Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie ตัวอย่างโครงงาน (20)
Mehr von Aekkarin Inta (16)
ตัวอย่างโครงงาน
- 2. โครงงานคอมพิวเตอร์ พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง
ประเภทโครงงาน โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
ระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ผู้รับผิดชอบโครงงาน นางสาวรุ้งเพชร กาฬษร
นางสาววาจา นรสิงห์
นางสาววิภาวรรณ ซึ้งมงคลทรัพย์
อาจารย์ที่ปรึกษา ครูณัชพล กาฬภักดี
โรงเรียน โรงเรียนบ่อกรุวิทยา อาเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
บทคัดย่อ
โครงงานเรื่องพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง เป็นการประยุกต์นาความรู้ด้าน
คอมพิวเตอร์มาใช้นาเสนอข้อมูลพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง ที่ผู้จัดได้ศึกษาข้อมูล
จากผู้มีความรู้ในหมู่บ้านหนองป่ าแซง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพิธีการและขั้นตอนของพิธีมงคล
แต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง เนื่องจากเป็นประเพณีที่มีคุณค่าและสวยงาม เพื่อให้คนรุ่นหลัง
เกิดความตระหนักในคุณค่าของพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในท้องถิ่นของตนเอง และเพื่อเป็นการอนุรักษ์
และเผยแพร่พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซงให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาอย่างกว้างขวางผ่าน
วีดิโอที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต
จากผลการดาเนินการโครงงานเรื่องพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง พบว่าได้รับ
ความสนใจจากบุคคลทั่วไป และสร้างความตระหนักในพิธีมงคลแต่งงานในท้องถิ่น ให้ดารงอยู่ไม่สูญ
หายไปตามกาลเวลา
- 3. กิตติกรรมประกาศ
โครงงานคอมพิวเตอร์ “พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง” เป็นโครงงานประเภท
โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา โดยการประยุกต์นาความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มาใช้นาเสนอข้อมูลพิธีมงคล
แต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่ าแซง ซึ่งผู้จัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์ต้องกราบขอบพระคุณ
นายบุญช่วย อ้นสืบสาย ผู้อานวยการโรงเรียนบ่อกรุวิทยา ที่ให้ความอนุเคราะห์ สนับสนุน อีกทั้งยังให้
คาแนะนา ตลอดจนให้คาปรึกษาในการทาโครงงานคอมพิวเตอร์นี้ขึ้นมาให้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ขอขอบพระคุณ นายณัชพล กาฬภักดี ครูผู้สอนวิชาคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนบ่อกรุวิทยา ที่กรุณาให้คา
ชี้แนะ ให้คาปรึกษา แนะนาขั้นตอนในการจัดทาโครงงาน อีกทั้งยังช่วยกรุณาตรวจทานข้อมูลต่างๆ ในการ
ทาโครงงานฉบับนี้
- 4. บทที่ 1
บทนา
1.1 ที่มาและความสาคัญ
เนื่องจากในปัจจุบันนี้การแต่งงานของคนไทยสมัยใหม่ได้รับวัฒนธรรมการแต่งงานของคนทาง
ตะวันตกเข้ามา ทาให้พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยที่มีคุณค่าและความสวยงาม ค่อยๆเสื่อมหายไปจาก
สังคมไทย คนรุ่นหลังเริ่มดัดแปลงงานแต่งให้มีความเป็นตะวันตกมากขึ้น มีเพียงการใส่ชุดไทยในการทาพิธี
แต่ขั้นตอนพิธีการต่างๆตัวอย่างเช่น พิธีการหมั้น ที่จะต้องส่งเถ้าแก่มาเจรจาสู่ขอและกาหนดวันหมั้นก่อน
จึงค่อยจัดพิธีแต่งงาน แต่ในปัจจุบันเมื่อหนุ่มสาวคู่ใดจะแต่งงานกัน ก็จัดงานแต่งเลยเป็นการรวบรัด ทาใน
วันเดียวให้เสร็จ หรือบางคู่ก็อาจจะอยู่กินกันเลย เป็นการทาลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวไทยใน
อดีตไป ทาให้ทุกวันนี้ประเพณีที่ดีงาม สวยงามนั้นได้ถูกวัฒนธรรมทางตะวันตก กลืนกินไปหมดแล้ว ไม่
