Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie EM academic summary final (7)
Mehr von Boonlert Aroonpiboon (20)
EM academic summary final
- 1. แถลงการณ์
เรื่อง “EM กับความเหมาะสมในการบําบัดนําเน่ าเสี ยในสภาวะนําท่ วมขัง”
้ ้
(เอกสารเชิงวิชาการ)
โดย
กลุ่มนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม
9 พฤศจิกายน 2554
ข้ อสรุ ปพร้ อมคําอธิบายเพิมเติมในเชิงวิชาการ
่
1. คํานิยามของนําเสี ยจากการท่ วมขังและขอบเขตของการสรุ ป
้
่
นํ้าเสี ยจากการท่วมขัง คือ นํ้าเสี ยที่เกิดขึ้นจากการท่วมขังของนํ้าที่อยูในบริ เวณที่ปิดหรื อมีการไหลของ
นํ้าน้อยมาก จนมีความสกปรกเน่าเสี ยเพิ่มมากขึ้น นํ้าเสี ยท่วมขังเป็ นนํ้าเสี ยที่มีการปนเปื้ อนของสารอินทรี ย ์
และมีค่าออกซิเจนละลายนํ้าตํ่าหรื อไม่มี และมีความผิดปกติของสี ตะกอน และกลิ่น
ในการสรุ ปผลการเสวนาครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาเฉพาะประเด็นการใช้ E.M. ในการบําบัดนํ้าเสี ยจาก
การท่วมขังของสถานการณ์วิกฤตนํ้าท่วมของประเทศไทยในขณะนี้ เท่านั้น ไม่รวมถึงนํ้าเสี ยชนิ ดและใน
สภาวะอื่นๆ
2. การบําบัดนําเน่ าเสี ยในสภาวะนําท่ วมขังในปั จจุบัน E.M. สามารถใช้ งานได้ หรื อไม่
้ ้
2.1. ความหมายของ EM และ E.M.
จากการสื บค้นจากสื่ อต่างๆ พบว่า EM เป็ นเครื่ องหมายทางการค้าโดย Professor Teruo Higa ได้จด
ลิขสิ ทธิ์ ไว้ ซึ่ งประกอบด้วยจุลินทรี ยหลัก 3 กลุ่ม คือ Lactic acid bacteria, Yeast, และ Photosynthetic
์
bacteria กลุ่ม Purple bacteria ปั จจุบนมีผลผลิตลักษณะเดียวกันแต่ไม่ได้อางถึงลิขสิ ทธิ์ เดียวกันปรากฎอยู่
ั ้
ด้วย
ส่ วน E.M. ที่มีการอ้างถึงในปั จจุบนนั้น เป็ นคําย่อของ Effective Microorganisms ซึ่งจัดว่าเป็ นคํา
ั
เรี ยกทัวไปของกลุ่มจุลินทรี ยที่มีความสามารถในการทํางานสู งกว่าจุลินทรี ยปกติ จึงทําให้ชื่อ E.M. เป็ นคําที่
่ ์ ์
ใช้เรี ยกกันทัวไปในทางวิชาการ
่
่
2.2. รู ปแบบของ E.M. ที่ใช้อยูในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขัง
- 2. 1) ผลิตภัณฑ์ E.M. ชนิดนํ้า คือผลผลิตจากกระบวนการหมักที่ใช้หัวเชื้อจุลินทรี ยตาม
์
ธรรมชาติ โดยมีส่วนประกอบหลักคือกรดอินทรี ย ์ (Organic acids) ที่ได้จากการย่อยสลายแบบไร้
ออกซิเจน แอลกอฮอล์ สารเมแทบอไลต์ต่างๆ ที่เกิดจากจุลินทรี ย ์ และเซลล์ของจุลินทรี ย ์
2) ผลิตภัณฑ์ E.M. ชนิดปั้ นเป็ นก้อน หรื ออีเอ็มบอล (E.M. Ball) จะประกอบด้วยจุลินทรี ย ์
E.M. ชนิดนํ้า สารอินทรี ย ์ เช่น รําข้าว ผสมด้วยแกลบและดิน เพื่อทําให้สามารถปั้ นเป็ นก้อนได้
