Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie เล่าขานบ้านคำชะอี (20)
Mehr von กัลยณัฏฐ์ สุวรรณไตรย์ (17)
เล่าขานบ้านคำชะอี
- 1. 1
เลาขานเรื่องบานคําชะอี
โดยณรงค อุปญญ
กอนเขามาอยู
ตรงที่เปนหมูบานคําชะอี กอนหนาที่จะกําเนิดเกิดเปนหมูบานนัน ไดเปนสวนหนึ่งของ
้
บริเวณดงหนาปาทึบอันกวางใหญ ซึ่งเปนดงที่อดมสมบูรณมากและมีเนินเขาหลายลูกที่เปนตน
ุ
กําเนิดของลําหวยหลายสายกระจัดกระจายอยู มีลําหวยทีใหญและยาวสุดที่สดในบริเวณนี้ ตนของ
่ ุ
ลําหวยสายนี้อยูที่ภูสีฐานอําเภอคําชะอี ไหลผานอําเภอหนองสูง อําเภอนิคมคําสรอย มีลําหวยหลาย
สายที่เกิดจากเนินเขาหลายลูกทีกลาวแลวไหลมาสมทบทําใหเปนลําหวยสายใหญ แลวไปตกแมน้ํา
่
โขงทีอําเภอดอนตาล ลําหวยสายใหญสายนี้เรียกวา "หวยบังอี่" ดงหนาปาทึบทังสองฟากฝงลํา
่ ้
หวยบังอี่นี้จึงเรียกวา "ดงบังอี" เปนดงทีกวางใหญกินเนือที่อําเภอคําชะอี อําเภอหนองสูง อําเภอ
่ ่ ้
นิคมคําสรอยและอําเภอดอนตาล ทังหมดนี้อยูในเขตจังหวัดมุกดาหาร
้
บรรพบุรุษเดิม
ผูไทยเราเคยมีประวัติเลาขานถึงความยิงใหญตงแตสมัย “อาณาจักรนานเจา” เรื่อยลง
่ ั้
มาถึง “สิบสองเจาไทย” หรือ “สิบสองจุไทย” ที่จะกลาวตอไปนี้จะกลาวเฉพาะเกี่ยวกับบรรพบุรุษ
ของผูไทยชาวบานคําชะอีพอสังเขปเทานัน ้
บรรพบุรุษของชาวบานคําชะอี ตําบลคําชะอี อําเภอคําชะอี จังหวัดมุกดาหาร เปนชนเผา
ผูไทยดํา เทาที่ผูรูคนพบไดบันทึกไววาเดิมผูไทยเผานี้มนิวาสถานอยูที่ เมืองแถน หรือ เมืองแถง
ี
(หรือ เมืองนานอยออยหนู หรือ เมืองน้ํานอยออยหนู) เมืองนี้ในปจจุบันคือ เมืองเดียนเบียนฟู ใน
ประเทศเวียดนาม
ที่เรียกวา ผูไทยดํา นั้น ไมใชวาผูไทยเผานี้มผิวสีดํา เพราะผิวผูไทยนันออกจะดําแดง ถึง
ี ้
ขาวแดง แตเรียกตามสีของเสื้อผาเครื่องแตงกายที่ผไทยเผานี้ชอบใชสดํา เพราะในสมัยนันชนเผานี้
ู ี ้
ไดรูจักกรรมวิธีสกัดสีจากพืชชนิดหนึ่ง เมือสกัดออกมาแลวจะไดสีเปนสีคราม ตอมาพืชชนิดนี้จึง
่
เรียกวา "ตนคราม" กรรมวิธีที่สกัดเอาสีจากตนครามนี้มขบวนการที่ซับซอนพอสมควร ซึ่ง
ี
นับเปนภูมปญญาอันสูงสงของบรรพบุรษสมัยนัน ที่ยงไมรูจักคําวา "เทคโนโลจี" เลย เมื่อนําผา
ิ ุ ้ ั
(ที่ผลิตดวยมือและมีขบวนการที่ซับซอนเชนกัน) มายอมกับสีที่สกัดไดนเี้ สร็จแลวจะไดผาสีดํา
คราม ซึ่งในความรูสึกของผูไทยเผานี้วาเปนสีที่สวยงามมาก จึงนิยมนําผาสีดําครามนี้มาตัดเย็บ
(ดวยมือ) เปนเสื้อ กางเกง ผาถุง หรือแมกระทั่งเครื่องนุงหมอื่นๆ เสื้อผาสีดําครามนี้จะเปนทีนิยม
่
ใสเปนประจําไมวาจะไปทํางาน (ทํานา ทําไร ทําสวน) หรือไปงานบุญประเพณี หรืองานพิธีตางๆ
- 2. 2
การแตงกายดวยเสือผาสีดํานี้จึงเปนเอกลักษณอยางหนึ่งของผูไทยเผานี้ จึงไดรับขนานนามวา "ผู
้
ไทยดํา"
สวนผูไทยอีกเผาหนึงอยูที่ "เมืองไล" ซึ่งเปนเมืองคูแฝดกับเมืองแถน เมืองนี้อยูตอน
่
เหนือของเมืองแถนขึนไปใกลกับดินแดนจีน คงจะยอมผาสีครามไดเชนเดียวกัน แตเนืองจากอยู
้ ่
ใกลจีน จึงมีรสนิยมไปทางจีน ซึ่งจีนนั้นชอบนุงขาวหมขาว ผูไทยเมืองไลนี้จึงนุงชอบขาวหมขาว
เหมือนชาวจีน เลยไดขนานนามวา "ผูไทยขาว"
อยูมาเมืองแถนเกิดทุพภิกขภัย คือภัยจากธรรมชาติ ฟาฝนไมตกตองตามฤดูกาล ขาวยาก
หมากแพง เจาเมืองไมสามารถแกปญหาได หนําซ้ําเจาเมืองอาจไปขมเหงรังแกชาวเมืองก็เปนได
ชาวเมืองแถนกลุมใหญกลุมหนึงจึงอพยพหนีลงมาอาศัยอยูกับเจาอนุรุธราชเจาเมืองเวียงจันทน
่
เจาเมืองเวียงจันทจึงใหผไทยกลุมนีไปอยูที่ "เมืองวัง" และตอมาไดขยับขยายไปเปนอีก
ู ้
หลายเมือง เชน เมืองบก เมืองผาบัง เมืองอางคํา เมืองพิน เมืองนอง เมืองเซโปน เมืองคําออ
เมืองเซียงฮม เมืองพาน เปนตน (เมืองเหลานี้อยูในแขวงสะหวันนะเขด ประเทศลาว)
บรรพบุรุษของชาวบานคําชะอีเปนชาวเมืองวัง
ถูกกวาดตอน
ประเทศลาวไดตกเปนเมืองขึ้นของสยามใยสมัยกรุงธนบุรี
พ.ศ. 2369 เจาอนุวงษเวียงจันทนเปนกบฏตอกรุงเทพ รัชกาลที่ 3 จึงโปรดฯ ใหกองทัพ
สยามขึ้นไปปราบไดสําเร็จและไดกวาดตอนผูคน รวมทังผูไทยเมืองตางๆ เขามาอยูทางฝงขวาของ
้
