SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 24
Downloaden Sie, um offline zu lesen
จัดทาโดย
    น.ส.เกวลิน เจียมอนันท์กุล เลขที่ 14
    น.ส.ผกาวรรณ ทัพสัมพันธ์ เลขที่ 17
   น.ส.ศุภนิดา แดงวิเชียร เลขที่ 19
    น.ส.สิริกัญญา บุญมีสุข เลขที่ 34
          ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4
                   เสนอ
          อ.วิสัยธรรม พุทธชาติ
โรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ส.31101 พระพุทธศาสนา
จัดทาขึ้นเพื่อสรุปเรื่องบทเรียนและวิเคราะห์เรื่องในบทเรียนได้
    ข้าพเจ้าหวังว่ารายงานเล่มนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างไม่
มากก็น้อยและหากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยไว้ ณ
ที่นี้ด้วย
พระเจ้าสัญชัย ทรงครองราชสมบัติเมืองสีวี มีพระมเหสีทรงพระนามว่า
พระนางผุสดี ธิดาพระเจ้ากรุงมัททราช พระนางผุสดีนี้ในชาติก่อนๆ ได้เคยถวาย
แก่นจันทน์หอม เป็นพุทธบูชาและอธิษฐานขอให้ได้เป็นพุทธมารดาพระพุทธเจ้า
ในกาลอนาคต
ครั้นเมื่อนางสิ้นชีวิตก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก เมื่อถึงวาระที่จะต้องจุติมาเกิดในโลก
มนุษย์ พระ
อินทร์ได้ประทานพรสิบประการแก่นาง พรสิบประการมีดังนี้
๑. ขอให้เกิดในกรุงมัททราช แคว้นสีพี
๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดาขลับดั่งลูกเนื้อทราย
๓. ขอให้คิ้วคมขาดั่งสร้อยคอนกยูง
๔. ขอให้ได้นาม "ผุสดี" ดังภพเดิม
๕. ขอให้มีพระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป
๖. ขอให้พระครรภ์งาม ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
๗. ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
๘. ขอให้เส้นพระเกศาดาขลับตลอดชาติ
๙. ขอให้ผิดพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคาธรรมชาติ
๑๐. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
มาเกิดเป็นพระธิดาเจ้าเมืองมัททราช แคว้นสีพี หรือ สีวี และเมื่อเจริญวัยได้อภิเสกสมรสกับ
พระเจ้ากรุงสัญชัย
ครั้นเมื่อพระนางผุสดีทรงครรภ์ใกล้กาหนดประสูติ พระนางปรารถนาไปเที่ยวชมตลาด
ร้านค้า บังเอิญในขณะเสด็จประพาสนั้น พระนางทรงเจ็บครรภ์และประสูติพระโอรสใน
บริเวณย่านนั้น พระโอรสจึงทรงพระนามว่า เวสสันดร หมายถึง ในท่ามกลางระหว่างย่าน
ค้าขาย พร้อมกับที่พระโอรสประสูติ ช้างต้นของ พระเจ้าสัญชัยก็ตกลูกเป็นช้างเผือกเพศผู้
ได้รับชื่อว่า ปัจจัยนาค เป็นช้างต้นคู่บุญพระเวสสันดร
เมื่อพระกุมารเวสสันดรทรงเจริญวัยขึ้น ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบริจาคทาน มักขอ
พระราชทานทรัพย์จากพระบิดามารดา เพื่อบริจาคแก่ประชาชนอยู่เป็นนิตย์ ทรงขอให้พระ
บิดาตั้งโรงทานสี่มุมเมือง เพื่อ
บริจาคข้าวปลาอาหารและสิ่งของจาเป็น แก่ประชาชน และหากมีผู้มาทูลขอสิ่งหนึ่ง สิ่งใด
  พระองค์ก็จะทรงบริจาคให้โดยมิได้เสียดาย ด้วยทรงเห็นว่า การบริจาคนั้นเป็นกุศลเป็น
  คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้ ผู้รับก็จะพ้นความเดือดร้อน ผู้ให้ก็จะอิ่มเอิบ
  เป็นสุขใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น และยังทาให้พ้นจากความโลภความตระหนี่ถี่เหนียวในทรัพย์
  สมบัติของตนอีกด้วย พระเกียรติคุณของพระเวสสันดรเลื่องลือไปทั่วทุกทิศว่าทรงมีจิต
  เมตตาแก่ผู้อื่นมิได้ ทรงเห็นแก่ความสุขสบายหรือเห็นแก่ทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ มิได้ทรง
  หวงแหนสิ่งใด ไว้สาหรับพระองค์
• อยู่มาครั้งหนึ่งในเมืองกลิงคราษฏร์เกิดข้าวยากหมายแพงเพราะฝนแล้ง ทาให้เพาะปลูก
  ไม่ได้ ราษฎร์อดอยากได้รับความเดือนร้อนสาหัส ประชาชน ชาวกลิงคราษฏร์พากันไปเฝ้า
  พระราชา ทูลว่าในเมืองสีวีนั้นมีช้างเผือกคู่บุญพระเวสสันดร ชื่อว่า ช้างปัจจัยนาค เป็นช้างมี
  อานาจพิเศษ ถ้าอยู่เมืองใด จะทาให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์จะบริบรณ์ ขอให้  ู
  พระเจ้ากลิงคราษฏร์ ส่งทูตเพื่อไปทูลขอช้างจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรก็จะทรงบริจาค
  ให้เพราะพระองค์ไม่เคยขัดเมื่อมีผู้ทูลขอสิ่งใด
พระเจ้ากลิงคราษฏร์จึงส่งพราหมณ์แปดคนไปเมืองสีวี ครั้นเมื่อพราหมณ์ได้พบ พระ
เวสสันดรขณะเสด็จประพาสพระนคร ประทับบนหลังช้างปัจจัยนาค พราหมณ์จึง ทูล
ขอช้างคู่บุญเพื่อดับทุกข์ชาวกลิงคราษฏร์ พระเวสสันดรก็โปรดประทานให้ตามที่ขอ
ชาวสีวีเห็นพระเวสสันดรทรงบริจาคช้างปัจจัยนาคคู่บ้านคู่เมืองไป ดังนั้น ก็ไม่พอใจ
พากันโกรธเคืองว่าต่อไปบ้านเมืองจะลาบาก เมื่อไม่มีช้างปัจจัยนาคเสียแล้ว
จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระเจ้าสัญชัย ทูลกล่าวโทษพระเวสสันดรว่าบริจาคช้าง
คู่บ้านคู่เมือง แก่ชาวเมืองอื่นไป ขอให้ขับพระเวสสันดรไปเสียจากเมืองสีวี พระ
เจ้าสัญชัยไม่อาจขัดราษฏรได้ จึงจาพระทัยมีพระราชโองการให้ขับพระเวสสันดร
ออกจากเมืองไป พระเวสสันดรไม่ทรงขัดข้อง แต่ทลขอพระราชทานโอกาสบริจาค
                                                 ู
ทาน ครั้งใหญ่ก่อนเสด็จออกจากพระนคร พระบิดาก็ทรงอนุญาตให้พระเวสสันดร
ทรงบริจาค สัตสดกมหาทาน คือบริจาค ทานเจ็ดสิ่ง สิ่งละเจ็ดร้อย แก่ประชาชนชาวสี
วี
เมื่อพระนางมัทรี พระมเหสีของพระเวสสันดรทรงทราบว่า ประชาชนขอให้ขับพระ
เวสสันดร ออกจากเมือง ก็กราบทูลพระเวสสันดรว่า
"พระองค์เป็นพระราชสวามีของหม่อมฉัน พระองค์เสด็จไปที่ใด หม่อมฉันจะขอ
ติดตาม ไปด้วยทุกหนทุกแห่ง มิได้ย่อท้อต่อความ ลาบาก ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยา
แล้ว ย่อมต้อง อยู่เคียงข้างกันในทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่ายามสุข หรือทุกข์ โปรดประทาน
อนุญาติให้หม่อมฉัน ติดตามไปด้วยเถิด"
พระเวสสันดรไม่ทรงประสงค์ให้พระนางมัทรี ติดตามพระองค์ไป เพราะการเดินทาง
ไปจาก พระนครย่อมมีแต่ความยากลาบาก ทั้งพระองค์ เองก็ทรงปรารถนาจะเสด็จ
ไปประทับบาเพ็ญ ศีลภาวนาอยู่ในป่า พระนางมัทรีไม่คุ้นเคยต่อสภาพเช่นนั้น ย่อม
จะต้องลาบากยากเข็ญทั้ง อาหารการกินและความเป็นอยู่ แต่ไม่ว่าพระเวสสันดรจะ
ตรัสห้ามปรามอย่างไร นาง ก็มิยอมฟัง บรรดาพระประยูรญาติ ก็พากันอ้อนวอน
ขอร้อง พระนางก็ทรงยืนกรานว่า จะติดตามพระราชสวามีไปด้วย
พระนางผุสดีจึงทรงไปทูลขอพระเจ้าสัญชัย มิให้ขบพระเวสสันดรออกจากเมือง พระ
                                            ั
เจ้าสัญชัยตรัสว่า
"บ้านเมืองจะเป็นสุขได้ก็ต่อ เมื่อราษฏรเป็นสุข พระราชาจะเป็นสุขได้
ก็ เมื่อราษฏรเป็นสุข ถ้าราษฏรมีความทุกข์ พระราชาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร
ราษฏรพากัน กล่าวโทษพระเวสสันดรว่าจะทาให้บ้านเมือง ยากเข็ญ เราจึง
จาเป็นต้องลงโทษ แม้ว่าพระเวสสันดรจะเป็นลูกของเราก็ตาม"

