็รักษาสถานะนั้น ๆ ให้ดีขึ้น หรือคงเอาไว้
การรู้จักถ่อมตน มีวัฒนธรรม รู้จักที่สูงที่ตํ่า มีความกตัญญู เหล่านี้เป็นบทขัดเกลาที่มีอยู่ในคําสอนทางพุทธศาสนา
สืบเนื่องมาโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียว นี้ถือว่าเป็นรัตนตรัยดวงที่หนึ่ง คือสุดยอดและเป็นเอก สุกสว่างสดใสกว่า
ดวงใดทั้งหมดพระธรรม สําหรับพระธรรมที่ที่ท่านจัดให้เป็น รัตนตรัยดวงที่ ๒ ท่านอุปมาไว้ว่าอย่างไร ท่านอุปมาพระ
ธรรมเป็นแก้วดวงที่สอง ในจํานวนสามดวง พระธรรมเปรียบเหมือนเทียน เพราะเทียนคือปัญญาเป็นแสงสว่าง แสงเทียน
คือแสงแห่งปัญญา พระธรรมมาจากไหน พระธรรมมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า และพระธรรมมีหลักคําสอน ที่พระ
พุทธองค์ตรัสสอนเอาไว้อย่างเป็นแบบเป็นแผน ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน (อ่านว่า ดับ-ขันธะ-ปะ-ริ-
นิบพาน แปลว่า ตาย) คําถามมีว่าทําไมพระธรรมมีความจําเป็น พระธรรมจําเป็นด้วยหรือที่ต้องนํามาเรียงเอาเอาไว้
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[5]
และจําเป็นด้วยหรือที่จะเปรียบให้เป็นพระรัตนตรัยดวงที่สอง หรือเทียบด้วยแก้วเป็นแก้วใบที่สอง ขณะที่สิ่งอื่นมี
มากมายในการเปรียบเทียบในสากลโลก เช่น การหาข้าวกินอิ่มให้อิ่มได้ด้วยแรงงานจะสําคัญกว่า หาเสื้อผ้ามาห่มกาย
น่าจะสําคัญกว่า เพราะเห็นผลทันตา ยอมรับว่าสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้นถูก แต่ยังมีคําตอบอื่นที่ดีกว่า คําตอบมีว่า มนุษย์
ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า สภาพของแก้วนั้นไม่ว่าจะเป็นแก้วนํ้า หรือแก้วอะไรก็ได้ ล้วนแต่มีความสดใสเป็นคุณสมบัติ มี
ความแวววาว ระยิบระยับ เช่นเมื่อโดนนํ้าชะล้างก็สะอาด เมื่อโดนแสงพระอาทิตย์ก็เป็นเงางาม และสามารถนํามาใส่นํ้า
ดื่มได้อีกด้วย เพราะคนดื่มนํ้าได้ด้วยแก้ว มิใช่ด้วยมือ หรือกะลาขณะที่คนเรามีวัฒนธรรมที่เจริญแล้ว หรือดื่มด้วยวิธีอื่น
ซึ่งไม่เหมาะไม่สวยงาม ไม่ถนัด และแรงงานเป็นที่พึ่งถาวร เงินเป็นของนอกกายมีชั่วคราว แต่พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของ
เราตลอดไป เพราะคนเราไม่รู้ว่าจะป่วย จะตายวันไหน และเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เรากําหนดวันตายที่แน่นอนไม่ได้ โดย
ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้นมนุษย์มีความจําเป็นต้องมี่ที่พึ่งคือพระรัตนตรัยที่ดวงที่สองด้วย เทียบด้วย การใช้
แก้วใส่นํ้า เพื่อการดื่มที่เหมาะสมเราได้จากแก้ว ความพอใจ จากการกระทําของเรานี้และนํ้าในแก้วได้ดับความกระหาย
ของเรานั้นเพราะอิงอาศัยแก้วด้วย และเมื่อยอมรับใช้มันแล้ว ความหายหิวกระหายนํ้าก็หมดไปในที่สุด และแก้วก็มี
ประโยชน์ต่อไปอีก เพราะไม่ได้แตกบาดเจ็บ ที่มือหรือเท้าของเรา ถ้าเราใช้มันอย่างไม่ประมาท เหมือนที่เปรียบเทียบ
อย่างคนที่ไม่รู้จักใช้แก้ว ขาดความระมัดระวัง แล้วทําแก้วแตก และโดนคมแห่งแก้วบาดเอา เพราะฉะนั้นแก้วจึงมี
ความสําคัญที่จะเปรียบเหมือนพระรัตนตรัย นักปราชญ์ท่านจึงจัดให้แก้วเป็นพระรัตนตรัยดวงที่สองพระสงฆ์ ส่วนดวงที่
๓ คือพระสงฆ์ ๆ คือแก้วชนิดหนึ่งที่นักปราชญ์ท่านเปรียบเอาไว้เช่นกัน ทําไมจึงต้องเปรียบพระสงฆ์ว่าแก้วดวงที่สาม ที่
เราต้องมีไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ก็เพราะว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่สืบทอดคําสอนของพระพุทธเจ้า
ที่เรียกว่าพระธรรม ที่เราได้เปรียบเป็นแก้วดวงที่ ๒ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น พระสงฆ์เป็นพระสุปฎิปันโน (อ่านว่า
สุปะติปันโน) คือพระที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือเป็นคนดีไม่ละเมิดศีลอันเป็นข้อห้ามและปฏิบัติเฉพาะที่พระพุทธองค์
ทรงมีการอนุญาตเอาไว้ การทําได้เช่นนี้ถือว่าพระเป็นปูชนียบุคคล คือควรแก่การกราบไว้และบูชา และน้อมนมัสการ เรา
ไหว้พระสงฆ์พระสงฆ์ สําหรับพระสงฆ์ที่เราได้มีโอกาสเห็น และได้ทําบุญตักบาตรกับพระสงฆ์ ได้บริจาคทรัพย์แด่
พระสงฆ์ ทําไมเราจึงต้องทําเช่นนั้น เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญของโลก ท่านสามารถทําให้เราได้มีที่ทําบุญ เพื่ออุทิศ
ให้กับเจ้ากรรมนายเวร พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านจากพวกเราไปนานแล้ว ทิ้งเหลือไว้ให้เราแต่พระธรรม และพระสงฆ์ท่าน
มีหน้าที่นําพระธรรมของพระพุทธองค์มาสอน ที่เรียกว่าการสอนธรรม พวกเราจึงได้รู้และเอาอย่างมาปฏิบัติ เพื่อความ
สงบสันติสุขโดยทุกถ้วนหน้ากัน คือพระสงฆ์ท่านแนะนําให้เรานําแก้วดวงที่สอง คือพระธรรมมาให้เราได้ใช้เป็นใช้ถูก
พระสงฆ์จึงเป็นทายาทของพุทธเจ้า ที่เราสามารถเห็นได้ว่า ความดีของพระธรรมดีมีอย่างไร ที่มีชีวิตทุกคนควรจะได้รับ
นั้นก็คือหน้าของพระสงฆ์จะช่วยชี้แนะ ท่านได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน
เอาไว้ แล้วจึงสอนพวกเรา เพราะฉะนั้น พระสงฆ์จึงเป็นแก้วดวงที่สาม ที่เรามีความจําเป็นต้องใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องยึด
เหนี่ยวด้วย ตั้งให้ท่าน คือให้เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเราด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของ พวกเราทุกคน
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[6]
บทที่ ๒
สรณะแปลว่าที่พึ่ง
การทําอะไรสมัยนี้สิ่งที่มีปัญหาตามมาคือการทําอะไรไม่ทันเพื่อน คือการไม่พัฒนาตนเองให้ทันเพื่อนนั่นเอง
การทําอะไรไม่ทันเพื่อน ทําให้คนนั้นจะถูกประณามว่าโง่ การเป็นคนโง่ ผลที่ตามมาคือ ไม่มีคนคบ ไม่มีใครอยากเป็น
เพื่อน แต่พระรัตนตรัยยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคน คือทั้งคนที่ทันเพื่อน และไม่ทันเพื่อน พระรัตนตรัยไม่เลือกชนชั้น
ผิวพรรณ สัณฐาน เชื้อชาติ และ วรรณะความรัก คือความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าความรักจะมาในหัวข้อ
อะไรหลักอะไรก็ตาม การมีความรักผูกพันเป็นสิ่งที่ดีงาม ความรักที่เราเห็นง่ายมากเช่น แม่นกรักลูกนก แม่แมวรักลูกแมว
แม่สุนัขรักลูกสุนัก นี่ก็เป็นเรื่องความรักหลักหนึ่งเช่นกัน ที่มองเห็นได้ในชีวิตทุกวัน แต่ว่าการรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้
ตลอดไป ต้องอาศัยการรู้จักมีพระรัตนตรัยเป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว แล้วจะทําให้ความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร
นั้น มั่นคงถาวรนานต่อไปได้ คําถามมีว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อระหว่างพระรัตนตรัย และความรักความเอื้ออาทร
ความผูกพัน ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิดเดียว จะขออธิบายว่า มันมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกเหมือนกัน ในการที่จะ
กล่าวว่า กระดูกและฟัน หรือลิ้นกับฟันมันต่างกันอย่างไร ก็อย่างใดอย่างนั้น
เราจะมีเครื่องยึดเหนี่ยวได้ เราต้องหาที่พึ่งก่อน เพราะถ้าไม่ได้ครู เราก็ไม่เรียนรู้วิชา ฉะนั้น เราจึงจัดว่ามีครู
เป็นที่พึ่ง ในที่นี่เรื่องพระรัตนตรัย เราได้หนังสือเรื่องพระรัตนตรัยเล่มนี้เล่มหนึ่งเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งในพุทธศาสนาของเรา ใน
ที่นี่เราเรียกที่พึ่งนี้ว่า ?สรณะ? คําว่า สรณะ เป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าใช้พูดขณะพระ
พุทธองค์ยังมีพระชนมาชีพอยู่ (ยังมีชีวิตอยู่) เราจัดที่พึ่งนี้ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริบสูงสุด ที่พึ่งที่เราจัดไว้มี ๓ อย่างคือ :
๑. พระพุทธเป็นที่พึ่งของเรา ๒. พระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา ๓. พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ที่พึ่ง สําหรับที่พึ่งนี้ต่างจาก
เครื่องยึดเหนี่ยว ในบทคํานําเราทราบว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคืออะไร มาบัดนี้เราจะได้ทําความเข้าใจว่า ที่พึ่งคืออะไร และที่
พึ่งและเครื่องยึดเหนี่ยวนี้แตก ต่างกันอย่างไร เราจัดที่พึ่งได้ดังนี้คือ : ๑. ที่พึ่งภายใน ๒. ที่พึ่งภายนอก
เครื่องยึดเหนี่ยวนั้น มาก่อนที่พึ่ง เพราะว่าอะไร เราลองสังเกตดู คนที ห้อยพระพุทธรูป หรือห้อยพระเครื่องที่
คอ เขามีพระเครื่องเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และครั้นเมื่อภัยมาถึง เขาก็ได้พระเครื่องหรือพระพุทธรูปที่เขาแขวนคออยู่นั้นมา
เป็นที่พึ่ง การที่คนเราจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่ง เขาต้องคิดว่าที่พึ่งนั้นพึ่งได้หรือไม่ได้ก่อน จึงเรียกว่าที่พึ่ง แต่เครื่องยึด
เหนี่ยวนั้นต้องมีการแนะนํากันก่อนว่า อะไรควรที่จะยึดเหนี่ยวหรือไม่ หรือว่าอะไรที่ไม่ควรยึดเหนี่ยว เพราะฉะนั้นเครื่อง
ยึดเหนี่ยวมาก่อนที่พึ่ง เพราะเราคิดที่จะยึดเหนี่ยวสิ่งใดไว้ เพื่อนําเอาเครื่องที่ยึดเหนี่ยวนั้นไว้เป็นที่พึ่งเมื่อภัยมาถึง
เด็กหลายคนชอบพึ่งพ่อแม่ แต่เมื่อเวลาที่มีเรื่องเดือดร้อนขึ้นมา ไม่มีใครวิ่งไปพึ่งสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัข
และแมว แต่ตอนที่ปกติ อยู่ที่บ้านไม่มีอะไรเกิดขึ้น แหม ! ช่างรักลูกแมวลูกสุนัขกันเสียจริง จะกินจะนอนขอให้สุนัขและ
แมวนอนด้วยกินด้วยได้ มีขนมก็ก็แบ่งให้สุนัขหรือแมวที่บ้านกินก่อน แทนที่จะเป็นพ่อแม่ เป็นต้น มีของอร่อยก็นํามาฝาก
สุนัขและแมวตัวโปรดของตนก่อน แต่ว่ากับพ่อแม่นั้นกลับเฉยเมย เพราะอะไร ตอบว่าไม่ทราบ กล่าวคือมันเป็นอย่าง
นั้นเอง แลลองกลับมาดูที่เมื่อเด็กมีภัย ก็จะวิ่งไปหาพ่อแม่ก่อน เมื่อมีภัยมาถึงตัว แม้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง พ่อและ
แม่นั่นหละเป็นที่พึ่งที่ควรยึดเหนี่ยวด่านแรกของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เราจะรักสุนัขและแมวในบ้านมาก และสุนัขและ
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[7]
แมวเหล่านั้น มิได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว หรือที่พึ่งอะไร ในโลกแห่งความเป็นจริงเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีภัยมาถึง เขาสัตว์
เดรัจฉานเหล่านั้นมิใช่ที่พึ่ง พ่อแม่ต่างหากที่เป็นที่พึ่ง นี้ก็เหมือนกัน เราได้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะว่าเรารู้แล้วว่า ที่
พึ่งนี้เป็นที่พึ่งอันสูงสด เป็นที่พึ่งได้ทุกเวลา แม้ในยามสอบตก (เราได้สมาธิจากการเรียนเมื่อรําลึกถึงพระรัตนตรัย) ใน
ยามเจ็บป่วยเป็นไข้ ในยามใกล้จะตาย ในยามมีความทุกข์ทรมาน ที่ไม่มีใครอีกแล้ว แม้พ่อแม่หรือแพทย์หรือแม้ตนเองก็
เกือบพึ่งไม่ได้แล้ว ในยามนั้นพระรัตนตรัยสิ่งเดียวเท่านั้นที่พึ่งได้ จึงถือว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา ทั้งในเบื้องต้น
ท่ามกลางและในที่สุด และในทุกสถานที่ และในกาลทุกเมื่อ เราจึงควรยึดเหนี่ยวพระรัตนตรัยเอาไว้เป็นที่พึ่ง การที่เราได้
รอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายไปได้ เราได้ทราบมาแล้วว่า ที่พึ่งนั้นมี ๓ (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) และเครื่องยึด
เหนี่ยวนั้นก็มี ๒ (เครื่องยึดเหนี่ยวภายใน และเครื่องยึดเหนี่ยวภายนอก) ซึ่งในที่นี่ เราจะมาพูดในบทบาทของเรื่องคนที่มี
ที่พึ่ง ซึ่งที่พึ่งนี้จัดเป็น ๒ ดังกล่าวนี้ว่า (ก.) ที่พึ่งภายใน เป็นที่พึ่งที่สําคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าที่พึ่งภายใน เป็นที่พึ่งทางใจ
ส่วน ( ข.) ที่พึ่งภายนอกนอกนั้นเป็นที่พึ่งทางกาย เราเคยมีความอบอุ่นกับพ่อแม่ โดยทั้งพ่อและแม่เป็นที่พึ่งทั้งทางกาย
ตลอดชีวิตหาไม่ แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ
เราต้องมีที่พึ่งสําหรับชีวิตนี้ และชีวิตข้างหน้าด้วย หรือในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย คือพระรัตนตรัย ซึงท่าน
เป็นที่พึ่งทั้งภายใน(เช่นพระสงฆ์สอนธรรมให้เรา)และภายนอก แต่สําหรับพระรัตนตรัย คือแก้วสามประการนี้ เราใช้เป็น
ที่พึ่งทางใจและรวมไปถึงที่พึ่งทางกายได้ เราต้องยึดเหนี่ยวเอาไว้ว่า เราได้ทําบุญอะไรไปกับพระสงฆ์และทําไปเมื่อไหร่
เราได้กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้ารําลึกว่าได้ กราบไหว้ไปตอนไหน เราได้เรียนรู้พระธรรมไปเมื่อไหร่และอย่างไร เพียง
รําลึกเท่านี้เราได้ที่พึ่งแล้ว และเราก็ยึดเหนี่ยวเอาที่พึ่งอันนี้ว่า เป็นที่พึ่งอันประเสริฐอันสูงสุด มีอันจะนํามงคลมาสู่เราได้
