บทที่ 2
- 5. Scientific Method
1. การสังเกต (Observation)
2. การตังปั ญหา (Problem)
้
3. การรวบรวมข้ อมูล (Accumulation of Data)
4. การตังสมมติฐาน (Formulation of Hypothesis)
้
5. การทดสอบสมมติฐาน (Testing of
Hypothesis) หรื อ การทดลอง(Experimentation)
- 7. ชีววิทยา ม.4 มีดังนี ้
1. การสังเกตและตังปั ญหา
้
2. การตังสมมติฐาน
้
3. การตรวจสอบสมมติฐาน
4. การเก็บรวบรวมข้ อมูลและ
วิเคราะห์ ข้อมูล
5. การสรุ ปผลการทดลอง
- 9. การสังเกตและตังปั ญหา
้
(Observation and Problem)
การสังเกต
เป็ นการใช้ ประสาทสัมผัสอย่ างใดอย่ าง
หนึ่งหรื อหลายอย่ าง
รวมกัน เข้ าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรื อ
เหตุการณ์ โดยมี
จุดประสงค์ ท่ จะหาข้ อมูล ซึ่งเป็ น
ี
- 10. การตังคาถาม
้
ถือเป็ นเกณฑ์ ขันแรกในการศึกษาวิทยาศาสตร์
้
เกิดจากความอยากรู้
อยากเห็นและการสังเกต ยิ่งนักวิทยาศาสตร์ มี
ความสนใจและช่ างสังเกต
มากขึนเพียงใดก็มีคาถามมากขึนเพียงนัน เมื่อ
้ ้ ้
เกิดคาถามขึนก็ต้องพยายาม
้
หาคาตอบให้ ได้
- 11. การตังสมมติฐาน
้
(Formulation of Hypothesis
เป็ นคาตอบที่อาจเป็ นไปได้ โดยการคาดคะเน
อย่ างมีเหตุผล
การตังสมมติฐานจะเกิดขึนเมื่อเราสามารถตัง
้ ้ ้
ปั ญหาได้ ชัดเจน และตัวผู้
ตังปั ญหาต้ องเข้ าใจปั ญหานันๆ ศึกษาปั ญหา
้ ้
ต่ อ ปั ญหาจะเป็ นตัว
แนะสมมติฐาน
- 12. การตรวจสอบสมมติฐาน
(Testing of Hypothesis)
ทาได้ 3 วิธี
1. ทาการทดลอง (experiment)
2. ค้ นคว้ า
3. ทังทาการทดลองและค้ นคว้ า
้
ในการทาการทดลองต้ องมีการวางแผนการ
ทดลอง ซึ่งจะต้ องมีกลุ่ม
- 13. การตรวจสอบสมมติฐาน
ทาโดยการทดลองที่ต้องคานึงถึงปั จจัยต่ าง ๆ
ที่จะเข้ ามามีอิทธิพลต่ อการ
ทดลอง ซึ่งเรี ยกว่ า ตัวแปร ซึ่งมี 3 แบบ
• ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้ น (Independent variables) ไม่
ต้ องอยู่ภายใต้ อิทธิพลของตัวแปรอื่นและเป็ น
ตัวแปรที่ผ้ ูทดลองต้ องการดูผลของมัน
• ตัวแปรตาม (Dependent variables) เปลี่ยนแปลงไป
ได้ ตามการเปลี่ยนของตัวแปรอิสระ ซึ่งก็คือ
- 14. การเก็บรวบรวมข้ อมูลและ
วิเคราะห์ ข้อมูล (Accumulation of Data
and Analysis of Data)
• คือ หาความสัมพันธ์ ของข้ อมูล และอธิบาย
ความหมายของข้ อมูล เพื่อนาไปสรุ ปผล
• รวบรวมข้ อมูลที่ได้ จากการทดลอง
• ทาการวิเคราะห์ ข้อมูล เปรี ยบเทียบกับ
สมมติฐาน
- 15. การสรุ ปผลการทดลอง
(Conclusion)
• เพื่อสรุ ปว่ าสมมติฐานที่ตงนันได้ รับการพิสูจน์
ั้ ้