ไม่ว่าผู้ใดจะห้ามปรามอย่างไร พระนางมัทรีก็จะตามเสด็จพระเวสสันดรไป
ให้จงได้ พระเจ้าสัญชัยและพระนางผุสดีจึงขอเอา พระชาลี พระกัณหา โอรส
ธิดาของพระเวสสันดรไว้ แต่พระนางมัทรีก็ไม่ยินยอม ทรงกล่าวว่า
"เมื่อชาวเมืองสีวีรังเกียจพระเวสสันดร ให้ขับไล่ไปเสียดังนี้ พระโอรสธิดาจะ
อยู่ต่อไปได้อย่างไร ชาวเมืองโกรธแค้นขึ้นมา พระชาลีกัณหาก็จะทรงได้รับ
ความลาบาก จึงควรที่จะออกจากเมืองไปเสียพร้อม พระบิดาพระมารดา"
ในที่สุดพระเวสสันดร พร้อมด้วยพระมเหสี และโอรสธิดาก็ออกจากเมืองสีวี
ไป แม้ใน ขณะนั้น
ชาวเมือง ยังตามมาทูลขอรถพระที่นั่ง ทั้งสี่พระองค์จึงต้องทรง
ดาเนินด้วยพระบาทออกจากเมืองสีวมุ่งไปสูป่า เพื่อบาเพ็ญพรตภาวนา
                                       ี   ่
ครั้นเสด็จมาถึงเมืองมาตุลนคร บรรดากษัตริยเ์ จตราชทรงทราบข่าว จึงพา
กันมาต้อนรับ พระเวสสันดร ทรงถามถึงทางไปสู่เขาวงกต กษัตริย์เจตราชก็
ทรงบอกทางให้และเล่าว่า เขาวงกตนั้นต้องเดินทางผ่านป่าใหญ่ที่เต็ม ไป
ด้วยอันตราย แต่เมื่อไปถึงสระโบกขรณีแล้ว ก็จะเป็นบริเวณร่มรื่น
สะดวกสบาย มีต้นไม้ผล ที่จะใช้เป็นอาหารได้ นอกจากนี้กษัตริย์เจตราช ยัง
ได้สั่งให้ พรานป่าเจตบุตร ซึ่งเป็นผู้ชานาญ ป่าแถบนั้น ให้คอยเฝ้า
ระแวดระวังรักษาต้นทาง ที่จะไปสู่เขาวงกต เพื่อมิให้ผู้ใดไปรบกวน
พระเวสสันตรในการบาเพ็ญพรต เว้นแต่ทูต จากเมืองสีวีที่จะมา
ทูลเชิญเสด็จกลับนครเท่านั้น ที่จะยอมให้ผ่านเข้าไปได้
เมื่อเสด็จไปถึงบริเวณสระโบกขรณีอันเป็นที่ร่มรื่นสบาย พระเวสสันดร พระนางมัทรี
ตลอดจนพระโอรสธิดา ก็ผนวชเป็นฤาษี บาเพ็ญพรตภาวนาอยู่ ณ ที่นั้น โดยมีพรานป่าเจต
บุตรคอยรักษาต้นทาง ณ ตาบลบ้านทุนนวิฐ เขตเมืองกลิงคราษฏร์
มีพราหมณ์เฒ่าชื่อ ชูชก หาเลี้ยงชีพด้วยการ ขอทาน ชูชก ขอทานจนได้เงินมามาก จะเก็บไว้
เองก็กลัวสูญหาย จึงเอาไปฝากเพื่อนพราหมณ์ไว้ อยู่มาวันหนึ่ง ชูชกไปหาพราหมณ์ที่ตน
ฝากเงินได้ จะขอเงินกลับไป ปรากฎว่า พราหมณ์นั้นนาเงินไปใช้หมดแล้ว จะหามาใช้ให้ชู
ชกก็หาไม่ทัน จึงจูงเอาลูกสาวชื่อ อมิตตดา มายกให้แก่ชูชก พราหมณ์กล่าวแก่ชูชกว่า
"ท่านจงรับเอาอมิตตดาลูกสาวเราไปเถิด จะเอาไปเลี้ยงเป็นลูกหรือภรรยา หรือจะเอาไป
เป็นทาสรับใช้ปรนนิบัติก็สุด แล้วแต่ท่านจะเมตตา"
ชูชกเห็นนางอมิตตดาหน้าตาสะสวย งดงามก็หลงรัก จึงพานางไปบ้าน เลี้ยงดู นางในฐานะ
ภรรยา นางอมิตตดาอายุยังน้อย หน้าตางดงาม และ
มีความกตัญญู ต่อพ่อแม่ นางจึงยอมเป็นภรรยาชูชกผู้แก่เฒ่า รูปร่างหน้าตาน่ารังเกียจ
 อมิตตดา ปรนนิบัติชูชกอย่างภรรยาที่ดีจะพึงกระทาทุกประการ นางตักน้า ตาข้าว หุงหา
 อาหาร ดูแลบ้านเรือนไม่มีขาดตกบกพร่อง ชูชกไม่เคยต้องบ่นว่าหรือตักเตือนสั่งสอนแต่
 อย่างใดทั้งสิ้น ความประพฤติที่ดีเพียบพร้อมของนาง อมิตตดาทาให้เป็นที่สรรเสริญของ
 บรรดา พราหมณ์ทั้งหลายในหมู่บ้านนั้น ในไม่ช้า บรรดาพราหมณ์เหล่านั้นก็พากันตาหนิติ
 เตียนภรรยาของตนที่มิได้ประพฤติตนเป็น แม่บ้านแม่เรือนอย่างอมิตตดา บางบ้านก็ถึงกับ
 ทุบตีภรรยาเพื่อให้รู้จักเอาอย่างนาง เหล่านางพราหมณีทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน ก็พา
 กันโกรธแค้นนางอมิตตดา ว่าเป็นต้นเหตุ
วันหนึ่งขณะที่นางไปตักน้าในหมู่บ้าน บรรดานางพราหมณีก็รุมกันเย้ยหยันที่นางมีสามีแก่
 หน้าตาน่าเกลียดอย่างชูชก นางพราหมณีพากันกล่าวว่า
 "นางก็อายุน้อย หน้าตางดงาม ทาไมมา ยอมอยู่กับเฒ่าชรา น่ารังเกียจอย่างชูชก หรือว่า
 กลังจะหาสามีไม่ได้ มิหนาซ้ายังทา ตนเป็นกาลกิณี พอเข้ามาในหมู่บ้านก็ทาให้ ชาวบ้านสิ้น
 ความสงบสุข เขาเคยอยู่กันมาดีๆ พอนางเข้ามาก็เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า หาความสงบ
 ไม่ได้
นางอย่าอยู่ในหมู่บ้านนี้เลย จะไปไหนก็ไปเสียเถิด"
ไม่เพียงกล่าววาจาด่าทอ ยังพากันหยิกทึ้ง ทาร้ายนางอมิตตดา จนนางทนไม่ได้ ต้องหนี
กลับบ้านร้องไห้ มาเล่าให้ชูชกฟัง
ชูชกจึงบอกว่าต่อไปนี้นางไม่ต้องทาการ งานสิ่งใด ชูชกจะเป็นฝ่ายทาให้ทุกอย่าง นางอมิตต
ดาจึงว่า
"ภรรยาที่ดีจะทาเช่นนั้นได้อย่างไร จะปล่อยให้สามีมาปรนนิบัติรับใช้ เราทาไม่ได้หรอก ลูก
หญิงที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนมาดี ย่อมจะไม่นั่งนอนอยู่เฉยๆ ดีแต่ชี้นิ้วให้ผู้อื่นปรนนิบัติตน นี่
แน่ะ ชูชก ถ้าท่านรักเราจริง ท่านจงไปหาบริวารมาปรนนิบัติรับใช้เราดีกว่า"
ชูชกได้ฟังดังนั้นก็อัดอั้นตันใจ ไม่รู้จะไปหาข้าทาสหญิงชายมาจากไหน นางอมิตตดา จึง
แนะว่า
"ขณะนี้ พระเวสสันดรเสด็จออกมา จากเมืองสีวี มาทรงบาเพ็ญพรตอยู่ในป่า เขาวงกต
พระองค์เป็นผู้ใฝ่ในการบริจาคทาน ท่านจงเดินทางไปขอบริจาคพระชาลีกัณหา โอรสธิดา
ของพระเวสสันดรมาเป็นข้าทาส ของเราเถิด"
ชูชกไม่อยากเดินทางไปเลยเพราะกลัวอันตรายในป่า แต่ครั้นจะไม่ไปก็กลัวนางอมิตตดาจะ
ทอดทิ้ง ไม่ยอมอยู่กับตน
ในที่สุดชูชกจึงตัดสินใจเดินทางไปเขาวงกตเพื่อทูลขอพระชาลีกณหา เมื่อไปถึง
                                                             ั
บริเวณปากทางเข้าสู่เขาวงกต ชูชกก็ได้พบพรานเจตบุตรผู้รกษาปากทาง หมาไล่เนื้อ
                                                          ั
ที่พรานเลี้ยงไว้พากันรุมไล่ตอนชูชกขึ้นไปจนมุมอยู่บนต้นไม้
                             ้
เจตบุตรก็เข้า ไปตะคอกขู่ ชูชกนันเป็นคนมีไหวพริบ สังเกตดูเจตบุตรก็รู้ว่า
                                 ้
เป็นคนซื่อสัตย์ มีฝีมือเข้มแข็ง แต่ขาดไหวพริบ จึงคิดจะใช้วาจาลวง เจตบุตรให้
หลงเชื่อ
พาตนเข้าไปพบพระเวสสันดรให้ได้ ชูชกจึงกล่าวแก่เจตบุตรว่า
"นี่แนะ เจ้าพรานป่าหน้าโง่ เจ้าหารู้ไม่ว่าเราเป็นใคร ผู้อื่นเขา จะเดินทางมาให้
ยากลาบากทาไมจนถึงนี่ เรามาในฐานะทูต ของพระเจ้าสัญชัย เจ้าเมืองสีวี จะมาทูล
พระเวสสันดรว่า บัดนี้ชาวเมืองสีวีได้คิดแล้ว จะมาทูล เชิญเสด็จ กลับพระนคร เรา
เป็นผู้มาทูลพระองค์ไว้ก่อน เจ้ามัวมาขัดขวางเราอยู่ อย่างนี้ เมื่อไรพระเวสสันดรจะ
ได้ เสด็จคืนเมือง"
เจตบุตรได้ยินก็หลงเชื่อ เพราะมีความจงรักภักดี อยากให้พระเวสสันดรเสด็จกลับ
เมืองอยู่แล้ว จึงขอโทษชูชก จัดการหาอาหารมา
เลี้ยงดู แล้วชี้ทางให้เข้าไปสู่อาศรม ที่พระเวสสันดรบาเพ็ญพรตภาวนาอยู่
เมื่อชูชกมาถึงอาศรมก็คดได้ว่า หากเข้าไปทูลขอ พระโอรสธิดาในขณะพระนางมัทรี
                       ิ
อยู่ด้วย พระนางคงจะไม่ยินยอมยกให้เพราะความรัก อาลัยพระโอรสธิดา จึงควรจะ
รอจนพระนางเสด็จไปหาผลไม้ในป่าเสียก่อน จึงค่อยเข้า ไปทูลขอต่อพระเวสสันดร
เพียงลาพัง ในวันนั้น พระนางมัทรีทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในตอนกลางคืน พระนางทรงฝันร้ายว่า มีบรุษร่างกายกายา ถือดาบ มาตัด
                                               ุ
แขนซ้ายขวาของพระนางขาด ออกจากกาย
บุรุษนั้นควักดวงเนตร ซ้ายขวา แล้วยังผ่าเอาดวงพระทัยพระนางไปด้วย พระนางมัทรี
ทรงสังหรณ์ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น จึงทรงละล้าละลังไม่อยากไปไกลจาก อาศรม แต่
ครั้นจะไม่เสด็จไปก็จะไม่มีผลไม้มาให้พระเวสสันดรและโอรสธิดาเสวย พระนางจึงจูง
โอรสธิดาไปทรงฝากฝังกับ พระเวสสันดรขอให้ทรงดูแล ตรัสเรียกหา ให้เล่นอยูใกล้ๆ
                                                                      ่
บรรณศาลา พร้อมกับเล่าความฝันให้พระเวสสันดรทรงทราบ
พระเวสสันดรทรงหยั่งรู้ว่าจะมีผู้มาทูลขอพระโอรสธิดา แต่ครั้นจะบอกความตามตรง
พระนางมัทรีก็คงจะทนไม่ได้ พระองค์เองนั้น ตั้ง
พระทัยมั่นว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกประการในกายนอกกาย แม้แต่ชีวิตและ เลือด
เนื้อของพระองค์ หากมีผู้มาทูลขอก็จะ ทรงบริจาคให้โดยมิได้ทรงเสียดายหรือหวาดหวั่น
พระเวสสันดรจึงตรัสกับพระนางมัทรีว่าจะดูแลพระโอรสธิดาให้ พระนางมัทรีจึงเสด็จไปหา
ผลไม้ในป่าแต่ลาพัง