แมน้ําโขงดวย ผูไทยทีถูกกวาดตอนมานี้บางกลุมขออาศัยอยูใกลแมม้ําโขงเพราะใกลกับบานเกา
่
เมืองเกาทีเ่ คยอยูเดิม เชน ที่จังหวัดกาฬสินธุ จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม จังหวัด
มุกดาหาร เปนตน บางกลุมก็ใหไปอยูใกลๆ กับกรุงเทพฯ เชนที่อําเภอบานหมี่ จังหวัดลพบุรี ฯลฯ
ยังมีชาวผูไทยอีกเปนจํานวนมากที่ทิ้งบานทิงเมืองหลบหนีภัยสงครามเขาไปอยูปา ซึ่ง
้
กองทัพสยามไมสามารถกวาดตอนลงมาได ครั้นบานเมืองสงบจึงกลับออกมาตังบานตั้งเมืองอีก
้
ในปจจุบน ชาวผูไทยทีอยูทางฝงลาวจึงมีอยูมากมายหลายเมือง
ั ่
ผูไทยเมืองวังและเมืองคําออกลุมหนึงทีถูกกวาดตอนมา จํานวน 1,658 คน มี "ทาวสิงห"
่ ่
เจาเมืองคําออเปนผูนําไดขอเขาไปอยูกับ พระจันทรสุริยวงค (พรหม) เจาเมืองมุกดาหารคนที่ 3
(พ.ศ. 2384 – 2405) สันนิษฐานวา เจาเมืองมุกดาหารใหผูไทยกลุมนี้ไปอยูที่เมืองใหม ปจจุบันคือ
บริเวณตั้งแตสแยกไฟแดงขึ้นไปจนถึงสถานีขนสง พรอมทั้งที่ริมถนนพิทักษพนมเขตดานทิศ
ี่
เหนือตั้งแตสแยกไฟแดงจนเกือบถึงทางโคงเมืองใหม คือตรงขามกับโรงแรมมุกธาราขึ้นไปทาง
ี่
เหนือเกือบถึงชุมสายโทรศัพท ตอนนั้นเปน “ปาไมกุง ไมจิก ไมฮัง” ไดสัมภาษณ นาย
- 3. 3
ประดิษฐ สลางสิงห อายุ 63 ป เมือวันที่ 5 ต.ค. 2552 ไดยืนยันวา มีพนองชาวบานคําบกรุนปู
่ ี่
(ซึ่งเปนผูไทยเชื้อสายเดียวกับบานคําชะอี) กลุมหนึ่ง ไดยอนกลับขึ้นไปอยูบริเวณดังกลาวนี้เมื่อ
100 ปกวามานี้ เพราะคงจะเห็นวาเปนทีบรรพบุรุษเคยอยู และขณะนั้นกลายเปนที่รกรางวางเปลา
่
ไมมีเจาของ เมือขึ้นไปอยูแลวก็แผวถางเปนทีทํามาหากินและจับจองเปนของตน จนไดเปน
่ ่
เจาของที่ดนบริเวณนีอยางกวางขวาง อยูมาความเจริญเขามาถึงก็ไดแบงขายใหนักธุรกิจไปเสียเปน
ิ ้
สวนมาก โดยเฉพาะที่ตดกับถนนใหญ ในปจจุบันนี้ พี่นองของนายประดิษฐรนลูกรุนหลานก็
ิ ุ
ยังอยูที่นี่ และไปมาหาสูกนเปนระจํา และมีนามสกุล “สลางสิงห” ยกเวนผูหญิงทีแตงงานไปแลว
ั ่
สวนภาษาพูดนันเปนลาวไปแลว เพราะถูกลาวกลืน .
้
หาที่อยูใหม
อยูกบเจาเมืองมุกดาหารชั่วระยะหนึ่งก็ขออนุญาตจากเจาเมืองมุกดาหารออกสํารวจหา
ั
ทําเลที่จะตั้งหลักแหลงแหงใหม เมื่อไดรบอนุญาตแลวจึงใหคณะออกสํารวจเรื่อยมาทางทิศ
ั
ตะวันตกของเมืองมุกดาหาร โดยใหทาวสิงหเจาเมืองคําออเปนผูนํา (เมื่อรัชกาลที่ 3 โปรดเกลาใหตั้ง
หนองสูงเปน "เมืองหนองสูง" ทาวสิงหเจาเมืองคําออผูนก็ไดรับโปรดเกลาใหเปน "พระไกรสร
ี้
ราช" เจาเมืองหนองสูงคนแรก) ตอนแรกไดมาพักอยูทแหงหนึ่ง (อยูระหวางบานตากแดดและบาน
ี่
หนองเอียนทุง) แตเห็นวาบริเวณดังกลาว "เปนโคก เปนแหล เปนแฮ เปนทราย เอ็ดโสนมิพอได
่
เอ็ดไฮมิพอกิน" (เปนโคก เปนแหล เปนแห(ลูกรัง) เปนทราย ทําสวนไมพอได ทําไรไมพอกิน) ผู
๋
ไทยไมชอบอยู บริเวณทีผูไทยชอบอยูคือใกลภูเขา (มองเห็นภูเขาแลวรูสึกสบายใจ) ใกลสายน้ํา ลํา
่
หวย “ขึ้นบนภูใหไดกินกระรอก กระแต ลงในน้ําใหไดกนปลากังปูหน” จึงไดสํารวจตอเรื่อยลงมา
ิ ้ ิ
ทางทิศใตเขาสูดงบังอี่ซึ่งเปนดงหนาปาทึบ จนมาเห็นบริเวณแหงหนึงมีสายน้ําเล็กๆ และบริเวณ
่
รอบๆ ก็อดมสมบูรณชุมชื้นเหมาะแกการเพาะปลูก ชาวเมืองวังจึงตัดสินใจที่จะพักอยูที่นเี่ พื่อ
ุ
สํารวจที่ทางตอไป สวนชาวเมืองคําออนันไดเดินสํารวจตอลงไปทางทิศใตจนไดที่เหมาะสมแหง
้
หนึ่งซึ่งหางจากลงไปประมาณ 6 กิโลเมตร จึงพักและจับจองไวเพื่อที่จะตั้งเปนหลักแหลง ซึ่งใน
ปจจุบันนี้คอ บานหนองสูง
ื
ที่มาของชื่อหมูบาน
สาเหตุที่ตงชื่อของหมูบานวา "คําชะอี" นั้นไดมีผเู ลาใหฟง ซึ่งมีหลายความเห็น
ั้
ดังตอไปนี้
1. สายน้ําตรงที่ชาวเมืองวังพักอยูตอนแรกนีเ้ ปนสายน้ําซับ ซึ่งผูไทยเรียกวา "น้ําคํา" มี
น้ําใสเย็นไหลตลอดป ในปาบริเวณรอบๆ มีจกจั่นชนิดหนึงจํานวนเรือนหมื่นอาศัยอยู เสียงมันรอง
ั ่
- 4. 4
ที่หูผูไทยไดยนเปนเสียง "อี ๆ ๆ ๆ..." ลากเสียงยาวตอกัน ผูไทยจึงเรียกวา "จักจั่นแมงอี" ตามเสียง
ิ
รองของมัน ตอนกลางวันมันจะพากันบินลงกินน้ําที่สายน้าคํานี้ทุกวันจนสิ้นอายุขัยของมัน จึง
ํ
เรียกสายน้ําแหงนี้วา "สายคําแมงอี" อยูมาก็เพี้ยนเปน "คําสระอี" แลวก็เพียนอีกเปน "คําชะอี"
