SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 247
Downloaden Sie, um offline zu lesen
BOBBYtutor Biology Note




                                     เราจะศกษาชววทยากนอยางไร
                                           ึ   ี ิ   ั 
     การศกษาชววทยาของนกวทยาศาสตร
         ึ   ี ิ      ั ิ
                   การศกษาชววทยาซงเปนแขนงหนงของการศกษาทางดานวทยาศาสตร เปนกระบวนการคนควาหาความจรงของ
                             ึ ี ิ ่ึ                                            ่ึ               ึ                       ิ                                                     ิ
     ปรากฏการณในธรรมชาติอยางมีระเบียบแบบแผนตามขันตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร (Scientific process)      ้
     ซงประกอบดวย
        ่ึ                 
                   1. กําหนดปญหา (Statement of the problem) ปญหาเกิดขึนจากการเปนคนชางสังเกต ชางคิด มีความ                                    ้
     อยากรูอยากเห็น และใจกวาง เชน นกจลชววทยาชาวองกฤษชออเลกซานเดอร เฟลมมิง (Alexander Fleming) สังเกต
                                                                    ั ุ ี ิ                            ั              ่ื ็
     วาแบคทีเรียในจานเพาะเชือไมเจริญ ถามเี พนซลเลยม (Penicillium sp.) เจรญอยดวย และยังพบวาราชนิดนีสามารถ
                                                   ้                                        ิิ ี                                                       ิ ู                     ้
     ยับยังการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได เขาจงเกดความสงสยและตงปญหาวาเหตใดจงเปนเชนนน
               ้                                                                          ึ ิ                       ั               ้ั   ุ ึ   ้ั
                   จะเห็นไดวาปญหาเกิดขึนไดเสมอ แตการตังปญหาใหชดเจนสัมพันธกบขอเท็จจริงและความรูเ ดิมของผูตงปญหา
                                                           ้                                        ้                       ั                        ั                          ้ั
     นันไมใชสงทีทาไดงายเสมอไป ไอนสไตน (Einstein) ถือวา "การตังปญหานันสําคัญกวาการแกปญหา" ก็เพราะวา เมื่อ
           ้          ่ิ ่ ํ                                                                                                          ้           ้                 
     กําหนดปญหาไดชดเจนและสัมพันธกบขอเท็จจริงและความรูเ ดิม ผูตงปญหายอมมองเห็นลูทางทีจะคนหาคําตอบได
                                   ั                                   ั                                                                      ้ั                     ่
     เพราะฉะนนจงถอวา "การตงปญหาเปนความกาวหนาทางวทยาศาสตรอยางแทจรง"
                        ้ั ึ ื                        ้ั                                                         ิ                        ิ
                   2. ตงสมมตฐาน (Formulation of hypothesis) คําอธบาย หรือการคาดคะเนคาตอบทีเ่ กียวของกับขอเท็จจริง
                              ้ั          ิ                                                                                       ิ                            ํ         ่
     เรียกวา สมมติฐาน (Hypothesis) สมมตฐานเกดขนหลงจากไดกําหนดปญหาชัดเจนแลว ในการตังสมมติฐานมักใช
                                                                                           ิ      ิ ้ึ ั                                                                  ้
     ประโยค "ถา...ดังนัน..." สวนทีขนตนดวย "ถา" จะระบุขอความทีเ่ ปนเหตุหรือเปนคําตอบทเ่ี ปนไปได สําหรบสวนหลงท่ี
                                        ้                     ่ ้ึ                                                                                                         ั  ั
     ขึ้นตนดวย "ดงนน" จะระบขอความทแนะวธตรวจสอบสมมตฐาน ถาสมมติฐานมีแตเพียงสวนแรกทีเ่ ปนคําตอบทีนา
                                 ั ้ั                     ุ                    ่ี ิ ี                                         ิ                                                       ่
     เปนไปได ก็จะไมเห็นแนวทางวาจะตรวจสอบสมมติฐานดวยวิธใด เชน                                                         ี
                   ปญหา : การไดรบสารอาหารทมฟอสเฟตไมเ พยงพอ มีสวนเกียวของกับการเกิดโรคนิวในกระเพาะปสสาวะหรือไม
                                               ั                         ่ี ี                        ี                          ่                             ่
                   สมมติฐาน : ถาการไดรบอาหารทมฟอสเฟสไมเ พยงพอ มสวนทําใหเกิดโรคนิวในกระเพาะปสสาวะ ดงนนเดกท่ี
                                                         ั                         ่ี ี                       ี                   ี                       ่                 ั ้ั ็
     ไดรบเกลอฟอสเฟตเปนอาหารเสรม ยอมจะไมเ ปนโรคนวในกระเพาะปสสาวะ
             ั ื                                                 ิ                                       ่ิ                           
BOBBYtutor Biology Note



               3. การตรวจสอบสมมติฐาน (Test hypothesis) ในทางวทยาศาสตรสวนใหญจะมวธทดลอง (Experiment)
                                                                         ิ                 ีิี
     โดยออกแบบการทดลองทีมการกําหนดและควบคมตวแปร (Variable) ทเ่ี กยวของกบการทดลองซงตวแปรแบงออกเปน
                                 ่ี                    ุ ั                      ่ี  ั               ่ึ ั                 
     3 ชนิด คือ
                     1. ตัวแปรตนหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) คือ สิงทีเ่ ปนสาเหตุทําใหเกิดผลตางๆ หรอสงท่ี
                                                                                     ่                               ื ่ิ
     ตองการศึกษาตรวจสอบวาเปนสาเหตุกอใหเกิดผลเชนนันหรือไม
                                                           ้
                     2. ตวแปรตาม (Dependent variable) คือ สิงทีเ่ ปนผลจากตัวแปรตน
                          ั                                       ่
                     3. ตัวแปรควบคุม (Controlled variable) คือ ตัวแปรทีตองควบคุมใหคงทีตลอดการทดลอง มิฉะนั้นจะ
                                                                             ่                ่
     ทําใหผลการทดลองคลาดเคลือนได เชน ถาตองการศึกษาวา "แสงจําเปนตอการเจริญเติบโตของพืช" ผูทดลองจะตอง
                                       ่                                                                  
     กําหนดชนดของพชทดลองทมอายุ ขนาด และความแข็งแรงพอๆ กันจํานวนหนึง แลวแบงออกเปน 2 กลุม โดยให
                   ิ        ื       ่ี ี                                                  ่                   
     กลุมหนึงไดรบแสง เรียกวา กลุมทดลอง (Experimental group) และอีกกลุมหนึงไมไดรบแสง เรียกวา กลุมควบคุม
           ่ ั                                                                     ่          ั                
     (Controlled group)
               ตัวแปรอิสระ คือ "แสง" เพราะเปนสาเหตุทําใหเกิดผลตางๆ ทีตองการศึกษา
                                                                             ่
               ตวแปรตาม คือ "การเจริญเติบโตของพืช" เพราะเปนผลจากตัวแปรอิสระ
                 ั
               ตัวแปรควบคุม คือ ชนิดของดิน นํ้า ปุย และอณหภมิ จะตองควบคมใหทง 2 กลุม ไดรบเทาเทียมกันตลอด
                                                             ุ ู                 ุ  ้ั             ั
     การทดลองซึงจะมีประโยชนในการตัดสินวาสมมติฐานทีตงไวเปนไปไดหรือไม
                      ่                                    ่ ้ั
               4. การแปรผลและสรุปผลการทดลอง (Conclusion) หลังจากการทดลองเพือตรวจสอบสมมติฐานทีตงขึน
                                                                                             ่                      ่ ้ั ้
     นักวิทยาศาสตรจะแปลความหมายขอมูล วิเคราะหขอมูล และลงขอสรุปภายในขอบเขตของผลการทดลอง หรอผลการศึกษา
                                                                                                          ื
     ทีเ่ ปนจริง หากผลสรปเหมอนกบสมมตฐานทตงไว สมมตฐานนนกตงเปนทฤษฎีได
                              ุ ื ั          ิ ่ี ้ั            ิ ้ั ็ ้ั 
     ชววทยาคออะไร
      ี ิ   ื
             คําวา ชีววิทยา ตรงกบภาษาองกฤษวา Biology ซึงมาจากรากศัพทเดิมทีเ่ ปนภาษากรีก 2 คํา คือ bios หมายถึง
                                    ั         ั              ่
     ชีวิต และ logos หมายถึง ความคิดและเหตุผล ดงนนชววทยาจงหมายถงการศกษาเกยวกบสงมชวตอยางมเี หตผล
                                                        ั ้ั ี ิ ึ      ึ     ึ   ่ี ั ่ิ ี ี ิ           ุ
             คุณสมบัตของสิงมีชวต
                         ิ ่ ีิ
             1. เคลือนไหวไดดวยพลังงานภายในตัวเอง
                      ่          
             2. มการตอบสนองตอสงเราอยางเหมาะสมเพอการอยรอด
                    ี                   ่ิ               ่ื   ู
             3. ตองใชอาหารสําหรบการดารงชีพ การเจริญเติบโต และใชเปนแหลงสะสมพลังงานสําหรับการเพิมจํานวน
                                      ั        ํ                                                       ่
     สิงมีชวต
       ่ ีิ
             4. มีการหายใจซึงเปนการสรางพลังงานทีสามารถนําไปใชในการดํารงชีวตได
                             ่                        ่                         ิ
             5. มีการเจริญเติบโตโดยการใชสารประกอบอินทรีย และอนินทรียไปใชในการสรางสวนประกอบของรางกาย
                                                                          
