Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู (20)
Mehr von Utai Sukviwatsirikul (20)
คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
- 4. คำ�นำ�
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคที่พบบ่อยเป็น
อันดับต้น ๆ ในผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เมื่อเกิดโรคแล้วจะก่อให้เกิดอาการ
ทางระบบประสาท ซึ่งผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน โดยการรักษา
ทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความพิการ
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ทำ�ให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้ตามศักยภาพ ประกอบ
ด้วย การทำ�กายภาพบำ�บัด เพื่อฝึกให้ผู้ป่วยสามารถทรงตัวนั่ง ยืน เดิน ส่งเสริม
ให้แขนหรือมือใช้งานได้มากขึ้น จนกระทั่งสามารถประกอบกิจวัตรประจำ�วัน เช่น
ใส่เสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟันเข้าห้องนํ้าได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ในผู้ป่วยบางราย
อาจต้องใช้กายอุปกรณ์เสริมเพื่อให้ผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองได้ตามศักยภาพของ
ผู้ป่วยเข้าสู่สังคมได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
การจัดทำ�คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูฉบับผู้ป่วย
และผู้ดูแลฉบับนี้จัดทำ�เพื่อใช้ประกอบโครงการวิจัยเรื่อง รูปแบบการวางแผน
จำ�หน่ายผู้ป่วยสูงอายุโรคหลอดเลือดสมองโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ โดยใช้แนวทาง
เวชปฏิบัติในเรื่องโรคหลอดเลือดสมองสำ�หรับประชาชนของสถาบันประสาท
วิทยา, คู่มืออัมพาตครึ่งซีกฉบับผู้สูงอายุของศูนย์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร
เพื่อผู้สูงอายุ รวมทั้งการดูแลจิตใจผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองของสำ�นักงาน
กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเป็นแนวทางจัดทำ�คู่มือครั้งนี้
คณะผู้จัดทำ�โครงการวิจัยฯขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาและ
ผู้เชี่ยวชาญทุกท่าน ที่กรุณาให้คำ�ชี้แนะและทบทวนความถูกต้องทางวิชาการ
ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างสูงในการดำ�เนินโครงการวิจัยและจัดทำ�คู่มือในครั้งนี้
คณะผู้จัดทำ�โครงการวิจัยฯ
มีนาคม 2554
กคู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
- 6. 1คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การเกิดอัมพาตจากโรคหลอดเลือดสมอง
เส้นเลือดในสมองแตก ตีบ หรือตัน สมองขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง สมอง
ตาย หรือไม่สามารถทำ�หน้าที่ได้ตามปกติ อวัยวะที่สมองส่วนดังกล่าวควบคุม
หยุดทำ�งาน หรือสูญเสียสมรรถภาพ เกิดอาการอ่อนแรง หรือการรับความรู้สึก
ผิดปกติ ทำ�ให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่
อ่อนแรงแบบถาวร ไม่มีการฟื้นตัว แต่อาจมีอาการเกร็งร่วมด้วย
(อัมพาต)
อ่อนแรงชั่วคราว มีการฟื้นตัวบางส่วน (อัมพฤกษ์)
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
1. ความดันโลหิตสูง ทำ�ให้หลอดเลือดเสื่อม เนื่องจากแรงดันเลือดที่
ออกมาจากหัวใจมีแรงดันสูงขึ้น ทำ�ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมเร็ว ขาดความยืดหยุ่น
และแตกเปราะง่าย พบว่ากว่าร้อยละ 35 - 73 ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
มีภาวะความดันโลหิตสูงร่วมด้วย
2. เบาหวาน เป็นปัจจัยสำ�คัญรองมาจากภาวะความดันโลหิตสูง
3. ความอ้วน ผู้ที่มีนํ้าหนักตัวมาก มีโอกาสเป็นเบาหวาน และความ
ดันโลหิตสูง หรืออาจเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง
4. ไขมันในเลือดสูง ทำ�ให้ผนังเส้นเลือดแดงไม่ยืดหยุ่น เกิดการตีบตัน
ง่าย เลือดจึงไหลผ่านไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ได้น้อย ถ้าเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยง
สมอง จะทำ�ให้สมองขาดเลือด และเป็นอัมพาตในที่สุด
5. การสูบบุหรี่และดื่มสุรา การดื่มสุราจะทำ�ให้หลอดเลือดเปราะ หรือ
เลือดออกง่าย เช่นเดียวกับผู้ที่สูบบุหรี่และจะพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีอัตราการเกิด
โรคหลอดเลือดสมองมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- 7. 2 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
6. ความเข้มข้นของเลือด ถ้ามีฮีโมโกลบินสูงกว่าปกติ ก็มีโอกาสทำ�ให้
เลือดหนืดรวมตัวเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันทำ�ให้สมองขาดเลือด
7. โรคหัวใจ ได้แก่ โรคหัวใจวาย โรคเกี่ยวกับลิ้นหัวใจ
8. ยาต่าง ๆ ได้แก่ สตรีที่รับประทานยาคุมกำ�เนิดร่วมกับเป็นความดัน
โลหิตสูง
9. อายุที่มากขึ้น มีความสัมพันธ์ต่อการเสื่อมของหลอดเลือด
10. การดำ�เนินชีวิต บุคคลที่ดำ�เนินชีวิตด้วยความเครียด ไม่รู้จักผ่อน
คลาย ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลงทำ�ให้เจ็บป่วยง่าย กล้ามเนื้อ ข้อต่าง ๆ ของ
ร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดก็พลอยเสื่อมเร็วขึ้นด้วย
- 8. 3คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน
บทบาทหน้าที่ของญาติ/ผู้ดูแลและครอบครัว
กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำ�กิจวัตรประจำ�วันด้วยตัวเองให้มากที่สุด เท่าที่
ผู้ป่วยสามารถทำ�ได้ เช่น แปรงฟัน อาบนํ้า แต่งตัว หวีผม รับประทานอาหารด้วย
ตนเอง การลุกนั่ง การขับถ่าย โดยญาติอาจคอยช่วยเหลือเป็นกรณีไป การกระตุ้น
ให้ผู้ป่วยทำ�กิจวัตรประจำ�วันด้วยตนเองจะทำ�ให้ผู้ป่วยฟื้นได้เร็วขึ้น ญาติ / ผู้ดูแล
ควรให้กำ�ลังใจ และส่งเสริมผู้ป่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
กระตุ้นผู้ป่วยไม่ให้ลืมร่างกายข้างที่อ่อนแรง โดย จัดวางอุปกรณ์
เครื่องใช้ไว้ข้างที่อ่อนแรง การพูดกระตุ้นให้ผู้ป่วยไม่ลืม ยื่นสิ่งของให้ หรือการ
ป้อนข้าวควรเข้าข้างที่อ่อนแรง
กระตุ้นการรับรู้ บุคคล วันเวลา สถานที่ และสังคม โดยจัดให้มี
นาฬิกา ปฏิทิน รูปภาพ โทรทัศน์ ให้ผู้ป่วยดู ให้ญาติ หรือผู้ดูแลช่วยบอกถาม
พูดคุย หรือให้ผู้ป่วยพูดคุยกับลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ หรือผู้คุ้นเคย
ครอบครัวให้ความรัก ความใส่ใจเข้าใจปัญหาของผู้ป่วย กระตุ้น
ให้ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมต่างๆ ในครอบครัวเท่าที่ทำ�ได้อย่างสมํ่าเสมอ ไม่ปล่อยให้
ผู้ป่วยนอนอยู่แต่บนเตียง เช่น พาผู้ป่วยไปเดินเล่น ออกกำ�ลังกาย ออกนอกบ้าน
ไปสถานที่ต่างๆ บางรายอาจต้องให้มีส่วนร่วมรับรู้ในกิจการงาน ตลอดจนสังคม
สมาคม ที่เคยทำ�มาก่อนบ้างตามความเหมาะสม
ผู้ป่วยอาจมีความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้ดูแลโดย
เฉพาะสามีหรือภรรยา ควรทำ�ความเข้าใจและปลอบโยนเป็นกำ�ลังใจให้ผู้ป่วย
ควรมีการหมุนเวียนผู้ดูแลกรณีผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้เนื่องจาก
ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน
- 9. 4 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
มาพบแพทย์ตามนัด รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ถูกต้องและ
ครบถ้วน หากมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์ก่อนวันนัด เช่น แขน-ขาอ่อนแรง
หรือชามากขึ้นง่วงซึมสับสนมากขึ้นพูดไม่ได้ไม่เข้าใจคำ�พูดมากขึ้นมีไข้ติดต่อกัน
เกิน 3 วัน ปัสสาวะบ่อยกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น