้
ชื่อของหมูบานจึงเปน "บานคําแมงอี" แลวเปลี่ยนเปน "บานคําสระอี" สุดทายกลายมาเปน "บาน
คําชะอี" จนถึงปจจุบน ั
2. "คําชะอี" เปนชื่อของตนไมชนิดหนึงที่มีอยูทั่วไปในดงนี้ ดอกสีเหลือง มีกลินหอม
่ ่
เปลือกและแกนลําตนก็หอมเหมือนดอก ชาวบานมักนิยมนํามาอบเสื้อผาทําใหเสือผามีกลิ่นหอม
้
ดวย จึงไดเอานามของตนไมนี้มาเปนชื่อของหมูบาน ตนไมชนิดนีไดสญพันธไปนานแลว
้ ู
3. ตอนผูเ ขียนเปนเด็ก คุณแมเคยเลาใหฟง และเมือโตขึนมาก็มีคุณลุงฮัน (นายโจม คน
่ ้
ซื่อ คุณพอของนายสันดร คนซื่อ) ไดเลาใหฟงอีกมีเนือความตองกันวา ตอนแรกนั้นหมูบานนี้มี
้
ชื่อวา "บานดงหมากบา ปาเครือเขือง" เพราะรอบๆหมูบานนั้นเปนปารกมีเครือเถาสะบา และเครือ
เถาเขืองมากมาย วันหนึงผูชายชื่อวา "ตาคํา" ไดสะพายของเดินเขาปา อาจจะหาของปาอยางใด
่
อยางหนึ่ง เถาสะบาก็เกาะเกียวเอาของที่สะพายนั้น แกตองหยุดปลดออก อีกไมนานก็ไปติดเถา
่
เขือง ตองหยุดปลดอีก ทําใหการเดินปาเปนไปอยางลําบากทุลักทุเลเพราะเถาสะบาและเถาเขือง
เหตุการณทถูกเถาสะบาและเถาเขืองมาเกี่ยวติดของบอยเขาๆ แกก็โมโหจนเหลืออด ก็เลย "ปอย"
ี่
(สาป) ใหเสือมาคาบเอาของไปกิน อยูมาตาคําไดวางของไว ตัวเองไปธุระ (คิดวาอาจจะไปถาย
ทุกข) จึงไดวางของไว พอกลับมาหาของปรากฏวาของไดหายไปแลว เห็นแตรอยเทาเสือตรงที่วาง
ของไวนั้น ก็เลยแปลกใจวาทําไมเพียงแคคําปอยนีเ้ สือก็คาบเอาไปจริงๆ แกก็เลยครวญกับตัวเอง
ดวยความแปลกใจวา "อี๋ เนาะ เพิ้งเดเนาะ อี๋ อี๋ ๆ ๆ ๆ ๆ" (เอ เปนจริงแทนะ เอ เอ ๆ ๆ ๆ) อยูมาคน
ก็เรียกดงนั้นวา "ดงตาคําอี" จึงไดเอาชื่อดงนี้มาเปนชื่อหมูบาน "คําชะอี" สามความเห็นนี้ขอ
ฝากทานผูอานพิจารณา
นอกจากนี้ยงมีผูเชือวา ชือบานคําชะอี เอามาจากชือ บานคําสะอี ที่เมืองพินประเทศลาว
ั ่ ่ ่
และเชื่อวาผูไทยบานคําชะอีเคยอยูทนั่น เมือถูกกวาดตอนอพยพมาจึงเอานามบานเดิมมาตังชื่อบาน
ี่ ่ ้
ใหมแหงนี้ เรืองนี้ ผูเขียนไดไปถึงบานคําสะอี ครั้งแรกเมือวันที่ 23 กุมภาพันธ 2551 ได
่ ่
สัมภาษณผูเฒาสามคน คือลุงเซียงสา อินทิลาด (สะกดตามภาษาลาว) อายุ 70 ป ลุงสะหวาง ไซ
ยะจัก อายุ 73 ป และปามอน ไซยะจัก เมียลุงสะหวาง อายุ 72 ป ไดความวา บรรพบุรุษมาจาก
บานหวยสาน บานเฟอง เมืองเซโปน อพยพมาอยูกับชาวบานนาแซง (ซึ่งติดกับบานคําสะอี) และ
ไดมาตังบานคําสะอีขนเมือ ป ค.ศ. 1933 (ตรงกับ พ.ศ. 2476) อายุบาน 76 ป แตบานคําชะอีเรา
้ ึ้ ่
อายุ ประมาณ 160 กวาป เปนอันเชื่อไดวา ชื่อ “บานคําชะอี” ไมไดเอาชือมาจาก “บานคําสะอี”
่
เมืองพิน ประเทศลาวแนนอน และภาษาพูดของชาวบานคําสะอีเปนภาษาผูไทยอยู แตสําเนียงไม
- 5. 5
เหมือนผูไทยบานคําชะอี ขณะที่สัมภาษณ ผูเ ฒาทั้งสามยังไดทกผูเ ขียนวา “ฟงเสงเจาแลว คือเสง
ั
ไทเมิงวัง” (ฟงเสียงสําเนียงพูดเจาแลว เหมือนเสียงชาวเมืองวัง)
ที่พักตอนแรก
บริเวณที่พักตอนแรกนั้นคือ “ดานตึง” อยูที่ริมสายน้ําคําดานตะวันออกนั้น (ตั้งแตหนา
เมรุออกมาจนถึงถนนใหญและขามฟากไปทางทิศตะวันออก) เปนลานหินเรียบสลับกับที่โลง เมือ ่
เดินย่ําลงไปที่ลานหินจะมีเสียงดัง "ตึง ๆ" ทุกครั้งที่เทาย่ําลง เปนทีนาอัศจรรย บรรพบุรษเชือวามี
่ ุ ่
โพลงหรือถ้ําอยูใตลานหิน เมือย่ําเทาลงหรือมีวัตถุตกกระทบจึงมีเสียงกองดังตึงๆ ดังกลาวแลว จึง
่
ไดขนานนามบริเวณนี้วา "ดานตึง" มาจนถึงปจจุบัน
แตในปจจุบันนีเ้ สียงกองดังตึงๆ ไมไดยินแลวเพราะมีการเอาดินมาถมใหสูงขึ้นเพือปรับ
่
บริเวณแหงนี้ใหเหมาะแกการใชสอย เชน ทําเปนที่สรางเมรุ ศาลาพักญาติ ลานจอดรถ เปนตน
ผูนํา
จากหนังสือ "เมืองมุกดาหาร" ของสุรจิต จันทรสาขา และหนังสือ "เลาเรื่องเมืองหนอง
สูง" ของพูลสวัสดิ์ อาจวิชัย พอจะสันนิษฐานไดวาผูไทยเมืองวังระดับผูนําทีอพยพมาพรอมกับ
่
ทาวสิงหเจาเมืองคําออในครั้งนั้น มี ทาวสุวรรณะ หรือสุวรรณโคตร (นาจะเปนตนสกุล "สุวรรณ
ไตรย" ) พระศรีวังคะฮาต (นาจะเปนตนสกุล "วังคะฮาต") ทาวอุปคุต (จะเปนตนสกุลใดไม
ทราบ) พรอมทังญาติพี่นอง ลูกนอง และริวารอีกทีไมปรากฏชื่อ เชื่อวามาเปนคณะมีมากกวา 20
้ ่
คน และตองมีอาวุธครบมือ จะมานอยคนไมไดเพราะสมัยนั้นดงบังอี่ยงเปนดงหนาปาทึบ ดงชางปา
ั
เสือ ภัยอันตรายมีอยูรอบดาน
สํารวจพื้นที่
พอไดพักและสรางเพิงที่พกเปนที่เก็บ "ขาวไถ ขาวถง กระบอกพริก ปลาแดก เกลือ เครื่อง
ั
นอน" ตางๆ แลว ชาวเมืองวังกลุมนี้ก็พากันแบงเปนคณะแยกทางออกสํารวจปารอบๆดานตึงนัน ้
ทุกทิศทางจากระยะใกลแลวก็ไกลออกไปเรือยๆ ใครชอบตรงใดทีเ่ ปนที่ราบเหมาะที่จะเปนนาก็
่
หมายจับจองเอาตามใจชอบ เพราะสมัยนั้นคนมีนอย ที่ดนที่เปนดงหนาปามีมากมายและไมมีการ
ิ
หวงหามแตอยางใด แตละคนก็ไดที่ดนที่ตัวเองสํารวจและจับจองกันอยางกวางขวาง บางคนเอา
ิ
ทางทิศคะวันออก (นาหลวง) บางคนเอาทางทิศใต (นาขี้หมู นาหนองแจง) บางคนก็เอาทางทิศ
ตะวันตก เปนตน และเมือพากันพิจารณาสถานที่ทั่วไปแลวเห็นวาเหมาะสมมากที่จะตั้งหลักแหลง
่
ที่นี่ กลาวคือ มีที่ราบกวางขวางอยูทามกลางภูหลายลูกออมถึงสามดาน ทางทิศตะวันออกมีภู (ตอมา
- 6. 6
เรียกภูนาหลวง) ทอดยาวตอลงไปทางทิศใตถงภูผากูด (ตอนนั้นยังไมตงชือ) ไกลลงไปทางดานทิศ
ึ ั้ ่
ใตถงบริเวณที่ทาวสิงหและชาวเมืองคําออสํารวจ (เชือวาผูไทยพีนองสองเมืองนี้ตองติดตอกัน
ึ ่ ่
ตลอด) ก็มีแนวภูทอดยาวจากทิศตะออกไปทิศตะวันตก (ภูจอกอ) ทิศตะวันตกก็มีภู (ทางบานแกง
ชางเนียม)
สวนสายน้ําลําหวยก็มีทางทิศตะวันตกมีสายหวยยาวสองสาย (หวยคันแทใหญ และหวย
คันแทนอย) ใกลๆ ที่จะตั้งเปนบานก็มีสายหวยสั้นๆ สองสาย คือทางตะวันออกก็เปนสายหวยที่ตอ
จากสายคําแมงอีลงไปตกหวยคันแทใหญ (ปจจุบันคือหวยสายนา) ทางตะวันตกก็มอีกสายหนึ่ง
ี
ไหลตกหวยคันแทใหญเชนเดียวกัน (ปจจุบนคือหวยนอยซึ่งอยูตดหมูบานทางทิศตะวันตก) สรุป
ั ิ
แลวก็คอ "ขึ้นภูก็ไดกนกระรอก กระแต ลงน้ําก็ไดกินปลากั้งปูหน" จึงตกลงใจแนนอนวาจะพากัน
ื ิ ิ
ตั้งหลักปกฐานกันทีนี่ ประกอบกับทีไดประสานไปยังพีนองเมืองคําออก็ทราบวาจะตั้งหลักแหลงที่
่ ่ ่
นั่นเหมือนกัน (บานหนองสูง) เห็นวาดีแลวพี่นองสองเมืองที่เคยฝาทุกขฝายากมาดวยกันจะไดอยู
ใกลกัน จะไดไปมาหาสูและชวยเหลือซึ่งกันและกัน (ตอมาก็เปนจริงตามนั้น)
เริ่มลงมือ
เมื่อหักลางถางพงลงเปนสวนและตั้งใจจะตั้งหลักแหลงที่นแลว ก็เขาไปแจงเจาเมืองทราบ
ี่
และอพยพครอบครัวตามมาแลวเขาไปอยูประจําที่สวนของตน "เครื่องปลูก ของฝง" จากการทํา
สวนตอนแรกก็จะปลูก "ขาวไร" เปนหลัก ที่รองลงมาก็มฝาย คราม ฟกทอง แตงชนิดตางๆ พริก
ี
เปนตน คือคิดดูวาสิ่งจําเปนตอชีวิตในรอบปนั้นมีอะไร ก็ทําการหาสะสมเพื่อแกการที่จะตั้งเปน
หลักแหลงยาวนานตอไป สวนปู ปลา ตามลําหวยตางๆ มีมากมาย "เปนชั้น เปนหลืบ" สัตวปา ทั้ง
เล็กและใหญธรรมชาติสรรสรางไวใหอยางเหลือเฟอ พอปที่ 2 - 3 - 4 ตอไมเล็ก ตอไมใหญ
บางสวนก็เริ่มผุพง จึงไดเริ่มที่จะปรับเปนนาและขยายใหเปนนาออกไปเรื่อยๆ
ั
ประชากรเพิ่มเริ่มเปนชุมชน
สวนพี่นองที่อยูเมืองวังที่หนีหลบเรนไปอยูตามปาเพราะศึกสงครามนั้น เมื่อบานเมืองสงบ
แลวก็ไดกลับเขามาอยูเมืองวังอีก และไดสืบทราบวา พี่นองที่ถูกกวาดตอนไปอยูทางฝงขวาของ
แมน้ําโขงเมือคราวสงครามนั้น กลุมหนึ่งอยูทบานคําชะอี เมืองมุกดาหาร ดวยความรัก คิดถึงและ
่ ี่
หวงไยตอญาติพี่นอง จึงไดเดินทางมาเยียมเยียน (สมัยนันไปงายมางายเพราะลาวยังเปนของไทย
่ ้
อยู จะยากแตตองนั่งเรือพายขามแมน้ําโขงและตองเดินทางดวยเทาเปนเวลาหลายคืนเพราะจาก
บานคําชะอีไปเมืองวังระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร) ไดเห็นสภาพพื้นที่เปนที่ราบกวางขวาง
ดินดี และอุดมสมบูรณ จึงกลับไปเมืองวังชักชวนญาติพนองไดหลายคนอพยพตามมาอยูดวย และ
ี่
- 7. 7
หลายปตอมา ลูกหลานไดเกิดมาจํานวนคนก็เพิ่มขึ้นกลายเปนบานเล็กๆ เปนชุมชนยอมๆ กระจาย
กันอยู เชน
บานคําสระอี เอาชือตามสายคําแมงอี ตอมาก็เปน บานคําชะอี เปนบานที่ใหญกวาเพื่อน
่
ปจจุบันก็คอหมูที่ 4 และ 14
ื
บานโพนแดง บานนีอยูตดกับหวยคันแทใหญตรงทีเ่ ปนหวยคดหักศอก ตรงที่คดหักศอก
้ ิ
นี้เปนวังน้ําลึก น้ําใสจนดูเขียวครึ้ม เคยมีสตวประหลาดสีเทาคอนขางดําโผลขึ้นมาเหนือน้ํา ตรง
ั
ลําคอมีสีขาวพาดขวางรอบคอ ผูไทยเรียกวา "คอกาน" วังนี้จึงไดชอวา "วังคอกาน" ใตวงคอ
ื้ ั
กานลงไปเปนแกงหิน (แกงหิน) จึงทําใหวงคอกานเปนวังน้ําลึก "น้ําเจิ่งนอง" อยูตลอดป แกงหิน
ั
ตรงนี้จึงเรียกวา "แกงวังนอง" บานโพนแดงตั้งอยูทางฝงขวาของแกงวังนอง (การเรียกฝงของหวย
หรือฝงแมน้ําวาฝงไหนเปนฝงซาย ฝงไหนเปนฝงขวานั้น มีขอตกลงเปนสากลวา ใหหนหนาไปตาม
ั
ทางน้ําไหล ฝงทีอยูทางขวามือเรียกวาฝงขวา ฝงที่อยูทางซายมือเรียกวาฝงซาย) มีเนื้อที่ประมาณ
่
ตั้งแตทดินคุณอินทา วังคะฮาต ที่ดนของคุณครูบญเพ็ง สุวรรณไตรย แผขึ้นทางทิศเหนือรวมเอา
ี่ ิ ุ
ที่เปน "สํานักสงฆแกงวังนอง" หรือที่เรียกกันติดปากวา "วัดแกงวงนอง" ดวย
บานฟากหวย อยูฝงชวาของหวยคันแทใหญเหนือบานโพนแดงขึ้นมาประมาณ 900 เมตร
ตามลําหวย บานนี้อยูตรงขามกับโรงสีใหญเจริญทรัพย
บานตาดโตน อยูฝงขวาของหวยคันแทใหญเชนเดียวกัน แตอยูเหนือบานฟากหวยขึ้นไป
ประมาณ 800 เมตร ตามลําหวย บานตาดโตนนี้จะใหญเปนที่สองรองจากบานคําชะอี เพราะมีวัด
วาอาราม
บานหนองไหล อยูติดสายหนองไหล สายหนองไหลนี้อยูทางตะวันตกของนาหนองแจง
ไหลลงสูหวยคันแทนอย บานหนองไหลในปจจุบันคือบริเวณแถวนาของนายคลาย วังคะฮาต
(พอตาของคุณครูเวลา คนซื่อ) และบริเวณขางเคียง
อยูมา บานโพนแดง บานฟากหวย บานตาดโตน บานหนองไหล ก็รางเพราะอพยพเขามา
อยูบานใหญ คือบานคําชะอี เพราะที่เคยอยูเดิมนันเห็นวามันเหมาะที่จะเปนนามากวา และก็มี
้
หลายครอบครัวอพยพไปอยูถิ่นอื่น จังหวัดอืน
่
ชุมชนขยาย
บานคําชะอีไดพัฒนาขึ้นกลายเปนบานใหญขึ้นมาเรือยๆ พ.ศ. 2450 ไดรบยกฐานะเปน
่ ั
ตําบลคําชะอีขึ้นกับอําเภอมุกดาหาร มีกานันปกครองเรื่อยมาดังนี:-
ํ ้
1. เจาพรหมรินทร (นายตอน สุวรรณไตรย) พ.ศ. 2450 – 2452
2. หมื่นบริครุฑ (นายสุวรรณะ วังคะฮาต) พ.ศ. 2452 – 2462
3. ขุนคําชะอีบํารุง (นายเนียม สุวรรณไตรย) พ.ศ. 2462 – 2467
- 8. 8
4. ขุนนิคมคําชะอี (นายนารี วังคะฮาต) พ.ศ. 2467 – 2482
5. นายฟอง อุปญญ พ.ศ. 2482 – 2487
6. นายคลอย วังคะฮาต พ.ศ. 2487 – 2503
7. นายตรอง อุปญญ พ.ศ. 2503 – 2514
8. นายจําลอง (เหลิน) อุปญญ พ.ศ. 2514 – 2524
9. นายแถม แสนโสม พ.ศ. 2524 – 2540
10. นายเหมย สุวรรณไตรย พ.ศ. 2540 – 2543
11. นายสกล คนซื่อ พ.ศ. 2543 – 2546
12. ทองปาน หาญจริง พ.ศ. 2546 – 2549
13. นายบุญทวี สุวรรณไตรย พ.ศ. 2549 – ปจจุบัน
จากลําดับที่ 1 – 9 สืบคนโดย อาจารยนําชัย อุปญญ
จะเห็นวากํานันแตละคนนั้นเปนคนบานคําชะอี ยกเวนเมือสิ้นวาระของกํานันคนที่ 10
่
(นายสกล คนซือ) ชาวบานคําชะอีมีความแตกแยกดานความคิด เมือเลือกกํานันคนที่ 11 จึงไดคน
่ ่
บานหนองกะปาด (นายทองปาน หาญจริง) เมือสิ้นวาระแลวจึงเลือกกํานันคนที่ 12 ไดคนบานคํา
่
ชะอีอีกครั้งหนึ่ง
ยกฐานะ
สมัย นายฟอง อุปญญ เปนกํานันตําบลคําชะอีนั้นไดทําเรืองขอยกฐานะตําบลคําชะอี
่
ขึ้นเปนกิงอําเภอคําชะอี และไดรบการยกฐานะเปน "กิงอําเภอคําชะอี" เมือวันที่ 5 มิถุนายน 2484
่ ั ่ ่
ปลัดอําเภอผูเ ปนหัวหนากิ่ง (สมัยนันไมทราบวาเรียกตําแหนงวาอยางไร) คนแรก ชื่อ นายเจริญ
้
วดิศักดิ์ คนที่สองชื่อ นายอวน เคหาศัย (สิน สุวรรณไตรย. 4 ต.ค. 2552 : สัมมภาษณ) ที่ทําการ
กิ่งอยูตรงตลาด อบ.ต. ตรงขามกับโรงเรียนคําชะอีพิทยาคมในปจจุบน สถานีตํารวจอยูบริเวณ
ั
ขางบานอาจารยบุษบา อุปญญ ดานทิศตะวันออกครอบคลุมบริเวณทีเ่ ปนศูนยพฒนาเด็กเล็กใน
ั
ปจจุบัน และกอนหนาที่จะตั้งสถานีตํารวจนั้น บริเวณนี้เคยเปนวัดปามากอน มีตนโพใหญอยู 3 ตน
อยูขางบานอาจารยพิน สุวรรณไตรยหนึ่งตน อยูฟากทางดานทิศตะวันออกขางสวนอาจารยเพียร
สุวรรณไตรยหนึ่งตน ใกลตนโพตนนี้กํานันฟองไดขดบอน้า เปนบอรูปทรงกระบอก ใหน้ําทีใสเย็น
ุ ํ ่
รสดี ผนังบอกออิฐอยางแนนหนาเพื่อปองผนังบอพัง ขอบบอสูงประมาณหนึ่งเมตรกออิฐโบกปูน
อยางดีและแนนหนา นับเปนบอน้ําที่ดีที่สดในหมูบานคําชะอี ชาวบานทั่วไปเรียกบอน้ําแหงนี้วา
ุ
"น้ําสรางหลวง" แตเดียวนี้ถกถมไปแลวไมเหลือรองรอยอีกเลย ตนโพอีกตนหนึ่งอยูทางทิศเหนือ
๋ ู
ขางบานคุณบังเกิด คนตรง ทั้งสามตนแผกิ่งกานสาขาเปนที่รมครึ้ม อยูมาวัดปาแหงนีไดยายมาอยู
้
แหงใหมเปนวัดโพธิ์ศรีแกว บริเวณนี้กเ็ ลยเปนวัดราง (ตอนผูเขียนยังเด็กกลัวผีบริเวณนีมาก)
้
- 9. 9
เดี๋ยวนี้ตนโพทั้งสามตนไดแกตายและถูกโคนลงแลวเมือประมาณ 30 กวาปมานี่เอง คุกที่ขง
่ ั
นักโทษนันอยูแถวบานนางเพียน วังคะฮาต (คุณแมของคุณครูสุรพล วังคะฮาต)
้ ้
วางผังหมูบาน
ครั้นเมื่อตําบลคําชะอีไดตั้งเปนกิ่งอําเภอแลวก็ไดจดผังหมูบานปรับถนน ตัดซอยไวอยาง
ั
เปนสัดเปนสวน ในปจจุบันบานคําชะอีจึงเปนบานที่มีแผนผังของหมูบานเปนสัดเปนสวนเรียบรอย
กวาหมูบานอืนๆ
่
ตามแผนผังของหมูบาน (โดยสังเขป) ในปริญญานิพนธของอาจารยนําขัย อุปญญ ได
สืบคนไดวา ในสมัยนั้น หลวงบริหารชนบท (สาน สีหไตรย ) นายอําเภอมุกดาหาร ไดออกมา
วางแผนเมืองรวมกันกับชาวบาน โดยไดตดถนนหนทางบานคําชะอีจากบานเหนือและใต และไดให
ั
ชื่อถนน ดังนี้ :-
1. ถนนคําชะอี ตั้งใหเปนเกียรติ์แกขุนคําชะอีบํารุง { (นายนารี วังคะฮาต ) (อันนี้นาจะผิด
เพราะขุนคําชะอีบํารุง คือนายเนียม สุวรรณไตรย กํานันคนที่ 3 พ.ศ. 2462 – 2467 สวนนายนารี คือขุนนิคมคําชะอี โปรดดูรายชื่อ
กํานัน : ณรงค) }
2. ถนนศรีมงคล ตังใหเปนเกียรติ์แก พระมหามงคล พระนักพัฒนาทองถินในสมัยนัน
้ ่ ้
3. ถนนชลประทาน (ทางหลวงแผนดินปจจุบัน สายมุกดาหาร – กาฬสินธุ) (เชื่อวาตั้งใหเปนเกียรติ์แก
พระชลประทาน หรือ "เจาพระชล" : ณรงค)
4. ซอยบริหารบํารุง เปนชื่อของ หลวงบริหารชนบท
5. ซอยผดุงนิคม ตังขือใหเปนเกียรติ์แก กํานันขุนนิคมคําชะอี (นายนารี วังคะฮาต)
้ ่
6. ซอยอุดมราษฎร ตังใหเปนเกียรติ์แก ราษฎรที่ชวยกันพัฒนา
้
7. ซอยสะอาดนิรันดร (ไมทราบที่มา)
8. ซอยคําจันทรดําริ เปนชือของครูใหญสมัยนั้น (นายวิชย คําจันทร เดิมชื่อ นายทองคํา
่ ั
คําจันทร) อดีตครูใหญโรงเรียนบานคําชะอี
9. ซอยสีหไตรย เปนนามสกุลของหลวงบริหารชนบท
หลวงบริหารชนบทเดิมชื่อ สาน สีหไตรย ดํารงตําแหนงนายอําเภอมุกดาหารคนที่ 4 ระหวาง พ.ศ.
2476 – 2482 แลวยายไปดํารงตําแหนงขาหลวงประจําจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดมหาสารคาม ( เมือง
มุกดาหาร : สุรจิตต จันทรสาขา หนา 88)
10. ซอยวิไลวรรณ (เปนชือของผูใหญบาน)
่ (ไมปรากฏเห็นผูใหญบานหมูใดที่มีชื่อนี้ ใหดูการแยกหมูบาน
: ณรงค )
- 10. 10
11. ซอยอุปญญประดิษฐ ตั้งใหเปนเกียรติ์แกนายฟอง อุปญญ อยูทางทิศเหนือของ
หมูบานคําชะอี ในบริเวณกิงอําเภอคําชะอีเกา ปจจุบันทางไปบานนาปุง และแถวๆ ปาชาดานตึง
่
(ปจจุบันไมมีแลว : ณรงค)
(ปริญญานิพนธ บทบาทของพอลามชาวผูไทยตําบลคําชะอี อําเภอคําชะอี จังหวัด
มุกดาหาร : นําชัย อุปญญ 2538 หนา 60 - 61)
พ.ศ. 2551 ทาง อบ.ต. คําชะอี มีความประสงคอยากจะติดปายชื่อถนน-ซอย ตางๆ เพื่อให
เปนสัดสวนที่ชดเจน โดยกําหนดใหถนนชลประทาน (ทางลาดยาง) เปนเสนแบงเขต ฟากถนนทาง
ั
ทิศตะวันออกใหเปนซอยจากหมายเลข 4 ถึง 11 (ยกเวนหมายเลข 2) สวนฟากถนนทางทิศ
ตะวันตกใหเปนซอยหมายเลขตั้งแต 12 – 18 โดยใหนายณรงค อุปญญ (ผูเ ขียน) คิดตั้งชือซอยให
่
โดยใหมีชอคลองจองกัน ดังนี้ :-
ื่
12. ซอยวังนองพิมาน เพราะเปนซอยเขาสํานักสงฆแกงวังนอง วัดหรือสํานักสงฆถอเปน ื
หนทางสูความสงบ สูทางสวรรควิมาน จึงเอาคําวา "วิมาน" มาตอทายคําวา "วังนอง" โดยแผลง
"วิ" ใหเปน "พิ" ตามหลักภาษาไทย จึงใหชื่อเปนซอย "วังนองพิมาน"
13. ซอยประสานนฤมิต เมื่อ พ.ศ. 2533 ชาวนาหนองแจงและผูที่เห็นประโยชนไดรวมกัน
ประสานดําเนินการสรางซอยนีขึ้น โดยมี กํานันแถม แสนโสม นายลําทอง วังคะฮาต และอีกหลาย
้
คนเปนผูนํา แลวพากันประสานขอบริจาคที่ดินจากชาวนาและขอบริจาคเงินเปนคาเครื่องจักรใน
การกอสราง (รถไถ รถขนดิน ฯลฯ ) นายณรงค อุปญญ เปนผูดําเนินการดานเอกสารหนังสือ
ยินยอมบริจาคที่ดน และอีกหลายคนรวมกันประสานงานจนแทบจะกลาวไดวาทั้งหมูบานเลย
ิ
ซอยนี้จึงไดมีขนมา ึ้
14. ซอยกิจจําเริญ ตังใหเปนเกียรติ์แกนายลําทอง วังคะฮาต (หรือ "ลุงจําเริญ" เพราะ
้
ทานมีลกคนแรกชื่อ นายจําเริญ เจาของโรงสี "เจริญทรัพย" ในปจจุบัน ) ทานเปนนักธุรกิจมีหนา
ู
มีตา เปนที่เคารพนับถือแกบุคคลในซอยและบุคลทั่วไป
15. ซอยวังเพลินไพเราะ ตั้งใหเปนเกียรติ์แก นายโจม วัคะฮาต (หรือ "ตาเจียง" เพราะ
ทานมีลกคนแรกชื่อ นางเจียง) ทานเปนผูมีความรูความสามารถในหลายดาน เปนชางตีเหล็ก ชาง
ู
ทําหลาปนฝาย ชางไม พูดงายๆ คือสารพัดชาง เปนหมอน้ามันงาจอดกระดูก หรือฟกช้ําดําเขียว
ํ
ลูกหลานชาวบานตกตนไมควายชน หรืออุบัตใดๆ ไดรับบาดเจ็บ ก็มาหาทานชวยเยียวยา คารักษา
ิ
แลวแตจะให ไมเคยเรียกรอง นอกจากนี้ทานยังเปนผูมีพรสวรรคในดานศิลปะการบันเทิง ทาน
เปนผูนําในการฟอน "ละครกลองตุม" และมีฝมือในการดีด สี ตี เปา ไดไพเราะมาก
16. ซอยเกาะสวรรค เปนซอยทีไปสุดที่หวยนอย ที่หวยนอยมีเกาะอยูกลางหวย ชาวบาน
่
ใหชื่อวา "เกาะสวรรค" (ในปจจุบน คือ พ.ศ. 2552 ไดสรางสะพานขามหวยนอยและขามไปยังเกาะ
ั
- 11. 11
สวรรคแลว มีลักษณะเปนสะพานสามแยก โดย ทาน ส.ส.วิทยา บุตรดีวงค เปนผูดงงบประมาณ
ึ
แผนดินมาให)
17. ซอยพันดอกบัวหลวง เรียกสั้นๆ วา "ซอยดอกบัว" เพราะซอยนี้ไปสินสุดที่หวยนอย
้
ในหวยนอยมีดอกบัวขึ้นอยูมากมาย ชาวบานในซอยนี้จึงเอาดอกบัวมาตั้งเปนนามซอย
18. ซอยดวงฤดี ตังขึนมาเพียงเพือใหคําแรกคือ "ดวง" ไปสัมผัสกับคําวา "หลวง" ใน
้ ้ ่
ซอยพันดอกบัวหลวง และคําทายคือ "ดี" ใหไปสัมผัสกับคําวา "ศรี" ในถนนศรีมงคล
การแยกหมูบาน
บานคําชะอีไดขยายตัวเปนชุมชนใหญขนมาเปนลําดับ เมื่อ พ.ศ. 2450 ไดรบการยกฐานะ
ึ้ ั
เปนตําบลดังไดกลาวแลว เพื่อใหมีความคลองตัวในการปกครองและการพัฒนา จึงไดมีการแยก
หมูบานขึ้น การแยกหมูบานนี้แยกเมือปใดไมปรากฏแนชด แตเชื่อวาแยกเมื่อสมัยขุนนิคมคําชะอี
่ ั
เปนกํานัน (นายอินทา วังคะฮาต หรือลงุก่ํา. 28 ก.ย.2552 : สัมภาษณ) โดยใหคุมบานดอน (คุม
เจาชัยอภิเดช) เปนหมูที่ 2 มีนายนัน สุวรรณไตรย (คุณปูของอาจารยถาวร สุวรรณไตรย) เปน
ผูใหญบานคนแรก เมือสิ้นวาระแลว นายกิ เสียงล้ํา ก็ไดเปนผูใหญบานคนที่ 2 ยังไมครบวาระ
่
ทางขุนนิคมฯ ก็จะแยกหมูบานอีกใหเปนหมูที่ 4 (หมูที่ 3 บานหวยทรายเอาไป ) โดยใหยบหมูที่ 2
ุ
เพราะจํานวนคนนอยประกอบกับตอนนันบานกกไฮก็ขอตังหมูบานจึงไดยกหมู 2 ไปใหบานกกไฮ
้ ้
หมูที่ 2 เดิมก็มารวมกับหมูที่ 4 โดยใชซอยหนาวัดโพธิ์ศรีแกวไปยังหวยนอยเปนเสนแบงหมูบาน
ฟากซอยดานทิศใตลงมาเปนหมูที่ 4 ฟากซอยดานทิศเหนือขึ้นไปเปนหมูที่ 1 (นายเหมย สุวรรณ
ไตรย นายสกล คนซื่อ. 28 ก.ย. 2552 : สัมภาษณ)
เมื่อแยกหมูบานเปนหมู 1 และหมู 4 แลว หมู 1 ก็ไดเลือก นายฟอง อุปญญ เปนผูใหญบาน
สวนหมูที่ 4 มีกํานันขุนนิคมฯ เปนผูปกครอง
เมื่อกํานันขุนนิคมออกตามวาระ (พ.ศ. 2482) นายฟอง อุปญญ ก็ไดเปนกํานัน สวนหมูที่
4 ไดเลือก นายคลอย วังคะฮาต (ลูกของขุนนิคมฯ) เปนผูใหญบาน
กํานันฟอง อุปญญ ไดลาออกเมื่อ พ.ศ. 2487 นายคลอย วังคะฮาต ก็ไดรับเลือกเปน
กํานัน สวนหมูที่ 1 ไดเลือกนายไหล สุวรรณไตรย (คุณพอของอาจารยเข็มทอง สุวรรณไตรย)
เปนผูใหญบาน เปนไดไมถงปก็ก็หมดวาระ ชาวบานจึงยายใส (ไมมีการเลือก)นายเครือ สุวรรณ
ึ
ไตรย (คุณตาของอาจารยบรรเลง อุปญญ ) เปนผูใหญบาน (เฉลย สุวรรณไตรย นายอินทา วัง
คะฮาต. 28 ก.ย. 2552 : สัมภาษณ) เมือนายเครือ สุวรรณไตรย ออกตามวาระ นายตรอง อุปญญ
่
ก็ไดเปนผูใหญบานหมูที่ 1
เมื่อกํานันคลอย วังคะฮาต ออกตามวาระ (พ.ศ. 2503) นายตรอง อุปญญ ก็ไดเปนกํานัน
สวนหมูที่ 4 ก็ไดเลือกนายเครือ วังคะฮาต (ลูกคนสุดทองของกํานันขุนนิคมฯ ) เปนผูใหญบาน
- 12. 12
กํานันตรอง อุปญญ ออกตามวาระ (พ.ศ. 2514) นายจําลอง (เหลิน) อุปญญ (นองชายของ
กํานันตรอง) ก็ไดเปนผูใหญบานหมูที่ 1 เปนผูใหญบานไดไมนานก็สมัครกํานันและไดรบเลือกเปน
ั
กํานันแทนนายตรอง อุปญญ สวนหมูที่ 4 เมื่อนายเครือ วังคะฮาต ออกตามวาระ นายแถม แสน
โสม ก็ไดเปนผูใหญบานแทน
เมื่อกํานันจําลอง อุปญญ ออกตามวาระ (พ.ศ. 2524) นายแถม แสนโสม ก็ไดรบเลือกเปน
ั
กํานัน สวนหมูที่ 1 ก็ไดเลือกนายเหมย สุวรรณไตรย เปนผูใหญบาน
ในสมัยทีนายแถม แสนโสม เปนกํานันนี้ไดมีการแยกหมูบานอีกไดเปนหมูที่ 11 เมือ พ.ศ.