ค่อยจะมีคนที่รู้จักประเพณีของไทยอย่างถ่องแท้ ที่สาคัญยิ่ง ประเพณีของไทยนั้นเป็นการบ่งบอกถึงความ
เป็นไทย และความเป็นศิลปะ ที่หาวัฒนธรรมอื่นใดเปรียบมิได้
พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในอดีตนอกจากจะเป็นการประกาศการใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองแล้ว ยัง
เป็นการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตให้บุตรของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เป็นการช่วยลดปัญหาการหย่าร้าง
เพราะยังไม่ได้ศึกษากันให้ดีเสียก่อน ซึ่งข้อนี้ คนไทยในสมัยก่อนท่านได้มองเห็นถึงความสาคัญในการใช้
ชีวิตคู่ จึงไม่ค่อยมีปัญหาการอย่างร้าง ปัญหาครอบครัว และลุกลามเป็นปัญหาของสังคมเหมือนในปัจจุบันนี้
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทางผู้จัดทาจึงจัดทาโครงงานพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนอง
ป่าแซง เพราะเห็นถึงความสาคัญในพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในท้องถิ่น ซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงามและมีมา
อย่างยาวนานที่เราควรศึกษาและสืบทอดให้คงอยู่ต่อไป
1.2 แนวคิดในการทาโครงงานคอมพิวเตอร์
จากความสาคัญของวิชาคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันที่มีความสาพันธ์กับชีวิตในปัจจุบันมากขึ้น
การศึกษาแหล่งข้อมูลต่างๆทาได้ง่ายเพียงค้นหาผ่านอินเทอร์เน็ต จึงเป็นสิ่งที่ง่ายต่อการเผยแพร่ความรู้
เกี่ยวกับประเพณีการแต่งงานในท้องถิ่นที่ปัจจุบันถูกกระแสนิยมทางชาติตะวันตกเข้ามา จนทาให้ประเพณีที่
สวยงามของเราได้เลือนหายไป
ดังนั้นคณะผู้จัดทาโครงงานมีความคิดว่าควรศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีการแต่งงาน
ในหมู่บ้านหนองป่าแซงมาสร้างสรรค์เป็นผลงานทางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาความรู้
ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเป็นการเผยแพร่ประเพณีการแต่งงานในหมู่บ้านหนองป่าแซง เพื่อให้
ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้และสืบทอดต่อไป อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์ ประเพณีที่ดีงามซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ดีงามให้อยู่
คู่กับหมู่บ้านต่อไป
1.3 จุดมุ่งหมายในการจัดทาโครงงานคอมพิวเตอร์
- 6. บทที่ 2
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
2.1 การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประเพณีแต่งงานแบบไทย
ลูกผู้ชายทุกคน เมื่อได้บวชได้เรียนแล้ว กรณียะต่อไปก็คือการหาคู่ครอง เพื่อสืบเชื้อสายแห่งตระกูล
ต่อไปตามประเพณี ลูกผู้หญิงก็เหมือนกัน เมื่อเจริญวัยอายุพอสมควรแก่การที่จะเป็นแม่บ้านได้แล้ว หากมี
ชายใดผู้คู่ควรมาสู่ขอ พ่อแม่ก็ตกแต่งยกให้ตามประเพณี เป็นอันบาเพ็ญหน้าที่เสร็จไปข้อหนึ่ง ที่ทางพุทธ
ศาสนากล่าวไว้ว่า “หาคู่ครองที่สมควรให้”
การแต่งงานนี้มี 2 ชนิดคือ ถ้าผู้หญิงไปแต่งงานที่บ้านผู้ชายเรียกว่าอาวาหมงคล ถ้าผู้ชายไปแต่งงาน
ที่บ้านผู้หญิงเรียกว่า วิวาหมงคล
จากประเพณีของไทยที่สืบทอดกันมาแต่โบราณนั้น ประเพณีแต่งงานในหมู่บ้านหนองป่าแซง หาก
บ้านใดมีลูกชายก็มักจะบวชเสียก่อนจึงค่อยคิดแต่งงาน ชายซึ่งได้บวชเรียนแล้วมองเห็นว่าหญิงใดมีลักษณะ
ต้องใจตน ก็บอกให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ บางทีผู้ใหญ่ก็เป็นฝ่ายมองพิจารณาเลือกให้เอง โดยการไปสู่ขอนั้น ต้อง
จัดเอาผู้ใหญ่ของฝ่ายชายคือพ่อแม่หรือผู้ปกครองอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้สูงอายุหรือมีเกียรติ ก่อนจะไปก็ดูฤกษ์ยาม
วันดีก่อน แล้วจึงไปเจรจาสู่ขอต่อผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ผู้ใหญ่ฝ่ายชายที่ไปเจรจาสู่ขอนั้น เรียกว่า “เถ้าแก่” เหตุที่