ทั้งนี้ อีเอ็มบอลจะมีการหมักที่ไม่สมบูรณ์ต่างจากอีเอ็มชนิดนํ้า โดยอีเอ็มบอลจะยังคงมีสารอินทรี ย ์
ที่ยงไม่ถกย่อยสลายแบบไร้ออกซิ เจนในปริ มาณมาก
ั ู
่
2.3. องค์ประกอบของ E.M. ที่ใช้อยูในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขัง
องค์ประกอบของ E.M. ในแง่ของกายภาพและเคมี มักประกอบด้วยสารอินทรี ย ์ เช่น กากนํ้าตาล
(โมลาส) และรําข้าว ซึ่ งสารอินทรี ยดงกล่าว เมื่อเติมลงไปในนํ้า สามารถส่ งผลให้ค่าความสกปรกของนํ้าที่
์ั
วัดในรู ปของค่าบีโอดี (BOD - Biochemical Oxygen Demand) ของนํ้าเสี ยท่วมขังเพิมขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่าง
่
ยิงเมื่อใช้ในปริ มาณมาก
่
องค์ประกอบของ E.M. ในด้านจุลินทรี ย ์ ส่ วนใหญ่ประกอบด้วยจุลินทรี ย ์ 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ Lactic
acid bacteria, Yeast, และ Photosynthetic bacteria รวมถึงอาจมีจุลินทรี ยกลุ่มอื่นๆ รวมอยูดวย ทั้งนี้ เมื่อ
์ ่ ้
พิจารณาการวิเคราะห์ในเชิงปริ มาณพบว่า มิได้มีการระบุปริ มาณและสัดส่ วนของจุลินทรี ยชนิดต่างๆ ที่ได้
์
กล่าวมาแล้วอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ในด้า นกระบวนการผลิ ต E.M. ที่ ใ ช้กันอยู่ใ นการบํา บัดนํ้า เสี ย ท่ ว มขัง ก็มิ ได้มี ก าร
ควบคุ มคุ ณภาพการผลิ ตที่ ชัดเจน ทํา ให้อาจไม่สามารถควบคุ มปริ มาณ สัดส่ ว น หรื อบ่ งชี้ ประเภทของ
่
จุลินทรี ยท่ีมีอยูได้อย่างชัดเจน
์
2.4. E.M. สามารถบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้หรื อไม่?
ที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า E.M. ไม่ สามารถบําบัดนํ้าเสียจากการท่ วมขังได้ ด้วยเหตุผลต่างๆ
ดังนี้
องค์ประกอบของจุลินทรี ยใน E.M. บางกลุ่มอาจจัดได้ว่าเป็ นจุลินทรี ยประเภท Facultative ซึ่ ง
์ ์
สามารถใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจนในการย่อยสารอินทรี ยเ์ พื่อใช้ในการเจริ ญเติบโตได้ ดังนั้น หากใน
นํ้าเสี ยท่วมขังมีค่าออกซิ เจนละลาย (Dissolved Oxygen, DO) อยู่ จุลินทรี ยกลุ่มนี้กมกจะเลือกใช้ออกซิ เจน
์ ็ ั
ในการย่อยสารอินทรี ยเ์ พื่อเจริ ญเติบโต (Aerobic Respiration) ก่อน จนกระทังค่าออกซิเจนละลายในนํ้าหมด
่
ไป จุลินทรี ยก็จะปรับตัวมาใช้การย่อยสารอินทรี ยแบบไม่ใช้ออกซิ เจนในขั้นตอนการหมัก (Fermentation)
์ ์
เพื่อการเจริ ญเติบโตแทน
- 3. ดังนั้น หากนํ้าเสี ยท่วมขังยังมีปริ มาณออกซิ เจนละลายอยู่ ก็จะถูกจุลินทรี ยใน E.M. ที่เติมลงไปใช้
์