กรณีที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ให้ติดต่อสถานบริการ
ใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาล สถานีอนามัย หรือศูนย์บริการสาธารณสุขตามสิทธิ
การรักษาของผู้ป่วย
หากมีปัญหาในการดูแลผู้ป่วยควรปรึกษาทีมสุขภาพ
- 10. 5คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การสื่อสารกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ผู้ป่วยอาจมีปัญหาการสื่อสาร เช่น ฟังคำ�พูดไม่เข้าใจ พูดไม่ชัด พูดไม่ได้
ทำ�ให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานใจ หงุดหงิด ท้อแท้ ญาติควรทำ�ความเข้าใจปัญหาของ
ผู้ป่วย มีความใจเย็นและอดทนที่จะช่วยเหลือ อาจให้ผู้ป่วยใช้วิธีสื่อสารอื่น ๆ
ทดแทน เช่น การเขียน การอ่าน การชี้รูปภาพ สัญลักษณ์ที่สื่อความต้องการ หรือ
ความหมายแทนคำ�พูด
วิธีสื่อสารกับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
หันหน้าเข้าหาผู้ป่วยเมื่อต้องการจะพูดด้วย อย่าทำ�กิจกรรมอื่น
ร่วมด้วย เช่น เปิดวิทยุ โทรทัศน์ พร้อม ๆ กัน
พยายามพูดกับผู้ป่วยด้วยคำ�ง่าย ๆ และพูดช้า ๆ ชัด ๆ กระตุ้นให้
ผู้ป่วยตอบ เช่น “ใช่” “ไม่ใช่”
ถ้าจำ�เป็นให้ใช้ท่าทาง หรือภาษามือช่วยเพื่อให้ผู้ป่วยเข้าใจ
เวลาตอบคำ�ถามต้องให้เวลากับผู้ป่วยเพียงพอ อย่าพูดแทนผู้ป่วย
กระตุ้นให้ผู้ป่วยร่วมวงสนทนาถ้าพอจะทำ�ได้
พูดกับผู้ป่วยธรรมดา ๆ ใช้นํ้าเสียงปกติ ไม่ตะโกน ไม่ใช้คำ�พูดที่ทำ�ให้
ผู้ป่วยมีปมด้อย
การกระตุ้นและชมเชยในภาวะที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความ
มั่นใจมากยิ่งขึ้น
การสัมผัสผู้ป่วย การยอมรับผู้ป่วยอย่างสงบ สุภาพ การเข้าใจผู้ป่วย
และความอดทนจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกเชื่อมั่นและผ่อนคลาย
- 13. 8 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
6. เช็ดช่วง อก และหน้าท้องด้วยวิธีเดียวกันจนสะอาด ซับให้แห้งแล้ว
เปลี่ยนนํ้า
7. เช็ดแขนด้านที่อยู่ไกลตัวก่อน ด้วยสบู่ และเช็ดด้วยนํ้าจนสะอาด ซับ
ให้แห้ง
8. ย้ายมาเช็ดแขนข้างที่อยู่ใกล้ตัวด้วยวิธีเดียวกัน เสร็จแล้วแช่มือใน
กะละมัง ฟอกและล้างมือให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วเปลี่ยนนํ้า
9. เช็ดขาด้านที่อยู่ไกลตัวก่อนแล้วจึงเช็ดข้างที่อยู่ใกล้ตัวด้วยวิธีเดียวกัน
เสร็จแล้วแช่เท้าในกะละมัง ฟอกและล้างเท้าให้สะอาดซับให้แห้งแล้วเปลี่ยนนํ้า
- 16. 11คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การดูแลในการรับประทานอาหาร
จัดอาหารให้เหมาะสมกับโรค ตามแต่โรคประจำ�ตัวของผู้ป่วยแต่ละ
ราย เช่น เบาหวาน ไขมันสูงในเลือด ความดันโลหิตสูง
จัดเวลาให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนก่อนรับประทานอาหาร ลดสิ่ง
กระตุ้นขณะรับประทานเช่นไม่ดูทีวีเพราะจะทำ�ให้ความสนใจในการรับประทาน
อาหารลดลง จัดวางอาหารให้อยู่ในลานสายตาที่ผู้ป่วยมองเห็นได้ ให้เวลาในการ
รับประทานไม่ควรเร่งผู้ป่วย
จัดท่าให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่ง หรือนอนศีรษะสูง ก้มตัวไปข้างหน้าเล็ก
น้อย ขณะรับประทานอาหารที่มีลักษณะเป็นเส้น ชิ้นยาวใหญ่ ควรตัดหรือหั่นให้
ชิ้นเล็ก ควรดูแลรักษาความสะอาดปากฟัน ผู้ป่วยที่มีปัญหากลืนลำ�บาก สำ�ลัก
ควรเลือกอาหารที่กลืนง่ายที่สุดโดยให้เริ่มอาหารบด หรือ ปั่นข้น เช่น มันบด
สังขยา ต่อมารองให้อาหารอ่อนข้น เช่น โจ๊ก ข้าวสวยนิ่ม ๆ จนสามารถกลืนได้ดี
จึงให้อาหารธรรมดา เช่น ข้าวสวย ผักต้ม ผลไม้สุก จนสามารถรับประทานที่เป็น
นํ้า ได้ เช่น นํ้า นม นํ้าผลไม้
- 17. 12 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
หลังรับประทานอาหารให้ผู้ป่วยดื่มนํ้าตามทุกครั้ง อาจใช้หลอดดูด หรือ