             6. มีการขับถายเพือกําจัดของเสียทีเ่ กิดจากกระบวนการเมแทบอลิซมออกจากรางกาย
                               ่                                            ึ
             7. สามารถสืบพันธุได เพอเพมจํานวนสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (ความสามารถในการสืบพันธุไดจดเปนคุณสมบัติ
                                           ่ื ่ิ                                               ั
     เดนของสิ่งมีชีวิต)
BOBBYtutor Biology Note



              ชีววิทยาเปนศาสตรที่กวางขวางมาก ประกอบดวยสาขาวชาตางๆ มากมาย เชน
                                                                                ิ 
              1. กายวิภาคศาสตร (Anatomy) ศึกษาเกียวกับโครงสรางสวนตางๆ ของสิ่งมีชีวิต
                                                                  ่
              2. ชีวเคมี (Biochemistry) ศกษาโครงสรางและกระบวนการเปลยนแปลงของสารชวโมเลกลในสงมชวต
                                            ึ                                           ่ี     ี      ุ ่ิ ี ี ิ
              3. พฤกษศาสตร (Botany) ศึกษาเกียวกับพืช ่
              4. เซลลวทยา (Cytology) ศึกษาเกียวกับเซลล
                        ิ                          ่
              5. นเวศวทยา (Ecology) การศึกษาความสัมพันธระหวางสิงมีชวตดวยกัน และความสัมพันธระหวางสิงมีชวต
                      ิ ิ                                                             ่ ีิ                        ่ ีิ
     กบสงแวดลอม
       ั ่ิ       
              6. กีฏวิทยา (Entomology) ศึกษาเกียวกับแมลง  ่
              7. คพภะวทยา (Embryology) ศึกษาเกียวกับตัวออนของสิงมีชวต
                     ั ิ                                      ่                      ่ ีิ
              8. วิวัฒนาการ (Evolution) ศึกษาการเจริญเปลียนแปลงของสิงมีชวตจากอดีตจนถึงปจจุบน รวมทังแนวคิด
                                                                           ่            ่ ีิ            ั       ้
     ของนกวทยาศาสตรทเ่ี กยวกบววฒนาการ
            ั ิ             ่ี ั ิ ั
              9. พันธุศาสตร (Genetics) ศึกษาเกียวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิงมีชวต
                                                        ่                                         ่ ีิ
              10. หนอนพยาธิวทยา (Helminthology) ศึกษาเกียวกับหนอนพยาธิชนิดตางๆ
                               ิ                                             ่
              11. มีนวิทยา (Icthyology) ศึกษาเกียวกับปลา
                                                  ่
              12. จลชววทยา (Microbiology) ศึกษาเกียวกับจุลนทรีย
                    ุ ี ิ                                       ่        ิ
              13. อนุกรมวิธาน (Taxonomy) ศกษาเกยวกบการจดหมวดหมู การตังชือและการเรียกชือสิงมีชวต
                                              ึ             ่ี ั               ั            ้ ่     ่ ่ ีิ
              14. สัตววิทยา (Zoology) ศึกษาเกียวกับสัตวตางๆ ทังพวกมีกระดูกสันหลัง (Vertebrate) และไมมกระดกสนหลง
                                                ่                      ้                                 ี ู ั ั
     (Invertebrate)
     ขอควรทราบ
        
             วิธการทางวิทยาศาสตร ประกอบดวย การกําหนดปญหา การตังสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การแปรผล
                ี                                                                  ้
     และสรุปผล
             ชีววิทยา คือ การศึกษาเกียวกับสิงมีชวต
                                           ่      ่ ีิ
             ความรูเกียวกับสิงมีชวต เชน สัตวศาสตร, พฤกษศาสตร, จลชววทยา, สรีรวิทยา, คพภะวทยา และพันธุศาสตร
                     ่         ่ ีิ                                             ุ ี ิ              ั ิ
             สมมติฐาน คือ คําตอบทอาจเปนไปไดของปญหา ยังไมใชคาตอบทแทจรง เปนการคาดคะเนโดยนําขอเท็จจริงที่
                                         ่ี                                    ํ    ่ี  ิ
     รวบรวมไดจากการสังเกต หรือการนําปญหามาวิเคราะห เพือคนหาคําตอบ ดังนั้นจึงเปนการคาดคะเนคําตอบทีสมพันธ
                                                                       ่                                        ่ั
     กบขอสงสยหรอปญหานนๆ มากทีสด
       ั  ั ื              ้ั              ุ่
             ขอเท็จจริง คือ สิงทีไดจากการสังเกตโดยตรงไมมการเปลียนแปลง ในทางวิทยาศาสตรถอวาขอเท็จจริงทีปรากฏ
                                 ่ ่                             ี             ่                      ื          ่
     อยในธรรมชาตยอมถกตองเสมอ แตการสงเกตขอเทจจรงอาจผดพลาดได
          ู         ิ ู                       ั         ็ ิ         ิ
             ขอมูล คือ ขอเท็จจริงทีปรากฏอยูในธรรมชาติหรือทีรวบรวมไดจากการทดลอง
                                     ่                              ่
             ทฤษฎี คือ สมมตฐานทไดรบการตรวจสอบแลวหลายครง ซงสามารถใชอางองหรอทานายขอเทจจรงได
                                  ิ ่ี  ั                                ้ั ่ึ            ิ ื ํ      ็ ิ
             กฎ คือ ความจริงหลักทีแสดงความสัมพันธระหวางเหตุกบผล สามารถทดสอบไดผลเหมือนเดิมทุกครังและไมมี
                                       ่                                     ั                                ้
     ขอโตแยงใดๆ
        
             ความรู คือ ผลจากการกระทําของมนษยโดยการใชกระบวนการทางวทยาศาสตร
                                                       ุ                               ิ
BOBBYtutor Biology Note



                                             แบบทดสอบ
     จงเลือกคําตอบที่ถูกตอง
     1. การทดลองในตารางพิสจนสมมติฐานขอใด
                          ู
                          จํานวนวันทีทดลอง
                                     ่                  จํานวนเซลลทยงมชวต
                                                                   ่ี ั ี ี ิ
                                              พวกทไมมนวเคลยส พวกทีมนวเคลียส
                                                  ่ี  ี ิ ี                   ่ี ิ
                                 1                   100                       100
                                 2                    80                        79
                                 3                    60                        74
                                 4                    30                        72
                                 5                    3                         72
        1) นิวเคลียสจําเปนตอการแบงเซลล
                                                        2) นิวเคลียสจําเปนตอการมีชวตของเซลล
                                                                                       ีิ
        3) ไซโตพลาสซมจาเปนตอการมีชวตของเซลล
                          ึ ํ           ีิ                 4) ไซโตพลาสซมไมจําเปนตอการมีชวตของเซลล
                                                                          ึ                  ีิ
     2. เมื่อนําแบคทเี รยพวกนวโมคอกคสชนด C ซงสามารถสรางแคปซลได และชนิด B ซงไมสามารถสรางแคปซล
                        ี       ิ    ั ิ          ่ึ                ู                     ่ึ      ู
        มาเลียงในอาหารเลียงแบคทีเรียซึงทําใหปราศจากเชือแลว ปรากฏผลการทดลองในเวลาตอมาดงน้ี
              ้              ้        ่                ้                                   ั
                                     เรมทดลอง
                                        ่ิ                     ผลการทดลองในเวลาตอมา 
                     1. ชนิด C ทีตายแลว
                                  ่                           ไมมการเจริญเติบโต
                                                                  ี
                     2. ชนิด B ทยงมชวตอยู
                                ่ี ั ี ี ิ                    เจริญขยายพันธุอยางรวดเร็ว
                                                                            