และจะทําให้เราประสบความสําเร็จได้ในชีวิต สังคมทุกวันนี้ยอมรับว่า การมีที่พึ่งเป็นสิ่งดีงาม คนเราถ้าขาดที่พึ่งแล้ว จะ
เป็นเช่นไร เช่นต้นไม่มีรากเป็นที่พึ่งของ ต้นไม้นั้น ต้นไม้นั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะพอลมแรงมา ต้นไม่ที่ไม่มีรากย่อมที่จะ
ปลิวไป เสาเรือนถ้าไม่มีแผ่นดินรองรับพื้นเอาไว้ เสาเรือนนั้นนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ คือเรือนที่ไม่เสาดินรองรับย่อมจะ
พังทลายลง ถ้าเราไม่มีบิดามารดาเป็นที่พึ่งตอนวัยทารกและวัยเด็ก เราก็ไม่สามารถอยู่รอดชีวิตเติบใหญ่มาได้ จากการ
ที่เราไม่ตายเสียก่อนในวัยทารกและคลอดรอดอยู่ เป็นชีวิตมาได้และกลับมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้จนเติบใหญ่ เพราะ
เรามีที่พึ่งคือบิดามารดาเป็นบันไดแรก เพราะฉะนั้นเรื่องของที่พึ่ง คือมีบิดามารดาเป็นสิ่งสําคัญมากเช่นกันในเบื้องแรก
จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ว่าพระรัตนตรัยคือที่พึ่งสูงสุดได้ ในโอกาสต่อมา สําหรับเราที่รู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นอกจาก
บิดารมารดาครูบาอาจารย์แล้ว เพราะเรายอมรับแล้ว ก็จะมีความมั่นคงในชีวิต และเราจะประสบแต่ความสําเร็จ
เพราะว่าเราได้ที่พึ่งทีมีคุณธรรมสูงสุด ไม่มีสิ่งใดอื่นเสมอเหมือน ทําไมที่ไม่มีสิ่งอื่นเสมอเหมือน ตอบว่าเพราะเป็นที่พึ่งที่
ไม่ตายไปจากเรา และที่พึ่งนั้นคือพระรัตนตรัย
เนื่องจากว่าพระรัตนตรัยจะอยู่ กับเราชั่วฟ้ าดินสลาย ทั้งโดยชาตินี้และชาติหน้า สวนที่พึ่งคือบิดามารดา ครู
บาอาจารย์ นั้น ท่านเป็นที่พึ่งได้ก็จริง แต่ท่านให้เราพึ่งได้เพียงชั่วขณะ หรือเพียงชาตินี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น คนเราทุกคน
ควรต้องมีที่พึ่ง คือพระรัตนตรัยด้วย คือว่าพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งสูงสุด เพราะว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทั้งทางใจและทาง
กาย และทั้งชาตินี้และชาติหน้าลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจนกว่าโลกจะหาไม่อย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ใน
โลกนี้กับพระ รัตนตรัย และพระรัตนตรัยเป็นอมตะไม่ตายไปจากเรา แม้เราจะตายไป พระรัตนตรัยก็ยังคงอยู่ คน ๓ ชนิด
คนในโลกนี้มี ๓ ชนิด คือ : ๑.คือคนที่รู้ไปหมด ๒.คนที่รู้เพราะคิดคํานวณเอา ๓.คนที่รู้เพราะเคยเหยเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[8]
มาก่อน คนทั้งสามชนิดนี้เป็นบุคคลที่หาได้ยากพอสมควร แต่จะมีมากน้อยเพียงไรในแต่ละคน ถ้ามีมากในระดับใด
ระดับหนึ่ง ก็รอดพ้นไปได้ แต่ในที่มีน้อยมากในระดับใดระดับหนึ่ง แสดงว่าคนนั้นเป็นคนเบาปัญญา คือมีความรู้น้อย จะ
เป็นผลให้ต้องมีที่พึ่ง เพราะส่วนมากคนประเภทนี้ จะพึ่งตนองไม่ได้ แต่ต้องพึ่งคนอื่นอยู่รํ่าไป และที่อันตรายมากก็คือ
การไม่รู้จักแม้กระทั่งพระรัตนตรัยก็ควรจะพึ่ง และมีความคิดว่าพระรัตนตรัยนั้นควรมีประจําจิตใจตน คนชนิดนี้ก็มีแต่จะ
มีชีวิตที่เศร้าหมองและตกอับ ส่วนคนที่มีความรู้ในความระดับหนึ่งคือในระดับสูง แม้ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ยังรู้จัก
ดูแลตัวเองบ้าง ไม่ค่อยจะสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น แต่ถ้าว่าถ้าเขาขาดพระรัตนตรัยไว้เป็นที่พึ่งด้วย ก็มีผลให้เขามี
ความสุขเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ส่วนชาติต่อไปนั้นยังมืดมน พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า คนบางคนมีพระอาราม มีต้นไม้ มี
ภูเขา เป็นต้น ว่าเป็นที่พึ่ง ว่าเป็นสรณะ แต่ทว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ที่พึ่งดังกล่าวมิใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ นั้นหมายความ
ว่าที่พึ่งนี้พึ่งได้เหมือนกันแต่ไม่ประเสริฐ ส่วนที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราจะพบว่าคนเราทุกวันนี้ไหว้ ต้นไหม้ ไหว้ภูเขา และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้ มิใช่ที่พึ่งอัน
ประเสริฐ กล่าวคือมีเป็นที่พึ่งได้เช่นกันคือใช้ได้ชั่วคราวคือไม่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าจะให้ดีแล้วควรมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เพราะประเสริฐที่สุด ประเทศชาติกําลังพัฒนาและไปได้ผล เป็นเศรษฐกิจพอเพียงและยั่งยืน อยู่ในระดับที่ทุก ๆ คนพอใจ
ในปัจจุบัน กล่าวคือดีกว่าแต่ก่อน ที่ว่าดีกว่าแต่ก่อนอาศัยเหตุดังนี้ คือ สมัยก่อนจะไปไหนมาไหน ต้องอาศัยเท้า และ
แรงงานจากสัตว์ แต่ปัจจุบันเราสามารถใช้แรงงานทางวิทยาศาสตร์ คือใช้เครื่องยนต์ เครื่องทุกชนิดแทนแรงงานคน แทน
แรงงานสัตว์ได้ อาทิเช่น ถ้าเราจะโทรศัพท์ไปเชียงใหม่ จากรุงเทพ ฯ สมัยก่อนต้องใช้โทรเลข แม้กระนั้นก็ใช้เวลานาน
อาจเป็นวันกว่าปลายทางจะได้รับสาร และเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ปัจจุบันเพียงนึกคิดเอาเพียงใช้มือกดแตะปุ่มเท่านั้น คือ
กดโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ผู้รับสายปลายทางที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็สามารถรับสารของเราได้ทันที เพียงเสี้ยววินาทีเดียว
เท่านั้น และเสียค่าใช้จ่ายก็ถูกมากเพียง ๓ บาทก็เพียงพอ
การกระทําอย่างนี้ในสมัยนี้ ทดสอบเมื่อ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ นี้เอง จึงรับรองว่าการ
สื่อสารทางโทรศัพท์ สําหรับการจะโทรทางไกลจากกรุงเทพ ไปเชียงใหม่ แม้ในถิ่นทุระกันดาร จะได้ผล คือ ได้เรื่องทันที
โดยไม่ต้องลําบากเหมือนแต่ก่อน กล่าวคือสมัยนี้จะพูดจะโทรที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ มิใช่จําเป็นต้องเป็นที่ไปรษณีย์กลาง
กรุงเทพ ฯ เท่านั้น กระทําได้ทั่วพะราชอาณาจักรนี้ ด้วยโทรศัพท์มือถือ นี่แสดงว่าประเทศไทยเจริญขึ้น อย่าง
อารยประเทศตะวันตกในด้านนี้แล้ว เราสามารถเทียบได้เลยในเรื่องแบบนี้ ต่อไปเป็นเรื่องที่จะนํามากล่าวอย่างละเอียด
นั้น ก็คือเรื่องคน ๓ ประเภทที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้นของหัวข้อนี้ นั้นคือ คนที่รู้เสียทุกอย่าง คือรู้ไปหมด ไม่ว่าอะไร
ตรงไหน อย่างไร เขาย่อมไม่ถูกหลอกลวง และเขาจะไม่มีทางยากจน ยกเว้นแต่คนรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ซึ่งนั่นคือคน
ที่รู้ไม่จริง แม้กระนั้นถ้าขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เขาก็อาจจะตกอับได้ ในวันใดก็วันหนึ่ง ประการแรก เขาไม่สามารถ
ล่วงรู้ทางแห่งการไปดี หรือร้าย หรือความตายดีตายร้ายได้ หรือไปเกิดในชาติหน้าที่ดีกว่าเดิมได้ หรือเท่าเดิมที่ดีอยู่แล้ว
ส่วน คนที่รู้เมื่อคิดคํานวณ คนชนิดนี้ทํางานไม่เคยผิดพลาด เช่นทอนเงิน เมื่อซื้อของหรือขายของ ไม่เคยทอนเงิน
ผิดพลาด บางคนขายก๊วยเตี๋ยวชามละ ๑๐ บาท ลูกค้าเขาให้ใบละ ๒๐ บาทมา ทอนเขาเสีย ๔๐ บาท เป็นต้น
เพราะนึกว่าเขาให้ใบละห้าสิบมา พอดีลูกค้ากําลังเข้าร้านมากลืมไป ถ้าคํานวณผิดอย่างนี้ เราลองทํานายดู
เหตุการณ์ ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร คือ ขาดทุน หรือ ?ล้ม? แน่นอน สําหรับร้านขายก๊วยเตี๋ยวร้านนั้น ท้ายสุดที่ตามมามี
กําไรดี ขายของได้ก็ดี และไม่ขาดทุนเพราะการคิดคํานวณรายรับ รายจ่ายให้ผิดพลาด และการคาดการณ์ไกล ล่วงรู้
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[9]
อนาคตของตนเอง เช่นล่วงรู้ว่า เดือนหน้าจะมีนํ้าท่วมตรงนี้เพาะฉะนั้น เรารีบกักตุนอาหารและสัมภาระเอาไว้ เพื่อเลี้ยง
ตนเองป้ องกัน ไว้เมื่อยามที่ภัยมาถึง เป็นกากรคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เมื่อประสบอุทกภัย ซึ่งจะมีมาถึงในไม่ช้า ปัญหาก็
คือเราไม่มีปัญหาอะไร ถ้านํ้าท่วมมาจริงตามที่คาด หรือคํานวณว่าไฟจะต้องไหม้บ้านแน่นอน ถ้าสภาพครอบครัวมี
ปัญหาอยู่อย่างนี้ คือมีคนในบ้านใช้ไฟไม่เป็น ในบ้านที่อยู่อาศัยมีสภาพสายไฟไม่มดีที่ควรปรับปรุง แต่กลับไม่ปรับปรุง
หรือ มีสาเหตุอื่น ๆ อีก คนชนิดนี้เขาต้องคิดรีบตัดไฟต้นลมทันที เมื่อเห็นมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น กับครอบครัวเขา เช่น
เขาก็ต้องรีบมีเครื่องดับเพลิง เพื่อป้ องกันอัคคีภัย และสามารถนําอุปกรณ์ดับเพลิงมาใช้ทันทีในกรณีไฟไหม้ได้ ดังนี้เป็น
ต้น แทนที่จะรอรถดับเพลิงของทางหน่วยราชการอย่างเดียว เมื่อพระเพลิงกําลังไหม้บ้าน ส่วน คนที่รู้เพราะเห็น
เหตุการณ์นั้น ๆ มาก่อน คนชนิดนี้รู้เพราะเคยโดนมากับตนเอง เช่น โดนมีดบาดและมีแผลสด ให้รีบใช้ยาสามัญประจํา
บ้านป้ ายแผลทันที และปิดแผลไว้ไม่ให้อากาศนําเชื้อโรคหมุนเวียนเข้าออกได้สะดวก และระวังอย่าให้เชื้อโรคเข้าไปสู่
บาดแผลได้ ด้วยการปิดด้วยผ้ายางพลาสเตอร์ปิดแผล ที่ถูกหลักการทางแพทย์ เขาก็สามารถทําให้แผลหายได้เร็ว ไม่
ลุกลามไปใหญ่โต แต่อย่างไรก็ตาม คนทั้งสามชนิดนี้ ถ้าขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้วแน่นอน ชีวิตเขาก็ต้องอับแสงลง
และเสียทีชาติเกิดแน่นอน ส่วนคนที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง ก็ปล่อยปละละเลยแผลนั้น คิดว่าอีกสักพักก็จะหาย แต่ปรากฏว่า
แผลมันไม่หายแต่แผลกลับเรื้อรัง เป็นผลให้เป็นอันตราย จนเชื้อโรคต้องลามไปสู่อวัยวะอื่นทําให้อวัยวะส่วนอื่นพิการ
ต่อไป ดังนี้เป็นต้น ที่พึ่ง ๒ ชนิด ที่พึ่งมี ๒ชนิด คือ: ๑. ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว ๒. ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ถาวร ที่พึ่งที่
เป็นประโยชน์ชั่วคราว การเรียกคําว่าที่พึ่ง คํา ๆ นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะคํานี้มีความหมายว่า การไม่มี
ความเป็นอิสระในตนเอง คือเป็นทาสของคนอื่น ถ้าเป็นประเทศก็เป็นประเทศที่ไม่มีเอกราชในตนเอง
ถ้าเป็นประชาชนก็เป็นประชานที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง รอจะพึ่งแต่รัฐบาล ถ้าเป็นคนก็ต้องพึ่งคนอื่น กินนํ้าใต้ศอก
คนอื่น ไม่ดีแน่นอน เมื่อเรามองในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะพบว่า เมื่อเราเป็นเด็กก็ต้องพึ่งพ่อแม่ไปก่อน เมื่อเราเป็น
เด็กนักเรียนก็ต้องพึ่งครูไปก่อน เมื่อเราเป็นประชาชนก็ต้องพึ่งรัฐบาลเพื่อขอความคุ้มครองจากตํารวจเมื่อมีภัยไปก่อน
หรือเมื่อมีเหตุร้ายก็พึ่งศาลเมื่อขาดความยุติธรรมไปก่อน การพึ่งอย่างนี้ ไม่เป็นสิ่งปลก แต่ทว่าเป็นการพึ่งชั่วคราว
เพื่อให้สําเร็จภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นเป็นของธรรมดา แต่ไม่ใช่พึ่งผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ที่พึ่งถาวร ที่พึ่งที่ถาวรคือพระ
รัตนตรัย คือว่าการพึ่งที่ถาวรคือพระรัตนตรัยนั้น เป็นการพึ่งตลอดเวลา ตลอดไปจึงจะดี คือมีภัยหรือไม่มีภัยจะอ่อนแอ
และจะเป็นทาส หรือเป็นนาย ก็ยึดพึ่งพระรัตนตรัยได้ มิใช่คิดพึ่งพระรัตนตรัยตอนรับทุกข์เท่านั้น แต่พอมีความสุขแล้วทิ้ง
พระ รัตนตรัยอบย่างนี้ไม่ถูก การทําเช่นนั้นถือว่าเป็นการเนรคุณพระรัตนตรัยด้วย เพราะฉะนั้นการพึ่งพระรัตนตรัยนั้น
ต้องพึ่งในทุกเวลา ในทุกสถานที่ ในทุกสถานะ คือไม่จํากัดกาลและเวลา มีพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะ คําว่า
สรณะ แปลว่าที่พึ่ง คําว่าสรณะมาจากภาษาบาลี การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จึงถือว่าเป็นการพึ่งที่ดี เป็นการพึ่งที่ถูก
ทาง
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[10]
บทที่ ๓
คาไหว้ราลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
เมื่อเราได้รู้ว่าพระรัตนตรัยคืออะไรแล้ว มีอะไรบ้างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว นอกจากพระสถูป เจดีย์ จีวรที่พระห่ม
มีผ้าสีเหลือง
และสิ่งอื่นที่เราเคารพสักการบูชากันทุกวันนั้นแล้ว คําตอบคือ มีคํารําลึกถึงการรําลึกถึงคุณพระรัตนตรัย
คําถามมีต่อไปว่า คํารําลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนั้นคืออะไร คํารําลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนั้น คือคําสวดอ้นวอน หรือเพียง
คิดภาวนาในใจ หรือพูดเปล่งออกมาพร้อมกัน หรือนอนนึกเอาก็ได้ สําหรับคํารําลึกนั้น ตามประเพณีของชาวพุทธ มี
รายการดังต่อไปนี้: ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ และด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมด้วยความ