ใช้ช้อนป้อนให้ดื่มทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง แปรงฟัน บ้วนปาก ล้างเศษอาหารที่เหลือ
ค้างในกระพุ้งแก้มด้านที่อ่อนแรงออกให้หมดทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร
การจัดท่านั่งขณะรับประทานอาหาร
กรณีผู้ป่วยรับประทานอาหารได้เองผู้ป่วยต้องมีอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัว
ในการหยิบจับ และรับประทานอาหารได้โดยสะดวก ต้องมีการจัดท่าที่เหมาะสม
เพื่อความปลอดภัยป้องกันการสำ�ลักที่พบบ่อย
ท่านั่ง…จัดที่นั่งพื้นเรียบไม่ยืดหยุ่นเท้าวางราบบนพื้น มือวางบนโต๊ะ
ลำ�ตัวอยู่ในท่าสมดุล เท้าวางพื้น เข่างอ 90 องศา ลำ�ตัวโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย
ก้มหน้าเล็กน้อย
ท่านอน…สะโพกและเข่างอเล็กน้อย ก้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย
- 21. 16 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การสวมกางเกง
1. ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งห้อยเท้าข้างเตียงจัดกางเกงให้อยู่ในลักษณะพร้อม
ที่จะสวมและใช้มือแข็งแรงยกขาด้านอ่อนแรงวางทับขาด้านแข็งแรงจับขากางเกง
ด้านขวาให้เท้าขวาสวมเข้าในกางเกง (ดังรูป) จากนั้นใช้มือด้านแข็งแรงดึงกางเกง
ขึ้นจัดเท้าด้านแข็งแรงสวมเข้าที่ขากางเกงด้านซ้ายใช้มือดึงขอบกางเกงขึ้นสูงที่สุด
เท่าที่จะทำ�ได้
2. กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถยืนได้ ให้ผู้ป่วยนอนหงายลงบนเตียงแล้ว ให้
งอเข่า สะโพกด้านแข็งแรง และใช้เท้ายันตัวขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อสะโพกยกขึ้นให้
ใช้มือข้างแข็งแรงดึงกางเกงให้เรียบร้อย ติดตะขอและกระดุมด้านหน้า
- 23. 18 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การถอดกางเกง
1. กรณีผู้ป่วยสามารถทรงตัวได้ดี สามารถถอดกางเกงได้ในท่ายืน
อาจแนะนำ�ให้ผู้ป่วยยืนพิงเตียง และใช้มือด้านแข็งแรงถอดกางเกง
2. กรณีผู้ป่วยทรงตัวได้ไม่ดีแนะนำ�ว่าควรอยู่ในท่านั่งห้อยเท้าข้างเตียง
ใช้มือด้านแข็งแรงดันกางเกงออกจากขาด้านซ้าย โดยวางขาด้านอ่อนแรงทับขา
แข็งแรงและใช้มือดึงกางเกงออกจากเท้าด้านอ่อนแรง (ดังรูป) หรือให้ผู้ป่วยนอน
หงายบนเตียง ถอดตะขอ ซิป กระดุม (หากมี) โดยงอเข่า งอสะโพก และเท้าด้าน
แข็งแรงบนที่นอน ยันตัวขึ้น แล้วใช้มือด้านแข็งแรงดึงกางเกงออก
- 27. 22 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
2. สวมรองเท้าด้านแข็งแรง โดยวางรองเท้าที่พื้น และดันเท้าที่ดีเข้าใน
รองเท้า
หมายเหตุหากผู้ป่วยดันเท้าเข้าไม่หมดควรใช้ช้อนรองเท้ารองบริเวณส้น
เท้า เพื่อให้เท้าเข้าในรองเท้า หรือ ใช้มือด้านแข็งแรงกดลงบนเข่าที่อ่อนแรง แรง
กดจะทำ�ให้ส้นเท้าสวมเข้าในรองเท้าได้ และหากผู้ป่วยมีนิ้วเท้างอ ควรใช้รองเท้า
ที่เปิดหัวตลอด จะช่วยให้สวมสะดวก
- 29. 24 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
3. ใช้แขนแข็งแรงสอดเข้าสายเสื้อ และดึงสายเสื้อขึ้นจนถึงไหล่ และจัด
แขนเสื้อด้านอ่อนแรงให้ถึงไหล่ ดึงเสื้อชั้นในให้อยู่ในลักษณะที่ดี
การดูแลสุขภาพช่องปาก
กลุ่มที่ 1 กรณีผู้ป่วยไม่มีความพิการทางร่างกาย สื่อสารได้
ผู้ป่วยสามารถแปรงฟันโดยใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟูลออไรด์อย่าง
น้อยวันละ 2 ครั้ง ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันแปรงซอกฟัน
กลุ่มที่ 2 กรณีผู้ป่วยมีความพิการทางร่างกายบางส่วน มีความลำ�บากในการ
ใช้มือ สามารถสื่อสารได้
เพิ่มขนาดด้ามแปรงให้ใหญ่ขึ้น โดยวิธีหุ้มด้ามแปรงด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น
ฟองนํ้าลูกบอลพลาสติกหลอดด้ายด้ามมือรถจักรยานยนต์เป็นต้นเพื่อคนพิการ