ให้มีเถ้าแก่ไปสู่ขอก็เพื่อเป็นหลักฐานมั่นคงในถ้อยคาสัญญาและถ้าต่อไปมีเหตุให้แตกแยกกัน ก็จะได้อาศัย
เถ้าแก่เป็นพยานยืนยันข้อความในทางกฎหมาย
การเจรจาสู่ขอ
ในการเจรจาสู่ขอ เถ้าแก่จะใช้สานวนโวหาร หากเป็นเถ้าแก่ที่รอบรู้ในประเพณีโบราณก็เจรจาเลียบ
เคียงได้ไพเราะ เช่นเจรจาว่า ได้ยินว่าบ้านของผู้ฝ่ายหญิงมีพรรณฟักแฟงแตงเต้าอันงาม ก็ใคร่ที่จะมาขอ
พรรณไปเพาะปลูกบ้างดังนี้เป็นต้น ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงก็รู้ความโดยนัยนั้น ในสมัยปัจจุบัน พูดขอเอาตรงๆก็มี ก็
มี ไม่ต้องอ้อมค้อม ถ้าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง ยังไม่รู้จักผู้ชายนั้นดี ก็ต้องไต่ถาม เถ้าแก่ต้องเป็นฝ่ายรับรองความ
ประพฤติของฝ่ายชาย
ประเพณีโบราณ ปรากฏในบทเสภา เรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นเราจะทราบใจความว่า เมื่อนางทองประ
สี (แม่เจ้าบ่าว) ไปขอนางพิมพ์ต่อนางศรีประจันต์ (แม่เจ้าสาว) หาผู้ใหญ่สูงอายุในตาบลนั้น ชื่อตาสน ตาเสา
ยายเม้า ยายมิ่ง อันเป็นที่นับถือด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย (จึงเรียกว่า เถ้าแก่) ไปด้วย 4 คน เมื่อนางทองประสีขอลูก
สาว นางศรีประจันต์ว่า
- 8. พิธีหมั้น
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย เป็นอันยกลูกสาวให้แล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ก็ตกลงกันในเรื่องทุนสินสอดและเรือน
หอขันหมากผ้าไหว้ว่าจะเอากันเท่าไรแน่ เมื่อมีกาหนดกันแน่นอนแล้ว ก็จะจัดพิธีหมั้น แต่ในหมู่บ้านหนองป่าแซง
ไม่นิยมจัดพิธีหมั้น แต่จะหาฤกษ์กาหนดวันแต่งงานทีเดียว การไม่หมั้นกันไว้ก่อน ก็เพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อถือใน
คามั่นสัญญาของกันและกัน การหมั้นไว้นั้น ความประสงค์ก็เพื่อเป็นหลักประกันในคามั่นสัญญาของฝ่ายชาย
เพราะถ้าฝ่ายชายผิดสัญญา ไม่ยอมสมรสด้วยกับฝ่ายหญิงก็ต้องถูกริบเครื่องของหรือเรียกกันว่า ขันหมากหมั้นไป
เปล่าๆ หญิงนั้นก็เรียกกันว่าหม้ายขันหมาก
แต่หากมีพิธีหมั้นนั้น จะมีวิธีทาดังต่อไปนี้ เมื่อถึงวันฤกษ์งามยามดี ฝ่ายชายก็จัดขันหมากที่จะนาไปหมั้น มี
ขั้นใส่หมากทั้งผลกับพลุใบและทองคาตามน้าหนักที่ตกลงกันไว้พร้อมกับขนมต่างๆจัดไปตามความพอใจ ผู้ใหญ่
ฝ่ายหญิงก็จัดเถ้าแก่ไว้คอยรับขันหมาก อันขันหมากหมั้นนี้ ถ้าฝ่ายหญิงผิดสัญญา โดยประพฤติการอันพึงรังเกียจ ก็
ต้องคืนให้แก่ฝ่ายชาย
วิธีปลูกเรือนหอ
เมื่อทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง กาหนดฤกษ์ที่จะแต่งงานกันแล้ว ต่อแต่นั้น ฝ่ายชายก็ต้องตระเตรียมแต่งตัวไม้
สาหรับเรือนหอ ขนเอาไปไว้ที่บ้านเจ้าสาว ฝ่ายเจ้าสาวก็จัดสารับกับข้าวออกมาเลี้ยงดูกัน
การปลูกเรือนหอนี้ตามประเพณีเป็นหน้าที่ของฝ่ายชายจัดสร้างขึ้นในเนื้อที่บ้านของฝ่ายหญิง แต่บางครั้ง
ฝ่ายหญิงก็เป็นผู้จัดทา และคิดค่าก่อสร้างจากฝ่ายชาย ส่วนเครื่องเรือนเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง
แต่ในปัจจุบันเนื่องด้วยค่าใช้จ่ายในการปลูกเรือนหอมีราคาสูง เนื่องจากราคาที่ดินและค่าวัสดุก่อสร้าง ทา
ให้ในหมู่บ้านหนองป่าแซงจึงไม่นิยมปลูกเรือนหอแต่จะใช้ห้องนอนที่บ้านเจ้าบ่าวหรือบ้านเจ้าสาวเป็นเรือนหอ
แทน โดยเลือกตามความเหมาะสม
สินสอดทองหมั้น หรือของหมั้น
โดยปกติการแต่งงานลูกสาว มักถือเป็นงานออกหน้าออกตาใหญ่โต ทางฝ่ายหญิงจึงพยายามเรียกร้องกัน
มากๆ คือเรียกของหมั้นที่มีราคาแพง เดิมทีการหมั้นมักจะเรียกเป็นทองคา และการเรียกเป็นน้าหนัก จนเป็นศัพท์
ติดปากมาจนกระทั่งบัดนี้ว่า "ทองหมั้น" ซึ่งประเพณีโบราณถือเป็นของเจ้าสาว ที่จะนาไปเป็นเครื่องแต่งตัว เพื่อ
เป็นทรัพย์สมบัติติดตัวในเวลาแต่งงานนอกจากนี้ ยังมีการกาหนดเงินสินสอดและผ้าไหว้อีกด้วย เรียกว่า "สินสอด"
ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อแม่ ถือกันว่า เป็นค่าเลี้ยงดูหรือค่าน้านม