ครั้นชูชกเห็นได้เวลาแล้ว จึงมุ่งมาที่อาศรม ได้พบพระชาลีพระกัณหาทรงเล่นอยู่หน้าอาศรม
ก็แกล้งขู่ ให้สองพระองค์ตกพระทัยเพื่อข่มขวัญไว้ก่อน แล้วชูชกพราหมณ์เฒ่าก็เข้าไปเฝ้า
พระเวสสันดรกล่าววาจากราบทูลด้วยโวหาร อ้อมค้อมลดเลี้ยว ชักแม่น้าทั้งห้า เพื่อทูลขอ
พระโอรสธิดาไปเป็นข้าช่วงใช้ของตน
พระเวสสันดรทรงมีพระทัยยินดีที่จะทรงกระทาบุตรทาน คือ การบริจาคบุตรเป็นทาน อัน
หมายถึงว่า
พระองค์เป็นผู้สละกิเลส ความหวงแหนในทรัพย์สมบัติทั้งปวง แม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รัก
ก็สามารถสละ เป็นทานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ แต่พระองค์ทรงผัดผ่อนต่อชูชกว่า ขอให้
พระนางมัทรีกลับมาจากป่าได้ร่าลาโอรสธิดา เสียก่อนชูชกก็ไม่ยินยอม กลับทูลว่า "หากพระ
นางกลับมา สัญชาตญาณแห่งมารดา ย่อมจะทาให้พระนางหวง
แหนห่วงใย พระโอรสธิดา ย่อมจะไม่ทรงให้พระโอรส ธิดาพรากจากไปได้ หาก
พระองค์ทรง ปรารถนาจะบาเพ็ญทานจริง ก็โปรดยกให้หม่อมฉันเสียแต่บัดนี้เถิด"
พระเวสสันดรจนพระทัยจึงตรัสเรียกหาพระโอรสธิดา แต่พระชาลีกัณหาซึ่งแอบฟัง
ความอยู่ใกล้ๆ ได้ ทราบว่า พระบิดาจะยกตน ให้แก่ชูชก ก็ทรงหวาดกลัว จึงพากันไป
หลบซ่อน โดยเดินถอยหลังลงสู่สระบัว เอาใบบัว บังเศียรไว้ ชูชกเห็นสองกุมาร
หายไป จึงทูลประชดประชันพระเวสสันดรว่าไม่เต็มพระทัย บริจาคจริง ทรงให้
สัญญาณสองกุมารหนีไปซ่อนตัวเสียที่อน พระเวสสันดร จึงทรงต้องออกมาตามหา
                                        ื่
พระชาลีกัณหา
ครั้นทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าเดินขึ้นมาจากสระ จึงตรัสเรียกพระโอรสธิดาว่า
"ชาลีกัณหา เจ้าจงขึ้นมาหาพ่อเถิด หากเจ้านิ่งเฉยอยู่ พราหมณ์เฒ่าก็จะเยาะเย้ยว่า
พ่อนี้ ไร้วาจาสัตย์ พ่อตั้งใจจะบาเพ็ญทานบารมี เพื่อสละละกิเลสให้บรรลุพระ
โพธิญาณ จะได้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ในภายภาคหน้า ให้พ้นจากทุกข์แห่ง
การเวียนว่ายตายเกิด เจ้าจงมาช่วยพ่อประกอบการบุญเพื่อบรรลุผล คือ พระ
โพธิญาณนั้นเถิด"
ทังสองกุมารทรงได้ยินพระบิดาตรัสเรียก ก็ทรงราลึกได้ถึงหน้าที่ของบุตรที่ดี ที่ต้อง
   ้
เชื่อฟังบิดามารดา ราลึกได้ถึงความพากเพียรของพระบิดาที่จะประกอบ บารมีเพื่อ
ความหลุดพ้นจากกิเลส ทั้งยังราลึกถึงขัตติยะมานะว่าทรงเป็น โอรสธิดากษัตริย์
ไม่สมควรจะหวาดกลัวต่อสิ่งใด จึงเสด็จขึ้นมาจากสระบัว พระบิดาก็จูงทั้งสอง
พระองค์มาทรงบริจาคเป็นทานแก่ชูชก
ชูชกครั้นได้ตัวพระชาลีกัณหาเป็นสิทธิขาดแล้ว ก็แสดงอานาจฉุดลากเอาสอง
กุมารเข้าป่าไป เพื่อจะให้เกิดความยาเกรงตน พระเวสสันดรทรง
 สงสารพระโอรสธิดา แต่ก็ไม่อาจทาประการใดได้เพราะทรงถือ
 ว่า ได้บริจาคเป็นสิทธิแก่ชูชกไปแล้ว
ครั้นพระนางมัทรีทรงกลับมาจากป่าในเวลาพลบค่า เที่ยวตามหาโอรสธิดาไม่พบ ก็
มาเฝ้าทูลถามจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรจะทรงตอบความจริงก็เกรงว่า นางจะ
ทนความเศร้าโศกมิได้ จึงทรงแกล้งตาหนิว่านางไปป่าหาผลไม้กลับมาจนเย็นค่า คง
จะรื่นรมย์มากจนลืมนึกถึงโอรสธิดาและสวามีที่คอยอยู่
พระนางมัทรี ได้ทรงฟัง ก็เสียพระทัย ทูลตอบว่า
"เมื่อหม่อมฉันจะกลับอาศรม มีสตว์ร้ายวนเวียนดักทางอยู่ หม่อมฉันจะมา ก็มามิได้
                                ั
จนเย็นค่า สัตว์รายเหล่านั้นจึงจากไป หม่อมฉันมีแต่ความสัตย์ซื่อ มิได้เคยนึกถึง
                ้
ความสุขสบายส่วนตัวเลยแม้แต่น้อยนิด บัดนีลูกของหม่อมฉันหายไป จะเป็นตาย
                                           ้
ร้ายดีอย่างไรก็มิทราบ หม่อมฉันจะเที่ยวติดตามหาจนกว่าจะพบลูก"
พระนางมัทรีทรงออกเที่ยวตามหาพระชาลีกัณหาตามรอบบริเวณศาลา เท่าไรๆ ก็มิได้
พบจนในที่สุด พระนางก็สิ้นแรงถึงกับสลบไป พระเวสสันดรทรงเวทนา จึงทรงนาน้า
เย็นมาประพรมจนนางฟื้นขึ้น ก็ตรัสเล่าว่าได้บริจาค โอรสธิดาแก่พราหมณ์เฒ่าไป
แล้ว ขอให้พระนางอนุโมทนาในทานบารมีที่ทรงกระทา ไปนั้นด้วยบุตรทานที่พระราช
สวามีทรงบาเพ็ญ และมีพระทัยค่อยบรรเทาจากความโศกเศร้า
ฝ่ายท้าวสักกะเทวราชทรงเล็งเห็นว่า หากมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรีไป พระเวสสันดร
ก็จะทรงลาบาก ไม่อาจบาเพ็ญเพียรได้เต็มความปรารถนา เพราะต้องทรงแสวงหา
อาหารประทังชีวิต ท้าวสักกะจึงแปลงองค์เป็นพราหมณ์ มาขอรับบริจาคพระนางมัทรี
พระเวสสันดร ก็ทรงปิติยินดีที่จะได้ประกอบทารทาน
คือ การบริจาคภรรยาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น พระนางมัทรีก็ทรงเต็มพระทัยที่จะ
ได้ทรงมีส่วนในการ บาเพ็ญทานบารมีตามที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระทัยไว้
เมื่อได้รับบริจาคแล้ว ท้าวสักกะก็ทรงกลับคืนร่างดังเดิม และตรัสสรรเสริญอนุโมทนา
ในกุศลแห่งทานบารมีของพระเวสสันดร แล้วถวายพระนางมัทรีกลับคืนแด่พระ
เวสสันดร พระเวสสันดรจึงได้ทรงประกอบบุตรทารทาน อันยากทีผใดจะกระทาได้
                                                              ่ ู้
สมดังที่ได้ตั้งพระทัย ว่าจะบริจาคทรัพย์ของพระองค์เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น โดย
ปราศจากความหวงแหนเสียดาย
ฝ่ายชูชกพาสองกุมารเดินทางมาในป่า ระหกระเหินได้รับความลาบากเป็นอันมาก
และหลงทางไปจนถึงเมืองสีวี บังเอิญผ่านไปหน้าที่ประทับ พระเจ้าสัญชัยทรงทอด
พระเนตรเห็นพระนัดดาทั้งสองก็ทรง
จาได้ จึงให้เสนาไปพาเข้ามาเฝ้า ชูชกทูลว่า พระเวสสันดรทรงบริจาคพระชาลีกัณหาให้เป็น
ข้าทาสของตนแล้ว บรรดาเสนาอามาตย์และประชาชนทั้งหลาย ต่างก็พากันสงสารพระ
กุมารทั้งสอง และ ตาหนิพระเวสสันดรที่มิได้ทรงห่วงใยพระโอรสธิดา
พระชาลีเห็นผู้อื่นพากันตาหนิติเตียนพระบิดาจึงทรงกล่าวว่า
"เมื่อพระบิดาเสด็จไปผนวชอยู่ในป่า มิได้ทรงมีสมบัติใดติดพระองค์ไป แต่ทรงมีพระทัยแน่ว
แน่ที่จะสละกิเลส ไม่หลงใหลหวงแหนในสมบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้บุคคลอันเป็นที่รักก็ย่อมสละ
ได้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะทรงมีพระทัยมั่นในพระโพธิญาณในภายหน้า ความรัก ความ
หลง ความโลภ ความโกรธ เป็นกิเลสที่ขวางกั้นหนทางไปสู่พระโพธิญาณ พระบิดาของ
หม่อมฉันสละกิเลสได้ดังนี้ จะมาตาหนิติเตียนพระองค์หาควรไม่"
พระเจ้าสัญชัยได้ทรงฟังดังนั้นก็ยินดี จึงตรัสเรียกพระชาลีให้เข้าไปหา แต่พระชาลี ยังคง
ประทับอยู่กับชูชก และทูลว่าพระองค์ยังเป็นทาสของชูชกอยู่ พระเจ้าสัญชัยจึงขอไถ่สอง
กุมารจากชูชก
พระชาลีตรัสว่า พระบิดาตีค่าพระองค์ไว้พันตาลึงทอง แต่พระกัณหานั้นเป็นหญิง พระบิดา
จึงตีค่าตัวไว้สูง เพื่อมิให้ผู้ใดมาไถ่ตัวหรือซื้อ
ขายไปได้ง่ายๆ พระกัณหา นั้นมีค่าตัวเท่ากับทรัพย์เจ็ดชีวิต เจ็ดสิ่ง เช่น ข้าทาส หญิงชาย
เป็นต้น สิ่งละเจ็ดร้อย กับทองคาอีกร้อยตาลึง
พระเจ้าสัญชัยก็โปรดให้เบิกสมบัตท้องพระคลัง มาไถ่ตัวพระนัดดาจากชูชก และโปรดให้จัด
                                 ิ
ข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูชูชก เพื่อตอบแทนที่พาพระนัดดากลับมาถึงเมือง
ชูชกพราหมณ์เฒ่าขอทาน ไม่เคยได้บริโภคอาหารดีๆ ก็ไม่รู้จักยับยั้ง บริโภคมาจนทนไม่ไหว
ถึงแก่ความตายในที่สุด พระเจ้าสัญชัยโปรด ให้จัดการศพแล้วประกาศหาผู้รับมรดก ก็หามี
ผู้ใดมาขอรับไม่ หลังจากนั้น พระเจ้าสัญชัย จึงตรัสสั่งให้จัดกระบวนเสด็จเพื่อไปรับ พระ
เวสสันดรและพระนางมัทรีกลับคืนสู่เมืองสีวี เพราะบรรดาประชาชนก็พากันได้คิดว่า พระ
เวสสันดรได้ทรงประกอบทานบารมี อันยิ่งใหญ่กว่าทั้งหลายทั้งปวง ก็เพื่อประโยชน์ แห่ง
ผู้คนทั้งหลาย หาใช่เพื่อพระองค์เองไม่ เมื่อกระบวนไปถึงอาศรมริมสระโบกขรณี กษัตริย์ทั้ง
หกก็ทรงได้พบกันด้วยความโสมนัสยินดี
พระเจ้าสัญชัยจึงตรัสบอกพระเวสสันดรว่า ประชาชนชาวสีวีได้เห็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว และ
พากันร่าร้อง ได้ทูลเชิญเสด็จกลับเมืองสีวี พระ
เวสสันดร พระนางมัทรี และพระชาลีกณหา จึงได้เสด็จกลับเมือง พระเจ้าสัญชัยทรง
                                   ั
 อภิเษกพระเวสสันดรขึ้นครองเมืองสืบต่อไป
 ครั้นได้เป็นพระราชาแห่งสีวี พระเวสสันดรก็ทรงยึดมั่นในการประกอบทานบารมี ทรงตั้ง
 โรงทานบริจาคเป็นประจาทุกวัน ชาวเมืองสีวีตลอดจนบ้านเมืองใกล้เคียง ก็ได้รับพระ
 เมตตากรุณา มีความร่มเย็นเป็นสุข ชาวเมืองต่างก็เอื้อเฟือช่วยเหลือกัน มิได้โลภ
                                                       ้
 กระหายในทรัพย์สมบัติ ต่างก็มจิตใจผ่องใสเป็นสุข เหมือนดังที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระ
                               ี
 ปณิธานว่า
• พระองค์จะทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งปวง เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น
  ด้วยทรัพย์ทั้งหลาย ทาให้เกิดกิเลส คือความโลภ ความหลงหวงแหน
  เมื่อบริจาคทรัพย์แล้ว ผู้รบก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น และมีความชื่น
                             ั
  ชม ยินดี ผู้ให้ก็จะ อิ่มเอมใจว่าได้ทาประโยชน์แก่ผู้อื่น เกิดความปิติ
  ยินดีเช่นกัน ทั้งผู้ให้และผู้รับย่อมได้รบ ความสุขความพึงพอใจดังนี้
                                          ั
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน พระพุทธศาสนา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
    ๔ และ www.google.com
•