ที่มีมือแข็งเกร็ง สามารถจัดยึดด้ามแปรงได้ถนัดขึ้น
ดัดด้ามแปรงให้โค้งงอ เพื่อยึดจับให้ถนัดมือ
ใช้แผ่นยางขนาดใหญ่ ช่วยรัดยึดด้ามแปรงให้ติดแน่นกับมือ
- 31. 26 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
3. ล้างมือให้สะอาด
4. เช็ดปลายสายด้วยสำ�ลีชุบนํ้าต้มสุก
5. ตรวจสอบตำ�แหน่งสายและอาหารที่ค้างในกระเพาะอาหาร โดยต่อ
ปลายสายเข้ากับกระบอกให้อาหาร ทดสอบดูว่าสายอยู่ในกระเพาะอาหาร หรือมี
อาหารเหลือค้างหรือไม่ดูดเอาอาหารที่ค้างเก่าในกระเพาะอาหารออกถ้ามากกว่า
100 ซีซี ให้ดันกลับเข้าไปช้า ๆ และเลื่อนเวลาให้อาหารออกไป หรืออาจต้องงด
อาหารมื้อนั้น แต่ถ้ามีอาหารไม่เกิน 70 ซีซี ให้ดันกลับ ช้า ๆ และให้อาหารต่อได้
6. การให้อาหาร ยา และนํ้า ต่อปลายสายเข้ากับกระบอกให้อาหาร เท
อาหารเหลวลงช้าๆ ยกกระบอกอาหารสูงจากตัวผู้ป่วยประมาณ 50 ซีซี คอยเติม
อาหารเรื่อยๆ เพื่อป้องกันอากาศเข้าไปในกระเพาะอาหาร เตรียมยาหลังอาหาร
ให้พร้อมโดยบดให้ละเอียด ให้ยาหลังอาหารและให้นํ้าตามประมาณ 50 ซีซี เพื่อ
เป็นการล้างสายให้สะอาด หลังให้อาหารเสร็จยกสายยางให้สูงขึ้นเพื่อไม่ให้อาหาร
ไหลย้อนออกมาคาสาย ใช้จุกปิดสาย เช็ดสาย ให้สะอาด ปิดด้วยก๊อซ
- 32. 27คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
7. หลังให้อาหาร ปิดจุกสายให้อาหารให้แน่น ปิดด้วยก๊อซ จัดให้ผู้ป่วย
อยู่ในท่าหัวสูง นาน 30 - 60 นาที
8. เก็บข้าวของเครื่องใช้ ล้างทำ�ความสะอาด
เวลาที่เหมาะสมในการให้อาหารทางสายยางได้แก่เวลา06.00น.,
10.00 น., 14.00 น., 18.00 น., และ 22.00 น.
หมายเหตุ สามารถให้นํ้าระหว่างมื้ออาหารได้
ข้อควรระวังในการป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน
จากการให้อาหารทางสายยาง
ญาติ/ผู้ดูแลจะต้องได้รับการฝึกทำ�อาหารเหลวและวิธีการให้อาหาร
จนชำ�นาญจากบุคลากรทางการแพทย์
ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังให้อาหารทุกครั้ง
การใส่สายยางให้อาหารต้องกระทำ�โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์และ
พยาบาลเท่านั้น
ต้องทดสอบตำ�แหน่งของสายยางทุกครั้งเพื่อป้องกันการสำ�ลักลงปอด
- 33. 28 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
ขณะให้อาหารถ้าผู้ป่วยไอหรือสำ�ลักให้หยุดทันที ถ้าหยุดไอให้ลอง
ให้ต่อ ถ้ายังไออยู่ให้หยุดให้อาหารและปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์
หากสังเกตเห็นว่าสายยางเลื่อนจากตำ�แหน่งเดิมไม่เกิน 2 นิ้ว ให้ดัน
สายอาหารกลับเข้าตำ�แหน่งเดิมและทดสอบดูว่าสายอยู่ในกระเพาะอาหารหรือไม่
หากสังเกตเห็นว่าสายยางเลื่อนจากตำ�แหน่งเดิมมากกว่า 2 นิ้ว ให้
ปรึกษาแพทย์ที่คลินิก หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ห้ามให้อาหารโดยเด็ดขาด
ตัวอย่างกิจกรรมส่งเสริมการเคลื่อนไหวของแขน มือและขา
1. กิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการลงนํ้าหนักที่แขนข้างที่เป็นอัมพาต
โดยจัดให้ผู้ป่วยนั่งท้าวแขนและเอี้ยวตัว เพื่อ
กระตุ้นการรับความรู้สึกของข้อต่อ
กระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวไหล่
ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้องอข้อศอก ข้อมือ และนิ้วมือ
- 35. 30 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
3. กิจกรรมลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อยับยั้งรูปแบบการเคลื่อนไหว
ที่ผิดปกติและส่งเสริมการเคลื่อนไหวที่ปกติ
จัดท่าให้เหมาะสม เช่น การนั่งท้าวแขน เป็นต้น
หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าที่มีผลกระตุ้นให้เกิดภาวะหดเกร็งมากขึ้น เช่น
การจับยืดกล้ามเนื้อ อย่างรวดเร็ว การให้ผู้ป่วยออกแรงต้านมาก ๆ เป็นต้น
ให้กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้เคลื่อนไหวช้า ๆ และเป็นจังหวะ
สมํ่าเสมอ
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น การหยิบจับสิ่งของ
ที่มีขนาดเล็ก ๆ
การยับยั้งรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เช่น การใช้สองมือ
ประสานกันทำ�กิจกรรม หรือจับสิ่งของต่าง ๆ
- 37. 32 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
5. การบริหารการเคลื่อนไหวของข้อ
การเคลื่อนไหวข้อให้ผู้ป่วยควรทำ�ช้าๆ
ควรทำ�การเคลื่อนไหวให้สุดองศาของการเคลื่อนไหวที่ปกติ
ในแต่ละท่าทำ�ซํ้าๆท่าละ 10-20 ครั้ง วันละ 2 รอบ
ไม่ควรทำ�การเคลื่อนไหวหลังจากรับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ
หรือในขณะผู้ป่วยมีไข้
ขณะทำ�การเคลื่อนไหวข้อ ถ้าผู้ป่วยปวด หรือ พบปัญหาอย่าง
อื่นตามมา ควรหยุดและปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำ�บัด
- 53. 48 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การดูแลผู้ป่วยและการป้องกันแผลกดทับ
แผลกดทับเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว
ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เอง ผิวหนังถูกกดทับเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ทำ�ให้
เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงผิวหนังที่ถูกกดทับได้อย่างสะดวก ส่งผลให้
ผิวหนังมีลักษณะเป็นรอยแดงและมีการแตกทำ�ลายของผิวหนัง ถ้าไม่ได้รับการ
ป้องกันดูแลตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก็จะส่งผลให้เกิดแผลกดทับตามมาได้
การจัดท่านอน
ควรเปลี่ยนท่านอนอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่
รับแรงกดนานเกินไป ถ้าเปลี่ยนท่านอนแล้วรอยแดงบริเวณผิวหนังไม่หายภายใน
30 นาที อาจจะพิจารณาให้เปลี่ยนท่านอนได้บ่อยขึ้น โดยมีการหมุนเวียนเปลี่ยน
ท่านอน เช่น นอนหงาย นอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวา สลับกันไป
การนอนตะแคง ควรจัดให้นอนตะแคง กึ่งหงาย ใช้หมอนยาวรับ
ตลอดแนวลำ�ตัว รวมทั้งบริเวณข้อเข่า ข้อเท้า ควรทำ�ให้สะโพก ทำ�มุม 30 องศา
และใช้หมอนรองตามปุ่มกระดูก และใบหู
การนอนหงาย ควรมีหมอนสอดคั่นระหว่างหัวเข่า ตาตุ่มทั้ง 2 ข้าง
ขา 2 ข้าง และรองใต้น่องและขาเพื่อให้เท้าลอยพ้นพื้นไม่กดที่นอน
การจัดท่านอนศีรษะสูงไม่เกิน 30 องศา แต่ถ้าจำ�เป็นศีรษะสูงเพื่อ
ให้อาหาร หลังจากให้อาหาร 30 นาที - 1 ชั่วโมง ควรลดระดับลงเหลือ 30 องศา
กรณีที่นั่งรถเข็น ควรให้มีเบาะรองก้น และกระตุ้นให้เปลี่ยนถ่ายนํ้า
หนักตัว หรือยกก้นลอยพ้นพื้นที่นั่งทุก 30 นาที
- 54. 49คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การใช้อุปกรณ์ลดแรงกด
อุปกรณ์ลดแรงกดอยู่กับที่ เช่น ที่นอนที่ทำ�จาก เจล โฟม ลม นํ้า
หมอน เป็นต้น
อุปกรณ์ลดแรงกดสลับไปมา เช่น ที่นอนลม ไฟฟ้า
การดูแลผิวหนัง
ผู้ป่วยที่มีผิวหนังแห้งควรหลีกเลี่ยงการใช้นํ้าอุ่นหลังทำ�ความสะอาด
ร่างกายควรทาโลชั่น 3 - 4 ครั้ง / วัน เพื่อป้องกันผิวหนังแตกแห้ง
ผู้ป่วยที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรทำ�ความสะอาดทุกครั้ง ที่มีการ
ขับถ่าย และซับให้แห้งอย่างเบามือ
ทาวาสลีน หรือ Zinc paste ให้หนาบริเวณผิวหนังรอบๆ ทวารหนัก
แก้มก้นทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันผิวหนังเปียกชื้น
ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยการออกกำ�ลังกาย
ระวังอุบัติเหตุที่เกิดกับผิวหนัง เช่น การกระแทก ของมีคม เป็นต้น
จัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ให้ผิวหนังอับชื้น
หลีกเลี่ยงการนวดปุ่มกระดูกโดยเฉพาะที่มีรอยแดง จะทำ�ให้การ
ไหลเวียนลดลง
หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนประคบบริเวณผิวหนังที่มีความรู้สึกน้อย