ในการย่อยสารอินทรี ยจนหมด ซึ่ งการขาดออกซิ เจนละลายดังกล่าวเป็ นสาเหตุให้น้ าเสี ยท่วมขังเน่าเสี ยเพิ่ม
์ ํ
มากยิงขึ้น
่
สําหรับกลไกการทํางานของจุลินทรี ยใน E.M. ในสภาวะการย่อยสารอินทรี ยแบบไม่ใช้ออกซิ เจน
์ ์
นั้น ไม่สามารถลดความสกปรกโดยเฉพาะสารอินทรี ยในนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้มากนัก กระบวนการซึ่ ง
์
คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นจากการหมักของจุลินทรี ยใน E.M. ภายใต้สภาวะไร้ออกซิเจน ดังสรุ ปในแผนภาพ
์
จากแผนภาพ เห็นได้ว่า ผลผลิตของการย่อยสารอินทรี ยโดยจุลินทรี ยใน E.M. นั้น ส่ วนใหญ่คือ
์ ์
Sulfur, Alcohol (และจะถูกเปลี่ยนเป็ น Organic acid ในที่สุด), Lactic acid และ organic acid อื่นๆ ซึ่ งสาร
ต่างๆ เหล่านี้กยงสามารถวัดเป็ นค่าความสกปรกของนํ้าในรู ป BOD ได้อยู่ เมื่อเปรี ยบเทียบกับกระบวนการ
็ั
บําบัดนํ้าเสี ยทางชี วภาพภายใต้สภาวะไร้ออกซิ เจน (Anaerobic wastewater treatment) การทํางานของ
จุลินทรี ยใน E.M. ยังขาดขั้นตอนหลักที่สาคัญนันคือ กระบวนการ Methanogenesis ซึ่ งเป็ นขั้นตอนหลักใน
์ ํ ่
่
การกําจัดสารอินทรี ย ์ (ในรู ปของค่า BOD) ออกจากนํ้า โดยการเปลี่ยนรู ปสารอินทรี ยในนํ้าให้อยูในรู ปของ
์
ก๊าซมีเธน(CH4) ก๊าซคาร์ บอนไดออกไซด์ (CO2) และก๊าซอื่นๆ อีกเล็กน้อย ซึ่ งรวมเรี ยกว่า ก๊าซชี วภาพ
(Biogas) นันเอง ดังนั้นสามารถสรุ ปได้ว่า สารอินทรี ยในนํ้าเสี ยได้ถูกเปลี่ยนรู ปไป แต่มิได้ถูกกําจัดออกจาก
่ ์
นํ้าและค่าความต้องการออกซิ เจนก็มิได้ลดลงแต่อย่างใด หรื อกล่าวได้ว่า จุลินทรี ยใน E.M. ไม่สามารถ
์
บําบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังได้
- 4. สําหรับกลุ่มจุลินทรี ยสังเคราะห์แสงใน E.M. นั้น ประกอบด้วยจุลินทรี ยสังเคราะห์แสง 2 กลุ่ม คือ
์ ์
1) จุลินทรี ยกลุ่ม Purple non-sulfur bacteria เช่น Rhodopseudomonas ซึ่ งมีความสามารถในการย่อยสลาย
์
สารอินทรี ยโดยใช้แสงได้ และ 2) จุลินทรี ยกลุ่ม Purple bacteria ที่มีความสามารถในการกําจัดกลิ่นเน่าเหม็น
์ ์
ของนํ้าเสี ยที่เกิดจากก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) หรื อก๊าซไข่เน่าได้ แต่กลไกทางชีวภาพในการกําจัดกลิ่น
ของ E.M. นั้นยังไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม จากที่พบว่ากระบวนการการกําจัดกลิ่นของ
E.M. สามารถเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ วนั้น นักวิชาการหลายท่านจึงลงความเห็นว่า ผลดังกล่าวอาจเนื่องจากกลไก