สาหรับการเรียกสินสอดภายในหมู่บ้านหนองป่าแซงนั้นฝ่ายเจ้าสาวจะไม่มีการเรียกร้องสินสอดตายตัว แต่
จะเป็นการตกลงกัน และพ่อแม่ฝ่ายหญิงมักจะแบ่งสินสอดให้บ่าวสาวจานวนหนึ่งเพื่อเป็นเงินทุนในการลงทุน
ทางานต่างๆ หรือบางคนก็ยกสินสอดทั้งหมด ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับฐานะของทั้งสองฝ่ายด้วย
- 9. การกาหนดฤกษ์ยามในวันหมั้น
การกาหนดฤกษ์ยามในวันหมั้น โดยมากนิยมกาหนดตอนเช้า ก่อนเที่ยง หรือไม่ก็ควรเป็นตอนบ่าย
นอกจากนั้นต้องมีการหาฤกษ์อีก 3 ฤกษ์ คือ ฤกษ์ขันหมากนิยม ฤกษ์รดน้าและทิศทางที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะนั่ง
และฤกษ์ปูที่นอนและส่งตัว ซึ่งประเพณีโบราณถือว่าสาคัญมาก มักจะให้พระผู้ใหญ่หรือพราหมณ์เป็นผู้หาฤกษ์
โดยถือเกณฑ์ดวงชะตาของฝ่ายหญิงและฝ่ายชายเป็นหลักในการคานวณ หรือในสมัยนี้อาจปรึกษาโหราจารย์ที่
น่าเชื่อถือได้
แต่เนื่องด้วยภายในหมู่บ้านหนองป่าแซงไม่นิยมจัดพิธีหมั้นจึงไม่มีการหาฤกษ์วันหมั้น ก็จะหาเพียงแค่
ฤกษ์ในวันแต่งเพียงอย่างเดียว
พานขันหมาก
ประกอบด้วยหมาก 8 ผล พยายามให้อยู่พวงเดียวกัน หรือเลือกเป็นคู่ ทาก้นด้วยปูนแดง เรียงใบพลูให้เสมอ
กัน 4 เรียง เรียงละ 8 ใบ รวม 32 ใบ
พานขันหมั้นใหญ่ (ขันสินสอด) ใช้พานที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย บรรจุด้วย พรรณพืช ใบไม้ ดอกไม้มงคลเช่น
ใบเงินใบทองใบนาก ใบแก้ว ข้าวเปลือก ถั่ว งา จากนั้นนาสินสอดวางด้านบน ( เคล็ดลับคือให้เพิ่มเงินมากกว่า
สินสอดเล็กน้อย เพื่อให้สินสอดเพิ่มพูน ) บางท่านจะแยก พานออกเป็นพานใส่เงิน พานใส่ทอง และ พานแหวน
โดยทุกพานถือเป็น บริวารของขันหมั้น ให้โรยด้วยดอกรัก และถั่วงา
พานธูปเทียน ใช้ธูปเทียนแพ ครอบด้วยกรวยดอกไม้
พานผ้าไหว้ ใช้สาหรับ วางของไหว้พ่อแม่ หรือผู้มีบุญคุณทุกท่าน ภายในหมู่บ้านหนองป่าแซงจะจัดหา
ตามความเหมาะสม แต่ที่นิยมมากคือผ้าขนหนู
เครื่องขันหมาก ประกอบด้วยขนมไทยมงคล 9 อย่าง นิยมจัดเป็นคู่ นอกจากนี้ หากพิธีใหญ่ จะมีการจัด
เครื่องคาวด้วยเช่น หมูนอนตอง(หมูสามชั้นต้ม สุกวางบนใบตอง ไก่ต้ม ปลาช่อนนึ่ง รวมถึงบริวารอื่นๆ เช่นต้น
กล้วย ต้นอ้อย มะพร้าวอ่อน กล้วยน้าหว้าทั้งเครือ
ต้นกล้วยต้นอ้อยที่ใช้ในขบวนขันหมากแต่งงานนั้น มีความหมายในทางมงคลก็คือ อ้อยหมายถึงความ
หวาน ส่วนหน่อกล้วยหมายถึงความเจริญงอกงาม การขุดต้องให้ติดรากหรือมีตาและเลือกเอาต้นหรือหน่อที่
สมบูรณ์ โดยชุดมาเป็นคู่ นามาประดับตกแต่งด้วยกระดาษสีให้ดูสวยงามซึ่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะ ต้องทาการปลูก
ร่วมกันคล้ายกับเป็นการเสี่ยงพายอย่างหนึ่ง ซึ่งหากต้นกล้วยเจริญเติบโตออกดอกออกผลสมบูรณ์ และต้นอ้อย
เติบโตหอมหวาน เชื่อกันว่าความรักของหนุ่มสาวคู่นี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง ความรัก
จะสดชื่นหอมหวานอยู่มิรู้คลาย ฐานะความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจก็สมบูรณ์พูนสุข
- 10. พิธีแห่ขันหมาก
ขั้นหมากนั้น ต้องจัดเป็น 3 ขัน เรียกว่าขันหมากเอก 1 ขัน ขันหมากรอง 2 ขัน ขันหมากเอกสาหรับใส่
ข้าวสารหมากพลูจีบจัดเรียงรายพองามตามปากขัน ใส่ตะลุ่มมีฝาปิดหุ้มผ้าลาย มีผ้าไหมรัด ขันหมากรอง ใส่เงิน
สินสอด ถั่วงา ข้าวเปลือก ใบเงิน ใบทอง ใบนาค ธูปเทียน ผ้าไหว้บิดามารดา และผ้าไหว้ผีปู่ย่าตายาย จะจัดผ้าเป็นกี่
คู่ก็สุดแล้วแต่ความตกลงกัน อนึ่ง สาหรับเงินสินสอดนั้นมีประเพณีว่า ต้องใส่ไว้ให้เกินกว่าที่ตกลงกันไว้เมื่อเถ้าแก่
ตรวจตราสิ่งของนับดุ ก็จะถือว่าเป็นเงินงอก นับเป็นเคล็ดที่ถือกันว่า ชายหญิงนั้นอยู่ร่วมกันแล้ว ทรัพย์สินก็จะมีแต่
งอกเงยเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ขันหมากที่จาเป็นมีเพียง 3 ขันเท่านี้ จะจัดเพิ่มเติมอีกเท่าไรก็ได้ ใส่ขนมต่างๆในถาดเหล่านั้น