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3krutew Sudarat
 
นิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อย
นิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อยนิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อย
นิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อยkadsara2020
 
ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1krutew Sudarat
 
นิทานเรื่อง แก้วหน้าม้า
นิทานเรื่อง แก้วหน้าม้านิทานเรื่อง แก้วหน้าม้า
นิทานเรื่อง แก้วหน้าม้าjassikar
 
แผ่นพับพระอภัยมณี
แผ่นพับพระอภัยมณีแผ่นพับพระอภัยมณี
แผ่นพับพระอภัยมณีChantima Rodsai
 
9789740335726
97897403357269789740335726
9789740335726CUPress
 
นิทานเวตาลเรื่องที่3
นิทานเวตาลเรื่องที่3นิทานเวตาลเรื่องที่3
นิทานเวตาลเรื่องที่3จู ล่ง
 
ไพรมหากาฬ4
ไพรมหากาฬ4ไพรมหากาฬ4
ไพรมหากาฬ4krutew Sudarat
 
เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑jpamok
 
พุดซ้อนซ่อนกลิ่น
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นพุดซ้อนซ่อนกลิ่น
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นPanda Jing
 
พระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัด
พระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัดพระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัด
พระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัดTong Thitiphong
 
12 [compatibility mode]
12 [compatibility mode]12 [compatibility mode]
12 [compatibility mode]Krunoi Noi
 
เพชรพระอุมาบทที่๒
เพชรพระอุมาบทที่๒เพชรพระอุมาบทที่๒
เพชรพระอุมาบทที่๒jpamok
 
แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผนแผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผนChittraporn Phalao
 
ประวัตินางสงกรานต์
ประวัตินางสงกรานต์ประวัตินางสงกรานต์
ประวัตินางสงกรานต์Araya THerz
 

Was ist angesagt? (19)

ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3ไพรมหากาฬ3
ไพรมหากาฬ3
 
นิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อย
นิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อยนิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อย
นิทานหรรษา เรื่อง..เงือกน้อย
 
ดงมรณะ6
ดงมรณะ6ดงมรณะ6
ดงมรณะ6
 
ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1ไพรมหากาฬ1
ไพรมหากาฬ1
 
นิทานเรื่อง แก้วหน้าม้า
นิทานเรื่อง แก้วหน้าม้านิทานเรื่อง แก้วหน้าม้า
นิทานเรื่อง แก้วหน้าม้า
 
แผ่นพับพระอภัยมณี
แผ่นพับพระอภัยมณีแผ่นพับพระอภัยมณี
แผ่นพับพระอภัยมณี
 
9789740335726
97897403357269789740335726
9789740335726
 
นิทานเวตาลเรื่องที่3
นิทานเวตาลเรื่องที่3นิทานเวตาลเรื่องที่3
นิทานเวตาลเรื่องที่3
 
ไพรมหากาฬ4
ไพรมหากาฬ4ไพรมหากาฬ4
ไพรมหากาฬ4
 
Test conun
Test conunTest conun
Test conun
 
เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑เพชรพระอุมาบทที่๑
เพชรพระอุมาบทที่๑
 
สามัคคีเภทคำฉันท์2
สามัคคีเภทคำฉันท์2สามัคคีเภทคำฉันท์2
สามัคคีเภทคำฉันท์2
 
พุดซ้อนซ่อนกลิ่น
พุดซ้อนซ่อนกลิ่นพุดซ้อนซ่อนกลิ่น
พุดซ้อนซ่อนกลิ่น
 
พระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัด
พระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัดพระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัด
พระมหาชนกพร้อมแบบฝึกหัด
 