ทางเคมีหรื อองค์ประกอบบางอย่างใน E.M. ซึ่งช่วยปรับค่าพีเอชของนํ้ามากกว่าจะเป็ นกลไกทางชีวภาพจาก
การทํางานของจุลินทรี ย ์ อย่างไรก็ตาม บทบาทของจุลินทรี ยสังเคราะห์แสงเหล่านี้ ในการบําบัดนํ้าเสี ยยังมี
์
ไม่มากนัก รวมถึงยังไม่มีใครสามารถควบคุมหรื อเลี้ยงจุลินทรี ยตวนี้ในการบําบัดนํ้าเสี ยได้
์ั
ทั้งนี้ จุลินทรี ยทุกกลุ่มใน E.M. มิได้เป็ นจุลินทรี ยกลุ่มพิเศษแต่อย่างใด แต่เป็ นจุลินทรี ยที่พบได้
์ ์ ์
โดยทัวไปในธรรมชาติ
่
2.5. การใช้ E.M. ในแง่ของปริ มาณจุลินทรี ย ์
กระบวนการบําบัดทางชี วภาพ (Bioremediation) นั้นสามารถแบ่ งได้ออกเป็ น 2 ประเภท คือ
้ ์ ่
1) Bio-stimulation คือการกระตุนให้จุลินทรี ยที่มีอยูแล้วในธรรมชาติให้ทางานขึ้นมา เพื่อช่วยใน
ํ
การบําบัดนํ้าเสี ย
2) Bio-augmentation คือการเติมจุลินทรี ยลงไปในพื้นที่เพื่อใช้ในการบําบัด
์
สําหรับกรณี การเติม E.M. จัดเป็ นแนวทางการบําบัดทางชีวภาพ แบบ Bio-augmentation โดยการ
ั ์ ่
ทํา Bio-augmentation นั้น มีความจําเป็ นเฉพาะในกรณี ที่พ้ืนที่น้ นๆ ขาดแคลนจุลินทรี ยที่มีอยูตามธรรมชาติ
หรื อต้องการนําจุลินทรี ยที่ลกษณะพิเศษหรื อมีความเฉพาะเจาะจงมาใช้ในการบําบัดของเสี ยในพื้นที่ ดังนั้น
์ ั
หากพิจารณาการเติม E.M. เพื่อใช้ในการบําบัดนํ้าเสี ยท่วมขัง พบว่านํ้าเสี ยในธรรมชาติทวไปมีจุลินทรี ย ์
ั่
หลากหลายชนิดในปริ มาณมากมายอยูแล้ว ดังนั้น การเติมจุลินทรี ยโดยใช้ E.M. ซึ่ งเป็ นกลุ่มจุลินทรี ยที่มีอยู่
่ ์ ์
ปกติในธรรมชาติน้ น จึงไม่มีความจําเป็ น เนื่องจากจุลินทรี ยใน E.M. ที่เติมลงไปนั้นจัดว่าน้อยมากเมื่อเทียบ
ั ์
กับปริ มาณจุลินทรี ยในนํ้าเสี ยธรรมชาติ
์
อย่างไรก็ตาม หากใน E.M. มีจุลินทรี ยกลุ่มพิเศษที่ไม่มีอยูในธรรมชาติ การเติมจุลินทรี ยดงกล่าวลง
์ ่ ์ั
ไปด้วยปริ มาณไม่มากพอเพียง ก็อาจทําให้จุลินทรี ยกลุ่มดังกล่าวทํางานได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นก่อนที่
์
จะถูกกลื นไปกับจุลินทรี ยที่มีอยู่ในนํ้าเสี ยท่ วมขังเดิมซึ่ งมี อยู่เป็ นจํานวนมากและมีความสามารถในการ
์
ดํารงค์ชีวิตในนํ้าธรรมชาติสูงกว่า จุลินทรี ยใน E.M. ดังนั้นในกรณี น้ าเสี ยท่วมขังนี้ การทํา Bio-stimulation
์ ํ
- 5. ้ ์ ่
ด้วยการเติมออกซิ เจนลงในนํ้า เพื่อกระตุนให้จุลินทรี ยที่มีอยูแล้วให้สามารถทําการบําบัดนํ้าเสี ยได้ น่าจะมี
ความเหมาะสมมากกว่าในทางวิชาการ
ั
2.6. การใช้ E.M. ในการผลิตออกซิเจนให้กบนํ้าเสี ย
เนื่องจากในองค์ประกอบทางจุลินทรี ยของ E.M. ประกอบด้วยจุลินทรี ยที่สามารถสังเคราะห์แสงได้
์ ์