อนึ่ง ขันหมากนอกจากนี้ แม้จะมีจานวน 50 หรือจานวนร้อยก็ตาม ประเพณีโบราณนิยมเรียกว่า “ร้อยเอ็ด” เสมอกัน
เงินทุนสินสอด ได้แก่เงินที่ตกลงกันในแต่งงานนี้มี 2 อย่าง คือเงินที่ผู้ปกครองของเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ฝ่ายละ
ครึ่ง สาหรับคู่บ่าวสาวจะได้ใช้ในการตั้งตัว เรียกว่าเงินทุน ประเภท 1 เงินที่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้แก่ตัวเจ้าสาว เรียกว่า
สินสอด ประเภท 1
ประเพณีแห่ขันหมากนั้นภายในหมู่บ้านหนองป่าแซง เมื่อได้ฤกษ์งามยามดี ก็เริ่มแห่ขันหมากไปยังบ้าน
เจ้าสาว มีเครื่องแห่และไชโยโห่ร้องกันสนุกสนาน ขบวนใหญ่น้อย ตามฐานะและความกว้างขวางของฝ่ายเจ้าบ่าว
เมื่อไปถึงบ้านเจ้าสาวแล้วถ้าหากมีการกั้นประตู ก็เป็นหน้าที่ของเถ้าแก่จะให้เงินรางวัลเสมือนกับเป็นค่าเปิดประตู
ถ้าหากมีการล้างเท้าเจ้าบ่าวก็ต้องให้รางวัลเช่นเดียวกัน
การกั้นประตู พวกพ้องเจ้าสาวมักเป็นคนทา โดยภายในหมู่บ้านหนองป่าแซง จะมีการกั้นประตูแรกที่
ทางเข้าบ้านโดยใช้ไม้ยาวๆกั้นขวางไว้ชั้นต่อมาจึงเป็นการกั้นประตูเงินประตูทอง โดยกั้นไว้ไม่ให้เจ้าบ่าวขึ้น และ
จัดกั้นกัน 3 ประตูที่บ้านฝ่ายหญิง ครั้นเจ้าบ่าวมาถึงประตูที่ 1พวกเจ้าบ่าวก็ถามว่า นี่ประตูอะไร พวกเจ้าสาวที่กั้น
ประตูนั้น ก็ตอบว่าประตูแก้ว ครั้นถึงประตูที่ 2 ก็ถามเช่นนั้นอีก พวกเจ้าสาวก็ตอบว่า ประตูเงิน ครั้นถึงประตูที่ 3 ก็
ถามอย่างเดียวกัน พวกเจ้าสาวก็ตอบว่า ประตูทอง พวกเจ้าบ่าวก็ต้องให้เงินรางวัลทุกๆ ประตู
ครั้นแล้ว เถ้าแก่คนกลางทั้งสองฝ่าย ก็นับตรวจตราสิ่งของว่าถูกต้องตามสัญญาหรือไม่ เมื่อถูกต้อง
เรียบร้อย ฝ่ายเจ้าสาวรับเครื่องขันหมากเสร็จแล้ว ก็จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน เป็นอันเสร็จพิธีขันหมาก
พิธีรดน้าในปัจจุบัน
เมื่อพิธีขันหมากเสร็จสิ้นแล้ว ถึงเวลาเย็นในวันนั้น ทาพิธีสงฆ์ นิมนต์พระมาสวดมนต์ เจ้าบ่าวจะต้อง
ออกไปจุดธูปเทียน นั่งฟังพระสวดมนต์แต่ผู้เดียว ส่วนในตอนรุ่งขึ้นเช้า ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องออกมาตักบาตร
ด้วยกัน เมื่อทาบุญเลี้ยงพระแล้ว ช่วยกันประเคนของถวายพระเป็นอันเสร็จพิธี
ครั้นถึงฤกษ์รดน้า เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกไปนั่งที่ซึ่งจัดไว้บ่ายหน้าไปทางทิศที่โหราจารย์กาหนด ผู้ชายนั่งข้าง
ขวามือของผู้หญิง แล้วผู้ใหญ่ที่เป็นประธานในงาน สวมมงคลครอบศีรษะฝ่ายชายและฝ่ายหญิง และเริ่มรดน้าสังข์
แก่คู่บ่าวสาวพร้อมกับให้ศีลให้พร เสร็จแล้วแขกที่ได้รับเชิญมาในงานก็ทยอยเข้ามารดน้าตามลาดับ หมดจากแขก
แล้วก็ถึงวงศ์ญาติ ครั้นหมดผู้รดน้าเรียบร้อยแล้ว ผู้ใหญ่ก็จะปลดด้ายมงคลออก ถือเคล็ดกันว่า ถ้าปลดออกจาก
- 11. ศีรษะฝ่ายชายก่อน ชายก็มีอานาจเหนือฝ่ายหญิง ถ้าปลดออกจากศีรษะหญิงก่อน ก็ถือว่าต่อไปหญิงจะมีอานาจ
มากกว่าฝ่ายชาย
พิธีรดน้าในสมัยโบราณ
ในสมัยโบราณ พิธีรดน้าต่างจากสมัยปัจจุบัน คือเมื่อพระมาสวดมนต์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างก็มีเพื่อนบ่าวและ
เพื่อนสาวห้อมล้อมออกมา ไปนั่งตั้งวงแยกกันอยู่ข้างหน้าพระสงฆ์แล้ว
ก.พระสวมมงคลให้แก่คู่บ่าวสาว (โดยการสวมมงคลให้ฝ่ายหญิง พระจะจับมือฝ่ายชายแล้วสวมมงคลให้
ฝ่ายหญิง)
ข.พระเป็นผู้รดน้าแต่งงาน
ค.รดน้าด้วยเอาโอตักน้า ซัดเปียกทั้งตัว จนถึงต้องผลัดผ้าแต่งตัวใหม่ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว
ง.การที่พวกเพื่อนบ่าวสาวเข้ารับน้ามนต์เป็นอุบายแกล้งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวให้เข้าไปชิดติดกัน ดังปรากฏใน
เสภาเรื่องขุนช้างชุนแผน ตอนแต่งงานพระไวยกับศรีมาลา ว่า
“ครั้นถึงนั่งน้อมฟังพระธรรม
พระสดาจับมงคลคู่ใส่
สายสิญจน์โยงศรีมาลามาพระไวย
พอฆ้องใหญ่หึ่งดังตั้งชยันโต