หรืออ่อนแรง
ดูแลผ้าปูที่นอนให้สะอาดแห้ง และเรียบตึงเสมอ เพื่อลดความเปียก
ชื้นและลดแรงเสียดทาน
จัดเสื้อผ้าให้เรียบ หลีกเลี่ยงการนอนทับตะเข็บเสื้อ และปมผูกต่างๆ
เพื่อลดแรงกดบริเวณผิวหนัง
ไม่นวดหรือใช้ความร้อนประคบ หรือใช้สบู่กับผิวหนังที่มีรอยแดง
- 55. 50 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
ไม่ใช้ห่วงยางเป่าลมรองบริเวณปุ่มกระดูกเพราะจะทำ�ให้เลือดไป
เลี้ยงได้ไม่ดีทำ�ให้เกิดแผลได้และไม่ควรใช้ถุงมือใส่นํ้ารองบริเวณปุ่มกระดูกเพราะ
อาจแพ้ยางได้
การเคลื่อนย้าย
การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยควรใช้แรงยกไม่ควรใช้วิธีลาก ไม่ควรเคลื่อน
ย้ายตามลำ�พังถ้าผู้ป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ขณะเคลื่อนย้ายโดยการใช้รถเข็นควรสวมรองเท้าหุ้มส้นทุกครั้งและ
รัดสายรัดกันเท้าตกเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุขณะเคลื่อนย้าย
ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ไม่ควรอยู่ในท่านั่งนานเกิน 1 ชั่วโมง
ภาวะโภชนาการ
ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อยหรือรับประทานอาหารไม่ได้เลย
ควรพิจารณาใส่สายยางให้อาหาร
ควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีนเพื่อส่งเสริมการหายของแผลเช่นนม
ไข่ เนื้อสัตว์
วิตามินเอ ได้แก่ นม ไข่ ผักคะน้า ผักใบเขียว เป็นต้น ช่วยให้แผล
หายเร็วขึ้น
สังกะสี เช่น หอยแมลงภู่ เมล็ดทานตะวัน ช่วยในการสังเคราะห์
โปรตีน สร้างคอลลาเจน
วิตามินซี เช่น ส้ม ผัก ผลไม้สด มีผลต่อการหายของแผล ช่วยเพิ่ม
ภูมิคุ้มกัน และป้องกันการทำ�ลายเนื้อเยื่อ
- 57. 52 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
รูปแบบปฏิกิริยาทาง จิตใจที่มักเกิดขึ้น
1. ความวิตกกังวลและความกลัว มักพบในระยะแรกของโรค สังเกตได้
จากสีหน้าท่าทางกังวล ลังเล ถามซํ้าๆ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ
2. อารมณ์เศร้า เมื่อมีความวิตกกังวลและความกลัวเกิดขึ้นเป็นระยะ
เวลานาน แยกตัว ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เบื่อ ผิดหวัง ซึมเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง อยาก
ตาย หมดหวังที่จะกลับไปเหมือนเดิม รู้สึกเป็นภาระกับครอบครัว
3. พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง มักพบพฤติกรรมต่อต้านในผู้สูงอายุ ปฏิเสธ
การดูแลจากผู้อื่นบางรายมีพฤติกรรมแบบเด็กๆขี้อ้อนบางรายก้าวร้าวหงุดหงิดง่าย
โกรธง่าย อาจพบพฤติกรรมหลีกเลี่ยง ไม่กล้าทำ�งาน ไม่กล้าออกจากบ้าน
ไม่ยอมรับการเจ็บป่วย ไม่ไปพบแพทย์ตามนัด ไม่ยอมรักษา
4. ผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับพื้นฐาน
บุคลิกภาพและความสามารถในการปรับตัว นอกจากนี้ ลักษณะและความรุนแรง
ของโรค ก็เป็นปัจจัยสำ�คัญต่อการรับรู้ และเข้าใจอาการที่เกิดขึ้นเช่นกัน บางคน
อาจเกิดการสูญเสียระบบการควบคุมต่างๆสูญเสียความคิดและการปรับตัวทำ�ให้
ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ การรับรู้ผิดพลาด เกิดอาการหูแว่ว
ภาพหลอน หวาดระแวง ทำ�ให้ไม่ร่วมมือต่อการรักษา
- 58. 53คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การช่วยเหลือทางจิตใจผู้ป่วย (สำ�หรับครอบครัวและญาติ)
1. สอบถามถึงอาการป่วย อาการทางอารมณ์ เพื่อเตรียมตัว และสร้าง
ความเข้าใจต่อพฤติกรรมหรือภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วย
2. ทำ�ความเข้าใจและให้อภัยผู้ป่วยที่มีความคิดพฤติกรรมและอารมณ์
ที่เปลี่ยนไป ครอบครัว ญาติต้องให้อภัยและให้กำ�ลังใจผู้ป่วย
3. หมั่นแสดงออกทางคำ�พูด สีหน้า สายตา และการสัมผัสต่อผู้ป่วยว่า
ครอบครัวยังรักและเป็นกำ�ลังใจให้ผู้ป่วยอยู่เสมอ