                     3. ชนิด B ทยงมชวตอยู ชนิด C ทีตายแลว
                                ่ี ั ี ี ิ          ่         ชนิด B สรางแคปซูลได
          การทดลองนีผทดลองมีสมมติฐานอยางไร
                       ้ ู
          1) แคปซลจาเปนตอการขยายพันธุของแบคทีเรีย
                  ู ํ                       
          2) อาหารทเ่ี ลยงแบคทเี รยนเ้ี หมาะกบแบคทเี รยชนด B มากกวา
                         ้ี       ี           ั       ี ิ          
          3) แบคทีเรียชนิด B นาจะรบสารบางอยางจากชนด C ทมผลตอการสรางแคปซล
                                  ั                    ิ    ่ี ี     ู
          4) ในอาหารเลยงแบคทเี รยมสารททําใหแบคทีเรีย B สรางแคปซูลได
                            ้ี      ี ี ่ี
BOBBYtutor Biology Note



     3. ตารางการทดลองนแสดงผลอะไร
                      ้ี
                                                           นํ้าแปง + นํ้ายอย + ไอโอดีน
                                           หลอดที่ 1        หลอดที่ 2         หลอดที่ 3    หลอดที่ 4
                        เวลาการทดลอง          0 นาที           5 นาที          10 นาที      15 นาที
                           สทปรากฏ
                            ี ่ี           นํ้าเงินเขม        นํ้าเงิน          ฟา         ไมมสี
                                                                                                 ี
        1) หลอดท่ี 1 เกดปฏกรยาระหวางน้ําแปงกับนํ้ายอยมากทีสด
                         ิ ิิิ                              ุ่
        2) เวลาทีเ่ หมาะสมทีสดในการทดสอบแปง คือ 10 นาที
                             ุ่
        3) นํ้าแปงสามารถถกไฮโดรลซสหมดภายใน 15 นาที
                          ู       ิิ
        4) ประสิทธิภาพของนํายอยเปนสัดสวนผกผันกับเวลาทีใช
                              ้                          ่
     4. ในการทดลองใชเ อนไซมยอยสารชนดหนงทอณหภมตางกนปรากฏผลดงน้ี
                                      ิ ่ึ ่ี ุ ู ิ  ั       ั
                           หลอดทดลอง             อุณหภูมิ (°C)        เวลาที่ใชยอยสาร
                               1                     20                    15 นาที
                               2                     30                     6 นาที
                               3                     40                     3 นาที
                               4                     50                ไมเปลียนแปลง
                                                                              ่
        การทดลองนสรปผลสําคญไดอยางไร
                      ้ี ุ        ั  
        1) เอนไซมยอยสารไดชาทีสดทีอณหภูมิ 20°C
                                 ุ่ ุ่                           2) เอนไซมยอยสารไดชาทีสดทีอณหภูมประมาณ 50°C
                                                                                       ุ่ ุ่        ิ
        3) เอนไซมสลายตัวทีอณหภูมิ 40°C
                              ุ่                                   4) เอนไซมจะทํางานไดดทสดทีอณหภูมประมาณ 40°C
                                                                                       ี ่ี ุ ่ ุ  ิ
     5. เมอเตมโยเกรตหนงชอนชาลงในหลอดทดลองทมสารละลายบรอมไธมอลบลู แลวเปรียบเทียบกับหลอดทีมเี ฉพาะ
          ่ื ิ       ิ  ่ึ                               ่ี ี                                           ่
        บรอมไธมอลบลูอยางเดียว ปดฝาจกทงไว 1 วัน ผลจะเปนอยางไร
                                          ุ ้ิ
        1) สของบรอมไธมอลบลเู จอจางลงเลกนอยเนองจากมปรมาณของโยเกรตทเ่ี ตมลงไป
                   ี                   ื           ็  ่ื         ี ิ           ิ ิ
        2) สของบรอมไธมอลบลในหลอดทงสองยงคงเดม
             ี                     ู         ้ั        ั        ิ
        3) สของบรอมไธมอลบลเู ปลยนแปลงจากเดมเนองจากโยเกรต
               ี                          ่ี             ิ ่ื          ิ
        4) สของบรอมไธมอลบลในหลอดทไมมโยเกรตไมจําเปนตองนํามาเปรียบเทียบในการทดลอง
                 ี                   ู          ่ี  ี ิ  

                                                          เฉลย
      1. 2)     2. 3)      3. 3)       4. 4)       5. 3)
BOBBYtutor Biology Note




                                     สงมชวตกบสภาวะแวดลอม
                                      ่ิ ี ี ิ ั      
     ระบบนิเวศ (Ecosystem)
              ระบบนเวศ คือ ระบบความสัมพันธระหวางกลุมสิงมีชวต (Community) ทีอาศัยอยูรวมกัน และความสัมพันธ
                       ิ                                                  ่ ีิ                               ่            
     ระหวางกลมสงมชวตกบสภาพแวดลอม (Environment) ของแหลงทอยู (Habitat) ตวอยางระบบนเิ วศ เชน ระบบ
            ุ ่ิ ี ี ิ ั                                                             ่ี                            ั 
     นิเวศนํ้าจืด (Fresh water ecosystem) ระบบนิเวศทะเล (Ocean ecosystem) ระบบนิเวศปาไม (Forest
     ecosystem) โลกของเราจัดเปนระบบนิเวศทีใหญทสด เรียกวา โลกของสิงมีชวตหรือชีวภาค (Biosphere)
                                                             ่      ่ี ุ                          ่ ีิ
              การปรับตัวของสิงมีชวต (Adaptation) สิงมีชีวตในระบบนิเวศมีการปรับตัว 3 แบบ คือ
                                       ่ ีิ                        ่ ิ
              1. การปรับตัวทางดานรูปราง (Morphological adaptation) มองเห็นไดจากภายนอก เชน ผักตบชวา
     มีกานใบเปนกระเปาะเพือเก็บอากาศเปนทุนลอยนํ้า กระบองเพชรเปลยนใบเปนหนามเพอลดการสญเสยน้ํา ตกแตนมปก
                                  ่                                                   ่ี                       ่ื               ู ี        ๊ั   ี
     คลายใบไม ฯลฯ
              2. การปรับตัวทางดานสรีระ (Physiological adaptation) เปนการปรับตัวทางดานหนาทีหรือกลไกการทํางาน                     ่
     ของอวัยวะตางๆ ภายในรางกายใหเหมาะสมตอการดํารงชีวต เชน คนทีอาศัยอยูตามภูเขาสูงซึงมี O2 ตํา รางกายจะปรับ
                                                                             ิ                ่                         ่              ่
     ตวเพอสรางเมดเลอดแดงเพมขน การปรับตัวของปลานําจืดทีสามารถไปอาศัยอยูในนําเค็มได การปรบตวของ นกทะเล
       ั ่ื  ็ ื                         ่ิ ้ึ                           ้ ่                              ้                         ั ั
     โดยมี Nasal gland อยูใกลจมูก ฯลฯ
                                     
              3. การปรับตัวทางดานพฤติกรรม (Behavioral adaptation) เปนการปรับตัวทางดานอุปนิสย เพือใหสามารถ                          ั ่
     ดํารงชวตไดอยางเหมาะสม เชน การจําศีลของสัตว เมื่อขาดแคลนอาหาร หรอเมออณหภมของอากาศไมเ หมาะสมตอ
            ีิ                                                                                         ื ่ื ุ ู ิ                                    
     การดํารงชีวต การอพยพยายถินของสัตวบางชนิด เชน นกนางแอนจะอพยพหนีหนาวจากประเทศจีนมาอาศัยอยูใน
                  ิ                             ่                                                                                                  
     ประเทศไทย ฯลฯ
              (Migration คือ การอพยพยายถินชัวคราว, Emigration คือ การอพยพออกจากถินเดิมแลวไมกลับมาอีก,
                                                            ่ ่                                                               ่
     Immigration คือ การอพยพไปอยูทหนึงทีใดแลวจะอยูอยางถาวรไมยายออกไปอีก)
                                                     ่ี ่ ่                                   
              โครงสรางของระบบนิเวศ แบงออกไดดงนี้              ั
              1. โครงสรางทางชีวภาพ (Biological structure) ประกอบดวย สงมชวตตางๆ ทีมบทบาทในระบบนิเวศ ไดแก
                                                                                              ่ิ ี ี ิ  ่ ี
                    ก. ผูผลิต (Producer) หมายถึง สิงมีชวตทีสรางอาหารไดเอง
                                                                ่ ีิ ่
                    ข. ผูบริโภค (Consumer or Heterotroph) หมายถึง สงมชวตทสรางอาหารเองไมได แบงยอยออกเปน
                                                                                          ่ิ ี ี ิ ่ี                                       
                         ผูบริโภคพืช (Herbivore) เชน วัว ควาย มา กระตาย ฯลฯ
                         ผูบริโภคสัตว (Carnivore) เชน สนข แมว เสือ สิงโต ฯลฯ
                                                                  ุั
                         ผบรโภคทงพชและสตว (Omnivore) เชน คน เปด ไก ฯลฯ
                             ู ิ ้ั ื               ั                               
                         ผูบริโภคซากพืชและซากสัตว (Scavengers or Detritivores) เชน กิงกือ ไสเดือนดิน ปลวก นกแรง ฯลฯ
                                                                                                               ้
                    ค. ผูยอยสลาย (Decomposer) หมายถึง สงมชวตทสรางอาหารเองไมได แตจะไดอาหารจากการหลง
                                                                               ่ิ ี ี ิ ่ี                                                           ่ั
     เอนไซมไปยอยสลายสารอนทรยแลวนําขึ้นมาใช เชน แบคทเี รย เหด รา ฯลฯ
                                       ิ ี                                   ี ็
              2. โครงสรางทางกายภาพ (Physiological structure) ประกอบดวย สงทไมมชวตทมบทบาทตอการดํารงชีวต    ิ่ ี่  ี ี ิ ี่ ี                       ิ
     ของสิ่งมีชีวิต เชน แสง อณหภมิ แรธาตุ ความชื้น ฯลฯ
                                        ุ ู
BOBBYtutor Biology Note