หนุ่มสาวเคียงเข้านั่งอัด
พระสงฆ์เช็ดตาลบัตรซัดน้าโร่
ปราลงข้างสีกาห้าหกโอ
ท่านยายโพสาวนา น้าเข้าตา
อึดอัดยัดเยียดเบียดกันกลม
เอาหนามซ่มแทงท้องร้องอุยหน่า
ที่ไม่ถูกเท้ายันดันเข้ามา
ท่านยายสาออกมานั่งบังกันไว้
มหาดเล็กโลนโลนโดนกระแทก
โอยพ่อขี้จะแตกทนไม่ไหว
ท่านยายสาเต็มทีลุกหนีไป
จนพระไวยศรีมาลามาชิดกัน”
- 12. พิธีไหว้ผีปู่ ยาตายาย
เมื่อเสร็จพิธีรดน้าแล้ว ก็เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเรือน บิดามารดาฝ่ายผู้หญิงเอาผ้าขาวมาปูกลางเรือน แล้วเอา
เหล้า มะพร้าวอ่อนกับผ้าไหว้ผีวางลงบนผ้าขาวนั้น เจ้าบ่าวจุดเทียนแฝดคู่หนึ่งกับธูปคู่หนึ่ง ลงมือไหว้ผีปู่ย่าตายาย
พร้อมกับเจ้าสาว ในการไหว้นั้น เถ้าแก่จะให้เจ้าบ่าวยกมือขวาเจ้าสาวยกมือซ้ายประนมประสาน กราบลงพร้อมกัน
3 ครั้ง แล้วเจ้าบ่าวก็ออกมาไหว้พ่อแม่ของเจ้าสาว พร้อมทั้งไหว้ญาติผู้ใหญ่ของเจ้าสาว เป็นอันเสร็จพิธีไหว้
พิธีเรียงหมอน
ครั้นเสร็จจากพิธีไหว้ผีนั้นแล้ว ทางฝ่ายเจ้าสาวก็ต้องจัดที่นอนหมอนมุ้งเครื่องปูตกแต่งอื่นๆ แล้วเชิญ
ผู้ใหญ่คู่ผัวเมียให้เข้าไปทาพิธีปูที่นอนเรียงหมอน ผู้ใหญ่ในพิธีนี้ต้องเลือกเอาคู่ที่อยู่ร่วมกันมาด้วยความสุขสวัสดิ์
ไม่เคยทะเลาะวิวาทกัน เป็นผู้เจริญด้วยทรัพย์สินและเกียรติยศโดยสมควรแก่ท้องถิ่น
ในการนี้ให้เอาฟักเขียวหนึ่งลูก หม้อใหม่ใส่น้าหม้อหนึ่ง และถั่วงารวมอยู่กับทุนสินสอดวางไว้บนพาน
หนึ่ง นาไปวางไว้ข้างที่นอน เป็นเครื่องหมายสาหรับอวยพรว่าให้คู่บ่าวสาวมีใจเย็นเสมือนกับฟักกับน้า มีน้าใจ
หนักแน่นเสมือนศิลามีแต่ความจาเริญวัฒนาเหมือนถั่วงา แล้วผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก็จัดแจงวางหมอนหนุน
ศีรษะ ครั้นแล้วผู้ใหญ่คู่ที่ได้รับเชิญทาพิธีนี้ก็ลงนอนเป็นปฐมหญิงนอนซ้าย ผู้ชายนอนขวา ในเวลานอนนั้น ก็เจรจา
กันด้วยคาดีงาม ให้ศีลให้พร เป็นอันเสร็จพิธีเรียงหมอน
เฝ้ าหอ ส่งตัวเจ้าสาว
ครั้นเสร็จพิธีเหล่านั้นแล้ว ตัวเจ้าบ่าวต้องนอนเฝ้าหออยู่แต่ผู้เดียวก่อน มีกาหนด 3 วัน ครั้นถึงฤกษ์งามยาม
ดีผู้ปกครองฝ่ายหญิงก็พาเจ้าสาวไปส่งตัวเข้าหอ พร้อมกับให้โอวาทแก่เจ้าสาวให้รู้จักฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าบ่าว
สอนให้ให้ทั้งคู่รู้จักถนอมน้าใจกัน สามัคคีรักใคร่ เป็นต้น ครั้นมอบตัวเจ้าสาวแล้ว คู่บ่าวสาวก็กราบไหว้ผู้ใหญ่ฝ่าย
หญิงนั้น ผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงก็กลับ เจ้าสาวบางทีก็ลุกออกจากม่านจะตามเถ้าแก่ออกไปก็มี เป็นหน้าที่ของเจ้าบ่าวจะ
เจรจาหรือป้ องกัน โดยวางตัวเหมือนหมอที่จะประกอบโอสถขนานนั้นหรือขนานนี้ แก่คนไข้ เป็นอันเสร็จพิธีเฝ้ า
หอ – ส่งตัวเจ้าสาว
ซึ่งประเพณีเฝ้ าหอนี้ภายในหมู่บ้านหนองป่าแซงได้ตัดออกไปมีเพียงการส่งตัวเข้าหอและให้โอวาทแก่
เจ้าสาวให้รู้จักฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าบ่าว สอนให้ให้ทั้งคู่รู้จักถนอมน้าใจกัน สามัคคีรักใคร่กัน
ฤกษ์ในการแต่งงาน
การแต่งงานนั้นภายในหมู่บ้านหนองป่าแซง นิยมกระทากันในเดือนคู่ คือเดือน 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 8
เดือน 12 สาหรับเดือน 8 นั้นเป็นเดือนเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ นิยมเลื่อนมาเดือน 9 และมักถือกันจะแต่งงาน
ในวันข้างขึ้น และไม่แต่งในวันข้างแรม
- 13. ดิถีที่ใช้ในพิธีเรียงหมอน
ขึ้น 7 ค่า 10 ค่า 11 ค่า
แรม 4 ค่า 8 ค่า 10 ค่า 14 ค่า
อย่างไรก็ดี การแต่งงาน ควรให้ท่านที่เป็นหมอดูหรือชานาญในโหราศาสตร์ ตรวจสอบให้เรียบร้อย เพราะ
งานมงคลเป็นสิ่งสาคัญยิ่งและมีครั้งเดียวในชีวิต ถ้ามีครั้ง 2 -3 ก็ดูกระไรอยู่
สรุป
พิธีแต่งงานนี้ ที่กล่าวมาเป็นประเพณีที่ได้พบเห็นอยู่มาก แต้ความจริง ความนิยมแต่ละท้องถิ่น ย่อมมี
แตกต่างกันออกไป ยิ่งต่างชาติต่างภาษายิ่งน่าศึกษาค้นคว้า
