Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
Ähnlich wie ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี (20)
Mehr von Taweedham Dhamtawee
Mehr von Taweedham Dhamtawee (6)
ธรรมะเสวนา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
- 3. หลวงปูเทสก เทสรังสี
“ใจ” คือตัวกลางๆ ไมมีอะไรทั้งหมด ไมมีอดีตอนาคต
ไมคิดนึกปรุงแตงทั้งดีและชั่ว มีแตความรูตัว อยูกับปจจุบันเทานั้น
มโน คือ “ใจ” คือมันเปนกลางๆอยู ไมมีอะไร ดี-ชั่ว บาป-บุญ
และอะไรทั้งหมดก็ไมมีในที่นั้น วางเฉยๆ
เมื่อมีผัสสะอายตนะ ความรูก็เกิดขึ้น เรียกวา “วิญญาณ”
เมื่อ”วิญญาณ”เกิดขึ้นแลว แสสายไปตามอายตนะ เรียกวา “จิต”
“จิต” กับ “ใจ” ความจริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ
แต”จิต”เปนผูคิดนึกปรุงแตงเกิดกิเลสสารพัดทั้งปวง
เมื่อปญญาเขาไปรูเทาเรื่องของจิตทั้งหมดแลว
จิตก็หยุดนิ่ง ไมมีอาการอีก จึงเรียกวา “ใจ” เปนของกลางๆ
“ใจ” เมื่อมีอายตนะ ซึ่งเปนชองทางหรือบอเกิดอารมณตางๆจากภายนอก
เมื่อ”ใจ”รับอารมณ ก็จะเกิดการปรุงแตง นึกคิด ซัดสายไปตามอารมณนั้นๆ
ทําใหเกิดความรูสึก รัก-ชัง โลภ โกรธ หลง เปนอาการของ”ใจ” เรียกวา “จิต”
- 4. หลวงปูเทสก เทสรังสี
เมื่อ “ใจ” ไมหลงไปตาม “จิต” เพราะ “ใจ” รูเทาเขาใจอาการของ “จิต”
วา “จิต” เปนผูนําอารมณใหปรุงแตงวุนวาย
“ใจ” ก็จะอยูคนเดียวตามธรรมชาติของ “ใจ”
เมื่อ “ใจ” เปนธรรมชาติของมันแลว
“จิต” จะปรุงแตงก็ไมเขาถึง “ใจ”
เพราะ “ใจ” ไมมีอาการไปแลอาการมา
ไมมีนอกแลใน ไมมีความยินดีแลยินราย
ปลอยวางเฉยในสิ่งทั้งปวง แลว “จิต” ก็จะขวยเขินไปเอง
“จิต” ธรรมชาติ เปนของผองใส อาคันตุกะกิเลสมันพาใหเศราหมอง
ที่มาหัดทําสมาธิภาวนานี้ ก็เพื่อขัดเกลาใหกิเลสหมดสิ้นไป
เพื่อใหมันใสสะอาด คืนตามธรรมชาติเดิม
ผูตองการชําระจิตใจของตนใหสะอาดปราศจากกิเลสทั้งปวง ตองชําระ “จิต”นี้
แหละ ไมตองไปชําระที่ “ใจ”หรอก เมื่อชําระที่ “จิต”แลว “ใจ”มันก็สะอาดไปเอง
เมื่อชําระ “จิต” ใหใสสะอาดแลว ก็จะกลายมาเปน “ใจ” ไปในตัว
- 5. หลวงปูเทสก เทสรังสี
“สติ” และ “จิต” เปนอาการของ “ใจ” “จิต” เปนผูนึกผูคิด แสสายไปตางๆนานา
จึงกลายเปนกิเลส ดวยเหตุนั้นจึงตองใช “สติ” ควบคุมไมใหออกนอกลูนอกทาง
“สติ” คุม “จิต” ไดมากเทาไร “ปญญา” ก็เพิ่มพลังขึ้นมากเทานั้น
“สติ” กับ “ใจ” อยูดวยกัน “สติ” อยูตรงไหน “ใจ” ก็อยูตรงนั้น
“ใจ” อยูตรงไหน “สติ” ก็อยูตรงนั้น
ฐานที่ตั้งที่ฝกอบรม “สติ” คือ “สติปฏฐาน 4”
อันไดแก กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นเอง
ธรรมอื่นใดนอกจากนี้ ถึงจะมีมากขอแลวิธีปฏิบัติมากอยางก็ตาม
เมื่อปฏิบัติเขาถึงหลักธรรมที่ถูกตองแลว จะตองรวมลงมาหา “สติปฏฐาน” นี้ทั้งนั้น
และก็ทางเดียวเทานี้ ที่จะนําผูปฏิบัติใหพนจากทุกขทั้งปวงได
“สติปฏฐาน” นอกจากจะเปน ทั้ง โลกียะ และ โลกุตตระ แลว
ผูอบรมทั้งหลาย จะเปนไดทั้ง สมถะ และ วิปสสนา อีกดวย
แลวก็ทางเดียวเทานี้ ที่จะนําผูปฏิบัติใหพนจากกองทุกขทั้งปวงได
- 6. หลวงปูเทสก เทสรังสี
คําวา “รูเทารูทัน” ก็บงชัดอยูแลววา “ผูรู” คือ “จิต”
“รูเทา” ก็คือ รูเทาที่ “จิต” รูอยูนั้น ไมเหลือไมเกิน
เมื่อรูเทาอยางนี้แลว อาการของ”จิต” ไมมี
เมื่ออาการของ “จิต” ไมมี รอยของ “จิต” ก็ไมมี
แลวใครจะเปนผูไปตามรอยของ “จิต” อีกเลา
รวมความแลว “สติ” ระลึกอยูตรงไหน “ใจผูรู” ก็อยูตรงนั้น
“สติ” กับ “ผูรู” เทากัน อยุ ณ ที่เดียวกัน ทํางานรวมกัน ขณะเดียวกัน
คําวา “รูแจงแทงตลอด” ก็หมายเอาความรูที่รูชัดรูแจงของ “ผูรู” ที่รูไมเหลือไมเกิน
แทงตลอด คือ ตลอดเบื้องตน ตั้งแตเริ่มคิดเริ่มรุ
จนตรวจตรองรูชัดถองแทลงเปนสภาวธรรม
“จิต” ไมสงสายแสหาอะไรอีกตอไป
เพราะ ความแจงแทงตลอดในเหตุผลนั้นๆ หมดสิ้นแลว
- 7. หลวงปูเทสก เทสรังสี
มรรค 8 เปนทางดําเนินดวยใจ ถึงแมนจะแสดงออกมาใหเปนศีล
ก็แสดงศีลในองคมรรคนั่นเอง มรรคแทมีอันเดียว คือ สัมมาทิฏฐิ
อีก 7 ขอเบื้องปลายเปนบริวารบริขารของสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น
หากขาดสัมมาทิฏฐิตัวเดียวแลว สัมมาสังกัปปะเปนตนยอมเปนไปไมได
สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ พอปญญาสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นเทานั้นแหละ
มันก็เปนองคมรรค 8 สมบูรณบริบูรณเลย
เหตุนั้น มรรค 8 รวมอยูในที่เดียวกัน รวมอยูในจุดเดียวกัน
เมื่อจิตเปนสมาธิแนวแนเต็มที่แลว สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบก็เกิด
ณ ที่สัมมาสมาธินั้นเอง คือเห็นทุกข เห็นสมุทัย
สวนจะละไดมากนอยขนาดไหนก็แลวแตกําลังปญญาสัมมาทิฏฐิของตนๆ
เมื่อละไดแลว นิโรธความดับเย็นขนาดไหนก็จะปรากฎขึ้นเฉพาะตนในที่นั้น
- 8. หลวงปูเทสก เทสรังสี
มรรค 8 คือ ศีล สมาธิ ปญญา เทานั้น เปนทางเอก
อันจะนําสัตวใหถึงซึ่งความบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสได
มรรควิถี มันตองมีกิเลส ถาไมมีกิเลส มรรคจะไปดับอะไร
กิเลสกับมรรคเกิดขึ้นพรอมๆกันนั่นแหละ
ถาไมเกิดพรอมกัน มันจะดับกันไดอยางไร
แลวกิเลสดับพรอมๆกับมรรคนั่นแหละ
การอบรมกาย ไดแก สมถะ ละ ราคะ
การอบรมจิต ไดแก วิปสสนา ละ อวิชชา
มรรคผลนิพพานไมใชอื่นไกล คือ
ผูมาชําระใจของตนใหบริสุทธิ์ ดวยปญญาอันชอบแลว
มองเห็นโลกตามสภาพความเปนจริง ดวยปญญาอันชอบแลว
ไมเขาไปยึดถือในโลกทั้งปวง
- 9. หลวงปูเทสก เทสรังสี
ผูที่จะเขาอริยภูมิ ก็ตองเขาถึงจิตเปนหนึ่ง เรียกวา “มรรคสมังคี”
จิตรวมศีล สมาธิ ปญญา เขามาเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงจะเขาถึงอริยภูมิได
จิตรวบรวมเอาความคิดความนึก อารมณเล็กๆนอยๆ ที่มีความของกังวลอยู
ยกขึ้นมาวินิจฉัย เพงพิจารณาดวยปญญาสัมมาทิฏฐิ
ไดชื่อวา เปนวิถีเดินมรรคใหเขาถึง “มรรคสมังคี”
ผูเจริญวิปสสนาทั้งหลาย เมื่ออายตะภายในและภายนอกมากระทบกันเขา
มีความรูสึกเกิดขึ้น ยอมพิจารณาเปนไตรลักษณญาณ อยางนี้ทุกขณะ
ไมวาอิริยาบถใดๆทั้งหมด ดวยอํานาจผูเจริญฌาน-สมาธิ และ วิปสสนานี้แหละ
จนชํานิชํานาญแกกลาแลว จึงทําใหเกิด “มรรคสมังคี”
จิตที่คนควาปฏิบัติอยุในมรรค คิดคนแสวงหาเหตุหาผล เรื่องราวตางๆ
รูชัดตามเปนจริง แลวจึงรวมลงในที่เดียว เรียกวา “มรรคสมังคี”
จึงจะประหัตประหารกิเสลทั้งหลายได
- 10. หลวงปูเทสก เทสรังสี
“มรรคสมังคี” ไมใชจิตที่รวมเขาภวังคอยางฌาน และไมใชจิตที่รวมเขา
เปนสมาธิอยางสมาธิ แตจะรวมเขาเปนอันหนึ่งอันเดียวเหมือนกัน
เมื่อวิปสสนาพิจารณาคนควาหาเหตุผลภายนอกภายใน เห็นแจมแจงชัดเจน
ตามความเปนจริง ไมเคลือบแคลงสงสัยแลว
จิตก็รวมเอาองคมรรคทั้ง 8 (ศีล สมาธิ ปญญา) เขามาไวในที่เดียว
ใหเปนสัมมาทิฏฐิอันเดียว ในขณะจิตเดียว
แลวก็ถอนออกมา จากนั้นก็เดินไปตามกามาพจรจิต
แตมีความรูเทาอยูตลอดเวลา ไมไดหลงไปตามกามารมณเชนเมื่อกอน
“มรรคสมังคี” เปนที่รวมของอริยมรรคทั้ง 8 อันมีสัมมาทิฏฐิเปนตน
หรือ สรรพวิชาความรูใดๆก็ตาม ที่ไดคิดติดตามมาจนรูชัดเจนในเหตุผลนั้นๆ
ทั้งที่ดีและที่ไมดี จนปลอยวางลงไปไดเปนตอนๆ เปนพักๆ แลวนั้น
“มรรคสมังคี” จะตองประมวลรวบรวมลงมาไว ณ ที่เดียว
แลวตัดสินชี้ขาดวา อันนี้เปนหนทาง หรือ มิใชหนทางใหพนจากทุกข
- 11. หลวงปูเทสก เทสรังสี
ใจกับกาย คือ ความตางระหวาง นามกับรูป เปนการแยกกันอยางเดนชัด
แตภายใน การแยกนั้นก็มีความสัมพันธกัน
จิตกับใจ มิใชอันเดียวกัน
จิต เปนผูคิด นึก ปรุงแตงสัญญา อารมณ สรรพสิ่งทั้งปวง
ใจ เปนผูนิ่งอยูเฉยๆ เพียงแตรู วานิ่งอยูเฉยๆ ไมมีคิด นึก ปรุงแตงอะไรเลย
เหมือนกับ แมน้ํากับคลื่นของแมน้ํา
เมื่อคลื่นสงบแลว ยังจะเหลือแต แมน้ําอันใสแจวอยูอยางเดียว
สรรพวิชาทั้งหลาย แลกิเลสทั้งปวง จะเกิดมีขึ้นมาได
ก็เพราะจิตคิดนึกปรุงแตงแสสายหามา
สิ่งทั้งปวงเหลานั้น จะเห็นไดชัดดวยใจของตนเอง
ก็ตอเมื่อจิตนิ่ง แลวจึงเขาถึงใจ
- 13. หลวงปูเทสก เทสรังสี
เราบริกรรม "พุทโธ พุทโธ พุทโธ" ก็เพื่อใหจิตรวมเขาเปนหนึ่ง
ธรรมดาจิตมันฟุงซานอยูแลว
เมื่อบริกรรมนานๆเขา จิตก็จะคอยคลายความฟุงซาน
แลวจะคอยรวมเขาหา "พุทโธ"
จิตก็จะตั้งมั่นเปนอารมณเดียวกับ "พุทโธ"
จนเห็นวา "พุทโธ“ อันใดจิตก็อันนั้น อยูตลอดทุกเมื่อ
อุปสรรคแหงจิตที่เปนสมาธิอยางรายแรง คือ ความอยาก
สมาธิเสื่อมเพราะหลักสมาธิ คือพุทโธไมมั่นคง
แคอยากไดอารมณที่เคยไดรับจากสมาธิ หรือความสงบสุขจากสมาธิ
จิตก็ยิ่งฟุงใหญ