4. ช่วยเหลือและให้กำ�ลังใจผู้ป่วยในการฝึกออกกำ�ลังกาย และส่งเสริม
ให้ผู้ป่วยทำ�กิจกรรมที่สามารถทำ�ได้
5. กรณีผู้ป่วยต้องรักษาใน โรงพยาบาล ญาติควรไปเยี่ยมสมํ่าเสมอ
เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งจากครอบครัว
6. จัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้ป่วยผ่อนคลาย สบายใจ
7. จัดสิ่งแวดล้อมเพื่ออำ�นวยความสะดวกต่อการดำ�เนินชีวิตประจำ�วัน
วางเครื่องใช้ในบ้านให้ผู้ป่วยเดินหรือเคลื่อนไหวสะดวก สามารถหยิบจับสิ่งของได้
สะดวก ให้ผู้ป่วยทำ�ได้เองบ้าง
8. ผู้ป่วยสูงอายุที่ต่อต้านและปฏิเสธการดูแลจากญาติ ให้ญาติส่งเสริม
ให้ผู้ป่วยทำ�กิจกรรมที่ชอบบ่อยๆ ให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกว่า ทำ�อะไรได้เองหลาย
อย่าง และลดท่าทีต่อต้านเมื่อครอบครัวและญาติเข้ามาช่วยเหลือในบางอย่าง
9. ชมเชยทั้งคำ�พูด สีหน้า สายตา และการสัมผัส เมื่อผู้ป่วยสามารถ
ทำ�งานบางอย่างได้ และหลีกเลี่ยงการตำ�หนิ
- 59. 54 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
การปรับสภาพบ้านและสิ่งแวดล้อม
บ้านหรือสภาพแวดล้อม ที่พักอาศัยที่เคยอยู่อาจไม่เหมาะสมต่อการ
ดำ�รงชีวิตใหม่ภายหลังออกจากโรงพยาบาล เช่น บางคนสามารถเดินได้แต่ขึ้นลง
บันไดไม่ได้ หรือบางคนอาจเดินไม่ได้ ต้องใช้รถเข็น แต่ประตูบ้านแคบ ไม่กว้างพอ
สำ�หรับรถเข็น เป็นต้น ผู้ที่ประสบปัญหาคงต้องดัดแปลงบ้านและสภาพแวดล้อม
ไม่มากก็น้อยตามแต่กำ�ลังที่มีและความจำ�เป็น
ทางลาดเอียง
1. เป็นทางเรียบและกว้างไม่น้อยกว่า 1 เมตร
2. กรณีที่ความยาวทางลาดน้อยกว่า 3 เมตร ควรมีความลาดเอียง
1 : 12 หรือ ถ้าเกิน 6 เมตรขึ้นไป ต้องใช้ความลาดเอียง 1 : 20 พร้อมชานพัก
ยาว 1.50 เมตร
3. ความยาวทางลาดที่ยาวเกิน 1.80 เมตร ควรจะมีราวข้างเพื่อป้องกัน
การลื่นไถล
4. ขอบทางลาดควรยกเป็นสันสูงอย่างน้อย 2 นิ้ว เพื่อป้องกันการ
ตกขอบ
- 61. 56 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
ประตู - หน้าต่าง
1. ความกว้างของประตูกว้างตั้งแต่ 0.85 - 0.90 เมตร เพื่อรถเข็นจะ
เข้า - ออกได้ง่าย
2. ไม่ควรมีธรณีประตู แต่ถ้ามีธรณีประตูความสูงเกิน 1/2 นิ้ว ให้ปรับ
เปลี่ยนเป็นทางลาดเอียง
3. ถ้าประตูแคบเพียงเล็กน้อยแนะนำ�ให้เปลี่ยนบานพับเป็นบานพับซ้อน
4. ควรเว้นระยะว่างข้างประตูประมาณ 0.45 เมตร เพื่อความสะดวก
สำ�หรับผู้ใช้รถเข็นในการเปิดปิดประตูโดยไม่ถูกกระแทก
5. ส่วนมือจับและลูกบิดประตูควรสะดวกในการใช้และอยู่ในระยะ
เหมาะสม แนะนำ�ให้ใช้แบบก้านมือจับ ไม่ควรใช้ลูกบิดกลมเพราะจะลื่นและต้อง
ออกแรงเปิดมาก
6. ลักษณะการเปิดประตูควรเป็นลักษณะการดึงออก หรือเป็นแบบ
ประตูเลื่อน หากเกิดอุบัติเหตุในห้องผู้อื่นจะสามารถเข้าไปช่วยได้ง่าย
7. บานประตูควรมีช่องให้มองเห็นได้ทั้ง2ด้านจะช่วยป้องกันอันตราย
ไม่ให้เปิดมากระแทกผู้อื่นได้
8. การติดตั้งหน้าต่างควรอยู่ในระดับสูงไม่เกิน0.60เมตรจากระดับพื้น
เพื่อไม่ให้บังสายตา และสะดวกในการเปิดปิดหน้าต่างขณะนั่งรถเข็น
- 63. 58 คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟู
ฉบับผู้ป่วยและผู้ดูแล
ห้องนํ้า
1. ประตูห้องนํ้ากว้างประมาณ 0.85 - 0.90 เมตร และไม่มีธรณีประตู
2. ความสูงของโถส้วม ประมาณ 16 - 19 นิ้ว เพื่อให้ผู้ป่วยที่ใช้รนเข็น
เคลื่อนย้ายตัวได้สะดวก และถ้าเตี้ยเกินไปจะทำ�ให้ลุกขึ้นลำ�บาก
3. ถ้าเป็นโถส้วมชนิดนั่งยอง ควรดัดแปลงโดยใช้เก้าอี้พลาสติกมี
พนักพิง เจาะรูตรงกลางให้มีขนาดกว้างพอประมาณวางครอบโถส้วม
4. ควรมีราวจับรอบๆ โดยราวควรสูงจากพื้นประมาณ 85 เซนติเมตร
5. ควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ
6. พื้นห้องนํ้าควรแห้งอยู่เสมอ
แสดงความกว้างของห้องนํ้าและความสูงของอ่างล้างมือ