ในธรรมเนียมไทย ถือการแต่งงานว่ามีกาเนิดมาแต่ครั้งพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ กับพระนางสิริมหามายา และ
ขันหมากแม้จะมีน้อยมาก ก็นิยมเรียกกันว่าร้อยเอ็ด ดังคาสู่ขวัญว่า “-- สองกษัตราราชาภิเษกกันในครั้งนั้น พระ
พิษณุกรรมก็ชวนกันลงมา ทั้งเทพบุตรเทพยดา ก็ลงมาช่วยกันทาปราสาทหอ ทั้งร้อยเอ็ดเมืองก็มิได้ย่อท้อช่วย
ขันหมาก --” ดังนี้ เพราะคนไทยมั่นคงในพระพุทธศาสนาจึงเอาเรื่องที่เนื่องด้วยพุทธปะวัติเป็นต้นเค้า
- 14. บทที่ 3
วิธีการดาเนินงาน
3.1 วิธีการศึกษาค้นคว้า และขั้นตอนการดาเนินงานตามโครงงาน
1. ศึกษาค้นคว้ารายละเอียดเกี่ยวกับพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยจากหนังสือและอินเทอร์เน็ตเพื่อเป็น
แนวทางในการสัมภาษณ์
2. ปรึกษาอาจารย์หรือผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับพิธีมงคลแต่งงานแบบไทย
3. วางแผนและเรียงลาดับขั้นตอนการดาเนินงานเพื่อให้เป็นระบบระเบียบและเข้าใจง่าย
4. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่จาเป็นต้องใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงาน
5. เริ่มดาเนินการสัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง
6. นาข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาทาวีดิโอ
7. เมื่อทาทาวีดิโอแล้ว วีดิโอที่นาเสนอดีหรือควรจะปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ดีขึ้น
8. วีดิโอที่นาเสนอได้ผลตามที่คาดหวัง
9. สรุปผลการทาโครงงานพิธีมงคลแต่งงานแบบไทย
3.2 ขั้นตอนเก็บรวบรวมข้อมูลและการสัมภาษณ์
1. ศึกษาข้อมูลจากหนังสือและอินเทอร์เน็ต วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆที่ได้มาและสรุป
2. รวบรวมข้อมูลต่างๆให้เป็นหมวดหมู่
3. วางแผนการสัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่นหรือผู้ที่มีความรู้ในพิธีมงคลแต่งงานแบบไทย
4. สัมภาษณ์วิทยากรท้องถิ่นหรือผู้ที่มีความรู้ในพิธีมงคลแต่งงานแบบไทย
3.3 การนาความรู้ไปใช้ประโยชน์
1. จัดทาเป็นวีดิโอและเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต
2. สามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาความรู้เกี่ยวกับประเพณีแต่งงานในท้องถิ่น
- 15. บทที่ 4
ผลการศึกษาค้นคว้า
ผลจากการทาโครงงานต่อการทา“พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง” นั้นผู้จัดทาได้
ปฏิบัติตามขั้นตอนการดาเนินงานตามโครงงานและมีผลการศึกษาค้นคว้าและแนวปฏิบัติอย่างเป็นระบบ เป็นต้น
4.1 ผลการศึกษาค้นคว้าและแนวปฏิบัติ
1. ศึกษาประวัติความเป็นมาของพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซงโดยอาศัยแหล่งข้อมูล
เป็นหลักในการศึกษา
2. นารูปภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์และภาพที่ต้องการนามานาเสนอ และนามาประยุกต์เก็บรายละเอียด
ของภาพโดยใช้ความรู้ความเข้าใจทางด้านคอมพิวเตอร์ในการสร้างให้มีความสัมพันธ์กัน
3. นาความรู้ที่ได้จากการศึกษาหาความรู้จากชุมชน ครูที่มีความรู้ด้านประเพณีแต่งงาน ศึกษาจาก
อินเตอร์เน็ตและจากห้องสมุดมาทาตามที่ได้ศึกษายังสถานที่ต่างๆมา
ผลการประเมิน
ข้อที่ ข้อประเมิน ค่าเฉลี่ย S.D. ความหมาย
1 ความสวยงามเว็บไซต์ 4.633333 0.556053 มากที่สุด
2 ความเหมาะสมของตัวหนังสือ 4.4 0.563242 มาก
3 การเชื่อมโยงของเว็บไซต์ 4.566667 0.626062 มาก
4 ความสมบูรณ์ของเนื้อหาและความเป็นมา 4.466667 0.507416 มาก
5 ความเหมาะสมของภาพประกอบเว็บไซต์ 4.466667 0.507416 มาก
6 ความเหมาะสมของการใส่ VDO 4.466667 0.507416 มาก
เกณฑ์การประเมิน
4.51 - 5.00 มากที่สุด
3.51 - 4.50 มาก
2.51 - 3.50 ปานกลาง
1.51 - 2.50 น้อย
1.0 - 1.510 น้อยที่สุด
- 16. 4.2 ข้อดีของพิธีมงคลแต่งงานแบบไทย