เคารพ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้า คํารําลึกดังกล่าว มีทั้งที่เป็นภาษาไทยและ
ที่เป็นเป็นภาษาลี สําหรับที่เป็นภาษาไทยที่นํามาลงในหนังสือนี้ใช้เป็นประจําทุก ๆ โรงเรียน ทุกสถาบัน ทั้งในวัดและใน
สถาบันพุทธศาสนา บางครั้งอาจะว่ากล่าวเป็นคําอย่างอื่นก็ได้ แต่สรุปแล้วคือการรําลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระ
พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเอง คําถามว่า ทําไมต้องไหว้รําลึกพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในเมื่อมีการห้ามการ
ไหว้ต้นไม้ ห้ามไหว้ อาราม และเจดีย์สิ่งอื่นใดอีกเหล่านี้กล่าวคือเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ
นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะสิ่งที่ไหว้นั้นไม่ประเสริฐ เท่ากับการไหว้รําลึกถึง พระพระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ คําตอบมีว่า คนเราต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยว มิใช่เพียงคิดด้วยลําพังจิตใจ แต่ต้องปฏิบัติดีด้วย มีการทํา
ดีทั้งทางกาย วาจา ใจ ไปด้วย คุณภาพของการสรรเสริญพระรัตนตรัยก็จะมีค่ายิ่งขึ้น เมื่อ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ก็เพื่อ
ความสุขสวัสดีของร่างกายและจิตใจด้วย และการที่จะได้พ้นทุกข์ไปในที่สุด คนเรานั้นมีปัญญาไม่เหมือนกัน กล่าวคือมี
ปัญญาไม่ทันกัน บางคนกําลังใจสูง บางคนกําลังใจตํ่า คนลังใจสูงจะมีกําลังทางจิตใจมากกว่าคนมีกําลังใจตํ่า คนมี
กําลังใจสูงมีใจอย่างเดียว ก็สามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ แต่ว่าคนที่มีกําลังใจตํ่า ย่อมไม่สามารถทําเช่นนั้นได้ จึงต้องใช้
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแทนรําลึก แทน อันนี้เป็นประเด็นที่สําคัญในพุทธศาสนา เนื่องจากกา
ว่า คนเราเกิดมามีกรรมเก่าที่ต่างกัน การเกิดมาก็มีกรรมและบุญที่แตกต่างกัน และคนจึงเกิดมาใหม่ก็ไม่เหมือนกัน โดย
สภาพ เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้คนที่มีสูงก็ดีกําลังใจตํ่าตํ่าก็ดีนั้น มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องรําลึก
เตือนใจ ในสมัยต่อมาคําสวดมนต์อ้อนวอน ได้เป็นที่นิยมสวดแบบทํานองก็มี แบบคําสาบานตนก็มี เเบบเพลงสวดก็มี
แบบโคลกลอนก็มี แบบธรรมดาก็มี และมีอีกหลายแบบที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดัดแปลงเป็นภาษาอื่น ๆ มีภาษาอังกฤษ
ภาษาจีน และภาษาอื่น ๆ อีก ทั่วโลก รวมทั้งการสวดเป็นแบบภาษาบาลีที่ใช้เป็นภาษากลาง ทางพุทธวจนะของพุทธ
ศาสนา สําหรับในประเทศไทยคือสวด มีที่ใช้ในโรงเรียน โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ หรือที่บางโรงเรียนใช้สวดก่อนเข้าเรียน
หรือหลังการเคารพธงชาติ หรือบางโรงเรียนใช้สวดก่อนกลับบ้านตอนโรงเรียนเลิก คนสมัยใหม่มีหลักศรัทธาและความ
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[11]
เชื่อในศาสนาอย่างมีเหตุผลมากขึ้น มักจะถามว่า การให้สวดอย่างนี้มีประโยชน์อะไร เพื่ออะไร คําตอบมีว่า ใช้สวดเพื่อ
ทําให้เกิดสมาธิในเบื้องต้น ทําให้ใจสงบเยือเย็นหรือเป็นการะลึกถึงความดีสากล ที่ศาสนาพุทธมีต่อเรา ส่วนการสวด
ภาวนาตอนก่อนนอนนั้นได้อะไร คําตอบคือ ก็เมื่อคนเรามีปัญหาชีวิตตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาบ้านก่อนเข้ามุ้งนอน ก็
ชําระจิตใจให้หมดจด แล้วก็ได้มีสมาธิ และหลับนอนได้อย่างมีสมาธิ มนุษย์เราลองคิดดูว่าก่อนเข้าห้องเรียน ถ้าจิต
ฟุ้ งซ่าน ไม่มีสมาธิ
เพราะความสับสนวุ่นวายของสังคมในชีวิตประจําวัน ของทุกวินาทีที่ชีวิตและจิตสัมผัสกับโลกภายนอกและ
ท่องเที่ยวไป ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้การรําลึกถึงพระรัตนตรัยจึงทําให้เราได้สมาธิ เพื่อการเรียนทันเพื่อนทันครู เมื่อเรา
ตั้งได้ตั้งใจสวดมนต์ กล่าวคือการเข้าถึงสรณะและความนอบน้อม ต่อพระพุทธเจ้าก่อน มันดีอย่างนี้ ส่วนสําหรับก่อนเข้า
นอนตอนเย็น เมื่อสวดรําลึกแล้วจะได้สมาธิ จะลืมสิ่งทั้งหมดที่สะสมจากสิ่งที่พบเห็น ที่เกิดขึ้นมาทั้งวันให้หมดไป และจะ
ได้ตั้งใจหลับให้สนิท เมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเข้าหลับนอน ผลที่จะตามมาก็คือการได้เรียนหนังสือที่มีสมาธิ แสดงว่าเรารู้
หน้าที่แห่งการแบ่งแยก
ความคิดหรือการใช้สมาธิได้ ใช้สมาธิเป็น จะทําให้เราไม่เปลืองเวลาเปลืองเงิน เปลืองทรัพยากร ในการเรียน
หนังสือ ถ้าไม่มีสมาธิตัวนี้หลังการเรียนแล้ว เราจะไม่ได้อะไรกลับ บ้าน ส่วนก่อนนอนเมื่อสวดแล้วก็เกิดสมาธิ ก็เพราะถ้า
เรานําสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งวันมาคิด แทนที่จะเป็นเวลาพักผ่อน อันไม่ควรคิดในเวลาที่ไม่ควรคิด คือคิดผิดที่จะคิด ผลที่
ตามาคือการนอนนั้นจะไม่มาสามารถหลับ ลงได้ และเป็นไข้ในโอกาสต่อมา นี้เรียกว่าการไม่รู้จักหน้าที่ของเวลาว่า เวลา
นี้เป็นเวลาที่จะนอน หรือเวลานี้เป็นเวลาที่จะคิด สุดท้ายการสวดมนต์ดังกล่าว จึง ได้ผลในเบื้องต้น กล่าวคือทําจิตใจ
สงบ มีสมาธิ มีความสุขได้ในเบื้องต้น ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้ คือผลที่เราสามารถพิสูจน์ได้ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สรุป
การมีจิตหลงใหลโดย มีที่พึ่งคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่เคารพสักการะแล้ว ย่อมทําให้เราประสบสันติสุขใน
ชีวิตได้ คําสวดมนต์ที่ใช้ในโรงเรียน และที่วัด และทั้งที่เป็นประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องที่รําลึกถึงคุณพระศรี
รัตนตรัย ที่ใช้อยู่ มีดังนี้
คําสวดมนต์ที่ใช้อยู่ในวัดโดยพระภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้าขอเข้าถึง ซึ่งพระพุทธว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอ
เข้าถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะเป็นที่สาม คํา
เหล่านี้เป็นคําสวดภาคภาษาบาลีก่อนเข้าโบสถ์ทําวัตรเช้าเย็นของพระภิกษุ ทั่วพระ ราชอาณาจักรไทย ที่มีทั้งคําไทยและ
คําบาลีนั้น จะใช้ในแบบสวดของแม่ชีตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ว่าสรุปแล้วเป็นการรําลึกถึง คุณพระศรีรัตนตรัย
ก่อนที่จะสวดหรือจะดําเนินการในเรื่องอื่นต่อไป
นอกจากนั้น การรําลึกถึงสรณะนี้มีอยู่เช่นตอนนําไหว้พระสวดมนต์ในทุกโอกาส ที่มีพิธีกรรมทางพระ คืองานที่มีพระ
มาร่วมและเป็นประธานพิธี หรือพิธีกรรมใด ๆ ที่จะทําให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น โดยส่วนที่ไม่ใช่ของพระสงฆ์ทํา และการมีการ
นํามากล่าวรําลึก ทั้งภาคในภาคภาษาบาลี และภาคภาษาไทย หรือเพียงภาษาไทยอย่างเดียว หรือเพียงภาษาบาลีอย่าง
เดียว หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ความเหมาะสม การรําลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยนั้น มิใช่เพียงแต่เรื่องการรําลึก
เท่านั้น แต่ว่าต้อง รําลึกถึง เรื่องบุญคุณอันเป็นสิ่งสําคัญ สําหรับชีวิตมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์มีความจําเป็นที่
จะต้องเป็นคนไม่เนรคุณคนนี้เป็นปฐม นอกจากที่มี ศีลห้า และศีลแปดประจําตัวแล้ว ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ศีลห้า
Obituary พระรัตนตรัย
คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ
สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551
[12]
ประกอบด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่มีชู้กับลูกเมียเขา ไม่พูดปด ไม่ดื่มนํ้าเมา ศีลแปดประกอบด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลัก
ทรัพย์ ไม่พูดปด ไม่เสพกาม ไม่ดื่มเหล้า ไม่กินอาหารหลังเที่ยงวัน ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ ไม่ใช้ดอกไม้และของหอม
ทั้งหมดนี้คือศีล ห้า และศีลแปดตามลําดับ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ลองมาอ่านระเบียบกระทรวงศึกษาพิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓ ของ ม.ล.
ปิ่น มาลากุล กันดูว่ามีอะไรบ้าง ด้วยกระทรวงศึกษาธิการ เห็นสมควรปรับปรุงระเบียบ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของ
นักเรียน เพื่อส่งเสริมศีลธรรมจรรยามารยาท และฝึกอบรมให้นักเรียนมีจิตใจ และนิสัยดีงาม ประพฤติในทางที่ดีที่ชอบ
จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้๑ . ระเบียบนี้เรียกว่า ?ระเบียบกระทรวงศึกษาการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของ
นักเรียน พ. ศ. ๒๕๐๓? ๒. ตั้งแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบ ข้อบังคับ หรือคําสั่ง ที่ขัดหรือแย้งกับ ระเบียบนี้หรือ
ที่ระเบียบนี้กําหนดแล้ว ๓. ให้ใช้ระเบียบนี้ในโรงเรียนและสถานศึกษา ในสังกัด และในความควบคุมของ
กระทรวงศึกษาธิการ ๔. ให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ หรือผู้อํานวยการ จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ เวลาเข้าแถวหลัง
เชิญธงชาติ ก่อนเข้าเรียนทุกวัน และตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ทุกสัปดาห์ เฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียนอยู่
ประจําก็ดี ให้จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ ตอนก่อนที่จะเข้านอนเป็นประจําทุกคืนด้วย ๕. การสวดให้ใช้แบบสวด
มนต์ไหว้พระท้ายระเบียบนี้๖. การสวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง ให้ไหว้ครู อาจารย์ ทุกคนเข้าร่วมสวดมนต์ไหว้พระโดย
พร้อมเพรียงกัน ๗. ตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ ภายหลังการสวดมนต์ไหว้พระ ให้ไหว้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่
ผู้อํานวยการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้โอวาทแก่นักเรียนเสร็จแล้ว ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ๘. ในกรณีที่นักเรียนที่
มิได้นับถือศาสนาพุทธเรียนร่วมด้วย เวลาสวดมนต์ นักเรียนนั้นไม่ต้องเข้าร่วม แต่ถ้านักเรียนที่นับถือศาสนาอื่น มี
จํานวนมาก เมื่อทางโรงเรียนเห็นสมควร จะให้มีการสวดมนต์แบบศาสนานั้น ๆ ด้วยก็ได้ โดยแยกนักเรียนไว้ในลัทธิ
ศาสนา ๙. ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการเป็นไปตามระเบียบนี้๑๐. ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๐๓ ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๐๓ วิธีปฏิบัติในการเข้าถึง
พระรัตนตรัย ๑. แสงความเคารพ ๒. ประนมมือ ๓. ไหว้ ๔. กราบ การประณมมือ คือการกระพุ่มมือทั้งสอง ประณมมือ
มีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ไว้ระหว่างอกเวลาสวดมนต์หรือฟังพระสวดและเทศน์ การไหว้ คือการยกมือที่ประณมแล้ว
ดังกล่าวขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ให้มือประณมจรดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ในระหว่างคิ้ว แสดงความ
เคารพในขณะนั่งเก้าอี้หรือยืนอยู่ การกราบ คือการกราบลงกับพื้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้แก่การกราบด้วย องค์ ๕
คือ: เข่าทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสอง หน้าผาก หนึ่ง ให้ใช้กราบเมื่อนั่งอยู่ในสถานที่ที่จะกราบได้ เป็นการแสดงความเคารพ
อย่างสูง สวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นคําร้อง องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลกิเลศมาร บ มิหม่นมิหมออง
มัว หนึ่งนัยพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกําจร องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย พร้อม
เบญจพิธจัก- ษุรัสวิมลใส เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง กําจัดนํ้าใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง สัตว์โลก
ได้พึ่งพิง มละบาปบําเพ็ญบุญ ข้า ฯ ขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ สัมพุทธการุญ- ญภาพนั้นนิรันดร (กราบ) สวด
สรรเสริญพระธรรมคุณ ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์
สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึก
เรื่องรัตนตรัย   For mergemarttrini
เรื่องรัตนตรัย   For mergemarttrini
เรื่องรัตนตรัย   For mergemarttrini
เรื่องรัตนตรัย   For mergemarttrini