12 [compatibility mode]
12 [compatibility mode]12 [compatibility mode]
12 [compatibility mode]
 
เพชรพระอุมาบทที่๒
เพชรพระอุมาบทที่๒เพชรพระอุมาบทที่๒
เพชรพระอุมาบทที่๒
 
แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผนแผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
แผนผังความสัมพันธ์ของตัวละครเรื่อง ขุนช้างขุนแผน
 
ประวัตินางสงกรานต์
ประวัตินางสงกรานต์ประวัตินางสงกรานต์
ประวัตินางสงกรานต์
 
อนุตตรีย์ วัชรภา
อนุตตรีย์  วัชรภาอนุตตรีย์  วัชรภา
อนุตตรีย์ วัชรภา
 

Ähnlich wie พระเวสสันดร

มัทนะพาธา
มัทนะพาธามัทนะพาธา
มัทนะพาธาkrudow14
 
ลอยกระทง
ลอยกระทงลอยกระทง
ลอยกระทงwilasinee k
 
องค์พระปฐมเจดีย์...
องค์พระปฐมเจดีย์...องค์พระปฐมเจดีย์...
องค์พระปฐมเจดีย์...A'mp Minoz
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaratsamee1
 
แหล่ให้ทานช้าง
แหล่ให้ทานช้างแหล่ให้ทานช้าง
แหล่ให้ทานช้างTongsamut vorasan
 
งานนำเสนอไทย ตุกติก & เบล
งานนำเสนอไทย ตุกติก &  เบลงานนำเสนอไทย ตุกติก &  เบล
งานนำเสนอไทย ตุกติก & เบลอิ่' เฉิ่ม
 

Ähnlich wie พระเวสสันดร (20)

มัทนะพาธา
มัทนะพาธามัทนะพาธา
มัทนะพาธา
 
ขุนช้างขุนแผนฉบับร้อยแก้ว
ขุนช้างขุนแผนฉบับร้อยแก้วขุนช้างขุนแผนฉบับร้อยแก้ว
ขุนช้างขุนแผนฉบับร้อยแก้ว
 
ลอยกระทง
ลอยกระทงลอยกระทง
ลอยกระทง
 
องค์พระปฐมเจดีย์...
องค์พระปฐมเจดีย์...องค์พระปฐมเจดีย์...
องค์พระปฐมเจดีย์...
 
มหาชาติ
มหาชาติมหาชาติ
มหาชาติ
 
เล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอีเล่าขานบ้านคำชะอี
เล่าขานบ้านคำชะอี
 
มหาเวสสันดรชาดก
มหาเวสสันดรชาดกมหาเวสสันดรชาดก
มหาเวสสันดรชาดก
 
Ppt 1
Ppt 1Ppt 1
Ppt 1
 
แนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอราชสาส์น
แนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอราชสาส์นแนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอราชสาส์น
แนะนำจังหวัดฉะเชิงเทรา อำเภอราชสาส์น
 
อิเหนา
อิเหนาอิเหนา
อิเหนา
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
นำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานItaนำเสนอผลงานIta
นำเสนอผลงานIta
 
แหล่ให้ทานช้าง
แหล่ให้ทานช้างแหล่ให้ทานช้าง
แหล่ให้ทานช้าง
 
งานนำเสนอไทย ตุกติก & เบล
งานนำเสนอไทย ตุกติก &  เบลงานนำเสนอไทย ตุกติก &  เบล
งานนำเสนอไทย ตุกติก & เบล
 