การแต่งงานของคนไทยสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตก การแต่งงานเป็นเรื่องของคน 2 คนที่พึง
พอใจกันก็ตกลงใช้ชีวิตร่วมกันเลย หรือแต่งงานกันโดยไม่ได้ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่เสียก่อน เพราะการที่ตกลงโดย
ไม่ได้ศึกษากันให้ดีเสียก่อน เป็นที่มาของปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาครอบครัว และลุกลามเป็นปัญหาของสังคม
เหมือนในปัจจุบัน แต่พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในอดีตนอกจากจะเป็นการประกาศการใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งสอง
แล้ว ยังเป็นการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นคู่ชีวิตให้บุตรของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เป็นการช่วยลดปัญหาการหย่าร้าง แต่
คนไทยสมัยก่อนท่านได้มองเห็นถึงความสาคัญในการใช้ชีวิตคู่ จึงไม่ค่อยมีปัญหาการอย่างร้างเหมือนสังคม
ปัจจุบันนี้
4.3ผลการดาเนินงานของโครงงานต่อการศึกษาพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่ าแซง
จากข้อมูลประเพณีที่ผู้จัดทาได้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งข้อมูลต่างๆพบว่าพิธีมงคลแต่งงานในหมู่บ้านหนอง
ป่าแซง มีขั้นตอนพิธีการคล้ายคลึงกับพิธีมงคลแต่งงานในอดีต แต่เนื่องด้วยสภาพสังคมและยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทา
ให้พิธีการบางขั้นตอนได้ถูกตัดไป เช่น การปลูกเรือนหอ ซึ่งทางเจ้าบ่าวเจ้าสาวได้เลือกบ้านของเจ้าบ่าวเป็นเรือน
หอเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับพิธีมงคลแต่งงานในหมู่บ้านหัวนา ที่มีขั้นตอนพิธีการคล้ายคลึงกัน
- 17. บทที่ 5
สรุปผล และอภิปรายผลการดาเนินงาน
5.1 สรุปผล และอภิปรายผล
จากการทาโครงงาน “พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง” นั้น
1.สามารถนาเนื้อหาที่ได้ไปเผยแพร่แก่บุคคลอื่นที่สนใจ
2.สามารถบรูณาการเนื้อหาสาระทางด้านคอมพิวเตอร์ใช้ความรู้จากชุมชน อินเทอร์เน็ตและจากห้องสมุด
และการนาองค์ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้เพื่อนาเสนอการประเพณีที่ควรอนุรักษ์ในท้องถิ่น
3.สามารถฝึกประสบการณ์ในการวางแผนการทางานเป็นกลุ่มให้เสร็จทันเวลา
5.2 ประโยชน์ที่ได้รับจากการทาโครงงาน
1.ได้รับความรู้เกี่ยวกับการนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่า
แซง
2.ได้รับทักษะในการทางานเป็นทีม ตลอดจนรู้ขั้นตอนในการเตรียมงาน วางแผน และการนาเสนอ
ผลงานในรูปแบบต่างๆ
4.ได้รับการฝึกฝนทักษะกระบวนการกลุ่ม และมีการอดทนในการทา โครงงาน“พิธีมงคลแต่งงานแบบ
ไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง” เพราะต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้า และจัดเตรียมทาวีดิโอ
5.3 ข้อเสนอแนะ
ควรนาความรู้เกี่ยวกับพิธีมงคลแต่งงานแบบไทยเผยแพร่อย่างกว้างขว้าง เพื่อให้เกิดความตระหนักใน
คุณค่าของประเพณีไทย โดยการนาความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ช่วยในการจัดทาสื่อความรู้ และใช้เครือข่าย
อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่
- 20. แบบประเมินโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานเรื่อง พิธีมงคลแต่งงานแบบไทยในหมู่บ้านหนองป่าแซง
wajha-rungpet-wipawan.wikispaces.com
สถานภาพ ครู นักเรียน ประชาชน
เพศ ชาย หญิง
การศึกษา มัธยมศึกษา ปริญญาตรี ปริญญาตรีขึ้นไป
ประเมินความพึงพอใจ
หัวข้อประเมิน
มากที่สุด
5
มาก
4
ปานกลาง
3
น้อย
2
น้อยที่สุด
1
1.ความสวยงามเว็บไซต์
2.ความเหมาะสมของตัวหนังสือ
3.การเชื่อมโยงของเว็บไซต์
4.ความสมบูรณ์ของเนื้อหาและความเป็นมา
5.ความเหมาะสมของภาพประกอบเว็บไซต์
6.ความเหมาะสมของการใส่ VDO
ข้อเสนอแนะ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.