Weitere ähnliche Inhalte

Mehr von Martin Trinity

การศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยน
การศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนการศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยน
การศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนMartin Trinity
 
33 พระมหามาติณ ถีนิติ
33 พระมหามาติณ ถีนิติ33 พระมหามาติณ ถีนิติ
33 พระมหามาติณ ถีนิติMartin Trinity
 
33 พระมหามาติณ ถีนิติ 1
33 พระมหามาติณ ถีนิติ 133 พระมหามาติณ ถีนิติ 1
33 พระมหามาติณ ถีนิติ 1Martin Trinity
 
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2Martin Trinity
 
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2Martin Trinity
 
Presentation123marttrreini collevct
Presentation123marttrreini collevctPresentation123marttrreini collevct
Presentation123marttrreini collevctMartin Trinity
 

Mehr von Martin Trinity (7)

การศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยน
การศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยนการศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยน
การศึกษาวิเคราะห์ท่าทีของพระพุทธศาสนาเรื่องการเปลี่ยน
 
33 พระมหามาติณ ถีนิติ
33 พระมหามาติณ ถีนิติ33 พระมหามาติณ ถีนิติ
33 พระมหามาติณ ถีนิติ
 
33 พระมหามาติณ ถีนิติ 1
33 พระมหามาติณ ถีนิติ 133 พระมหามาติณ ถีนิติ 1
33 พระมหามาติณ ถีนิติ 1
 
Presentation123
Presentation123Presentation123
Presentation123
 
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
 
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
งานนำเสนอท่าทีการเปลี่ยนศาสนา2
 
Presentation123marttrreini collevct
Presentation123marttrreini collevctPresentation123marttrreini collevct
Presentation123marttrreini collevct
 