ว่ าเป็ นจริงหรื อไม่
• เพื่อหาข้ อผิดพลาด
• เพื่อเผยแพร่ ส่ ิงที่ค้นพบ
ถ้ าสมมติฐานได้ ผ่านการตรวจสอบมาหลาย
ครั งจนเป็ นที่ยอมรั บก็ตงเป็ น
้ ั้
- 16. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เป็ นกระบวนการ
ซึ่งทาให้ ได้ มาซึ่ง
ความรู้ ความเข้ าใจในปรากฏการณ์ ของ
ธรรมชาติอย่ างมีเหตุผล
ทฤษฎี (Theory) หรื อ กฎ (Law) ที่มีอยู่
มากมายทาง
วิทยาศาสตร์ นัน ล้ วนเป็ นผลมาจาก
้
- 18. ความร้ ู ทางวิทยาศาสตร์
ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้ วย
1. ข้ อเท็จจริ ง (Fact) หมายถึง สิ่งที่มนุษย์ สังเกตพบว่ า
เป็ข้นความจริงหมายถึง ข้ อเท็ง จริงที่รวบรวมได้เอง
2. อมูล (Data) และมีความจริ จอยู่ในตัวของมัน จาก
การสังเกตหรื อการทดลองฐานที่ได้ รับการยืนยันว่ า
3. กฎ (Law) หมายถึง สมมติ
ถูกต้ องจากการทดลองหลายๆครั ง ้
4. ทฤษฎี (Theory) หมายถึง สมมติฐานที่ผ่านการ
ตรวจสอบหลายๆครั งจนเป็ นที่ยอมรั บกันทั่วไป
้
สามารถนาไปใช้ อธิบายอ้ างอิงได้
- 21. อุปกรณ์ ในการศึกษา
ชีช้วสวิทบยา ส่ิงที่ไม่
กล้ องจุลทรรศน์ ใ าหรั ส่ องดู
สามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่ า แบ่ งเป็ น 2
ชนิด
1. กล้ องจุลทรรศน์ แบบใช้ แสง
2. กล้ องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอน
2.1 กล้ องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนแบบส่ อง
ผ่ าน
- 22. กล้ องจุลทรรศน์ แบบใช้ แสง
(Light Microscope)
1. กล้ องจุลทรรศน์ เลนส์ เดียว (simple light microscope)
ประกอบด้ วย
เลนส์ นูนอันเดียว ใช้ เพื่อขยายวัตถุให้ มีขนาด
ใหญ่ ขึน ได้ ภาพเสมือน
้
2. กล้ องจุลทรรศน์ เชิงประกอบ (compound microscope)
ประกอบด้ วย
เลนส์ นูน 2 ชุด คือเลนส์ ใกล้ วัตถุ (objective lens) และ
- 24. กล้ องจุลทรรศน์ อเล็กตรอน (electron
ิ
microscope)
ใช้ ลาอิเล็กตรอนเป็ นแหล่ งแสง
ใช้ เลนส์ แม่ เหล็ก 2 อันพันรอบแท่ งเหล็กอ่ อน
กระแสไฟฟาผ่ าน
้
ขดลวด สนามแม่ เหล็ก
เกิดภาพเสมือนปรากฏบนจอที่ฉาบด้ วยสาร
เรื องแสง
ภายในตัวกล้ องต้ องเป็ นสูญญากาศ
- 25. กล้ องจุลทรรศน์ อเล็กตรอน (electron
ิ
microscope)
• มี 2 แบบ
1. กล้ องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนแบบส่ องผ่ าน
(Transmission Electron Microspoe ; TEM) ใช้ ศึกษา
โครงสร้ างภายในของเซลล์
2. กล้ องจุลทรรศน์ อิเล็กตรอนแบบส่ องกราด
(Scanning Electron Microspoe ; SEM) ใช้ ศกษา
ึ
โครงสร้ างของผิวเซลล์ หรื อผิวของวัตถุท่ เป็ น ี