(Photosynthetic bacteria) เช่น Purple bacteria หลายคนจึงมีแนวคิดที่ว่า จุลินทรี ยใน E.M. สามารถผลิต
์
ั
ออกซิเจนเพื่อเพิ่มค่าออกซิ เจนละลาย (DO) ให้กบนํ้าเสี ยท่วมขังได้ อย่างไรก็ตาม ในทางวิชาการ จุลินทรี ย ์
ใน E.M. โดยเฉพาะกลุ่มแบคทีเรี ยสังเคราะห์แสง (Photosynthetic bacteria) ไม่สามารถผลิตออกซิ เจนได้
โดยตรง เนื่ องจากกระบวนการสังเคราะห์แสงของแบคทีเรี ยกลุ่มนี้แตกต่างจากการกระบวนการสังเคราะห์
แสงของไซยาโนแบคทีเรี ยและของพืชที่คนทัวไปคุนเคยกันอยู่ ดังแสดงในสมการต่อไปนี้
่ ้
กระบวนการสังเคราะห์แสงของ Purple bacteria (Bacterial photosynthesis)
CO2 + H2S (CH2O) + H2O + 2S
การสังเคราะห์แสงของไซยาโนแบคทีเรี ยและของพืช (Plant photosynthesis)
CO2 + 4 H2O (CH2O) + 3H2O + O2
เห็นได้ชดเจนว่า ผลผลิตของกระบวนการสังเคราะห์แสงของจุลินทรี ยชนิ ด Purple bacteria ใน
ั ์
E.M. คือ ซัลเฟอร์ (Sulfur, S) มิใช่ออกซิ เจน (Oxygen, O2) เหมือนกรณี การสังเคราะห์แสงของไซยาโน
แบคทีเรี ยและพืช ดังนั้น จุลินทรี ยใน E.M. จึงไม่สามารถเพิ่มค่าออกซิเจนละลายนํ้า (Dissolved Oxygen,
์
ั
DO) ให้กบนํ้าเสี ยท่วมขังได้โดยตรง
อย่างไรก็ตาม มีความเป็ นไปได้ว่าธาตุอาหารบางอย่างของพืชที่มีอยู่ใน E.M. เช่ น ไนโตรเจน
ฟอสฟอรัส หรื ออื่นๆ อาจสามารถช่วยในการเพิมปริ มาณของแพลงก์ตอนพืชในนํ้าได้และอาจส่ งผลต่อการ
่
สร้างออกซิเจนในนํ้าโดยทางอ้อมผ่านการสังเคราะห์แสงของแพลงก์ตอนพืชในนํ้าได้ อย่างไรก็ตามประเด็น
ดังกล่าวนี้ยงไม่มีการพิสูจน์เป็ นที่แน่ชด นอกจากนี้ การเพิ่มจํานวนของแพลงก์ตอนพืชในนํ้ามากจนเกินไป
ั ั
หรื อที่เรี ยกว่าปรากฎการณ์ Eutrofication นั้น ก็ส่งผลเสี ยต่อปริ มาณออกซิ เจนละลายนํ้าได้เช่นกัน กล่าวคือ
การสังเคราะห์แสงของพืชที่ให้ผลผลิตออกมาเป็ นออกซิ เจนนั้น เกิดขึ้นเฉพาะในเวลากลางวันที่มีแสงแดด
เท่ า นั้น ในช่ ว งเวลากลางคื นที่ ไม่ มีแ สงแดด แพลงก์ต อนพื ช จะใช้ออกซิ เ จนละลายในนํ้า และคายก๊ า ซ
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมา ส่ งผลให้ค่าออกซิเจนละลายในนํ้าในช่วงกลางคืนตํ่าลงหรื ออาจหมดไป
ได้ และส่ งผลให้น้ าเน่าเสี ยเพิมขึ้นได้อีกด้วย
ํ ่
- 6. แม้ว่าในปั จจุบนยังไม่ปรากฏว่ามีวิธีบาบัดนํ้าเสี ยจากการท่วมขังในพื้นที่ขนาดใหญ่ท่ีได้ผลเป็ นที่
ั ํ
ยอมรับในระดับนานาชาติ แต่ถึงอย่างไร แนวทางการใช้ จลินทรี ย์ E.M. นั้นยังไม่ ใช่ เทคโนโลยีท่ได้ รับการ
ุ ี
พิสูจน์ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ว่าสามารถนําไปใช้ ได้ จริ งในการบําบัดนํ้าเสี ยจากการท่ วมขัง และความไม่ ร้ ู