เรื่องรัตนตรัย For mergemarttrini

  • 1. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [1] เรื่อง พระรัตนตรัย โดย พระมหามาติณ ถีนิติ
  • 2. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [2] บทนา เรื่องรัตนตรัยนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจสําหรับทุกคน เพราะว่าคนเราต้อมีเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิตประจําวัน การมีพระรัตนตรัย เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเป็นสิ่งจําเป็น การมีชีวิตที่ดีได้ ต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวในชีวิต เช่น มีบิดามารดาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของบุตรและ ธิดามีครูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของศิษย์ มีสามีและภริยาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวต่อกันมีประเทศชาติเป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของ ประชาชนและการปกครองมีพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของพสกนิกรทั้งประเทศ แต่ที่สําคัญคือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึด เหนียว ที่สําคัญที่สุดของมนุษย์ เพราะว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคือพระรัตนตรัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ที่มั่นคงยั่งยืน ภายนอกและภายใน และที่มีผลดีทั้งชาตินี้และชาติหน้าที่จะมีต่อไป แก่มนุษย์ทุกคน ส่วนเครื่องยึดเหนี่ยวอื่น ๆ นั้น มีผลแต่ภายนอกและมีผลแต่ใน ปัจจุบัน แต่สําหรับเครื่องยึดเหนี่ยวภายในคือพระรัตนตรัยนั้น มีเครื่องยึดเหนี่ยวคือ แก้วทั้งสามที่รวมเรียวว่าพระรัตนตรัยเท่านั้นที่ไม่เสียเวลา และไม่สิ้นเปลืองเงินทอง ไม่ต้องมีการลงทุน และไม่ต้องทํา อะไร จะมีที่จําเป็นก็แต่เพียงแต่น้อมรําลึก เพียงจิตคิด และเพียงรําลึก ด้วยการกระทําการกราบไหว้บูชา ในเวลาที่จําเป็น หรือเวลา ที่คิดได้ และจะให้ได้ผลตอบแทนอย่างดี ไม่บิดพลิ้ว ไม่ทรยศ ต่อตนเองและต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์และสังคม ให้ผลตลอดไปทั้งชาตินี้ และชาติหน้าต่อไป เพราะเราชาวพุทธมีความเชื่อในเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม เป็นหลักเกณฑ์ในการดํารงชีวิต และเรามีความเชื่อ ว่ามีชีวิตหลังความตาย และเชื่ออย่างแน่นแฟ้ น ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด และท้ายสุดเชื่อว่า เมื่อเราทําบุญไว้มาก เราย่อม ได้บุญมาก ทําบุญไว้น้อยย่อมมีบุญน้อย และเมื่อจิตคิดยากหลุดพ้นคือเบื่อหน่ายในชีวิต เช่นมองเห็นว่าชีวิตนี้มีทุกข์ เราก็สามารถ เดินทางเข้าสู่การพ้นทุกข์ได้ หรือเมื่อเรียนแล้วกลัวสอบตก เราก็มีความทุกข์จะล่วงพ้นทุกข์ข้อนี้ได้ ก็ด้วยการดูหนังสือก่อนสอบ เรา ก็จะพ้นทุกข์โดยการสอบได้ นี้คืออานิสงส์ซึ่งมีพระรัตนตรัยเป็นเครื่องคํ้าจุนเรา ที่เรานับถือเป็นพื้นฐานอยู่นั้น ๆ ที่จะทําให้เราพบ ความสุข ที่พอเพียง และยั่งยืน และถาวรได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไร เพียงแต่มีความตั้งใจแน่วแน่ย่างเดียว สรุปว่าความยึดเหนี่ยวที่สําคัญสําหรับเพื่อมนุษย์ คือพระรัตนตรัย และเครื่องยึดเหนี่ยวที่ ว่าดีหรือว่าไม่ดี คือมีผลต่าง กันนั้นเพราะสาเหตุ ๒ ประการ คือ: ๑. สาเหตุภายใน ๒. สาเหตุภายนอก เครื่องยึดเหนี่ยวที่มีผลต่อภายในและภายนอก คือ พระ รัตนตรัย ส่วนสาเหตุที่เป็นเฉพาะภายนอกและชั่วคราว คือเครื่องยึดเหนี่ยวทั่วไป การที่มนุษย์มีหลักคือเครื่องยึดเหนี่ยวในสิ่งที่ดีงาม นี้จะทําให้คนมีความสุขตลอดไป เพราะฉะนั้นจึงเห็นสมควรอธิบายและแสดงเรื่องของพระรัตนตรัยอย่างละเอียด เพื่อเป็นประโยชน์ ในการนําไปใช้ในชีวิตประจําวัน และเพื่อประโยชน์ของสังคมส่วนรวมต่อไปได้ เพราะพระรัตนตรัยได้ชี้นําให้เราเดินทางถูก ไม่หลง ผิด ไม่งมงาย เป็นคนมีเหตุผลและไม่เชื่อในสิ่งที่ขาดเหตุผลอะไรได้โดยง่าย
  • 3. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [3] สารบัญ ๔ เรื่อง ๑ ปก ๑ บทนา ๒ สารบัญ ๔ บทที่ ๑ ๕ แก้วสามดวงคือเครื่องยึดเหนี่ยว พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ บทที่ ๒ ๗ สรณะแปลว่าที่พึ่ง ความรัก ที่พึ่ง คน ๓ ชนิด ที่พึ่ง ๒ ชนิด ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว ที่พึ่งถาวร บทที่ ๓ ๑๒ คําไหว้รําลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คําสวดมนต์ที่ใช้อยู่ในวัดโดยพระภิกษุสงฆ์ (โดยย่อ ภาษาไทย)ศีลห้าประกอบด้วย ศีลแปดประกอบด้วย ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ วิธีปฏิบัติใน การเข้าถึงพระรัตนตรัย การประณมมือ การไหว้ การกราบ สวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นคําร้อง สวดสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดสรรเสริญพระสังฆคุณ ปัญญา บทที่ ๔ ๑๕ สรุป ๑๕ บรรณานุกรม ๑๖
  • 4. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [4] บทที่ ๑ แก้วสามดวง แก้วสามดวงคือเครื่องยึดเหนี่ยว ทุกคนทราบดีว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคืออะไร แต่แม้กระนั่นก็จะขอยํ้าว่า เครื่อง ยึดเหนี่ยวในที่นี้หมายถึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อป้ องกันการตกไปสู้ที่ตํ่าในชีวิต หรือการสูญเสียชีวิต เช่นเมื่อเราจะ จมนํ้า เราจะมองหาที่ยึดเกาะ มีเสาหรือไม้เป็นต้น เมื่อเรือจะจม เราจะมองหาฝั่ง หรือที่ที่เราจะรอดชีวิตโดยไม่จมนํ้าตาย แล้วได้ลอยสู่ฝั่งได้ อันเสาสําหรับเกาะ และฝั่งที่จะขึ้นบกปลอดภัยได้นั้น ในที่นี่คือเครื่องยึดเหนี่ยว เมื่อภัยเช่นว่านั้น มาถึง แก้วสามดวงคือพระรัตนตรัย ที่เป็นที่ยึดเกาะและเป็นฝั่งได้ ในที่นี่เรานําพระรัตนตรัยมาเป็นเครื่องเปรียบไห้เป็น เครื่องยึดเหนี่ยวสําหรับชีวิต พระรัตนตรัยแบ่งออกเป็น ๓ ประการ คือ :๑.พระพุทธ ๒.พระธรรม ๓.พระสงฆ์ ทั้งสามอย่างนี้รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ๆ แปลว่า แก้ว ๓ ดวง ตามธรรมเนียบและคติการนับถือของชาวพุทธ ในประเทศไทย ทําไมจึงเรียกพระรัตนตรัยว่า ?แก้ว? สามดวง เพราะว่า เปรียบพระพุทธ คือแก้วดวงที่ ๑ พระธรรม คือ แก้วดวงที่ ๒ พระสงฆ์คือแก้วดวงที่ ๓ การเปรียบพระรัตนตรัยว่า แก้ว ๆ ในที่นี้มิใช่แก้วโดยธรรมชาติ ที่เรารู้จักกันว่าเป็น ภาชนะใส่นํ้า ดื่มได้ก็หาไม่ และเมื่อแก้วตกลงพื้นก็แตกหักง่าย แต่พระรัตนตรัยในที่นี้มิใช่สิ่งที่แตกหักได้เหมือนแก้ว ทว่า ใสเหมือนแก้ว ท่านเปรียบพระรัตนตรัยเหมือนความใสของแก้ว แล้วทําไมจึงเปรียบเหมือนแก้ว ๓ ดวง เรื่องนี้เป็น ธรรมาธิษฐาน(คือการนํามาเปรียบเทียบให้เห็นสมจริง) ว่าภาชนะที่ใส่นํ้าและเมื่อหล่นก็แตกหักเปราะง่าย นั้นเป็นเช่นไร พระรัตนตรัยถ้าไม่รักษาดี ๆ ก็เป็นเช่นนั้น ท่านเทียบว่าสิ่งนี้ว่าองค์ ๓ นี้นั้นให้เป็นพระรัตนตรัย เพราะเป็นสิ่งที่สะอาด และหมดจด เป็นสิ่งปราศจากเครื่องเศร้าหมองทั้งลาย และเป็นสิ่งที่มองเห็นแบบทะลุผ่านได้ กล่าวคือพิสูจน์ได้ และผ่าน ให้เห็นและจะพิสูจน์ได้ตลอดทุกเวลา ในทุกกรณี พระรัตนตรัย สิ่ง ๓ สิ่งเหล่านี้จึงเทียบได้ดุจแก้ว มีดังนี้คือ : พระพุทธ พระพุทธเจ้า เป็นพระศาสดาที่ตรัสรู้พระธรรม เพื่อสั่งสอนให้พวกเรา ได้รู้ ได้เห็น สิ่งที่ควรรู้ สิ่งที่ควรเห็น ในสิ่งที่เข้าใจได้ ในสิ่งที่ชอบที่ควร อันจะไม่นําความผิดหวัง และความหายนะมาสู่ชีวิต และสามารถนําปัญญาของพุทธองค์ที่ตรัสรู้แล้ว นั้น ที่จะนําไปพัฒนาชีวิต ให้ตนเองมีปัญญาเป็นเครื่องรักษาตนได้ จะทําให้ตนเองไม่โง่งมงาย มองเห็นทางผิดเป็นทาง ถูก มองเห็นหนทางถูกเป็นทางผิดไปได้เช่น การเป็นคนรู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก ทําให้เราเป็นคนดีของสังคม การรู้จัก พึ่งตนเอง การนําปัญญาที่ได้เรียนรู้มา เพื่อพัฒนาตนเองในเมื่อพึ่งตนเองได้แล้ว เมื่อถึงคราวตก ยาก ก็ไม่เป็นไร หรือเมื่อ อยู่ในสถานะที่ดีแล้ว ก็รักษาสถานะนั้น ๆ ให้ดีขึ้น หรือคงเอาไว้ การรู้จักถ่อมตน มีวัฒนธรรม รู้จักที่สูงที่ตํ่า มีความกตัญญู เหล่านี้เป็นบทขัดเกลาที่มีอยู่ในคําสอนทางพุทธศาสนา สืบเนื่องมาโดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียว นี้ถือว่าเป็นรัตนตรัยดวงที่หนึ่ง คือสุดยอดและเป็นเอก สุกสว่างสดใสกว่า ดวงใดทั้งหมดพระธรรม สําหรับพระธรรมที่ที่ท่านจัดให้เป็น รัตนตรัยดวงที่ ๒ ท่านอุปมาไว้ว่าอย่างไร ท่านอุปมาพระ ธรรมเป็นแก้วดวงที่สอง ในจํานวนสามดวง พระธรรมเปรียบเหมือนเทียน เพราะเทียนคือปัญญาเป็นแสงสว่าง แสงเทียน คือแสงแห่งปัญญา พระธรรมมาจากไหน พระธรรมมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า และพระธรรมมีหลักคําสอน ที่พระ พุทธองค์ตรัสสอนเอาไว้อย่างเป็นแบบเป็นแผน ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน (อ่านว่า ดับ-ขันธะ-ปะ-ริ- นิบพาน แปลว่า ตาย) คําถามมีว่าทําไมพระธรรมมีความจําเป็น พระธรรมจําเป็นด้วยหรือที่ต้องนํามาเรียงเอาเอาไว้
  • 5. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [5] และจําเป็นด้วยหรือที่จะเปรียบให้เป็นพระรัตนตรัยดวงที่สอง หรือเทียบด้วยแก้วเป็นแก้วใบที่สอง ขณะที่สิ่งอื่นมี มากมายในการเปรียบเทียบในสากลโลก เช่น การหาข้าวกินอิ่มให้อิ่มได้ด้วยแรงงานจะสําคัญกว่า หาเสื้อผ้ามาห่มกาย น่าจะสําคัญกว่า เพราะเห็นผลทันตา ยอมรับว่าสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้นถูก แต่ยังมีคําตอบอื่นที่ดีกว่า คําตอบมีว่า มนุษย์ ล้วนมีความเห็นตรงกันว่า สภาพของแก้วนั้นไม่ว่าจะเป็นแก้วนํ้า หรือแก้วอะไรก็ได้ ล้วนแต่มีความสดใสเป็นคุณสมบัติ มี ความแวววาว ระยิบระยับ เช่นเมื่อโดนนํ้าชะล้างก็สะอาด เมื่อโดนแสงพระอาทิตย์ก็เป็นเงางาม และสามารถนํามาใส่นํ้า ดื่มได้อีกด้วย เพราะคนดื่มนํ้าได้ด้วยแก้ว มิใช่ด้วยมือ หรือกะลาขณะที่คนเรามีวัฒนธรรมที่เจริญแล้ว หรือดื่มด้วยวิธีอื่น ซึ่งไม่เหมาะไม่สวยงาม ไม่ถนัด และแรงงานเป็นที่พึ่งถาวร เงินเป็นของนอกกายมีชั่วคราว แต่พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของ เราตลอดไป เพราะคนเราไม่รู้ว่าจะป่วย จะตายวันไหน และเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เรากําหนดวันตายที่แน่นอนไม่ได้ โดย ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้นมนุษย์มีความจําเป็นต้องมี่ที่พึ่งคือพระรัตนตรัยที่ดวงที่สองด้วย เทียบด้วย การใช้ แก้วใส่นํ้า เพื่อการดื่มที่เหมาะสมเราได้จากแก้ว ความพอใจ จากการกระทําของเรานี้และนํ้าในแก้วได้ดับความกระหาย ของเรานั้นเพราะอิงอาศัยแก้วด้วย และเมื่อยอมรับใช้มันแล้ว ความหายหิวกระหายนํ้าก็หมดไปในที่สุด และแก้วก็มี ประโยชน์ต่อไปอีก เพราะไม่ได้แตกบาดเจ็บ ที่มือหรือเท้าของเรา ถ้าเราใช้มันอย่างไม่ประมาท เหมือนที่เปรียบเทียบ อย่างคนที่ไม่รู้จักใช้แก้ว ขาดความระมัดระวัง แล้วทําแก้วแตก และโดนคมแห่งแก้วบาดเอา เพราะฉะนั้นแก้วจึงมี ความสําคัญที่จะเปรียบเหมือนพระรัตนตรัย นักปราชญ์ท่านจึงจัดให้แก้วเป็นพระรัตนตรัยดวงที่สองพระสงฆ์ ส่วนดวงที่ ๓ คือพระสงฆ์ ๆ คือแก้วชนิดหนึ่งที่นักปราชญ์ท่านเปรียบเอาไว้เช่นกัน ทําไมจึงต้องเปรียบพระสงฆ์ว่าแก้วดวงที่สาม ที่ เราต้องมีไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ก็เพราะว่า พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่สืบทอดคําสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าพระธรรม ที่เราได้เปรียบเป็นแก้วดวงที่ ๒ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น พระสงฆ์เป็นพระสุปฎิปันโน (อ่านว่า สุปะติปันโน) คือพระที่เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือเป็นคนดีไม่ละเมิดศีลอันเป็นข้อห้ามและปฏิบัติเฉพาะที่พระพุทธองค์ ทรงมีการอนุญาตเอาไว้ การทําได้เช่นนี้ถือว่าพระเป็นปูชนียบุคคล คือควรแก่การกราบไว้และบูชา และน้อมนมัสการ เรา ไหว้พระสงฆ์พระสงฆ์ สําหรับพระสงฆ์ที่เราได้มีโอกาสเห็น และได้ทําบุญตักบาตรกับพระสงฆ์ ได้บริจาคทรัพย์แด่ พระสงฆ์ ทําไมเราจึงต้องทําเช่นนั้น เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญของโลก ท่านสามารถทําให้เราได้มีที่ทําบุญ เพื่ออุทิศ ให้กับเจ้ากรรมนายเวร พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านจากพวกเราไปนานแล้ว ทิ้งเหลือไว้ให้เราแต่พระธรรม และพระสงฆ์ท่าน มีหน้าที่นําพระธรรมของพระพุทธองค์มาสอน ที่เรียกว่าการสอนธรรม พวกเราจึงได้รู้และเอาอย่างมาปฏิบัติ เพื่อความ สงบสันติสุขโดยทุกถ้วนหน้ากัน คือพระสงฆ์ท่านแนะนําให้เรานําแก้วดวงที่สอง คือพระธรรมมาให้เราได้ใช้เป็นใช้ถูก พระสงฆ์จึงเป็นทายาทของพุทธเจ้า ที่เราสามารถเห็นได้ว่า ความดีของพระธรรมดีมีอย่างไร ที่มีชีวิตทุกคนควรจะได้รับ นั้นก็คือหน้าของพระสงฆ์จะช่วยชี้แนะ ท่านได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอน เอาไว้ แล้วจึงสอนพวกเรา เพราะฉะนั้น พระสงฆ์จึงเป็นแก้วดวงที่สาม ที่เรามีความจําเป็นต้องใช้พระสงฆ์เป็นเครื่องยึด เหนี่ยวด้วย ตั้งให้ท่าน คือให้เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเราด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของ พวกเราทุกคน
  • 6. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [6] บทที่ ๒ สรณะแปลว่าที่พึ่ง การทําอะไรสมัยนี้สิ่งที่มีปัญหาตามมาคือการทําอะไรไม่ทันเพื่อน คือการไม่พัฒนาตนเองให้ทันเพื่อนนั่นเอง การทําอะไรไม่ทันเพื่อน ทําให้คนนั้นจะถูกประณามว่าโง่ การเป็นคนโง่ ผลที่ตามมาคือ ไม่มีคนคบ ไม่มีใครอยากเป็น เพื่อน แต่พระรัตนตรัยยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคน คือทั้งคนที่ทันเพื่อน และไม่ทันเพื่อน พระรัตนตรัยไม่เลือกชนชั้น ผิวพรรณ สัณฐาน เชื้อชาติ และ วรรณะความรัก คือความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ไม่ว่าความรักจะมาในหัวข้อ อะไรหลักอะไรก็ตาม การมีความรักผูกพันเป็นสิ่งที่ดีงาม ความรักที่เราเห็นง่ายมากเช่น แม่นกรักลูกนก แม่แมวรักลูกแมว แม่สุนัขรักลูกสุนัก นี่ก็เป็นเรื่องความรักหลักหนึ่งเช่นกัน ที่มองเห็นได้ในชีวิตทุกวัน แต่ว่าการรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ ตลอดไป ต้องอาศัยการรู้จักมีพระรัตนตรัยเป็นเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว แล้วจะทําให้ความรัก ความผูกพัน ความเอื้ออาทร นั้น มั่นคงถาวรนานต่อไปได้ คําถามมีว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อระหว่างพระรัตนตรัย และความรักความเอื้ออาทร ความผูกพัน ไม่เกี่ยวข้องกันสักนิดเดียว จะขออธิบายว่า มันมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกเหมือนกัน ในการที่จะ กล่าวว่า กระดูกและฟัน หรือลิ้นกับฟันมันต่างกันอย่างไร ก็อย่างใดอย่างนั้น เราจะมีเครื่องยึดเหนี่ยวได้ เราต้องหาที่พึ่งก่อน เพราะถ้าไม่ได้ครู เราก็ไม่เรียนรู้วิชา ฉะนั้น เราจึงจัดว่ามีครู เป็นที่พึ่ง ในที่นี่เรื่องพระรัตนตรัย เราได้หนังสือเรื่องพระรัตนตรัยเล่มนี้เล่มหนึ่งเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งในพุทธศาสนาของเรา ใน ที่นี่เราเรียกที่พึ่งนี้ว่า ?สรณะ? คําว่า สรณะ เป็นภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าใช้พูดขณะพระ พุทธองค์ยังมีพระชนมาชีพอยู่ (ยังมีชีวิตอยู่) เราจัดที่พึ่งนี้ว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริบสูงสุด ที่พึ่งที่เราจัดไว้มี ๓ อย่างคือ : ๑. พระพุทธเป็นที่พึ่งของเรา ๒. พระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา ๓. พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา ที่พึ่ง สําหรับที่พึ่งนี้ต่างจาก เครื่องยึดเหนี่ยว ในบทคํานําเราทราบว่าเครื่องยึดเหนี่ยวคืออะไร มาบัดนี้เราจะได้ทําความเข้าใจว่า ที่พึ่งคืออะไร และที่ พึ่งและเครื่องยึดเหนี่ยวนี้แตก ต่างกันอย่างไร เราจัดที่พึ่งได้ดังนี้คือ : ๑. ที่พึ่งภายใน ๒. ที่พึ่งภายนอก เครื่องยึดเหนี่ยวนั้น มาก่อนที่พึ่ง เพราะว่าอะไร เราลองสังเกตดู คนที ห้อยพระพุทธรูป หรือห้อยพระเครื่องที่ คอ เขามีพระเครื่องเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว และครั้นเมื่อภัยมาถึง เขาก็ได้พระเครื่องหรือพระพุทธรูปที่เขาแขวนคออยู่นั้นมา เป็นที่พึ่ง การที่คนเราจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่ง เขาต้องคิดว่าที่พึ่งนั้นพึ่งได้หรือไม่ได้ก่อน จึงเรียกว่าที่พึ่ง แต่เครื่องยึด เหนี่ยวนั้นต้องมีการแนะนํากันก่อนว่า อะไรควรที่จะยึดเหนี่ยวหรือไม่ หรือว่าอะไรที่ไม่ควรยึดเหนี่ยว เพราะฉะนั้นเครื่อง ยึดเหนี่ยวมาก่อนที่พึ่ง เพราะเราคิดที่จะยึดเหนี่ยวสิ่งใดไว้ เพื่อนําเอาเครื่องที่ยึดเหนี่ยวนั้นไว้เป็นที่พึ่งเมื่อภัยมาถึง เด็กหลายคนชอบพึ่งพ่อแม่ แต่เมื่อเวลาที่มีเรื่องเดือดร้อนขึ้นมา ไม่มีใครวิ่งไปพึ่งสัตว์เลี้ยงในบ้าน เช่น สุนัข และแมว แต่ตอนที่ปกติ อยู่ที่บ้านไม่มีอะไรเกิดขึ้น แหม ! ช่างรักลูกแมวลูกสุนัขกันเสียจริง จะกินจะนอนขอให้สุนัขและ แมวนอนด้วยกินด้วยได้ มีขนมก็ก็แบ่งให้สุนัขหรือแมวที่บ้านกินก่อน แทนที่จะเป็นพ่อแม่ เป็นต้น มีของอร่อยก็นํามาฝาก สุนัขและแมวตัวโปรดของตนก่อน แต่ว่ากับพ่อแม่นั้นกลับเฉยเมย เพราะอะไร ตอบว่าไม่ทราบ กล่าวคือมันเป็นอย่าง นั้นเอง แลลองกลับมาดูที่เมื่อเด็กมีภัย ก็จะวิ่งไปหาพ่อแม่ก่อน เมื่อมีภัยมาถึงตัว แม้ว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง พ่อและ แม่นั่นหละเป็นที่พึ่งที่ควรยึดเหนี่ยวด่านแรกของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม เราจะรักสุนัขและแมวในบ้านมาก และสุนัขและ
  • 7. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [7] แมวเหล่านั้น มิได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว หรือที่พึ่งอะไร ในโลกแห่งความเป็นจริงเลย เพราะฉะนั้นเมื่อมีภัยมาถึง เขาสัตว์ เดรัจฉานเหล่านั้นมิใช่ที่พึ่ง พ่อแม่ต่างหากที่เป็นที่พึ่ง นี้ก็เหมือนกัน เราได้พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะว่าเรารู้แล้วว่า ที่ พึ่งนี้เป็นที่พึ่งอันสูงสด เป็นที่พึ่งได้ทุกเวลา แม้ในยามสอบตก (เราได้สมาธิจากการเรียนเมื่อรําลึกถึงพระรัตนตรัย) ใน ยามเจ็บป่วยเป็นไข้ ในยามใกล้จะตาย ในยามมีความทุกข์ทรมาน ที่ไม่มีใครอีกแล้ว แม้พ่อแม่หรือแพทย์หรือแม้ตนเองก็ เกือบพึ่งไม่ได้แล้ว ในยามนั้นพระรัตนตรัยสิ่งเดียวเท่านั้นที่พึ่งได้ จึงถือว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลางและในที่สุด และในทุกสถานที่ และในกาลทุกเมื่อ เราจึงควรยึดเหนี่ยวพระรัตนตรัยเอาไว้เป็นที่พึ่ง การที่เราได้ รอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายไปได้ เราได้ทราบมาแล้วว่า ที่พึ่งนั้นมี ๓ (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) และเครื่องยึด เหนี่ยวนั้นก็มี ๒ (เครื่องยึดเหนี่ยวภายใน และเครื่องยึดเหนี่ยวภายนอก) ซึ่งในที่นี่ เราจะมาพูดในบทบาทของเรื่องคนที่มี ที่พึ่ง ซึ่งที่พึ่งนี้จัดเป็น ๒ ดังกล่าวนี้ว่า (ก.) ที่พึ่งภายใน เป็นที่พึ่งที่สําคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าที่พึ่งภายใน เป็นที่พึ่งทางใจ ส่วน ( ข.) ที่พึ่งภายนอกนอกนั้นเป็นที่พึ่งทางกาย เราเคยมีความอบอุ่นกับพ่อแม่ โดยทั้งพ่อและแม่เป็นที่พึ่งทั้งทางกาย ตลอดชีวิตหาไม่ แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ เราต้องมีที่พึ่งสําหรับชีวิตนี้ และชีวิตข้างหน้าด้วย หรือในโลกนี้และในโลกหน้าด้วย คือพระรัตนตรัย ซึงท่าน เป็นที่พึ่งทั้งภายใน(เช่นพระสงฆ์สอนธรรมให้เรา)และภายนอก แต่สําหรับพระรัตนตรัย คือแก้วสามประการนี้ เราใช้เป็น ที่พึ่งทางใจและรวมไปถึงที่พึ่งทางกายได้ เราต้องยึดเหนี่ยวเอาไว้ว่า เราได้ทําบุญอะไรไปกับพระสงฆ์และทําไปเมื่อไหร่ เราได้กราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้ารําลึกว่าได้ กราบไหว้ไปตอนไหน เราได้เรียนรู้พระธรรมไปเมื่อไหร่และอย่างไร เพียง รําลึกเท่านี้เราได้ที่พึ่งแล้ว และเราก็ยึดเหนี่ยวเอาที่พึ่งอันนี้ว่า เป็นที่พึ่งอันประเสริฐอันสูงสุด มีอันจะนํามงคลมาสู่เราได้ และจะทําให้เราประสบความสําเร็จได้ในชีวิต สังคมทุกวันนี้ยอมรับว่า การมีที่พึ่งเป็นสิ่งดีงาม คนเราถ้าขาดที่พึ่งแล้ว จะ เป็นเช่นไร เช่นต้นไม่มีรากเป็นที่พึ่งของ ต้นไม้นั้น ต้นไม้นั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะพอลมแรงมา ต้นไม่ที่ไม่มีรากย่อมที่จะ ปลิวไป เสาเรือนถ้าไม่มีแผ่นดินรองรับพื้นเอาไว้ เสาเรือนนั้นนั้นย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ คือเรือนที่ไม่เสาดินรองรับย่อมจะ พังทลายลง ถ้าเราไม่มีบิดามารดาเป็นที่พึ่งตอนวัยทารกและวัยเด็ก เราก็ไม่สามารถอยู่รอดชีวิตเติบใหญ่มาได้ จากการ ที่เราไม่ตายเสียก่อนในวัยทารกและคลอดรอดอยู่ เป็นชีวิตมาได้และกลับมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ได้จนเติบใหญ่ เพราะ เรามีที่พึ่งคือบิดามารดาเป็นบันไดแรก เพราะฉะนั้นเรื่องของที่พึ่ง คือมีบิดามารดาเป็นสิ่งสําคัญมากเช่นกันในเบื้องแรก จนกว่าเราจะได้เรียนรู้ว่าพระรัตนตรัยคือที่พึ่งสูงสุดได้ ในโอกาสต่อมา สําหรับเราที่รู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นอกจาก บิดารมารดาครูบาอาจารย์แล้ว เพราะเรายอมรับแล้ว ก็จะมีความมั่นคงในชีวิต และเราจะประสบแต่ความสําเร็จ เพราะว่าเราได้ที่พึ่งทีมีคุณธรรมสูงสุด ไม่มีสิ่งใดอื่นเสมอเหมือน ทําไมที่ไม่มีสิ่งอื่นเสมอเหมือน ตอบว่าเพราะเป็นที่พึ่งที่ ไม่ตายไปจากเรา และที่พึ่งนั้นคือพระรัตนตรัย เนื่องจากว่าพระรัตนตรัยจะอยู่ กับเราชั่วฟ้ าดินสลาย ทั้งโดยชาตินี้และชาติหน้า สวนที่พึ่งคือบิดามารดา ครู บาอาจารย์ นั้น ท่านเป็นที่พึ่งได้ก็จริง แต่ท่านให้เราพึ่งได้เพียงชั่วขณะ หรือเพียงชาตินี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น คนเราทุกคน ควรต้องมีที่พึ่ง คือพระรัตนตรัยด้วย คือว่าพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งสูงสุด เพราะว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งทั้งทางใจและทาง กาย และทั้งชาตินี้และชาติหน้าลอดไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ และจนกว่าโลกจะหาไม่อย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ใน โลกนี้กับพระ รัตนตรัย และพระรัตนตรัยเป็นอมตะไม่ตายไปจากเรา แม้เราจะตายไป พระรัตนตรัยก็ยังคงอยู่ คน ๓ ชนิด คนในโลกนี้มี ๓ ชนิด คือ : ๑.คือคนที่รู้ไปหมด ๒.คนที่รู้เพราะคิดคํานวณเอา ๓.คนที่รู้เพราะเคยเหยเห็นเหตุการณ์นั้น ๆ