     ความสมพนธระหวางสภาวะแวดลอมทางกายภาพกบสงมชวต
          ั ั                         ั ่ิ ี ี ิ
              1. แสง มีความจําเปนตอการดํารงชีวตของพืช เชน การเอนเขาหาแสงของยอดออนของพช การออกดอก
                                                ิ                                               ื
     การสรางอาหาร และมีความจําเปนตอสัตว เชน การแพรกระจายของตัวออนแมลง การออกหากนของสตวบางชนด
                                                                                        ิ       ั     ิ
              2. อุณหภูมิ มีอทธิพลตอกระบวนการสรางอาหารของพืช การออกหากินของสัตว
                              ิ
              3. แกส มีความจําเปนตอการหายใจของพืชและสัตว การยอยสลายโดยจุลนทรียและการสรางอาหารของพืช
                                                                            ิ 
              4. แรธาตุ เชน ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซยม ฯลฯ พืชใชในการสังเคราะหสารตางๆ ในเซลลพช
                                                           ี                                              ื
              5. ความเปนกรดเบส จะตองเหมาะสมตอการเจรญเตบโตของพช ถา pH สงเกนไปพชจะไมสามารถดดแรธาตุ
                                                      ิ ิ         ื          ู ิ ื                 ู 
     ไปใชได
     ความสมพนธของสงมชวตทอาศยอยรวมกน
          ั ั    ่ิ ี ี ิ ่ี ั ู  ั
               ความสัมพันธระหวางสิงมีชวตตางชนิดกันทีอาศัยอยูรวมกัน (Interspecific Relationship) ในระบบนิเวศจะมี
                                               ่ ีิ                          ่ 
     ความสมพนธกนหลายแบบ กลาวคอเมออยรวมกนแลวอาจมฝายหนงฝายใดเสยประโยชน ไดประโยชน หรือไมไดไม
              ั ั ั                              ื ่ื ู  ั                   ี  ่ึ                 ี
     เสียประโยชนกได ถากําหนดความสมพนธดวยเครองหมายดงน้ี
                           ็                            ั ั             ่ื    ั
               + หมายถึง ไดประโยชนจากอีกฝายหนึง                  ่
               - หมายถึง เสยประโยชนใหอกฝายหนง
                                       ี                 ี  ่ึ
               0 หมายถง ไมมการไดหรอเสยประโยชน
                                 ึ ี              ื ี
               จากการกําหนดความสมพนธดวยเครองหมาย สามารถแบงความสัมพันธของสิงมีชวตตางชนิดกันไดดงนี้
                                              ั ั              ่ื                                              ่ ีิ                    ั
               1. ภาวะพงพา (Mutualism) สัญลักษณ +, + เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ทีตางฝายตางไดรบ
                              ่ึ                                                                            ่ ีิ                    ่            ั
     ประโยชนซงกนและกน โดยจะตองอยรวมกนตลอดเวลา หากแยกจากกันจะไมสามารถดํารงชีวตอยูได เชน
                   ่ึ ั             ั           ู  ั                                                                  ิ 
                         - ไลเคนส (Lichens) เปนการอยรวมกนระหวางรากบสาหราย โดยราจะไดรบอาหารจากสาหราย สวน
                                                                      ู  ั            ั                          ั
     สาหรายไดรบความชนจากรา
           ั                    ้ื
                         - แบคทีเรีย E. coli ในลําไสใหญของคน แบคทเี รยจะชวยสลายกากอาหารและสงเคราะหวตามน B12
                                                                                            ี                              ั          ิ ิ
     และวตามน K ใหแกคน ในขณะเดียวกันแบคทีเรียก็จะไดอาหารและแหลงทีอยูอาศัยจากคน
           ิ ิ                                                                                        ่ 
                         - แบคทีเรีย Rhizobium sp. กับพืชตระกูลถัว แบคทีเรียทีอาศัยอยูในปมรากพืชตระกูลถัวจะทําหนาท่ี
                                                                                   ่                   ่                              ่        
     ตรึงไนโตรเจนจากอากาศแลวเปลียนเปนสารประกอบไนโตรเจนในดิน ซึงเปนประโยชนตอการเจริญเติบโตของตนถัว
                                                     ่                                           ่                                         ่
                         - โปรโตซัว Trichonympha sp. ในลําไสปลวก โปรโตซัวมีเอนไซมสาหรบยอยเซลลโลสในลําไสปลวก  ํ ั              ู
     อาหารทียอยไดจะเปนประโยชนกบปลวกและโปรโตซัว
               ่                                  ั
                         - รา Mycorrhiza sp. ในปมรากสน ราจะทําหนาทีสลายธาตุฟอสฟอรัสใหอยูในรูปทีพชสามารถนําไปใช
                                                                                          ่                                    ่ ื
     ไดในขณะเดียวกัน ราก็จะไดอาหารทีพชตระกูลสนสังเคราะหขน
                                                         ่ ื                         ้ึ
                         - สาหรายสีนํ้าเงนแกมเขยวบางชนดกบแหนแดง ในโพรงใบของแหนแดงมีสาหรายสีเขียวแกมนําเงิน
                                          ิ                  ี        ิ ั                                                                     ้
     บางชนด เชน Anabaena sp. และ Nostoc sp. อาศัยอยู ทําหนาทตรงไนโตรเจนจากอากาศเปลยนเปนสารประกอบ
            ิ                                                                                 ่ี ึ                           ่ี 
     ไนโตรเจนทแหนแดงสามารถนาไปใชประโยชนได
                      ่ี                    ํ
BOBBYtutor Biology Note