แน่ นอนในด้ านต่ าง ๆ เกี่ยวกับ E.M. ยังมีอยู่อีกมาก ที่ประชุ มจึงมีความเห็นตรงกันว่ า ไม่ แนะนําให้ ใช้
จุลนทรี ย์ E.M. ในการบําบัดนํ้าเสียจากการท่ วมขัง เนื่องจากเห็นว่ าน่ าจะส่ งผลเสียมากกว่ าผลดี
ิ
แนวทางการแก้ ปัญหานําเสี ยท่ วมขัง
้
การแก้ไขปั ญหานํ้าเสี ยท่วมขังในสถานการณ์ปัจจุบน ที่ประชุมมีความเห็นร่ วมกันว่าสามารถ
ั
ดําเนินการได้ตามลําดับ ดังนี้
3.1. ควรหาวิธีระบายนํ้าที่ท่วมขังอยู่ออกไปโดยเร็ วที่สุด วิธีดงกล่าวเป็ นวิธีที่ได้รับการยอมรับ และ
ั
ใช้ทวไปในนานาประเทศ และควรเข้าใจและยอมรับความจริ งว่ายังไม่เคยมีวิธีการใดที่จะบําบัดนํ้าเสี ยจาก
ั่
ั ่
กรณี น้ าท่วมขังได้อย่างมีประสิ ทธิภาพ ส่ วนวิธีที่ได้รับการยอมรับและใช้กนทัวไปในบางประเทศมีเพียงการ
ํ
อพยพคนออกและระบายนํ้าท่วมขังออกโดยเร็ วที่สุดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากการระบายนํ้าออกยังทําไม่ได้
ในระยะเวลาสั้นๆ ควรดําเนินการดังข้อแนะนําต่อๆไป
3.2. ควรจัดการเก็บขนขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกลที่เกิดขึ้นในพืนที่ ทั้งที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจําวัน
ู ้
และจากการนําสิ่ งของช่วยเหลือ (ถุงยังชี พ) เข้าไปในพื้นที่น้ าท่วมขัง เพื่อนําออกมากําจัดอย่างถูกต้องตาม
ํ
หลักวิชาการ เช่ น การฝั งกลบ เป็ นต้น ทั้งนี้ การนําขยะมูลฝอยและสิ่ งปฏิกูลออกจากพื้นที่ นับเป็ นปั จจัย
สําคัญที่ช่วยลดความสกปรกของนํ้าท่วมขังได้เป็ นอย่างดี
3.3. ควรหาวิธีการเพื่อเพิ่มปริ มาณออกซิเจนละลายในนํ้า เช่น การทําให้เกิดการหมุนเวียนของนํ้า
ท่ วมขังเข้า และออกจากพื้นที่ น้ ําท่ ว มขัง ปิ ด การใช้เครื่ อ งเติ มอากาศ เป็ นต้น สํา หรั บการจัดให้เกิ ดการ
หมุ นเวี ย นของนํ้า ท่ ว มขัง นั้น อาจทํา ได้โ ดยการรื้ อสิ่ ง กี ด ขวางทางไหลของนํ้า ในบริ เ วณดัง กล่ า ว เช่ น
กระสอบทราย ออก เป็ นต้น เพื่อให้น้ าสามารถไหลหรื อหมุนเวียนเพื่อให้เกิดการถ่ายเทของออกซิ เจนลงสู่
ํ
นํ้าได้เพิ่มมากขึ้น
สําหรับการใช้เครื่ องเติมอากาศในการบําบัดนํ้าท่วมขัง เนื่องจากนํ้าท่วมขังมีปริ มาตรสู งมาก ดังนั้น
อาจต้องมีการคํานวณและออกแบบการติดตั้งใช้เครื่ องเติมอากาศทั้งในแง่ขนาดและจํานวนเป็ นปริ มาณมาก
- 7. เพื่อให้สามารถถ่ายเทออกซิเจนลงไปในนํ้าได้อย่างพอเพียง โดยที่หากใช้การเติมอากาศในพื้นที่น้ าท่วมขังที่
ํ
ปิ ดและบริ เวณที่ไม่ใหญ่เกินไปนัก เช่น ภายในบ้านเรื อน จะเห็นผลได้เร็ วกว่าพื้นที่น้ าท่วมขังขนาดใหญ่
ํ