  • 8. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [8] มาก่อน คนทั้งสามชนิดนี้เป็นบุคคลที่หาได้ยากพอสมควร แต่จะมีมากน้อยเพียงไรในแต่ละคน ถ้ามีมากในระดับใด ระดับหนึ่ง ก็รอดพ้นไปได้ แต่ในที่มีน้อยมากในระดับใดระดับหนึ่ง แสดงว่าคนนั้นเป็นคนเบาปัญญา คือมีความรู้น้อย จะ เป็นผลให้ต้องมีที่พึ่ง เพราะส่วนมากคนประเภทนี้ จะพึ่งตนองไม่ได้ แต่ต้องพึ่งคนอื่นอยู่รํ่าไป และที่อันตรายมากก็คือ การไม่รู้จักแม้กระทั่งพระรัตนตรัยก็ควรจะพึ่ง และมีความคิดว่าพระรัตนตรัยนั้นควรมีประจําจิตใจตน คนชนิดนี้ก็มีแต่จะ มีชีวิตที่เศร้าหมองและตกอับ ส่วนคนที่มีความรู้ในความระดับหนึ่งคือในระดับสูง แม้ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็ยังรู้จัก ดูแลตัวเองบ้าง ไม่ค่อยจะสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่น แต่ถ้าว่าถ้าเขาขาดพระรัตนตรัยไว้เป็นที่พึ่งด้วย ก็มีผลให้เขามี ความสุขเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ส่วนชาติต่อไปนั้นยังมืดมน พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า คนบางคนมีพระอาราม มีต้นไม้ มี ภูเขา เป็นต้น ว่าเป็นที่พึ่ง ว่าเป็นสรณะ แต่ทว่าพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ที่พึ่งดังกล่าวมิใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ นั้นหมายความ ว่าที่พึ่งนี้พึ่งได้เหมือนกันแต่ไม่ประเสริฐ ส่วนที่พึ่งที่ประเสริฐที่สุด คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะพบว่าคนเราทุกวันนี้ไหว้ ต้นไหม้ ไหว้ภูเขา และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้ มิใช่ที่พึ่งอัน ประเสริฐ กล่าวคือมีเป็นที่พึ่งได้เช่นกันคือใช้ได้ชั่วคราวคือไม่ประเสริฐที่สุด แต่ถ้าจะให้ดีแล้วควรมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพราะประเสริฐที่สุด ประเทศชาติกําลังพัฒนาและไปได้ผล เป็นเศรษฐกิจพอเพียงและยั่งยืน อยู่ในระดับที่ทุก ๆ คนพอใจ ในปัจจุบัน กล่าวคือดีกว่าแต่ก่อน ที่ว่าดีกว่าแต่ก่อนอาศัยเหตุดังนี้ คือ สมัยก่อนจะไปไหนมาไหน ต้องอาศัยเท้า และ แรงงานจากสัตว์ แต่ปัจจุบันเราสามารถใช้แรงงานทางวิทยาศาสตร์ คือใช้เครื่องยนต์ เครื่องทุกชนิดแทนแรงงานคน แทน แรงงานสัตว์ได้ อาทิเช่น ถ้าเราจะโทรศัพท์ไปเชียงใหม่ จากรุงเทพ ฯ สมัยก่อนต้องใช้โทรเลข แม้กระนั้นก็ใช้เวลานาน อาจเป็นวันกว่าปลายทางจะได้รับสาร และเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ปัจจุบันเพียงนึกคิดเอาเพียงใช้มือกดแตะปุ่มเท่านั้น คือ กดโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ผู้รับสายปลายทางที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็สามารถรับสารของเราได้ทันที เพียงเสี้ยววินาทีเดียว เท่านั้น และเสียค่าใช้จ่ายก็ถูกมากเพียง ๓ บาทก็เพียงพอ การกระทําอย่างนี้ในสมัยนี้ ทดสอบเมื่อ วันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙ นี้เอง จึงรับรองว่าการ สื่อสารทางโทรศัพท์ สําหรับการจะโทรทางไกลจากกรุงเทพ ไปเชียงใหม่ แม้ในถิ่นทุระกันดาร จะได้ผล คือ ได้เรื่องทันที โดยไม่ต้องลําบากเหมือนแต่ก่อน กล่าวคือสมัยนี้จะพูดจะโทรที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ มิใช่จําเป็นต้องเป็นที่ไปรษณีย์กลาง กรุงเทพ ฯ เท่านั้น กระทําได้ทั่วพะราชอาณาจักรนี้ ด้วยโทรศัพท์มือถือ นี่แสดงว่าประเทศไทยเจริญขึ้น อย่าง อารยประเทศตะวันตกในด้านนี้แล้ว เราสามารถเทียบได้เลยในเรื่องแบบนี้ ต่อไปเป็นเรื่องที่จะนํามากล่าวอย่างละเอียด นั้น ก็คือเรื่องคน ๓ ประเภทที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้นของหัวข้อนี้ นั้นคือ คนที่รู้เสียทุกอย่าง คือรู้ไปหมด ไม่ว่าอะไร ตรงไหน อย่างไร เขาย่อมไม่ถูกหลอกลวง และเขาจะไม่มีทางยากจน ยกเว้นแต่คนรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด ซึ่งนั่นคือคน ที่รู้ไม่จริง แม้กระนั้นถ้าขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เขาก็อาจจะตกอับได้ ในวันใดก็วันหนึ่ง ประการแรก เขาไม่สามารถ ล่วงรู้ทางแห่งการไปดี หรือร้าย หรือความตายดีตายร้ายได้ หรือไปเกิดในชาติหน้าที่ดีกว่าเดิมได้ หรือเท่าเดิมที่ดีอยู่แล้ว ส่วน คนที่รู้เมื่อคิดคํานวณ คนชนิดนี้ทํางานไม่เคยผิดพลาด เช่นทอนเงิน เมื่อซื้อของหรือขายของ ไม่เคยทอนเงิน ผิดพลาด บางคนขายก๊วยเตี๋ยวชามละ ๑๐ บาท ลูกค้าเขาให้ใบละ ๒๐ บาทมา ทอนเขาเสีย ๔๐ บาท เป็นต้น เพราะนึกว่าเขาให้ใบละห้าสิบมา พอดีลูกค้ากําลังเข้าร้านมากลืมไป ถ้าคํานวณผิดอย่างนี้ เราลองทํานายดู เหตุการณ์ ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร คือ ขาดทุน หรือ ?ล้ม? แน่นอน สําหรับร้านขายก๊วยเตี๋ยวร้านนั้น ท้ายสุดที่ตามมามี กําไรดี ขายของได้ก็ดี และไม่ขาดทุนเพราะการคิดคํานวณรายรับ รายจ่ายให้ผิดพลาด และการคาดการณ์ไกล ล่วงรู้
  • 9. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [9] อนาคตของตนเอง เช่นล่วงรู้ว่า เดือนหน้าจะมีนํ้าท่วมตรงนี้เพาะฉะนั้น เรารีบกักตุนอาหารและสัมภาระเอาไว้ เพื่อเลี้ยง ตนเองป้ องกัน ไว้เมื่อยามที่ภัยมาถึง เป็นกากรคาดการณ์ล่วงหน้าไว้เมื่อประสบอุทกภัย ซึ่งจะมีมาถึงในไม่ช้า ปัญหาก็ คือเราไม่มีปัญหาอะไร ถ้านํ้าท่วมมาจริงตามที่คาด หรือคํานวณว่าไฟจะต้องไหม้บ้านแน่นอน ถ้าสภาพครอบครัวมี ปัญหาอยู่อย่างนี้ คือมีคนในบ้านใช้ไฟไม่เป็น ในบ้านที่อยู่อาศัยมีสภาพสายไฟไม่มดีที่ควรปรับปรุง แต่กลับไม่ปรับปรุง หรือ มีสาเหตุอื่น ๆ อีก คนชนิดนี้เขาต้องคิดรีบตัดไฟต้นลมทันที เมื่อเห็นมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น กับครอบครัวเขา เช่น เขาก็ต้องรีบมีเครื่องดับเพลิง เพื่อป้ องกันอัคคีภัย และสามารถนําอุปกรณ์ดับเพลิงมาใช้ทันทีในกรณีไฟไหม้ได้ ดังนี้เป็น ต้น แทนที่จะรอรถดับเพลิงของทางหน่วยราชการอย่างเดียว เมื่อพระเพลิงกําลังไหม้บ้าน ส่วน คนที่รู้เพราะเห็น เหตุการณ์นั้น ๆ มาก่อน คนชนิดนี้รู้เพราะเคยโดนมากับตนเอง เช่น โดนมีดบาดและมีแผลสด ให้รีบใช้ยาสามัญประจํา บ้านป้ ายแผลทันที และปิดแผลไว้ไม่ให้อากาศนําเชื้อโรคหมุนเวียนเข้าออกได้สะดวก และระวังอย่าให้เชื้อโรคเข้าไปสู่ บาดแผลได้ ด้วยการปิดด้วยผ้ายางพลาสเตอร์ปิดแผล ที่ถูกหลักการทางแพทย์ เขาก็สามารถทําให้แผลหายได้เร็ว ไม่ ลุกลามไปใหญ่โต แต่อย่างไรก็ตาม คนทั้งสามชนิดนี้ ถ้าขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้วแน่นอน ชีวิตเขาก็ต้องอับแสงลง และเสียทีชาติเกิดแน่นอน ส่วนคนที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง ก็ปล่อยปละละเลยแผลนั้น คิดว่าอีกสักพักก็จะหาย แต่ปรากฏว่า แผลมันไม่หายแต่แผลกลับเรื้อรัง เป็นผลให้เป็นอันตราย จนเชื้อโรคต้องลามไปสู่อวัยวะอื่นทําให้อวัยวะส่วนอื่นพิการ ต่อไป ดังนี้เป็นต้น ที่พึ่ง ๒ ชนิด ที่พึ่งมี ๒ชนิด คือ: ๑. ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ชั่วคราว ๒. ที่พึ่งที่เป็นประโยชน์ถาวร ที่พึ่งที่ เป็นประโยชน์ชั่วคราว การเรียกคําว่าที่พึ่ง คํา ๆ นี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้ยิน เพราะคํานี้มีความหมายว่า การไม่มี ความเป็นอิสระในตนเอง คือเป็นทาสของคนอื่น ถ้าเป็นประเทศก็เป็นประเทศที่ไม่มีเอกราชในตนเอง ถ้าเป็นประชาชนก็เป็นประชานที่ไม่รู้จักพึ่งตนเอง รอจะพึ่งแต่รัฐบาล ถ้าเป็นคนก็ต้องพึ่งคนอื่น กินนํ้าใต้ศอก คนอื่น ไม่ดีแน่นอน เมื่อเรามองในโลกแห่งความเป็นจริง เราจะพบว่า เมื่อเราเป็นเด็กก็ต้องพึ่งพ่อแม่ไปก่อน เมื่อเราเป็น เด็กนักเรียนก็ต้องพึ่งครูไปก่อน เมื่อเราเป็นประชาชนก็ต้องพึ่งรัฐบาลเพื่อขอความคุ้มครองจากตํารวจเมื่อมีภัยไปก่อน หรือเมื่อมีเหตุร้ายก็พึ่งศาลเมื่อขาดความยุติธรรมไปก่อน การพึ่งอย่างนี้ ไม่เป็นสิ่งปลก แต่ทว่าเป็นการพึ่งชั่วคราว เพื่อให้สําเร็จภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นเป็นของธรรมดา แต่ไม่ใช่พึ่งผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ที่พึ่งถาวร ที่พึ่งที่ถาวรคือพระ รัตนตรัย คือว่าการพึ่งที่ถาวรคือพระรัตนตรัยนั้น เป็นการพึ่งตลอดเวลา ตลอดไปจึงจะดี คือมีภัยหรือไม่มีภัยจะอ่อนแอ และจะเป็นทาส หรือเป็นนาย ก็ยึดพึ่งพระรัตนตรัยได้ มิใช่คิดพึ่งพระรัตนตรัยตอนรับทุกข์เท่านั้น แต่พอมีความสุขแล้วทิ้ง พระ รัตนตรัยอบย่างนี้ไม่ถูก การทําเช่นนั้นถือว่าเป็นการเนรคุณพระรัตนตรัยด้วย เพราะฉะนั้นการพึ่งพระรัตนตรัยนั้น ต้องพึ่งในทุกเวลา ในทุกสถานที่ ในทุกสถานะ คือไม่จํากัดกาลและเวลา มีพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะ คําว่า สรณะ แปลว่าที่พึ่ง คําว่าสรณะมาจากภาษาบาลี การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จึงถือว่าเป็นการพึ่งที่ดี เป็นการพึ่งที่ถูก ทาง
  • 10. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [10] บทที่ ๓ คาไหว้ราลึกถึงคุณพระรัตนตรัย เมื่อเราได้รู้ว่าพระรัตนตรัยคืออะไรแล้ว มีอะไรบ้างเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว นอกจากพระสถูป เจดีย์ จีวรที่พระห่ม มีผ้าสีเหลือง และสิ่งอื่นที่เราเคารพสักการบูชากันทุกวันนั้นแล้ว คําตอบคือ มีคํารําลึกถึงการรําลึกถึงคุณพระรัตนตรัย คําถามมีต่อไปว่า คํารําลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนั้นคืออะไร คํารําลึกถึงคุณพระรัตนตรัยนั้น คือคําสวดอ้นวอน หรือเพียง คิดภาวนาในใจ หรือพูดเปล่งออกมาพร้อมกัน หรือนอนนึกเอาก็ได้ สําหรับคํารําลึกนั้น ตามประเพณีของชาวพุทธ มี รายการดังต่อไปนี้: ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ และด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมด้วยความ เคารพ ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ด้วยความเคารพด้วยเศียรเกล้า คํารําลึกดังกล่าว มีทั้งที่เป็นภาษาไทยและ ที่เป็นเป็นภาษาลี สําหรับที่เป็นภาษาไทยที่นํามาลงในหนังสือนี้ใช้เป็นประจําทุก ๆ โรงเรียน ทุกสถาบัน ทั้งในวัดและใน สถาบันพุทธศาสนา บางครั้งอาจะว่ากล่าวเป็นคําอย่างอื่นก็ได้ แต่สรุปแล้วคือการรําลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระ พุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นเอง คําถามว่า ทําไมต้องไหว้รําลึกพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ในเมื่อมีการห้ามการ ไหว้ต้นไม้ ห้ามไหว้ อาราม และเจดีย์สิ่งอื่นใดอีกเหล่านี้กล่าวคือเพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะสิ่งที่ไหว้นั้นไม่ประเสริฐ เท่ากับการไหว้รําลึกถึง พระพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คําตอบมีว่า คนเราต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยว มิใช่เพียงคิดด้วยลําพังจิตใจ แต่ต้องปฏิบัติดีด้วย มีการทํา ดีทั้งทางกาย วาจา ใจ ไปด้วย คุณภาพของการสรรเสริญพระรัตนตรัยก็จะมีค่ายิ่งขึ้น เมื่อ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ก็เพื่อ ความสุขสวัสดีของร่างกายและจิตใจด้วย และการที่จะได้พ้นทุกข์ไปในที่สุด คนเรานั้นมีปัญญาไม่เหมือนกัน กล่าวคือมี ปัญญาไม่ทันกัน บางคนกําลังใจสูง บางคนกําลังใจตํ่า คนลังใจสูงจะมีกําลังทางจิตใจมากกว่าคนมีกําลังใจตํ่า คนมี กําลังใจสูงมีใจอย่างเดียว ก็สามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ แต่ว่าคนที่มีกําลังใจตํ่า ย่อมไม่สามารถทําเช่นนั้นได้ จึงต้องใช้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวแทนรําลึก แทน อันนี้เป็นประเด็นที่สําคัญในพุทธศาสนา เนื่องจากกา ว่า คนเราเกิดมามีกรรมเก่าที่ต่างกัน การเกิดมาก็มีกรรมและบุญที่แตกต่างกัน และคนจึงเกิดมาใหม่ก็ไม่เหมือนกัน โดย สภาพ เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงให้คนที่มีสูงก็ดีกําลังใจตํ่าตํ่าก็ดีนั้น มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นเครื่องรําลึก เตือนใจ ในสมัยต่อมาคําสวดมนต์อ้อนวอน ได้เป็นที่นิยมสวดแบบทํานองก็มี แบบคําสาบานตนก็มี เเบบเพลงสวดก็มี แบบโคลกลอนก็มี แบบธรรมดาก็มี และมีอีกหลายแบบที่น่าสนใจในปัจจุบัน ดัดแปลงเป็นภาษาอื่น ๆ มีภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาอื่น ๆ อีก ทั่วโลก รวมทั้งการสวดเป็นแบบภาษาบาลีที่ใช้เป็นภาษากลาง ทางพุทธวจนะของพุทธ ศาสนา สําหรับในประเทศไทยคือสวด มีที่ใช้ในโรงเรียน โดยเฉพาะวันสุดสัปดาห์ หรือที่บางโรงเรียนใช้สวดก่อนเข้าเรียน หรือหลังการเคารพธงชาติ หรือบางโรงเรียนใช้สวดก่อนกลับบ้านตอนโรงเรียนเลิก คนสมัยใหม่มีหลักศรัทธาและความ
  • 11. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [11] เชื่อในศาสนาอย่างมีเหตุผลมากขึ้น มักจะถามว่า การให้สวดอย่างนี้มีประโยชน์อะไร เพื่ออะไร คําตอบมีว่า ใช้สวดเพื่อ ทําให้เกิดสมาธิในเบื้องต้น ทําให้ใจสงบเยือเย็นหรือเป็นการะลึกถึงความดีสากล ที่ศาสนาพุทธมีต่อเรา ส่วนการสวด ภาวนาตอนก่อนนอนนั้นได้อะไร คําตอบคือ ก็เมื่อคนเรามีปัญหาชีวิตตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาบ้านก่อนเข้ามุ้งนอน ก็ ชําระจิตใจให้หมดจด แล้วก็ได้มีสมาธิ และหลับนอนได้อย่างมีสมาธิ มนุษย์เราลองคิดดูว่าก่อนเข้าห้องเรียน ถ้าจิต ฟุ้ งซ่าน ไม่มีสมาธิ เพราะความสับสนวุ่นวายของสังคมในชีวิตประจําวัน ของทุกวินาทีที่ชีวิตและจิตสัมผัสกับโลกภายนอกและ ท่องเที่ยวไป ในโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้การรําลึกถึงพระรัตนตรัยจึงทําให้เราได้สมาธิ เพื่อการเรียนทันเพื่อนทันครู เมื่อเรา ตั้งได้ตั้งใจสวดมนต์ กล่าวคือการเข้าถึงสรณะและความนอบน้อม ต่อพระพุทธเจ้าก่อน มันดีอย่างนี้ ส่วนสําหรับก่อนเข้า นอนตอนเย็น เมื่อสวดรําลึกแล้วจะได้สมาธิ จะลืมสิ่งทั้งหมดที่สะสมจากสิ่งที่พบเห็น ที่เกิดขึ้นมาทั้งวันให้หมดไป และจะ ได้ตั้งใจหลับให้สนิท เมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเข้าหลับนอน ผลที่จะตามมาก็คือการได้เรียนหนังสือที่มีสมาธิ แสดงว่าเรารู้ หน้าที่แห่งการแบ่งแยก ความคิดหรือการใช้สมาธิได้ ใช้สมาธิเป็น จะทําให้เราไม่เปลืองเวลาเปลืองเงิน เปลืองทรัพยากร ในการเรียน หนังสือ ถ้าไม่มีสมาธิตัวนี้หลังการเรียนแล้ว เราจะไม่ได้อะไรกลับ บ้าน ส่วนก่อนนอนเมื่อสวดแล้วก็เกิดสมาธิ ก็เพราะถ้า เรานําสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งวันมาคิด แทนที่จะเป็นเวลาพักผ่อน อันไม่ควรคิดในเวลาที่ไม่ควรคิด คือคิดผิดที่จะคิด ผลที่ ตามาคือการนอนนั้นจะไม่มาสามารถหลับ ลงได้ และเป็นไข้ในโอกาสต่อมา นี้เรียกว่าการไม่รู้จักหน้าที่ของเวลาว่า เวลา นี้เป็นเวลาที่จะนอน หรือเวลานี้เป็นเวลาที่จะคิด สุดท้ายการสวดมนต์ดังกล่าว จึง ได้ผลในเบื้องต้น กล่าวคือทําจิตใจ สงบ มีสมาธิ มีความสุขได้ในเบื้องต้น ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนี้ คือผลที่เราสามารถพิสูจน์ได้ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ สรุป การมีจิตหลงใหลโดย มีที่พึ่งคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่เคารพสักการะแล้ว ย่อมทําให้เราประสบสันติสุขใน ชีวิตได้ คําสวดมนต์ที่ใช้ในโรงเรียน และที่วัด และทั้งที่เป็นประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ในเรื่องที่รําลึกถึงคุณพระศรี รัตนตรัย ที่ใช้อยู่ มีดังนี้ คําสวดมนต์ที่ใช้อยู่ในวัดโดยพระภิกษุสงฆ์ ข้าพเจ้าขอเข้าถึง ซึ่งพระพุทธว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอ เข้าถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าขอเข้าถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งว่าเป็นสรณะเป็นที่สาม คํา เหล่านี้เป็นคําสวดภาคภาษาบาลีก่อนเข้าโบสถ์ทําวัตรเช้าเย็นของพระภิกษุ ทั่วพระ ราชอาณาจักรไทย ที่มีทั้งคําไทยและ คําบาลีนั้น จะใช้ในแบบสวดของแม่ชีตามวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ แต่ว่าสรุปแล้วเป็นการรําลึกถึง คุณพระศรีรัตนตรัย ก่อนที่จะสวดหรือจะดําเนินการในเรื่องอื่นต่อไป นอกจากนั้น การรําลึกถึงสรณะนี้มีอยู่เช่นตอนนําไหว้พระสวดมนต์ในทุกโอกาส ที่มีพิธีกรรมทางพระ คืองานที่มีพระ มาร่วมและเป็นประธานพิธี หรือพิธีกรรมใด ๆ ที่จะทําให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น โดยส่วนที่ไม่ใช่ของพระสงฆ์ทํา และการมีการ นํามากล่าวรําลึก ทั้งภาคในภาคภาษาบาลี และภาคภาษาไทย หรือเพียงภาษาไทยอย่างเดียว หรือเพียงภาษาบาลีอย่าง เดียว หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ความเหมาะสม การรําลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัยนั้น มิใช่เพียงแต่เรื่องการรําลึก เท่านั้น แต่ว่าต้อง รําลึกถึง เรื่องบุญคุณอันเป็นสิ่งสําคัญ สําหรับชีวิตมนุษย์ เพราะว่ามนุษย์มีความจําเป็นที่ จะต้องเป็นคนไม่เนรคุณคนนี้เป็นปฐม นอกจากที่มี ศีลห้า และศีลแปดประจําตัวแล้ว ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ศีลห้า
  • 12. Obituary พระรัตนตรัย คุณพ่อซิวเม้า แซ่แต้ พระมหามาติณ ถีนิติ สุสานโรงเจขาลูกช้าง ปากท่อ ราชบุรี 2551 [12] ประกอบด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่มีชู้กับลูกเมียเขา ไม่พูดปด ไม่ดื่มนํ้าเมา ศีลแปดประกอบด้วย ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลัก ทรัพย์ ไม่พูดปด ไม่เสพกาม ไม่ดื่มเหล้า ไม่กินอาหารหลังเที่ยงวัน ไม่นอนบนที่สูงใหญ่ ไม่ใช้ดอกไม้และของหอม ทั้งหมดนี้คือศีล ห้า และศีลแปดตามลําดับ ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ลองมาอ่านระเบียบกระทรวงศึกษาพิการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของนักเรียน พ.ศ. ๒๕๐๓ ของ ม.ล. ปิ่น มาลากุล กันดูว่ามีอะไรบ้าง ด้วยกระทรวงศึกษาธิการ เห็นสมควรปรับปรุงระเบียบ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของ นักเรียน เพื่อส่งเสริมศีลธรรมจรรยามารยาท และฝึกอบรมให้นักเรียนมีจิตใจ และนิสัยดีงาม ประพฤติในทางที่ดีที่ชอบ จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้๑ . ระเบียบนี้เรียกว่า ?ระเบียบกระทรวงศึกษาการ ว่าด้วยการสวดมนต์ไหว้พระของ นักเรียน พ. ศ. ๒๕๐๓? ๒. ตั้งแต่วันใช้ระเบียบนี้ให้ยกเลิกระเบียบ ข้อบังคับ หรือคําสั่ง ที่ขัดหรือแย้งกับ ระเบียบนี้หรือ ที่ระเบียบนี้กําหนดแล้ว ๓. ให้ใช้ระเบียบนี้ในโรงเรียนและสถานศึกษา ในสังกัด และในความควบคุมของ กระทรวงศึกษาธิการ ๔. ให้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ หรือผู้อํานวยการ จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ เวลาเข้าแถวหลัง เชิญธงชาติ ก่อนเข้าเรียนทุกวัน และตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ทุกสัปดาห์ เฉพาะโรงเรียนที่มีนักเรียนอยู่ ประจําก็ดี ให้จัดให้นักเรียนสวดมนต์ไหว้พระ ตอนก่อนที่จะเข้านอนเป็นประจําทุกคืนด้วย ๕. การสวดให้ใช้แบบสวด มนต์ไหว้พระท้ายระเบียบนี้๖. การสวดมนต์ไหว้พระทุกครั้ง ให้ไหว้ครู อาจารย์ ทุกคนเข้าร่วมสวดมนต์ไหว้พระโดย พร้อมเพรียงกัน ๗. ตอนเลิกเรียนในวันสุดท้ายของสัปดาห์ ภายหลังการสวดมนต์ไหว้พระ ให้ไหว้ครูใหญ่ อาจารย์ใหญ่ ผู้อํานวยการหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้โอวาทแก่นักเรียนเสร็จแล้ว ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ๘. ในกรณีที่นักเรียนที่ มิได้นับถือศาสนาพุทธเรียนร่วมด้วย เวลาสวดมนต์ นักเรียนนั้นไม่ต้องเข้าร่วม แต่ถ้านักเรียนที่นับถือศาสนาอื่น มี จํานวนมาก เมื่อทางโรงเรียนเห็นสมควร จะให้มีการสวดมนต์แบบศาสนานั้น ๆ ด้วยก็ได้ โดยแยกนักเรียนไว้ในลัทธิ ศาสนา ๙. ให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการเป็นไปตามระเบียบนี้๑๐. ให้ใช้ระเบียบนี้ตั้งแต่วันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๓ ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่ง ณ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๐๓ วิธีปฏิบัติในการเข้าถึง พระรัตนตรัย ๑. แสงความเคารพ ๒. ประนมมือ ๓. ไหว้ ๔. กราบ การประณมมือ คือการกระพุ่มมือทั้งสอง ประณมมือ มีลักษณะคล้ายดอกบัวตูม ไว้ระหว่างอกเวลาสวดมนต์หรือฟังพระสวดและเทศน์ การไหว้ คือการยกมือที่ประณมแล้ว ดังกล่าวขึ้น พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย ให้มือประณมจรดหน้าผาก นิ้วหัวแม่มือทั้งสองอยู่ในระหว่างคิ้ว แสดงความ เคารพในขณะนั่งเก้าอี้หรือยืนอยู่ การกราบ คือการกราบลงกับพื้น ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้แก่การกราบด้วย องค์ ๕ คือ: เข่าทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสอง หน้าผาก หนึ่ง ให้ใช้กราบเมื่อนั่งอยู่ในสถานที่ที่จะกราบได้ เป็นการแสดงความเคารพ อย่างสูง สวดสรรเสริญพระพุทธคุณเป็นคําร้อง องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลกิเลศมาร บ มิหม่นมิหมออง มัว หนึ่งนัยพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกําจร องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์ ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย พร้อม เบญจพิธจัก- ษุรัสวิมลใส เห็นเหตุที่ใกล้ไกล ก็เจนจบประจักษ์จริง กําจัดนํ้าใจหยาบ สันดานบาปแห่งชายหญิง สัตว์โลก ได้พึ่งพิง มละบาปบําเพ็ญบุญ ข้า ฯ ขอประณตน้อม ศิระเกล้าบังคมคุณ สัมพุทธการุญ- ญภาพนั้นนิรันดร (กราบ) สวด สรรเสริญพระธรรมคุณ ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์ สันดาน สว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึก