Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie Mongkon 38 (20)
Mongkon 38
- 3. 3
๑. การไม่คบคนพาล
ลักษณะของคนพาลมี ๓ ประการคือ
๑. คิดชั่ว คือการมีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต
มีความพยาบาท และมิจฉาทิฐิ คือเห็นผิดเป็นชอบ
๒. พูดชั่ว คือคำาพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริตเช่น
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำาหยาบ และพูดเพ้อเจ้อ
๓. ทำาชั่ว คือทำาอะไรที่ประกอบด้วยกายทุจริตเช่น
การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ประพฤติผิดในกาม
- 4. 4
๒. การคบบัณฑิต
บัณฑิต หมายถึงผู้ทรงความรู้ มี
ปัญญา มีจิตใจที่
งาม และมีการดำาเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้
ชั่ว มีลักษณะดังนี้คือ
๑. เป็นคนคิดดี คือการไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาท
ปองร้ายใคร ความ กตัญญูรู้คุณ
๒. เป็นคนพูดดี คือวจีสุจริต พูดจริง ไม่พูดหยาบ
ถากถาง นินทาว่าร้าย
๓. เป็นคนทำาดี คือทำาอาชีพสุจริต มีเมตตา ทำา
ทานเป็นปกตินิสัย อยู่ใน ศีลธรรม
- 8. 9
๗. ความเป็นพหูสูต
คือเป็นผู้ที่ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ โดยมี
ลักษณะดังนี้คือ
๑.รู้ลึก คือการรู้ในสิ่งนั้นๆ เรื่องนั้นๆอย่างหมดจดทุกแง่
ทุกมุม
อย่างมีเหตุมีผล รู้ถึงสาเหตุจนเรียกว่าความชำานาญ
๒.รู้รอบ คือการรู้จักช่างสังเกตในสิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น
เหตุการณ์แวดล้อมเป็นต้น
๓.รู้กว้าง คือการรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้นๆ ที่
- 10. 11
๙. มีวินัยที่ดี
วินัย ก็คือข้อกำาหนด ข้อบังคับ กฎเกณฑ์
เพื่อควบคุมให้มีความเป็นระเบียบนั่นเอง มี
ทั้งวินัยของสงฆ์และของคนทั่วไป สำาหรับ
ของสงฆ์นั้นมีทั้งหมด ๗ อย่างหรือเรียกว่า
อนาคาริยวินัย ส่วนของบุคคลทั่วไปก็มี ๑๐
อย่าง คือการละเว้นจากอกุศลกรรม ๑๐
ประการ ได้แก่
๑.ไม่ฆ่าชีวิตคน หรือสัตว์ ๖. ไม่พูดส่อ
เสียด นินทาว่าร้า ๒.ไม่
ลักทรัพย์ ๗. ไม่พูดไร้สาระ เพ้อ
- 13. 14
๑๒. การสงเคราะห์บุตร
การสงเคราะห์บุตร พ่อ แม่ มีหน้าที่ที่ต้องให้กับลูก
ของเราคือ
๑. ให้ได้คู่ครองที่ดี (ใช้ประสบการณ์ของเราให้คำา
ปรึกษาแก่ลูก)
๒. มอบทรัพย์ให้ในโอกาสอันควร (การทำาพินัยกรรม ก็
ถือว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)
๓. ให้การศึกษาหาความรู้
๔. ห้ามไม่ให้ทำาความชั่ว
๕. ปลูกฝัง สนับสนุนให้ทำาความดี
- 17. 18
๑๖. การประพฤติธรรม
การประพฤติธรรม ก็คือการปฏิบัติให้เป็นไป แบ่งออกเป็น
กายสุจริต คือ ๑.การไม่ฆ่าสัตว์ ๒.การไม่ลักทรัพย์ ๓.การ
ไม่ประพฤติผิดในกาม
วจีสุจริต คือ ๑.การไม่พูดเท็จ ๒.การไม่พูดคำาหยาบ
๓.การไม่พูดจาส่อเสียด
๔.การไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
มโนสุจริต คือ ๑.การไม่โลภอยากได้ของผู้อื่น ๒.การไม่คิด
พยาบาทปองร้ายผู้อื่น
๓.การเห็นชอบ คือมีความเชื่อความเข้าใจ
- 18. 19
๑๗. การสงเคราะห์ญาติ
การสงเคราะห์ญาติ ทำาได้ทั้งทางธรรมและทาง
โลก ได้แก่
ในทางธรรม ก็ช่วยแนะนำาให้ทำาบุญกุศล ให้รักษาศีล และทำาสมาธิ
ภาวนา
ในทางโลก นั้นได้แก่
๑. ให้ทาน คือการสงเคราะห์เป็นทรัพย์สินเงินทอง เพื่อให้เขาพ้น
จากทุกข์ตามแต่กำาลัง
๒. ใช้ปิยวาจา คือการพูดด้วยถ้อยคำาที่อ่อนโยน สุภาพ
๓. มีอัตถจริยา คือการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์
ช่วยญาติ
ทำางานศพ
- 20. 21
๑๙. ละเว้นจากบาป
บาป คือสิ่งที่ไม่ดี เสีย ความชั่วที่ติดตัว ซึ่งไม่ควรทำา ท่านว่า
สิ่งที่
ทำาแล้วถือว่าเป็นบาปได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ คือ
๑.ฆ่าสัตว์ ๒. ประพฤติผิดในกาม
๓.ลักทรัพย์ ๔.คิดพยาบาทปองร้ายคนอื่น
๕.พูดส่อเสียด ๖.พูดคำาหยาบ
๗.พูดเพ้อเจ้อ ๘.โลภอยากได้ของเขา
๙.พูดเท็จ ๑๐.เห็นผิดเป็นชอบ
- 24. 25
๒๓. มีความถ่อมตน
๑. ต้องคบกัลยาณมิตร คือเพื่อนที่ดีมีศีลมีธรรม
๒. ต้องรู้จักคิดไตร่ตรอง คือการรู้จักคิดหาเหตุผลอยู่
ตลอดเวลา
๓. ต้องมีความสามัคคี คือการมีความสามัคคีในหมู่คณะ
และรับฟังและเคารพ
ความคิดเห็นของผู้อื่น อย่างมีเหตุผล
- 26. 27
๒๕. มีความกตัญญู
ความกตัญญูคือการรู้คุณ และตอบแทนท่านผู้นั้น การรำาลึกถึงพระคุณ ผู้ที่เคย
ให้ความอุปการะแก่เราด้วยความเคารพยิ่ง มีดังนี้
๑.กตัญญูต่อบุคคล บุคคลที่ควรกตัญญูก็คือใครก็ตามที่มีบุญคุณและตอบแทนพระ
คุณ เช่น บิดา มารดา อาจารย์
๒.กตัญญูต่อสัตว์ ได้แก่สัตว์ที่ช่วยทำางานให้เรา เราก็ควรเลี้ยงดูให้ดีเช่นช้าง ม้า วัว
ควาย หรือสุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้าน
๓.กตัญญูต่อสิ่งของ ได้แก่หนังสือที่ให้ความรู้แก่เรา อุปกรณ์ทำา
มาหากินต่างๆ เรา ไม่ควรทิ้งคว้าง
- 27. 28
๒๖. การฟังธรรมตามกาล
การฟังธรรมนั้น ควรทำาเมื่อมีโอกาส เช่น ตามวันสำาคัญต่างๆ เราสามารถนำามา
ใช้เพื่อปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น ท่านว่าเวลาที่ควรไปฟังธรรมนั้นมีดังนี้คือ
๑. วันธรรมสวนะ ก็คือวันพระ หรือวันที่สำาคัญทางศาสนา
๒. เมื่อมีผู้มาแสดงธรรม ก็อย่างเช่น การฟังธรรมตามวิทยุ
ตามสถานที่ต่างๆ หรือ การอ่านจากสื่อต่างๆ
๓. เมื่อมีโอกาสอันสมควร เมื่อมีเวลาว่าง
หรือในงานบวช งานกฐิน งานวัดเป็นต้น
- 30. 31
๒๙. การได้เห็นสมณะ
คำาว่า สมณะ แปลตรงตัว ผู้สงบ (หมายถึงผู้
อยู่ในสมณะเพศ)
คุณสมบัติของสมณะต้อง ประกอบไปด้วย
๓ อย่างคือ
๑. ต้องสงบกาย คือมีความสำารวมในการกระทำาทุกอย่าง รวมถึงกิริยา
มรรยาท ตาม หลักศีลธรรม
๒. ต้องสงบวาจา คือการพูดจาให้อยู่ในกรอบของความพอดี มีความ
สุภาพ
๓. ต้องสงบใจ คือการทำาใจให้สงบปราศจากกิเลสครอบงำา
- 31. 32
๓๐. การสนทนาธรรมตาม
กาล
การได้สนทนาธรรม ทำาให้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ แลก
เปลี่ยนความรู้ และได้รู้ในสิ่งใหม่ๆ ที่เราอาจนึกไม่ถึง หรือ
เป็นการเผื่อแผ่ความรู้ที่เรามีให้แก่ผู้อื่นได้ทราบด้วย
ก่อนที่เราจะสนทนาธรรม ควรต้องพิจารณาและคำานึงถึงสิ่งต่อ
ไปนี้คือ
๑.ต้องรู้เรื่องที่จะพูดดี
๒.ต้องพูดเรื่องจริง มีประโยชน์
๓.ต้องเป็นคำาพูดที่ไพเราะ
๔.ต้องพูดด้วยความเมตตา
- 32. 33
๓๑. การบำาเพ็ญตบะ
ตบะ แปลว่า ทำาให้ร้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด การบำาเพ็ญตบะ
หมายความถึงการทำาให้กิเลส ความรุ่มร้อนต่างๆ หมดไป หรือ
เบาบางลง ลักษณะการบำาเพ็ญตบะมีดังนี้
๑.การมีใจสำารวมในอินทรีย์ทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และใจ ไม่ให้กิเลส
ครอบงำาใจเวลาที่รับรู้อารมณ์ผ่านอินทรีย์ทั้ง ๖
๒.การประพฤติรักษาพรหมจรรย์ เว้นจากการร่วมประเวณี
๓.การปฏิบัติธรรม คือการรู้และเข้าใจในหลักธรรมเช่น
- 33. 34
๓๒. การประพฤติพรหมจรรย์