่ ่
2527 มีนายเปอะ วังคะฮาต เปนผูใหญบานคนแรก
เมื่อกํานันแถม แสนโสม ออกตามวาระ (พ.ศ. 2540) นายเหมย สุวรรณไตรย ก็ไดรบ ั
เลือกเปนกํานัน สวนหมู 4 ไดเลือก นายสกล คนซื่อ เปนผูใหญบาน ทางหมู 11 ผูใหญเปอะ วังคะ
ฮาต ออกตามวาระ (พ.ศ. 2533) นายวันเทศ กุลวงค ก็ไดรับเลือกเปนผูใหญบานแทน
เมื่อกํานันเหมย สุวรรณไตรย ออกตามวาระ (พ.ศ. 2543) นายสกล คนซื่อ ก็ไดรับเลือก
เปนกํานัน สวนหมูที่ 1 ไดเลือก นายจันทา สุวรรณไตรย เปนผูใหญบาน และในสมัยนีไดมีการ
้
แยกหมูบานอีกไดเปนหมูที่ 14 เมือ 30 กรกฎาคม 2545 นายสุรพล วังคะฮาต ไดรบเลือกเปน
่ ั
ผูใหญบานคนแรก
เมื่อกํานันสกล คนซือ ออกตามวาระ (พ.ศ. 2546) นายทองปาน หาญจริง บานหนองกะ
่
ปาด ไดรบเลือกเปนกํานัน สวนหมูที่ 1 นายจันทา สุวรรณไตรยฺ ออกตามวาระ นายบุญทวี
ั
สุวรรณไตรย ไดรบเลือกเปนผูใหญบานแทน หมูที่ 4 ไดเลือกนายวิมล สุวรรณไตรย เปน
ั
ผูใหญบาน
เมื่อกํานันทองปาน หาญจริง ออกตามวาระ (พ.ศ. 2549) นายบุญทวี สุวรรณไตรย ไดรบ ั
เลือกเปนกํานัน สวนหมูที่ 4 ผูใหญบานยังเปนคนเดิมคือนายวิมล สุวรรณไตรย สวนหมูที่ 11
นายวันเทศ กลุวงค ออกตามวาระ (พ.ศ. 2550) นายสารีบุตร สุวรรณไตรย ไดรับเลือกเปน
ผูใหญบาน ทางหมู 14 นายสุรพล วังคะฮาต ออกตามวาระ (พ.ศ. 2550) นายถาวร วังคะ
ฮาต ไดรบเลือกเปนผูใหญบาน.
ั
ตอไปนี้จะเลาถึงเหตุการณ สถานที่ หรือสิ่งตางๆ ที่เกิดที่มีขนในบานคําชะอี
ึ้
การปานหวยนอย
หวยนอย เปนสายหวยเล็กๆ จึงเรียกวา "หวยนอย" บางตอนกวางแควาเดียว แตลกมาก
ึ
เปนสายหวยทีไมยาวนัก อยูตดกับหมูบานทางทิศตะวันตก ไหลตกหวยคันแทใหญ
่ ิ
- 13. 13
ผูที่ริเริ่มทําฝายกั้นคือ นายบัง สุวรรณไตรย (นองของพอตาของคุณสันดร คนศื่อ
เดี๋ยวนี้ยังมีชีวิตอยูที่บานหวยลึก) นายบังนี้ คนทั่วไปมักเรียกวา “ลุงสงคราม” เพราะแกมีลกคนโต
ู
ชื่อสงคราม นายสงครามนีเ้ กิดปสงคราม คือ พ.ศ.2484 นายบังจึงใหชอวา "สงคราม" นายบัง
ื่
ไดมาตังศาลาที่ริมหวยนอยนี้ทําเปนโรงฆาสัตว ก็เลยวานพี่นองขนดินมาถมยกคันฝายนี้ขึ้น (การ
้
ถมดินใหเปนคันกันน้ํานี้ทองถิ่นอีสานเรียกวา "ปาน" ตอไปจะใชคํานี้) เพื่อจะกั้นเอาน้ําไวสําหรับ
้
ลางเนื้อ และเครื่องใน ตับ ไต ไส พุง ของสัตวที่ชําแหละ พอหนาน้าหลากก็พง พังแลวก็ปานอีก
ํ ั
หลายครั้งหลายครา เมื่อนายไหล สุวรรณไตรย เปนผูใหญบาน (หมูที่ 1) นายไหลมีที่นาอยูทนาขี้ ี่
หมู เห็นประโยชนจากน้ําหวยนอย จึงชวนนายแสง แสนโสม (หรือลุงนาง คุณพอของกํานันแถม
แสนโสม) เจรจากับนายบัง ขอขุดเหมือง (คลอง) เขาสูนาขี้หมูโดยจะชวยปานหวยนอยใหเปนคัน
ปานที่แนนหนา นายบังเปนคนใจกวางมองการณไกลและเห็นประโยชนรวมกัน จึงตกลง นายไหล
จึงชวนพี่นองชาวนาขี้หมู (ซึ่งตอนนั้นมีแค 7 - 8 คน) มาขุดเหมืองใหน้ําเขานา พรอมกับไหววานพี่
นองระดมกําลังมาปานหวยนอยจนเปนคันปานที่ใหญและแนนหนา ประกอบกับชวงนั้น กิ่งอําเภอ
คําชะอียังอยูทบานคําชะอี มีนายเจริญ วดิศักดิ์ เปนหัวหนากิ่ง ไดลงมาควบคุมดูแลการปานดวย
ี่
ทําใหการดําเนินการเปนอยางดี (สิน สุวรรณไตรย. 5 ต.ค. 2552 : สัมภาษณ ) ปานหวยนอย
ตรงนี้ตอมาเรียกวา "ปานหลวง" ก็เลยมีฝายหวยนอยและคลองมาจนทุกวันนี้ ตอนแรกก็มี
ปญหา เพราะทําดวยแรงงานคนและขาดหลักวิชาการทําใหคลองพังอยูบอยๆ จะเขาหนานาแตละป
ตองซอมคันคลองเสียกอน มีเรืองเลาขานวา ปหนึ่งฝนตกหนักน้ําหลากมามากจนเหมืองหวยนอย
่
พัง ลุงเจียง วังคะฮาต ไดไปยืนดูตรงใกลที่มันพัง ขณะทีดูเพลินอยูนั้นดินที่ตรงที่ลงเจียงยืนอยู
่ ุ
เกิดพังลงทันทีทันใด ลุงเจียงไมทันระวังตกก็ตกลงไปน้ําทวมหัวลิบ และถูกน้ําพัดไปไกล โผล
ขึ้นมาก็วายเขาฝงเพราะเปนคนแข็งแรงและวายน้ําเกง คนจึงลือเลาขานวา “ลุงเจียงตกหวยนอย”
(ตองขอโทษลูกหลานของทานดวยทีเ่ ก็บเรื่องนี้มาเลา มิไดมีเจตนาจะลบหลูแตประการใด แตเปน
เรื่องที่ระทึกขวัญทีเ่ กิดขึนในบานเรา )
้
อยูมาเมือประมาณ 20 กวาปมานี้ ทางกรมชลประทานไดมาปรับคันฝาย คันคลอง และที่
่
ระบายน้ําตามหลักวิชาการ จึงไดฝายอยางถาวรมาจนทุกวันนี้ ก็นบวานายบัง สุวรรณไตรย นาย
ั
ไหล สุวรรณไตรย ตลอดทังญาติพี่นองรุนนัน ไดเอื้อประโยชนตอทองถิ่นบานคําชะอีอยางมากมาย
้ ้
ทั้งไดน้ําเขานา เปนแหลงเพาะพันธุปลา ตาน้ําใตดินก็ตื้นสะดวกแกการขุดบอน้ํา (น้ําสราง) ไดน้ํา
รดพืชผักสวนครัว และเปนที่จดงานประเพณีคืองานลอยกระทง ฯลฯ (นายอินทา (ลุงก่ํา) วังคะ
ั
ฮาต นายสาคร สุวรรณไตรย นายประเนิม คนซื่อ นายเกียรติศักดิ์ (จอ) สุวรรณไตรย. 2 ต.ค.
2552 : สัมภาษณ)