                    2. ภาวะไดประโยชนรวมกัน (Protocooperation) สัญลักษณ +, + เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด
                                                                                                                                                                                        ่ ีิ
     ทีไดรบประโยชนดวยกันทัง 2 ฝาย แตไมจาเปนตองอยรวมกนตลอดเวลา ถาแยกกันอยูกสามารถดํารงชีวตไดตามปกติ
          ่ ั                                          ้                                ํ   ู  ั                                                             ็                     ิ
     เชน
                          - นกเอยงกบควาย นกเอียงจะกินปรสิตบนหลังควาย ทําใหปรสิตของควายลดลง
                                       ้ี ั                                          ้
                          - แมลงกบดอกไม แมลงไดอาหารจากดอกไม ในขณะเดียวกันแมลงก็ชวยผสมเกสรดอกไมทําใหแพรพนธุ
                                              ั                                                                                                                                                    ั
     ไดมาก
                          - ปเสฉวนกบดอกไมทะเล ดอกไมทะเลทีเ่ กาะอยูบนเปลือกปูเสฉวนไดเคลือนทีไปพรอมๆ กบปเู สฉวน
                                ู                     ั                                                                                                               ่ ่                      ั
     เปนการเปลยนแหลงอาหารไปเรอยๆ สวนปเู สฉวนจะไดทพรางตวทําใหศตรูมองไมเห็น
                      ่ี                                            ่ื                                    ่ี              ั             ั
                          - มดดํากับเพลีย มดดําจะนําไขของเพลียไปไวในรัง เพือใหไดรบความอบอุนและฟกออกเปนตัว และมดดา
                                                              ้                                          ้                            ่             ั                                                              ํ
     จะทําหนาทีปองกันเพลียใหพนจากอันตราย เวลามดออกหาอาหารจะนําเพลยไปดวย เพือใหเพลียดูดนํ้าหวานจากตนไม
                       ่                    ้                                                                                                   ้ี             ่          ้                                  
     และมดดาจะไดอาหารจากเพลยอกทอดหนง
                     ํ                                           ้ี ี                      ่ึ
                    3. ภาวะอิงอาศัย หรอภาวะเกอกล (Commensalism) สัญลักษณ +, 0 เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด
                                                                ื                ้ื ู                                                                                                     ่ ีิ
     ทีฝายหนึงไดประโยชนสวนอีกฝายหนึงไมไดและไมเสียประโยชน เชน
          ่ ่                                                                ่
                          - ปลาฉลามกับเหาฉลาม เหาฉลามเปนปลาชนดหนงทมครบหลงเปลยนเปนอวยวะสําหรับยึดเกาะกับ                            ิ ่ึ ่ี ี ี ั ่ี  ั
     ปลาฉลาม ซึงจะไดอาหารจากปลาฉลามโดยไมทําอันตรายปลาฉลามและปลาฉลามก็ไมไดเสียประโยชนแตอยางใด
                          ่
                          - กลวยไมกบตนไมใหญ ตนไมใหญเปนฝายใหทอยูอาศัยแกกลวยไม ซึงกลวยไมทอาศัยอยูนนก็ไมได
                                     ั                                                                                      ่ี                                 ่             ่ี             ้ั
     แยงอาหารจากตนไม
                          - นกทํารังบนตนไม นกไดประโยชนจากตนไม คือ ไดทอยูอาศัย สวนตนไมไมไดหรอเสยประโยชน                                  ่ี                 ื ี
     แตอยางใด 
                    4. ภาวะลาเหยื่อ (Predation) สัญลักษณ +, - เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ในลกษณะทสงมชวต                                       ่ ีิ                           ั              ่ี ่ิ ี ี ิ
     ชนิดหนึ่งเปนอาหารของสงมชวตอกชนดหนง สิงมีชวตทีจบสัตวอนกินเปนอาหาร เรียกวา ผูลา (Predator) สวนสงมชวต
                                                  ิ่ ี ี ิ ี ิ ึ่ ่ ี ิ ่ ั                                            ื่                                                                       ่ิ ี ี ิ
     ทีตกเปนอาหาร เรียกวา เหยือ (Prey) เชน โคกนหญา กบกินแมลง ไกกนขาว เปนตน
       ่                                                  ่                                          ิ                                   ิ
                    5. ภาวะปรสิต (Parasitism) สัญลักษณ +, - เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ในลกษณะทฝายหนง                                         ่ ีิ                          ั              ่ี  ่ึ
     ไดประโยชนจากการเปนผูอาศัยหรือปรสิต (Parasite) อีกฝายหนึงเสียประโยชนจากการเปนผูถกอาศัย หรอโฮสต
                                                                                                                                       ่                                      ู                          ื
     (Host) ปรสตอาจอาศยภายนอก หรอภายในรางกายของผถกอาศยกได เราสามารถจําแนกประเภทของปรสิตตามแหลง
                            ิ            ั                                   ื                                  ู ู ั ็
     ทีอยูได 2 พวก คือ
         ่ 
                          5.1 ปรสิตภายนอก (Ectoparasite) เปนปรสิตทีอาศัยอยูบนรางกายของโฮสต เชน หมัด เหา เหบ ไร          ่                                                                               ็
     เปนตน
                          5.2 ปรสิตภายใน (Endoparasite) เปนปรสตทอาศยอยในรางกายของผถกอาศย เชน ภายในเซลล    ิ ่ี ั ู                                               ู ู ั
     ในทอทางเดินอาหาร กลามเนือ ตับ ปอด ถงนาดี ตวอยางปรสตภายใน ไดแก หนอนพยาธิชนิดตางๆ
                                                            ้                                  ุ ้ํ ั               ิ
                    6. ภาวะแขงขัน (Competition) สัญลักษณ -, - เปนความสัมพันธของสิ่งมีชวตชนิดเดียวกัน หรือตางชนิดกัน                                        ีิ
     ก็ไดทมความตองการสิงเดียวกันแลวเกิดการแกงแยงแขงขันกัน ทําใหเสียประโยชนทง 2 ฝาย เชน การเจรญของผกบง
               ่ี ี                        ่                                                                                                              ้ั                                 ิ                 ั ุ
     และผกกระเฉดในสระน้ํา การแขงขนของสตวเ พอครอบครองทอยอาศยหรอแยงชงอาหาร สุนขจิงจอกแยงกวางทีจบได
                 ั                                                        ั                    ั ่ื                      ่ี ู ั ื  ิ                                    ั ้                               ่ั
     เปนตน
BOBBYtutor Biology Note



             7. ภาวะการหลั่งสารตอตาน (Antibiosis) สัญลักษณ 0, - เปนความสมพนธของสงมชวต 2 ชนิด ทีฝายหนึง
                                                                             ั ั  ่ิ ี ี ิ            ่ ่
     ไมไดหรือไมเสียประโยชนแตอกฝายหนึงเสียประโยชน โดยฝายหนึงจะหลังสารไปยับยังการเจริญเติบโตของสิงมีชวตอีก
                                  ี       ่                        ่     ่          ้                  ่ ีิ
     ชนิดหนึ่ง เชน สาหรายสีเขียวบางชนิดหลังสารยับยังการเจริญเติบโตของไดอะตอม เปนตน การยบยงการเจรญเตบโต
                                             ่       ้                                         ั ้ั     ิ ิ
     โดยไมมการหลังสาร ตนไมเล็กๆ ทีอยูใตตนไมใหญมกจะไมเจริญเติบโต เพราะตนไมใหญบงแสงแดดเอาไว
              ี       ่                ่              ั                               ั
             8. ภาวะเปนกลาง (Neutralism) สัญลักษณ 0, 0 เปนความสัมพันธของสิงมีชวต ททง 2 ฝายไมเกี่ยวของ
                                                                                  ่ ี ิ ่ี ้ั
     สัมพันธกนในระหวางทีอาศัยอยูรวมกัน เชน แมงมมกบกระตายทอาศยอยดวยกนในทงหญา ไสเดือนดินกับตักแตนที่
                ั          ่                         ุ ั     ่ี ั ู  ั ุ                          ๊
     อาศัยอยูในนาขาว เปนตน
     การถายทอดพลงงานและการหมนเวยนสารในระบบนเวศ
               ั           ุ ี            ิ
          การถายทอดพลงงานในกลมสงมชวตในระบบนเวศ มี 2 ลักษณะ คือ
                       ั          ุ ่ิ ี ี ิ     ิ
          1. ถายทอดพลงงานในรปโซอาหาร (Food chain) หมายถึง การกินตอกันเปนทอดๆ โดยเริ่มจากผูผลิต
                         ั       ู 
     ถายทอดพลงงานไปยงผบรโภคในลําดับถัดไป เชน
            ั       ั ู ิ
             ผักกาด         ตักแตน
                              ๊                นก คน
             (ผักกาดถูกกินโดยตักแตน, ตักแตนถูกกินโดยนก, นกถูกกินโดยคน)
                                ๊         ๊
                                    ตําแหนงหนาที่เชิงอาหารและลําดับขั้นของอาหาร
         ลําดับขั้นอาหาร (Trophric level)    สิงมีชวต
                                               ่ ีิ                             หนาที่เชิงอาหาร
                         4                      คน        ผูบริโภคเนื้อสัตวอันดับสอง หรือผูบริโภคอันดับสุดทาย
                                                                                              

                        3                       นก        ผูบริโภคเนื้อสัตวอันดับหนึ่ง หรือผูบริโภคอันดับทีสอง
                                                                                                            ่

                        2                     ตักแตน
                                                ๊         ผูบริโภคพืช หรือผูบริโภคอันดับทีหนึง
                                                                                        ่ ่

                        1                     ผักกาด      ผูผลิต
                                                            
           พระมดอาหาร (Food pyramid)
             ี ิ
           เมือพิจารณาแบบแผนการถายทอดพลังงานในหวงโซอาหารหนึงๆ สามารถนํามาเขียนในรูปพีระมิดได 3 แบบ คือ
              ่                                                 ่
                1. พระมดจํานวนของสิ่งมีชีวิต (Pyramid of number) มีทงแบบฐานกวางและฐานแคบ
                     ี ิ                                            ้ั
                2. พระมดมวลของสงมชีวต (Pyramid of mass) อาจเปนแบบฐานกวางหรือฐานแคบก็ได
                      ี ิ        ่ิ ี ิ
                3. พีระมิดปริมาณพลังงาน (Pyramid of energy) เปนแบบฐานกวางเสมอ
                                                                         
           2. ถายทอดพลังงานในรูปสายใยอาหาร (Food web) หมายถึง การกนกนอยางซบซอน ประกอบดวยโซอาหาร
                                                                        ิ ั  ั 
     จานวนมาก โดยผูบริโภคแตละชนิดจะกินสัตวอนไดมากกวา 1 ชนิด
      ํ                                       ่ื
BOBBYtutor Biology Note



     การหมุนเวียนสารที่สาคัญในระบบนิเวศ
                        ํ
            1. วัฏจักรคารบอน แหลงธาตคารบอนในบรรยากาศ คือ กาซคารบอนไดออกไซด (CO2) กาซคารบอนมอนอกไซด
                                      ุ                    
     (CO) ในนํ้าอยูในรูปไฮโดรเจนคารบอเนตไอออน ดังสมการ
                   
            CO2 + H2O                 H2CO3        H+ + HCO- คารบอนไดออกไซดจะถูกผูผลิตเปลียนไปเปน
                                                             3                                ่
     คารโบไฮเดรตเมื่อผูบริโภคนําไปใชจะปลอยคารบอนไดออกไซดออกมาทางลมหายใจ
                                                       
             2. วัฏจักรไนโตรเจน ประกอบดวย 4 ขั้นตอน คือ
                                            
                  1. Nitrogen fixation คือ การตรึงไนโตรเจนในอากาศเปลียนเปนสารประกอบไนโตรเจน เกิดจาก
                                                                        ่
     ปรากฏการณธรรมชาติ เชน ฟาแลบ และอาศัยสิงมีชวต เชน แบคทเี รย ไรโซเบียม (Rhizobium sp.) สาหรายสเี ขยว-
                                                ่ ีิ             ี                                     ี
     แกมนํ้าเงินพวก Anabaena sp., Nostoc sp. เปนตน
                  2. Ammonification คือ กระบวนการสลายสารอนทรยจากพชและสตวเ ปนแอมโมเนย (NH3)
                                                           ิ ี ื           ั             ี
                                                            ี                - ซงตองอาศยแบคทเรยหลายชนด
                  3. Nitrification คือ กระบวนการเปลยนแอมโนเนยเปนไนไตรท NO2 ่ึ 
                                                    ี่                                   ั       ี ี          ิ
     เชน Nitrococcus sp., Nitrosomonas sp., Nitrosocystis sp. และเปลียนไนไตรทเปนไนเตรต NO3
                                                                          ่                             - โดยใช
     แบคทเี รย Nitrobacter sp.
             ี
                  4. Denitrification คือ กระบวนการเปลียนไนเตรตเปนกาซไนโตรเจน (N2) ซึงตองใชแบคทีเรียพวก
                                                       ่                               ่
     Pseudomonas sp., Micrococcus sp., Chromabacterium sp.
             3. วฏจกรฟอสฟอรส และวฏจกรแคลเซยม เปนวัฏจักรทีไมตองผานบรรยากาศเพราะไมมสารประกอบในรูป
                   ั ั           ั      ั ั       ี             ่                             ี
     ของกาซ
          
             4. วฏจกรซลเฟอร พืชและสัตวไมสามารถใชซลเฟอรไดโดยตรงตองอาศัยแบคทีเรียเปลียนใหอยูในรูปสาร-
                    ั ั ั                                ั                                   ่       
     ประกอบซลเฟตจงจะนาไปใชได
                ั      ึ ํ
     ขอควรทราบ
       
            สารหมนเวยนเปนวฏจกรได
                 ุ ี  ั ั
            พลงงานหมนเวยนเปนวฏจกรไมได แตถายทอดได
                  ั ุ ี  ั ั             
            ผยอยสลายจะเปนผรบพลงงานลาดบสดทาย
             ู         ู ั ั    ํ ั ุ 
     การเปลยนแปลงแทนท่ี (Succession)
           ่ี
               คือ การเปลียนแปลงของกลุมสิงมีชวตทังในดานจํานวนและชนิดของสิงมีชวตในธรรมชาติ โดยมีปจจัยทาง
                               ่              ่ ีิ ้                          ่ ีิ                        
     กายภาพและชีวภาพเปนตัวควบคุมจนเกิดสมดุลตามธรรมชาติ ทําใหกลมสงมชวตมความสมพนธกนอยางเหมาะสมและ
                                                                  ุ ่ิ ี ี ิ ี       ั ั ั 
     ดํารงอยูในสภาวะทีคอนขางจะสมดุล เรียกสภาวะเชนนีวา สงคมสงมชวตขนสด (Climax community)
                         ่                          ้  ั ่ิ ี ี ิ ้ั ุ
               การเปลียนแปลงแทนทีของสิงมีชวตในธรรมชาติ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ
                        ่            ่ ่ ีิ
               1. การเปลียนแปลงแทนทีแบบปฐมภูมิ (Primary succession) คือ การเปลียนแปลงแทนทีในพืนทีซงไมเคยมี
                          ่             ่                                           ่             ่ ้ ่ ่ึ
     สิงมีชวตอาศัยมากอน เชน มีพชขึนบนเกาะทีเ่ กิดใหมหรือบริเวณทีเ่ กิดภูเขาไฟใหมๆ ซึงยังไมมการครอบครองของ
         ่ ีิ                          ื ้                                              ่       ี
     สิงมีชวตมากอน
          ่ ีิ
               2. การเปลยนแปลงแทนทแบบทตยภมิ (Secondary succession) คือ การเปลยนแปลงแทนทในพนท่ี
                            ่ี            ่ี    ุิ ู                                         ่ี              ่ี ้ื
     ซึงเคยมีสงมีชวตอาศัยอยูแตถกทําลายไปโดยคน สัตวหรือภัยธรรมชาติ เชน ไฟไหม นํ้าทวม เปนตน
       ่         ่ิ ี ิ           ู
BOBBYtutor Biology Note



              การเปลียนแปลงในสภาพแหงแลง เรียกวา Xerosere เชน ทีกอนหิน กองทราย หรอลาวา หลังจากทีเ่ ย็นลง
                        ่                                                  ่                   ื
     ซึงมักพบสิงมีชวตชนิดตางๆ ตามลําดับ ไดแก
       ่            ่ ีิ
              1. สาหรายสีน้าเงินแกมเขียว จะชวยเปลียนสภาพของหิน ทรายหรือลาวาใหสามารถรับความชืนไดบาง
                               ํ                          ่                                            ้ 
              2. ครัสโทสไลเคนส (Crustose lichens) เปนไลเคนสชนิดทีสามารถติดอยูกบกอนหินได มีลกษณะเปนแผนบาง
                                                                         ่        ั                 ั
              3. โฟลิโอสไลเคนส (Foliose lichens) จะเจริญไดเมือเนือหินเริมกลายเปนดินและมีซากสารอินทรียเ พิมขึน
                                                                    ่ ้     ่                                 ่ ้
              4. มอส (Moss) เมอหนไดเ ปลยนสภาพไปมากจนมสภาพเปนดนมากขน มีอนทรียวัตถุและความชืนเพิม
                                           ่ื ิ    ่ี                  ี       ิ    ้ึ      ิ                   ้ ่
     มากขึ้น ซึงเปนสภาพทีพชชันตําพวกมอสเจริญไดดี
                  ่           ่ ื ้ ่
              5. ไมลมลุก หญาหรือเฟน พืชพวกนีจะเขามาแทนทีเ่ มือมอสไดตายไป นอกจากนสงมชวตใดจะมมากหรอนอย
                                                     ้              ่                   ้ี ่ิ ี ี ิ      ี     ื 
     ยงขนอยกบอทธพลของความชนและปรมาณแสงอกดวย
         ั ้ึ ู ั ิ ิ                  ้ื      ิ           ี 
              6. ไมยนตนและไมพม จะเขามาแทนทีพวกไมลมลุก หญาหรือเฟน และการเจริญของพืชในชวงนีขนอยูกบ
                            ื       ุ                  ่                                                  ้ ้ึ  ั
     สภาพภูมอากาศและปจจัยจํากดในสงแวดลอมนนๆ อาจมีสตวชนิดตางๆ อพยพเขาไปอยูอาศัย เชน สตวเ ลอยคลาน
                ิ                      ั ่ิ        ้ั            ั                                     ั ้ื
     นกและสัตวเลียงลูกดวยนม
                      ้
     ประชากรกบสภาวะแวดลอมและทรพยากรธรรมชาติ
             ั               ั
              ประชากร (Population) คือ สิงมีชวตชนิดเดียวกัน อาศยอยในทแหงเดยวกนในชวงระยะเวลาหนง เชน
                                                                 ่ ีิ                      ั ู ่ี  ี ั                     ่ึ
     จานวนประชากรผึงบนตนมะมวง เมื่อเดือนกุมภาพันธ พ.ศ. 2540 เปนตน
      ํ                    ้
              การวัดขนาดประชากร ทําไดหลายแบบ เชน การนับทังหมด การสมตวอยาง การทําเครืองหมายแลวปลอยไป
                                                                                     ้         ุ ั                ่
     เพือจับใหม
        ่
     การอนรกษทรพยากรธรรมชาติ
                ุ ั  ั
              ทรพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิงทีเ่ กิดขึนเองตามธรรมชาติมนุษยไมไดสรางขึน มทงประเภททสามารถฟนสภาพ
                  ั                                      ่         ้                                     ้ ี ้ั       ่ี   
     ได เชน พืช สัตว และประเภทสินเปลืองไมสามารถฟนสภาพได เชน ถานหิน นํามัน แรธาตุ
                                                ้                                                ้
              มลภาวะของน้า (Water pollution) หมายถึง การทีนามีสารบางอยางหรือสภาพบางอยางในระดับทีไมเหมาะสม
                               ํ                                                    ่ ้ํ                                 ่
     ตอการนํามาทําประโยชน มลภาวะของนํ้าเกดจากสาเหตตางๆ ไดแก
                                                             ิ             ุ
              - เชื้อโรคตางๆ ในแหลงนา             ้ํ
              - สงสกปรกทยอยสลายได เชน สารอินทรียจากนําทิงของโรงงานและบานเรือน
                     ่ิ              ่ี                                   ้ ้
              - สงสกปรกทไมเ กดปฏกรยาเคมี เชน ดิน ทรายทถกชะลางลงไปในแหลงนา ขยะลอยนํา ฯลฯ
                        ่ิ             ่ี ิ ิ ิ ิ                               ่ี ู                ้ํ          ้
              - สิงสกปรกทีเ่ ปนสารพิษ เชน ปุยและสารเคมีกําจัดศัตรูพช
                     ่                                                                  ื
              - สิงทีทําใหสมบัตทางเคมีและฟสกสของนํ้าเปลียนแปลงไป เชน อุณหภูมิ pH
                    ่ ่                     ิ                  ิ              ่
              บทบาทของแบคทเรยตอคณภาพของน้ํา
                                          ี ี  ุ
              ก. แบคทีเรียทีสรางอาหารไดเอง (Autotrophic bacteria) พวกที่มีประโยชนในการกาจัดนําเสีย ไดแก ไนไตรต-
                                 ่                                                                             ํ ้
     แบคทเี รย ไนเตรตแบคทเี รย และแบคทีเรียทีเ่ ปลียนไฮโดรเจนซัลไฟดเปนซัลเฟต
              ี                               ี                       ่
              ข. แบคทีเรียทีสรางอาหารเองไมได (Heterotrophic bacteria) มีจํานวนมากและมีบทบาทสําคัญทีสดใน
                                   ่                                                                                             ุ่
     การยอยสลายสารอนทรย แบงออกเปน
                            ิ ี                      
BOBBYtutor Biology Note



                1. Aerobic bacteria คือ แบคทเี รยทตองใชออกซเิ จนในการสลายสารอนทรย ไดผลผลิตทีเ่ ปนคารบอนไดออกไซด
                                                ี ี่                       ิ ี
     และนํา
          ้
               2. Anaerobic bacteria คอแบคทเี รยทสลายสารอนทรยโ ดยไมใชออกซเิ จน ไดผลผลิตทีเ่ ปนกาซมีกลิน ไดแก
                                                 ื                      ี ่ี                      ิ ี                                                                  ่
     CH4, H2S, NH3
               3. Facultative bacteria คือ แบคทีเรียทีสามารถสลายสารอินทรียโดยไมใชออกซิเจนหรือใชออกซิเจนก็ได
                                                                                           ่                                   
     ขึนอยูกบสภาพแวดลอมวามีออกซิเจนหรือไม
       ้ ั
               การวัดมลภาวะของนํ้า วัดจากปริมาณออกซิเจนทีมอยูในแหลงนํ้าซึงมีอยู 3 วิธี คือ    ่ี                   ่
               1. วัดปริมาณออกซิเจนทีละลายอยูในนํา (Dissolved Oxygen หรือ DO) มีหนวยเปนมิลลิกรัมตอลิตร หรือ
                                          ่                      ้
     ppm ออกซิเจนทีละลายอยูในนํ้ามาจากการสงเคราะหดวยแสงของพชน้า ถามความกดดนของออกซเิ จนในบรรยากาศ
                          ่                                          ั                                       ื ํ  ี                  ั
     สูงออกซิเจนจะละลายนําไดมาก ถาความเขมขนของเกลือแรในนํ้าและอุณหภูมนาสูงออกซิเจนจะละลายไดนอย (ปกติ
                                  ้                                                                                         ิ ้ํ                                       
     ปริมาณออกซิเจนทีเ่ หมาะสมตอการดํารงชวตของสงมชวตในนา คือ 5 มลลกรม/ลิตร ถาตากวา 3 มลลกรม/ลิตร
                                                           ีิ                        ่ิ ี ี ิ ้ํ                        ิ ิ ั                      ่ํ              ิ ิ ั
     จะทําใหน้าเสีย)
                 ํ
               2. วดความตองการออกซเจนทางชวเคมี (Biochemical Oxygen Demand หรือ BOD) คือปริมาณ
                      ั                    ิ                 ี
     ออกซิเจนที่ Aerobic bacteria ใชสําหรบการยอยสลายสารอนทรย คํานวณไดจากผลตางของคา DO ของนํ้าทีวดทันที
                                                     ั                                              ิ ี                                                                     ่ั
     กับคา DO ของนํ้าทเ่ี กบไวในทมด 5 วัน ปรมาณออกซเิ จนจะลดลงเพราะแบคทีเรียใชในการยอยสลายอนทรย ถานํ้าสกปรก
                              ็  ่ี ื                      ิ                                                                                               ิ ี 
     แสดงวามสารอนทรยในนามาก คา BOD จะสูงคา BOD ในแหลงนาทวไปประมาณ 2-5 ppm ถาสงกวา 100 มลลกรม/ลิตร
              ี ิ ี  ้ํ                                                                              ้ ํ ่ั                                        ู            ิ ิ ั
     จัดวาเปนนํ้าเสีย
               3. วัดความตองการออกซิเจนทางเคมี (Chemical Oxygen Demand หรือ COD) คือ ปริมาณออกซิเจนที่
     สารเคมีใชในการสลายสารอินทรีย สารเคมีทใชเปนตัวออกซิไดซคอ โพแทสเซียมไดโครเมต ถานําสกปรก แสดงวามี
                                                                 ่ี                                          ื                                              ้
     สารอินทรียในนํามาก คา COD จะสูงในแหลงนําเดยวกน คา COD จะสูงกวาคา BOD เสมอ เพราะสารเคมีบางอยาง
                      ้                                                     ้ ี ั
     ยอยสลายโดยแบคทีเรียไมไดแตยอยโดยการออกซิไดซทางเคมีได
                                        