มิลินทปัญหา
มิลินทปัญหามิลินทปัญหา
มิลินทปัญหา
 

พระเวสสันดร

  • 1. จัดทาโดย น.ส.เกวลิน เจียมอนันท์กุล เลขที่ 14 น.ส.ผกาวรรณ ทัพสัมพันธ์ เลขที่ 17 น.ส.ศุภนิดา แดงวิเชียร เลขที่ 19 น.ส.สิริกัญญา บุญมีสุข เลขที่ 34 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 เสนอ อ.วิสัยธรรม พุทธชาติ โรงเรียนถาวรานุกูล จังหวัดสมุทรสงคราม
  • 2. รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ส.31101 พระพุทธศาสนา จัดทาขึ้นเพื่อสรุปเรื่องบทเรียนและวิเคราะห์เรื่องในบทเรียนได้ ข้าพเจ้าหวังว่ารายงานเล่มนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้างไม่ มากก็น้อยและหากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
  • 3. พระเจ้าสัญชัย ทรงครองราชสมบัติเมืองสีวี มีพระมเหสีทรงพระนามว่า พระนางผุสดี ธิดาพระเจ้ากรุงมัททราช พระนางผุสดีนี้ในชาติก่อนๆ ได้เคยถวาย แก่นจันทน์หอม เป็นพุทธบูชาและอธิษฐานขอให้ได้เป็นพุทธมารดาพระพุทธเจ้า ในกาลอนาคต ครั้นเมื่อนางสิ้นชีวิตก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลก เมื่อถึงวาระที่จะต้องจุติมาเกิดในโลก มนุษย์ พระ อินทร์ได้ประทานพรสิบประการแก่นาง พรสิบประการมีดังนี้ ๑. ขอให้เกิดในกรุงมัททราช แคว้นสีพี ๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดาขลับดั่งลูกเนื้อทราย ๓. ขอให้คิ้วคมขาดั่งสร้อยคอนกยูง ๔. ขอให้ได้นาม "ผุสดี" ดังภพเดิม
  • 4. ๕. ขอให้มีพระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป ๖. ขอให้พระครรภ์งาม ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ ๗. ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง ๘. ขอให้เส้นพระเกศาดาขลับตลอดชาติ ๙. ขอให้ผิดพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคาธรรมชาติ ๑๐. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้ มาเกิดเป็นพระธิดาเจ้าเมืองมัททราช แคว้นสีพี หรือ สีวี และเมื่อเจริญวัยได้อภิเสกสมรสกับ พระเจ้ากรุงสัญชัย ครั้นเมื่อพระนางผุสดีทรงครรภ์ใกล้กาหนดประสูติ พระนางปรารถนาไปเที่ยวชมตลาด ร้านค้า บังเอิญในขณะเสด็จประพาสนั้น พระนางทรงเจ็บครรภ์และประสูติพระโอรสใน บริเวณย่านนั้น พระโอรสจึงทรงพระนามว่า เวสสันดร หมายถึง ในท่ามกลางระหว่างย่าน ค้าขาย พร้อมกับที่พระโอรสประสูติ ช้างต้นของ พระเจ้าสัญชัยก็ตกลูกเป็นช้างเผือกเพศผู้ ได้รับชื่อว่า ปัจจัยนาค เป็นช้างต้นคู่บุญพระเวสสันดร เมื่อพระกุมารเวสสันดรทรงเจริญวัยขึ้น ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการบริจาคทาน มักขอ พระราชทานทรัพย์จากพระบิดามารดา เพื่อบริจาคแก่ประชาชนอยู่เป็นนิตย์ ทรงขอให้พระ บิดาตั้งโรงทานสี่มุมเมือง เพื่อ
  • 5. บริจาคข้าวปลาอาหารและสิ่งของจาเป็น แก่ประชาชน และหากมีผู้มาทูลขอสิ่งหนึ่ง สิ่งใด พระองค์ก็จะทรงบริจาคให้โดยมิได้เสียดาย ด้วยทรงเห็นว่า การบริจาคนั้นเป็นกุศลเป็น คุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ ทั้งแก่ผู้รับและผู้ให้ ผู้รับก็จะพ้นความเดือดร้อน ผู้ให้ก็จะอิ่มเอิบ เป็นสุขใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น และยังทาให้พ้นจากความโลภความตระหนี่ถี่เหนียวในทรัพย์ สมบัติของตนอีกด้วย พระเกียรติคุณของพระเวสสันดรเลื่องลือไปทั่วทุกทิศว่าทรงมีจิต เมตตาแก่ผู้อื่นมิได้ ทรงเห็นแก่ความสุขสบายหรือเห็นแก่ทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ มิได้ทรง หวงแหนสิ่งใด ไว้สาหรับพระองค์ • อยู่มาครั้งหนึ่งในเมืองกลิงคราษฏร์เกิดข้าวยากหมายแพงเพราะฝนแล้ง ทาให้เพาะปลูก ไม่ได้ ราษฎร์อดอยากได้รับความเดือนร้อนสาหัส ประชาชน ชาวกลิงคราษฏร์พากันไปเฝ้า พระราชา ทูลว่าในเมืองสีวีนั้นมีช้างเผือกคู่บุญพระเวสสันดร ชื่อว่า ช้างปัจจัยนาค เป็นช้างมี อานาจพิเศษ ถ้าอยู่เมืองใด จะทาให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์จะบริบรณ์ ขอให้ ู พระเจ้ากลิงคราษฏร์ ส่งทูตเพื่อไปทูลขอช้างจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรก็จะทรงบริจาค ให้เพราะพระองค์ไม่เคยขัดเมื่อมีผู้ทูลขอสิ่งใด
  • 6. พระเจ้ากลิงคราษฏร์จึงส่งพราหมณ์แปดคนไปเมืองสีวี ครั้นเมื่อพราหมณ์ได้พบ พระ เวสสันดรขณะเสด็จประพาสพระนคร ประทับบนหลังช้างปัจจัยนาค พราหมณ์จึง ทูล ขอช้างคู่บุญเพื่อดับทุกข์ชาวกลิงคราษฏร์ พระเวสสันดรก็โปรดประทานให้ตามที่ขอ ชาวสีวีเห็นพระเวสสันดรทรงบริจาคช้างปัจจัยนาคคู่บ้านคู่เมืองไป ดังนั้น ก็ไม่พอใจ พากันโกรธเคืองว่าต่อไปบ้านเมืองจะลาบาก เมื่อไม่มีช้างปัจจัยนาคเสียแล้ว จึงพากันไปเข้าเฝ้าพระเจ้าสัญชัย ทูลกล่าวโทษพระเวสสันดรว่าบริจาคช้าง คู่บ้านคู่เมือง แก่ชาวเมืองอื่นไป ขอให้ขับพระเวสสันดรไปเสียจากเมืองสีวี พระ เจ้าสัญชัยไม่อาจขัดราษฏรได้ จึงจาพระทัยมีพระราชโองการให้ขับพระเวสสันดร ออกจากเมืองไป พระเวสสันดรไม่ทรงขัดข้อง แต่ทลขอพระราชทานโอกาสบริจาค ู ทาน ครั้งใหญ่ก่อนเสด็จออกจากพระนคร พระบิดาก็ทรงอนุญาตให้พระเวสสันดร ทรงบริจาค สัตสดกมหาทาน คือบริจาค ทานเจ็ดสิ่ง สิ่งละเจ็ดร้อย แก่ประชาชนชาวสี วี เมื่อพระนางมัทรี พระมเหสีของพระเวสสันดรทรงทราบว่า ประชาชนขอให้ขับพระ เวสสันดร ออกจากเมือง ก็กราบทูลพระเวสสันดรว่า
  • 7. "พระองค์เป็นพระราชสวามีของหม่อมฉัน พระองค์เสด็จไปที่ใด หม่อมฉันจะขอ ติดตาม ไปด้วยทุกหนทุกแห่ง มิได้ย่อท้อต่อความ ลาบาก ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยา แล้ว ย่อมต้อง อยู่เคียงข้างกันในทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่ายามสุข หรือทุกข์ โปรดประทาน อนุญาติให้หม่อมฉัน ติดตามไปด้วยเถิด" พระเวสสันดรไม่ทรงประสงค์ให้พระนางมัทรี ติดตามพระองค์ไป เพราะการเดินทาง ไปจาก พระนครย่อมมีแต่ความยากลาบาก ทั้งพระองค์ เองก็ทรงปรารถนาจะเสด็จ ไปประทับบาเพ็ญ ศีลภาวนาอยู่ในป่า พระนางมัทรีไม่คุ้นเคยต่อสภาพเช่นนั้น ย่อม จะต้องลาบากยากเข็ญทั้ง อาหารการกินและความเป็นอยู่ แต่ไม่ว่าพระเวสสันดรจะ ตรัสห้ามปรามอย่างไร นาง ก็มิยอมฟัง บรรดาพระประยูรญาติ ก็พากันอ้อนวอน ขอร้อง พระนางก็ทรงยืนกรานว่า จะติดตามพระราชสวามีไปด้วย พระนางผุสดีจึงทรงไปทูลขอพระเจ้าสัญชัย มิให้ขบพระเวสสันดรออกจากเมือง พระ ั เจ้าสัญชัยตรัสว่า "บ้านเมืองจะเป็นสุขได้ก็ต่อ เมื่อราษฏรเป็นสุข พระราชาจะเป็นสุขได้
  • 8. ก็ เมื่อราษฏรเป็นสุข ถ้าราษฏรมีความทุกข์ พระราชาจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร ราษฏรพากัน กล่าวโทษพระเวสสันดรว่าจะทาให้บ้านเมือง ยากเข็ญ เราจึง จาเป็นต้องลงโทษ แม้ว่าพระเวสสันดรจะเป็นลูกของเราก็ตาม" ไม่ว่าผู้ใดจะห้ามปรามอย่างไร พระนางมัทรีก็จะตามเสด็จพระเวสสันดรไป ให้จงได้ พระเจ้าสัญชัยและพระนางผุสดีจึงขอเอา พระชาลี พระกัณหา โอรส ธิดาของพระเวสสันดรไว้ แต่พระนางมัทรีก็ไม่ยินยอม ทรงกล่าวว่า "เมื่อชาวเมืองสีวีรังเกียจพระเวสสันดร ให้ขับไล่ไปเสียดังนี้ พระโอรสธิดาจะ อยู่ต่อไปได้อย่างไร ชาวเมืองโกรธแค้นขึ้นมา พระชาลีกัณหาก็จะทรงได้รับ ความลาบาก จึงควรที่จะออกจากเมืองไปเสียพร้อม พระบิดาพระมารดา" ในที่สุดพระเวสสันดร พร้อมด้วยพระมเหสี และโอรสธิดาก็ออกจากเมืองสีวี ไป แม้ใน ขณะนั้น
  • 9. ชาวเมือง ยังตามมาทูลขอรถพระที่นั่ง ทั้งสี่พระองค์จึงต้องทรง ดาเนินด้วยพระบาทออกจากเมืองสีวมุ่งไปสูป่า เพื่อบาเพ็ญพรตภาวนา ี ่ ครั้นเสด็จมาถึงเมืองมาตุลนคร บรรดากษัตริยเ์ จตราชทรงทราบข่าว จึงพา กันมาต้อนรับ พระเวสสันดร ทรงถามถึงทางไปสู่เขาวงกต กษัตริย์เจตราชก็ ทรงบอกทางให้และเล่าว่า เขาวงกตนั้นต้องเดินทางผ่านป่าใหญ่ที่เต็ม ไป ด้วยอันตราย แต่เมื่อไปถึงสระโบกขรณีแล้ว ก็จะเป็นบริเวณร่มรื่น สะดวกสบาย มีต้นไม้ผล ที่จะใช้เป็นอาหารได้ นอกจากนี้กษัตริย์เจตราช ยัง ได้สั่งให้ พรานป่าเจตบุตร ซึ่งเป็นผู้ชานาญ ป่าแถบนั้น ให้คอยเฝ้า ระแวดระวังรักษาต้นทาง ที่จะไปสู่เขาวงกต เพื่อมิให้ผู้ใดไปรบกวน พระเวสสันตรในการบาเพ็ญพรต เว้นแต่ทูต จากเมืองสีวีที่จะมา ทูลเชิญเสด็จกลับนครเท่านั้น ที่จะยอมให้ผ่านเข้าไปได้
  • 10. เมื่อเสด็จไปถึงบริเวณสระโบกขรณีอันเป็นที่ร่มรื่นสบาย พระเวสสันดร พระนางมัทรี ตลอดจนพระโอรสธิดา ก็ผนวชเป็นฤาษี บาเพ็ญพรตภาวนาอยู่ ณ ที่นั้น โดยมีพรานป่าเจต บุตรคอยรักษาต้นทาง ณ ตาบลบ้านทุนนวิฐ เขตเมืองกลิงคราษฏร์ มีพราหมณ์เฒ่าชื่อ ชูชก หาเลี้ยงชีพด้วยการ ขอทาน ชูชก ขอทานจนได้เงินมามาก จะเก็บไว้ เองก็กลัวสูญหาย จึงเอาไปฝากเพื่อนพราหมณ์ไว้ อยู่มาวันหนึ่ง ชูชกไปหาพราหมณ์ที่ตน ฝากเงินได้ จะขอเงินกลับไป ปรากฎว่า พราหมณ์นั้นนาเงินไปใช้หมดแล้ว จะหามาใช้ให้ชู ชกก็หาไม่ทัน จึงจูงเอาลูกสาวชื่อ อมิตตดา มายกให้แก่ชูชก พราหมณ์กล่าวแก่ชูชกว่า "ท่านจงรับเอาอมิตตดาลูกสาวเราไปเถิด จะเอาไปเลี้ยงเป็นลูกหรือภรรยา หรือจะเอาไป เป็นทาสรับใช้ปรนนิบัติก็สุด แล้วแต่ท่านจะเมตตา" ชูชกเห็นนางอมิตตดาหน้าตาสะสวย งดงามก็หลงรัก จึงพานางไปบ้าน เลี้ยงดู นางในฐานะ ภรรยา นางอมิตตดาอายุยังน้อย หน้าตางดงาม และ
  • 11. มีความกตัญญู ต่อพ่อแม่ นางจึงยอมเป็นภรรยาชูชกผู้แก่เฒ่า รูปร่างหน้าตาน่ารังเกียจ อมิตตดา ปรนนิบัติชูชกอย่างภรรยาที่ดีจะพึงกระทาทุกประการ นางตักน้า ตาข้าว หุงหา อาหาร ดูแลบ้านเรือนไม่มีขาดตกบกพร่อง ชูชกไม่เคยต้องบ่นว่าหรือตักเตือนสั่งสอนแต่ อย่างใดทั้งสิ้น ความประพฤติที่ดีเพียบพร้อมของนาง อมิตตดาทาให้เป็นที่สรรเสริญของ บรรดา พราหมณ์ทั้งหลายในหมู่บ้านนั้น ในไม่ช้า บรรดาพราหมณ์เหล่านั้นก็พากันตาหนิติ เตียนภรรยาของตนที่มิได้ประพฤติตนเป็น แม่บ้านแม่เรือนอย่างอมิตตดา บางบ้านก็ถึงกับ ทุบตีภรรยาเพื่อให้รู้จักเอาอย่างนาง เหล่านางพราหมณีทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน ก็พา กันโกรธแค้นนางอมิตตดา ว่าเป็นต้นเหตุ วันหนึ่งขณะที่นางไปตักน้าในหมู่บ้าน บรรดานางพราหมณีก็รุมกันเย้ยหยันที่นางมีสามีแก่ หน้าตาน่าเกลียดอย่างชูชก นางพราหมณีพากันกล่าวว่า "นางก็อายุน้อย หน้าตางดงาม ทาไมมา ยอมอยู่กับเฒ่าชรา น่ารังเกียจอย่างชูชก หรือว่า กลังจะหาสามีไม่ได้ มิหนาซ้ายังทา ตนเป็นกาลกิณี พอเข้ามาในหมู่บ้านก็ทาให้ ชาวบ้านสิ้น ความสงบสุข เขาเคยอยู่กันมาดีๆ พอนางเข้ามาก็เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า หาความสงบ ไม่ได้
  • 12. นางอย่าอยู่ในหมู่บ้านนี้เลย จะไปไหนก็ไปเสียเถิด" ไม่เพียงกล่าววาจาด่าทอ ยังพากันหยิกทึ้ง ทาร้ายนางอมิตตดา จนนางทนไม่ได้ ต้องหนี กลับบ้านร้องไห้ มาเล่าให้ชูชกฟัง ชูชกจึงบอกว่าต่อไปนี้นางไม่ต้องทาการ งานสิ่งใด ชูชกจะเป็นฝ่ายทาให้ทุกอย่าง นางอมิตต ดาจึงว่า "ภรรยาที่ดีจะทาเช่นนั้นได้อย่างไร จะปล่อยให้สามีมาปรนนิบัติรับใช้ เราทาไม่ได้หรอก ลูก หญิงที่พ่อแม่อบรมสั่งสอนมาดี ย่อมจะไม่นั่งนอนอยู่เฉยๆ ดีแต่ชี้นิ้วให้ผู้อื่นปรนนิบัติตน นี่ แน่ะ ชูชก ถ้าท่านรักเราจริง ท่านจงไปหาบริวารมาปรนนิบัติรับใช้เราดีกว่า" ชูชกได้ฟังดังนั้นก็อัดอั้นตันใจ ไม่รู้จะไปหาข้าทาสหญิงชายมาจากไหน นางอมิตตดา จึง แนะว่า "ขณะนี้ พระเวสสันดรเสด็จออกมา จากเมืองสีวี มาทรงบาเพ็ญพรตอยู่ในป่า เขาวงกต พระองค์เป็นผู้ใฝ่ในการบริจาคทาน ท่านจงเดินทางไปขอบริจาคพระชาลีกัณหา โอรสธิดา ของพระเวสสันดรมาเป็นข้าทาส ของเราเถิด" ชูชกไม่อยากเดินทางไปเลยเพราะกลัวอันตรายในป่า แต่ครั้นจะไม่ไปก็กลัวนางอมิตตดาจะ ทอดทิ้ง ไม่ยอมอยู่กับตน
  • 13. ในที่สุดชูชกจึงตัดสินใจเดินทางไปเขาวงกตเพื่อทูลขอพระชาลีกณหา เมื่อไปถึง ั บริเวณปากทางเข้าสู่เขาวงกต ชูชกก็ได้พบพรานเจตบุตรผู้รกษาปากทาง หมาไล่เนื้อ ั ที่พรานเลี้ยงไว้พากันรุมไล่ตอนชูชกขึ้นไปจนมุมอยู่บนต้นไม้ ้ เจตบุตรก็เข้า ไปตะคอกขู่ ชูชกนันเป็นคนมีไหวพริบ สังเกตดูเจตบุตรก็รู้ว่า ้ เป็นคนซื่อสัตย์ มีฝีมือเข้มแข็ง แต่ขาดไหวพริบ จึงคิดจะใช้วาจาลวง เจตบุตรให้ หลงเชื่อ พาตนเข้าไปพบพระเวสสันดรให้ได้ ชูชกจึงกล่าวแก่เจตบุตรว่า "นี่แนะ เจ้าพรานป่าหน้าโง่ เจ้าหารู้ไม่ว่าเราเป็นใคร ผู้อื่นเขา จะเดินทางมาให้ ยากลาบากทาไมจนถึงนี่ เรามาในฐานะทูต ของพระเจ้าสัญชัย เจ้าเมืองสีวี จะมาทูล พระเวสสันดรว่า บัดนี้ชาวเมืองสีวีได้คิดแล้ว จะมาทูล เชิญเสด็จ กลับพระนคร เรา เป็นผู้มาทูลพระองค์ไว้ก่อน เจ้ามัวมาขัดขวางเราอยู่ อย่างนี้ เมื่อไรพระเวสสันดรจะ ได้ เสด็จคืนเมือง" เจตบุตรได้ยินก็หลงเชื่อ เพราะมีความจงรักภักดี อยากให้พระเวสสันดรเสด็จกลับ เมืองอยู่แล้ว จึงขอโทษชูชก จัดการหาอาหารมา
  • 14. เลี้ยงดู แล้วชี้ทางให้เข้าไปสู่อาศรม ที่พระเวสสันดรบาเพ็ญพรตภาวนาอยู่ เมื่อชูชกมาถึงอาศรมก็คดได้ว่า หากเข้าไปทูลขอ พระโอรสธิดาในขณะพระนางมัทรี ิ อยู่ด้วย พระนางคงจะไม่ยินยอมยกให้เพราะความรัก อาลัยพระโอรสธิดา จึงควรจะ รอจนพระนางเสด็จไปหาผลไม้ในป่าเสียก่อน จึงค่อยเข้า ไปทูลขอต่อพระเวสสันดร เพียงลาพัง ในวันนั้น พระนางมัทรีทรงรู้สึกไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะในตอนกลางคืน พระนางทรงฝันร้ายว่า มีบรุษร่างกายกายา ถือดาบ มาตัด ุ แขนซ้ายขวาของพระนางขาด ออกจากกาย บุรุษนั้นควักดวงเนตร ซ้ายขวา แล้วยังผ่าเอาดวงพระทัยพระนางไปด้วย พระนางมัทรี ทรงสังหรณ์ว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น จึงทรงละล้าละลังไม่อยากไปไกลจาก อาศรม แต่ ครั้นจะไม่เสด็จไปก็จะไม่มีผลไม้มาให้พระเวสสันดรและโอรสธิดาเสวย พระนางจึงจูง โอรสธิดาไปทรงฝากฝังกับ พระเวสสันดรขอให้ทรงดูแล ตรัสเรียกหา ให้เล่นอยูใกล้ๆ ่ บรรณศาลา พร้อมกับเล่าความฝันให้พระเวสสันดรทรงทราบ พระเวสสันดรทรงหยั่งรู้ว่าจะมีผู้มาทูลขอพระโอรสธิดา แต่ครั้นจะบอกความตามตรง พระนางมัทรีก็คงจะทนไม่ได้ พระองค์เองนั้น ตั้ง
  • 15. พระทัยมั่นว่าจะบริจาคทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกประการในกายนอกกาย แม้แต่ชีวิตและ เลือด เนื้อของพระองค์ หากมีผู้มาทูลขอก็จะ ทรงบริจาคให้โดยมิได้ทรงเสียดายหรือหวาดหวั่น พระเวสสันดรจึงตรัสกับพระนางมัทรีว่าจะดูแลพระโอรสธิดาให้ พระนางมัทรีจึงเสด็จไปหา ผลไม้ในป่าแต่ลาพัง ครั้นชูชกเห็นได้เวลาแล้ว จึงมุ่งมาที่อาศรม ได้พบพระชาลีพระกัณหาทรงเล่นอยู่หน้าอาศรม ก็แกล้งขู่ ให้สองพระองค์ตกพระทัยเพื่อข่มขวัญไว้ก่อน แล้วชูชกพราหมณ์เฒ่าก็เข้าไปเฝ้า พระเวสสันดรกล่าววาจากราบทูลด้วยโวหาร อ้อมค้อมลดเลี้ยว ชักแม่น้าทั้งห้า เพื่อทูลขอ พระโอรสธิดาไปเป็นข้าช่วงใช้ของตน พระเวสสันดรทรงมีพระทัยยินดีที่จะทรงกระทาบุตรทาน คือ การบริจาคบุตรเป็นทาน อัน หมายถึงว่า พระองค์เป็นผู้สละกิเลส ความหวงแหนในทรัพย์สมบัติทั้งปวง แม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รัก ก็สามารถสละ เป็นทานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ แต่พระองค์ทรงผัดผ่อนต่อชูชกว่า ขอให้ พระนางมัทรีกลับมาจากป่าได้ร่าลาโอรสธิดา เสียก่อนชูชกก็ไม่ยินยอม กลับทูลว่า "หากพระ นางกลับมา สัญชาตญาณแห่งมารดา ย่อมจะทาให้พระนางหวง
  • 16. แหนห่วงใย พระโอรสธิดา ย่อมจะไม่ทรงให้พระโอรส ธิดาพรากจากไปได้ หาก พระองค์ทรง ปรารถนาจะบาเพ็ญทานจริง ก็โปรดยกให้หม่อมฉันเสียแต่บัดนี้เถิด" พระเวสสันดรจนพระทัยจึงตรัสเรียกหาพระโอรสธิดา แต่พระชาลีกัณหาซึ่งแอบฟัง ความอยู่ใกล้ๆ ได้ ทราบว่า พระบิดาจะยกตน ให้แก่ชูชก ก็ทรงหวาดกลัว จึงพากันไป หลบซ่อน โดยเดินถอยหลังลงสู่สระบัว เอาใบบัว บังเศียรไว้ ชูชกเห็นสองกุมาร หายไป จึงทูลประชดประชันพระเวสสันดรว่าไม่เต็มพระทัย บริจาคจริง ทรงให้ สัญญาณสองกุมารหนีไปซ่อนตัวเสียที่อน พระเวสสันดร จึงทรงต้องออกมาตามหา ื่ พระชาลีกัณหา ครั้นทอดพระเนตรเห็นรอยเท้าเดินขึ้นมาจากสระ จึงตรัสเรียกพระโอรสธิดาว่า "ชาลีกัณหา เจ้าจงขึ้นมาหาพ่อเถิด หากเจ้านิ่งเฉยอยู่ พราหมณ์เฒ่าก็จะเยาะเย้ยว่า พ่อนี้ ไร้วาจาสัตย์ พ่อตั้งใจจะบาเพ็ญทานบารมี เพื่อสละละกิเลสให้บรรลุพระ โพธิญาณ จะได้เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ในภายภาคหน้า ให้พ้นจากทุกข์แห่ง การเวียนว่ายตายเกิด เจ้าจงมาช่วยพ่อประกอบการบุญเพื่อบรรลุผล คือ พระ โพธิญาณนั้นเถิด"
  • 17. ทังสองกุมารทรงได้ยินพระบิดาตรัสเรียก ก็ทรงราลึกได้ถึงหน้าที่ของบุตรที่ดี ที่ต้อง ้ เชื่อฟังบิดามารดา ราลึกได้ถึงความพากเพียรของพระบิดาที่จะประกอบ บารมีเพื่อ ความหลุดพ้นจากกิเลส ทั้งยังราลึกถึงขัตติยะมานะว่าทรงเป็น โอรสธิดากษัตริย์ ไม่สมควรจะหวาดกลัวต่อสิ่งใด จึงเสด็จขึ้นมาจากสระบัว พระบิดาก็จูงทั้งสอง พระองค์มาทรงบริจาคเป็นทานแก่ชูชก ชูชกครั้นได้ตัวพระชาลีกัณหาเป็นสิทธิขาดแล้ว ก็แสดงอานาจฉุดลากเอาสอง กุมารเข้าป่าไป เพื่อจะให้เกิดความยาเกรงตน พระเวสสันดรทรง สงสารพระโอรสธิดา แต่ก็ไม่อาจทาประการใดได้เพราะทรงถือ ว่า ได้บริจาคเป็นสิทธิแก่ชูชกไปแล้ว
  • 18. ครั้นพระนางมัทรีทรงกลับมาจากป่าในเวลาพลบค่า เที่ยวตามหาโอรสธิดาไม่พบ ก็ มาเฝ้าทูลถามจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรจะทรงตอบความจริงก็เกรงว่า นางจะ ทนความเศร้าโศกมิได้ จึงทรงแกล้งตาหนิว่านางไปป่าหาผลไม้กลับมาจนเย็นค่า คง จะรื่นรมย์มากจนลืมนึกถึงโอรสธิดาและสวามีที่คอยอยู่ พระนางมัทรี ได้ทรงฟัง ก็เสียพระทัย ทูลตอบว่า "เมื่อหม่อมฉันจะกลับอาศรม มีสตว์ร้ายวนเวียนดักทางอยู่ หม่อมฉันจะมา ก็มามิได้ ั จนเย็นค่า สัตว์รายเหล่านั้นจึงจากไป หม่อมฉันมีแต่ความสัตย์ซื่อ มิได้เคยนึกถึง ้ ความสุขสบายส่วนตัวเลยแม้แต่น้อยนิด บัดนีลูกของหม่อมฉันหายไป จะเป็นตาย ้ ร้ายดีอย่างไรก็มิทราบ หม่อมฉันจะเที่ยวติดตามหาจนกว่าจะพบลูก" พระนางมัทรีทรงออกเที่ยวตามหาพระชาลีกัณหาตามรอบบริเวณศาลา เท่าไรๆ ก็มิได้ พบจนในที่สุด พระนางก็สิ้นแรงถึงกับสลบไป พระเวสสันดรทรงเวทนา จึงทรงนาน้า เย็นมาประพรมจนนางฟื้นขึ้น ก็ตรัสเล่าว่าได้บริจาค โอรสธิดาแก่พราหมณ์เฒ่าไป แล้ว ขอให้พระนางอนุโมทนาในทานบารมีที่ทรงกระทา ไปนั้นด้วยบุตรทานที่พระราช สวามีทรงบาเพ็ญ และมีพระทัยค่อยบรรเทาจากความโศกเศร้า
  • 19. ฝ่ายท้าวสักกะเทวราชทรงเล็งเห็นว่า หากมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรีไป พระเวสสันดร ก็จะทรงลาบาก ไม่อาจบาเพ็ญเพียรได้เต็มความปรารถนา เพราะต้องทรงแสวงหา อาหารประทังชีวิต ท้าวสักกะจึงแปลงองค์เป็นพราหมณ์ มาขอรับบริจาคพระนางมัทรี พระเวสสันดร ก็ทรงปิติยินดีที่จะได้ประกอบทารทาน คือ การบริจาคภรรยาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น พระนางมัทรีก็ทรงเต็มพระทัยที่จะ ได้ทรงมีส่วนในการ บาเพ็ญทานบารมีตามที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระทัยไว้ เมื่อได้รับบริจาคแล้ว ท้าวสักกะก็ทรงกลับคืนร่างดังเดิม และตรัสสรรเสริญอนุโมทนา ในกุศลแห่งทานบารมีของพระเวสสันดร แล้วถวายพระนางมัทรีกลับคืนแด่พระ เวสสันดร พระเวสสันดรจึงได้ทรงประกอบบุตรทารทาน อันยากทีผใดจะกระทาได้ ่ ู้ สมดังที่ได้ตั้งพระทัย ว่าจะบริจาคทรัพย์ของพระองค์เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น โดย ปราศจากความหวงแหนเสียดาย ฝ่ายชูชกพาสองกุมารเดินทางมาในป่า ระหกระเหินได้รับความลาบากเป็นอันมาก และหลงทางไปจนถึงเมืองสีวี บังเอิญผ่านไปหน้าที่ประทับ พระเจ้าสัญชัยทรงทอด พระเนตรเห็นพระนัดดาทั้งสองก็ทรง
  • 20. จาได้ จึงให้เสนาไปพาเข้ามาเฝ้า ชูชกทูลว่า พระเวสสันดรทรงบริจาคพระชาลีกัณหาให้เป็น ข้าทาสของตนแล้ว บรรดาเสนาอามาตย์และประชาชนทั้งหลาย ต่างก็พากันสงสารพระ กุมารทั้งสอง และ ตาหนิพระเวสสันดรที่มิได้ทรงห่วงใยพระโอรสธิดา พระชาลีเห็นผู้อื่นพากันตาหนิติเตียนพระบิดาจึงทรงกล่าวว่า "เมื่อพระบิดาเสด็จไปผนวชอยู่ในป่า มิได้ทรงมีสมบัติใดติดพระองค์ไป แต่ทรงมีพระทัยแน่ว แน่ที่จะสละกิเลส ไม่หลงใหลหวงแหนในสมบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้บุคคลอันเป็นที่รักก็ย่อมสละ ได้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะทรงมีพระทัยมั่นในพระโพธิญาณในภายหน้า ความรัก ความ หลง ความโลภ ความโกรธ เป็นกิเลสที่ขวางกั้นหนทางไปสู่พระโพธิญาณ พระบิดาของ หม่อมฉันสละกิเลสได้ดังนี้ จะมาตาหนิติเตียนพระองค์หาควรไม่" พระเจ้าสัญชัยได้ทรงฟังดังนั้นก็ยินดี จึงตรัสเรียกพระชาลีให้เข้าไปหา แต่พระชาลี ยังคง ประทับอยู่กับชูชก และทูลว่าพระองค์ยังเป็นทาสของชูชกอยู่ พระเจ้าสัญชัยจึงขอไถ่สอง กุมารจากชูชก พระชาลีตรัสว่า พระบิดาตีค่าพระองค์ไว้พันตาลึงทอง แต่พระกัณหานั้นเป็นหญิง พระบิดา จึงตีค่าตัวไว้สูง เพื่อมิให้ผู้ใดมาไถ่ตัวหรือซื้อ
  • 21. ขายไปได้ง่ายๆ พระกัณหา นั้นมีค่าตัวเท่ากับทรัพย์เจ็ดชีวิต เจ็ดสิ่ง เช่น ข้าทาส หญิงชาย เป็นต้น สิ่งละเจ็ดร้อย กับทองคาอีกร้อยตาลึง พระเจ้าสัญชัยก็โปรดให้เบิกสมบัตท้องพระคลัง มาไถ่ตัวพระนัดดาจากชูชก และโปรดให้จัด ิ ข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงดูชูชก เพื่อตอบแทนที่พาพระนัดดากลับมาถึงเมือง ชูชกพราหมณ์เฒ่าขอทาน ไม่เคยได้บริโภคอาหารดีๆ ก็ไม่รู้จักยับยั้ง บริโภคมาจนทนไม่ไหว ถึงแก่ความตายในที่สุด พระเจ้าสัญชัยโปรด ให้จัดการศพแล้วประกาศหาผู้รับมรดก ก็หามี ผู้ใดมาขอรับไม่ หลังจากนั้น พระเจ้าสัญชัย จึงตรัสสั่งให้จัดกระบวนเสด็จเพื่อไปรับ พระ เวสสันดรและพระนางมัทรีกลับคืนสู่เมืองสีวี เพราะบรรดาประชาชนก็พากันได้คิดว่า พระ เวสสันดรได้ทรงประกอบทานบารมี อันยิ่งใหญ่กว่าทั้งหลายทั้งปวง ก็เพื่อประโยชน์ แห่ง ผู้คนทั้งหลาย หาใช่เพื่อพระองค์เองไม่ เมื่อกระบวนไปถึงอาศรมริมสระโบกขรณี กษัตริย์ทั้ง หกก็ทรงได้พบกันด้วยความโสมนัสยินดี พระเจ้าสัญชัยจึงตรัสบอกพระเวสสันดรว่า ประชาชนชาวสีวีได้เห็นสิ่งที่ถูกที่ควรแล้ว และ พากันร่าร้อง ได้ทูลเชิญเสด็จกลับเมืองสีวี พระ
  • 22. เวสสันดร พระนางมัทรี และพระชาลีกณหา จึงได้เสด็จกลับเมือง พระเจ้าสัญชัยทรง ั อภิเษกพระเวสสันดรขึ้นครองเมืองสืบต่อไป ครั้นได้เป็นพระราชาแห่งสีวี พระเวสสันดรก็ทรงยึดมั่นในการประกอบทานบารมี ทรงตั้ง โรงทานบริจาคเป็นประจาทุกวัน ชาวเมืองสีวีตลอดจนบ้านเมืองใกล้เคียง ก็ได้รับพระ เมตตากรุณา มีความร่มเย็นเป็นสุข ชาวเมืองต่างก็เอื้อเฟือช่วยเหลือกัน มิได้โลภ ้ กระหายในทรัพย์สมบัติ ต่างก็มจิตใจผ่องใสเป็นสุข เหมือนดังที่พระเวสสันดรทรงตั้งพระ ี ปณิธานว่า
  • 23. • พระองค์จะทรงบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งปวง เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น ด้วยทรัพย์ทั้งหลาย ทาให้เกิดกิเลส คือความโลภ ความหลงหวงแหน เมื่อบริจาคทรัพย์แล้ว ผู้รบก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้น และมีความชื่น ั ชม ยินดี ผู้ให้ก็จะ อิ่มเอมใจว่าได้ทาประโยชน์แก่ผู้อื่น เกิดความปิติ ยินดีเช่นกัน ทั้งผู้ให้และผู้รับย่อมได้รบ ความสุขความพึงพอใจดังนี้ ั