คำาว่าพรหมจรรย์หมายความถึง การบวชซึ่งละเว้นเมถุน การ
ครองชีวิตที่ปราศจากเมถุน การประพฤติธรรมอันประเสริฐ ท่าน
ว่าลักษณะของธรรมที่ถือว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์นั้น
(ไม่ใช่ว่าต้องบวชเป็นพระ) มีอยู่ดังนี้คือ
๑. มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ๒. ช่วยเหลือผู้อื่น
๓. ศึกษาปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา ๔. ให้ทาน
๕. งดเว้นจากการเสพกาม ๖. ยินดีในคู่ของตน
๗. เพียรพยายามที่จะละความชั่ว ๘. รักษาซึ่งศีล ๘
๙. ใช้ปัญญาเห็นแจ้งในอริยสัจ ๔ ๑๐. รักษาศีล ๕
- 34. 35
๓๓. การเห็นอริยสัจ
อริยสัจ หมายถึงความจริงอันประเสริฐ หลัก
แห่งอริยสัจมีอยู่ ๔ ประการ
๑. ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจ
๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำาให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธ คือความดับทุกข์ ความหลุดพ้น
๔. มรรค คือข้อปฏิบัติ หรือหนทางที่นำาไปสู่การดับ
ทุกข์
การเดินทางสายกลางเพื่อ ไปให้ถึงการดับทุกข์
- 35. 36
๓๔. การทำาให้แจ้งซึ่งพระ
นิพพาน
นิพพาน คือ ภาวะของจิตที่ดับกิเลสได้หมดสิ้น หลุดจาก
อำานาจกรรม ซึ่งก็คือพ้น
จากทุกข์นั่นเอง ท่านว่าลักษณะของนิพพานมีอยู่ ๒ ระดับ
ดังนี้คือ
๑.การดับกิเลสขณะที่ยังมีเบญจขันธ์เหลืออยู่ หรือการเข้าถึง
นิพพานขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
๒.การดับกิเลสที่ไม่มีเบญจขันธ์เหลืออยู่เลย คือการที่
ร่างกายเราแตกดับแล้วไปเสวยสุข
- 37. 38
๓๖. มีจิตไม่เศร้าโศก
ท่านว่ามีเหตุอยู่ ๒ ประการที่ทำาให้จิตเราต้องโศกเศร้าคือ
๑.ความโศกเศร้าที่เกิดเนื่องมาจากความรัก รวมถึงรักสิ่งของ
ทรัพย์สินเงินทองด้วย
๒.ความโศกเศร้าที่เกิดจากความใคร่
การทำาให้จิตใจไม่โศกเศร้านั้น มีข้อแนะนำาดังนี้
๑.ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่เนืองๆ
๒.ไม่ยึดมั่นในตัวตน หรือความจีรังยั่งยืน
๓.ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ
๔.คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงด้วยกันทั้งนั้น
- 38. 39
๓๗. มีจิตปราศจากกิเลส
กิเลส ก็คือสิ่งที่ทำาให้เกิดความเศร้าหมอง ซึ่งได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความ
หลง ท่านได้แบ่งประเภทของกิเลสออกเป็นดังนี้ คือ
๑. ราคะ ความอยากได้ในทางไม่ชอบ, ความเพ่งเล็งจะเอาของคนอื่นมาเป็นของ
ตัว
๒. โทสะ การคิดประทุษร้าย เนื่องด้วยมีใจพยาบาทแล้วก็มีใจคิดหมายทำาร้าย
๓. โมหะความเห็นผิดเป็นชอบ เช่นการไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญ (มิจฉาทิฐิ)
ความหลงผิด ไม่รู้ตามความเป็นจริง (โมหะ) เป็นต้น
- 39. 40
๓๘. มีจิตเกษม
เกษม หมายถึงมีความสุข สบาย หรือสภาพที่มีจิตใจที่เป็นสุข ในที่นี้หมายถึงการละแล้ว
ซึ่งกิเลส ที่ท่านว่าไว้ว่าเป็นเครื่องผูกอยู่ ๔ ประการคือ
๑. การละกามโยคะ คือการละความยินดีในวัตถุ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเรียกว่ากามคุณซึ่งประ
กอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
๒. การละภวโยคะ คือการละความยินดีในภพ โดยให้เห็นว่าสิ่งใดๆในโลกล้วนไม่เที่ยงแท้
๓. การละทิฏฐิโยคะ คือการละความยินดี โดยให้ดำาเนินตามหลักคำาสอนของพระพุทธเจ้า
๔. การละอวิชชาโยคะ คือการละความยินดี ในอวิชชาทั้งหลาย ความไม่รู้ทั้งหลาย