การใช้เครื่ องเติมอากาศ สามารถเลือกใช้ได้หลากหลายชนิด ตั้งแต่ขนาดเล็กๆ เช่น การใช้เครื่ องสู บ
นํ้าพ่นนํ้าให้เป็ นฝอยขึ้ นไปในอากาศ เพื่อให้เกิ ดการถ่ายเทออกซิ เจนจากอากาศลงสู่ น้ า จนกระทังถึงใช้
ํ ่
่ ้
เครื่ องกลเติมอากาศขนาดใหญ่ นอกจากนี้ การใช้เครื่ องเติมอากาศ มีขอควรระวังอยูบาง เช่น สําหรับเครื่ อง
้
เติมอากาศที่ใช้ไฟฟ้ า หากผูใช้ไม่ชานาญการในการติดตั้งใช้งาน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้ าลัดวงจรได้
้ ํ
ในขณะที่การพ่นนํ้าให้เป็ นฝอยขึ้นไปในอากาศ อาจส่ ง ผลให้เกิ ดละอองนํ้าขนาดเล็กที่ ปนเปื้ อนไปด้วย
จุลินทรี ยในนํ้า และอาจถูกสู ดดมเข้าสู่ ร่างกายคนผ่านระบบทางเดินหายใจได้
์
3.4. อาจใช้สารเคมีบางชนิดที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และกําจัดกลิ่นในนํ้าเสี ยท่วมขัง เช่น
ปูนขาว คลอรี น หรื ออื่นๆ ควรมีการจํากัดบริ เวณการใช้หรื อใช้ระบบปิ ด เช่น กรณี พ้ืนที่น้ าท่วมขังปิ ดขนาด
ํ
ั
เล็ก เป็ นต้น รวมถึงไม่ควรนํามาใช้กบบริ เวณพื้นนํ้าท่วมขังที่มีปริ มาตรสู งหรื อบริ เวณนํ้าท่วมขังที่เป็ นระบบ
เปิ ดที่สามารถเชื่อมต่อกับสิ่ งแวดล้อมภายนอก ทั้งนี้ ความจําเป็ นต้องใช้สารเคมีเป็ นปริ มาณสู งมากที่เป็ น
การสิ้ นเปลืองแล้ว หากนํ้าเสี ยที่ผานการเติมสารเคมีเหล่านี้ปนเปื้ อนสู่ สิ่งแวดล้อมภายนอกจะส่ งผลกระทบ
่
ต่อสิ่ งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนํ้าได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ การใช้สารเคมีดงกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู ้
ั
ใช้ได้หากมี การสัมผัสกับสารเคมี โดยตรง ดังนั้น หากมี ความจําเป็ นต้องใช้ ควรมี การสวมใส่ ถุงมือและ
อุปกรณ์ป้องกัน รวมถึงควรศึกษาถึงปริ มาณที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ดังนั้นที่ประชุมจึงไม่แนะนําให้ใช้
สารเคมีในการแก้ไขปัญหานํ้าเสี ยท่วมขัง
ข้อสรุ ปทั้งหมดนี้ทางกลุ่มนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเข้าใจดีถึงความ
ปรารถนาดีของทุกฝ่ ายในการช่วยกันร่ วมแก้ไขปั ญหาสิ่ งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น หากแต่จาเป็ นต้องนําเสนออีก
ํ
แง่มุมหนึ่งของนักวิชาการวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมต่อการใช้ E.M.ในการบําบัดนํ้าเน่า
เสี ยในสภาวะนํ้าท่วมขังตามหลักวิชาการ เพื่อประกอบการตัดสิ นใจสําหรับการเลือกวิธีการแก้ไขปั ญหาที่
เหมาะสมที่สุดในการฟื้ นฟูปัญหาสิ่ งแวดล้อมอันเนื่องมาจากภาวะนํ้าท่วมในปัจจุบน
ั