               มลภาวะของดิน (Soil pollution) เกดจากพวกกากสารกมมนตรงสี ขยะมลฝอยและสงปฏกล ปยและสารเคมี
                                                                         ิ                                  ั ั ั                  ู                   ่ ิ ิ ู ุ
     ปราบศตรพชซงใชเ วลาในการสลายตวตางกน เชน เอนดริน 1-6 ป ดีลดริน 5-25 ป ดีดที 4-30 ป
              ั ู ื ่ึ                          ั  ั                                                                                           ี
               มลภาวะอากาศ (Air pollution) มีกาซ และสารตางๆ หลายชนดททําใหเกิดมลภาวะอากาศ เชน กาซซลเฟอร-
                                                                                                                 ิ ่ี                                                 ั
     ไดออกไซดจากการเผาถานหน เมอกระทบกบความชนจะกลายเปนกรดซลฟวรก ทําอนตรายกบเนอเยอตางๆ สารกัมมันตรังสี
                                  ิ ื่                  ั                     ื้                             ั  ิ ั                  ั ื้ ื่ 
     ทําใหเกิดการระคายเคือง ตา จมูก คอ เกดการอาเจยน มือบวม โครโมโซมผิดปกติ เปนหมน สารตะกัวทีผสมในนํ้ามัน
                                                       ิ                               ี                                                ั                      ่ ่
     เชื้อเพลิง หรอจากโรงงานทําแบตเตอร่ี ทําสี มผลไปทําลายระบบประสาท เกิดการเสือมสลายของเสนเลือดฝอย
                        ื                                                                ี                                                         ่
     กาซคารบอนมอนอกไซด เกิดจากการเผาไหมทไมสมบูรณ สามารถรวมตัวกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงไดดกวา
                                                                                  ่ี                                                                                            ี
     ออกซิเจนประมาณ 200-250 เทา ออกไซดของไนโตรเจน เกิดจากการเผาเชือเพลิงทีมไนโตรเจนเปนองคประกอบ
                                                                                                                                ้           ่ี
     สามารถรวมตัวกับฮีโมโกลบินไดเหมือนกับคารบอนไดออกไซด และยังทําใหเยือบุทางเดินของระบบหายใจ ตา จมูก                     ่
     เกิดการระคายเคืองเชนเดียวกับกาซซัลเฟอรไดออกไซด สารปรอท ทําใหมการบบตวอยางรนแรงของทางเดนอาหาร                      ี ี ั  ุ                                       ิ
     ปวดทอง อาเจียน ปวดเมือยกลามเนือ เรียกวาโรคมินามาตะ สารแคดเมยม จะไปสะสมทไต ทําลายหลอดไต กระดูก-
                                    ่              ้                                                                ี                        ่ี
     ผุกรอน เกดการเจบปวดมาก เรียกวาโรคอิไต-อิไต กาซคารบอนไดออกไซด เกิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิง ถามีสะสม
                   ิ        ็
     ในบรรยากาศมากทําใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73
73

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

สถานการณ
สถานการณ สถานการณ
สถานการณ Puli Kamkhun
 
How to write a dissertation proposal .. part 1
How to write a dissertation proposal .. part 1How to write a dissertation proposal .. part 1
How to write a dissertation proposal .. part 1DrDanai Thienphut
 
รูปแบบการวิจัย
รูปแบบการวิจัยรูปแบบการวิจัย
รูปแบบการวิจัยRamkhamhaeng University
 
การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1
การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1
การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1korakate
 
9789740335146
97897403351469789740335146
9789740335146CUPress
 
ส งคมศ กษา
ส งคมศ กษาส งคมศ กษา
ส งคมศ กษาAoy Amm Mee
 
ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร Aoy Amm Mee
 
แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า
แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า
แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า Utai Sukviwatsirikul
 
44444444444444
4444444444444444444444444444
44444444444444bow4903
 
แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...
แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...
แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...Kobwit Piriyawat
 
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์Harun Fight
 
เตรียมสอบ O net 57 วิทย์ชุด2
เตรียมสอบ O net 57  วิทย์ชุด2เตรียมสอบ O net 57  วิทย์ชุด2
เตรียมสอบ O net 57 วิทย์ชุด2jutarattubtim
 
9789740331063
97897403310639789740331063
9789740331063CUPress
 

Was ist angesagt? (17)

สถานการณ
สถานการณ สถานการณ
สถานการณ
 
เหตุผลกับภาษา
เหตุผลกับภาษาเหตุผลกับภาษา
เหตุผลกับภาษา
 
How to write a dissertation proposal .. part 1
How to write a dissertation proposal .. part 1How to write a dissertation proposal .. part 1
How to write a dissertation proposal .. part 1
 
รูปแบบการวิจัย
รูปแบบการวิจัยรูปแบบการวิจัย
รูปแบบการวิจัย
 
การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1
การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1
การวิเคราะห์ตัวชี้วัด Science ม1
 
9789740335146
97897403351469789740335146
9789740335146
 
ส งคมศ กษา
ส งคมศ กษาส งคมศ กษา
ส งคมศ กษา
 
ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร ว ทยาศาสตร
ว ทยาศาสตร
 
Paraqaut
ParaqautParaqaut
Paraqaut
 
แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า
แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า
แนวทางเวชปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า
 
44444444444444
4444444444444444444444444444
44444444444444
 
023 qualitative research
023 qualitative research023 qualitative research
023 qualitative research
 
แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...
แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...
แผนการจัดการเรียนรุ้คุณธรรมนำความคิดเรื่องสารละลาย โดยใช้รูปแบบ 4 mat นายกอบว...
 
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
ข้อสอบ O-NET วิชา วิทยาศาสตร์
 
เตรียมสอบ O net 57 วิทย์ชุด2
เตรียมสอบ O net 57  วิทย์ชุด2เตรียมสอบ O net 57  วิทย์ชุด2
เตรียมสอบ O net 57 วิทย์ชุด2
 
ทำวิจัยไปทำไม
ทำวิจัยไปทำไมทำวิจัยไปทำไม
ทำวิจัยไปทำไม
 
9789740331063
97897403310639789740331063
9789740331063
 

Andere mochten auch

ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6
ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6
ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6yangclang22
 
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมAomiko Wipaporn
 
เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59
เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59
เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59Wan Ngamwongwan
 
การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม
การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม
การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมMaikeed Tawun
 
ชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซม
ชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซมชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซม
ชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซมMoukung'z Cazino
 
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarnข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarnflimgold
 
แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์
แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์
แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์Maikeed Tawun
 
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมแบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมdnavaroj
 
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมสำเร็จ นางสีคุณ
 

Andere mochten auch (12)

องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
 
ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6
ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6
ส่วนประกอบทางเคมีของDna ม.6
 
Dna bio04 1
Dna bio04 1Dna bio04 1
Dna bio04 1
 
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรมใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
ใบงานที่ 14สารพันธุกรรม
 
เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59
เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59
เฉลยชีววิทยาหน้า52- 59
 
การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม
การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม
การถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม
 
แผนBioม.6 1
แผนBioม.6 1แผนBioม.6 1
แผนBioม.6 1
 
ชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซม
ชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซมชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซม
ชีววิทยา เรื่อง ยีนและโครโมโซม
 
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarnข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
ข้อสอบวิชาชีววิทยา+เฉลย By: Meriya Lertsirikarn
 
แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์
แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์
แบบฝึกหัดการหาสัดส่วนจีโนไทป์ฟีโนไทป์
 
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรมแบบทดสอบ บทที่  6  การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
แบบทดสอบ บทที่ 6 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธูกรรม
 
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
13แบบทดสอบโครโมโซมและการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม
 

Ähnlich wie 73

เนื้อหาชีววิทยา
เนื้อหาชีววิทยาเนื้อหาชีววิทยา
เนื้อหาชีววิทยาDew Thamita
 
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไรเราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไรsupreechafkk
 
การให้เหตุผลอุปนัย
การให้เหตุผลอุปนัยการให้เหตุผลอุปนัย
การให้เหตุผลอุปนัยLaongphan Phan
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...Rorsed Mardra
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...Rorsed Mardra
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...Rorsed Mardra
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...Rorsed Mardra
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...Rorsed Mardra
 
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behavioreพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behavioresupreechafkk
 
021จิตวิทยาการเรียนรู้
021จิตวิทยาการเรียนรู้021จิตวิทยาการเรียนรู้
021จิตวิทยาการเรียนรู้niralai
 
เพาเวอร์พอย
เพาเวอร์พอยเพาเวอร์พอย
เพาเวอร์พอยNaree50
 
หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2
หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2
หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2กมลรัตน์ ฉิมพาลี
 

Ähnlich wie 73 (20)

เนื้อหาชีววิทยา
เนื้อหาชีววิทยาเนื้อหาชีววิทยา
เนื้อหาชีววิทยา
 
Intro sciproject
Intro sciprojectIntro sciproject
Intro sciproject
 
Biology m4
Biology m4Biology m4
Biology m4
 
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไรเราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
เราจะศึกษาวิทยาศาสตร์กันอย่างไร
 
การสังเกต Sn
การสังเกต Snการสังเกต Sn
การสังเกต Sn
 
การให้เหตุผลอุปนัย
การให้เหตุผลอุปนัยการให้เหตุผลอุปนัย
การให้เหตุผลอุปนัย
 
Reasoning
ReasoningReasoning
Reasoning
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
 
บทที่ 2
บทที่ 2บทที่ 2
บทที่ 2
 
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
1e0b897e0b8a4e0b8a9e0b88ee0b8b5e0b881e0b8b2e0b8a3e0b980e0b8a3e0b8b5e0b8a2e0b8...
 
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behavioreพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิต - Behaviore
 
021จิตวิทยาการเรียนรู้
021จิตวิทยาการเรียนรู้021จิตวิทยาการเรียนรู้
021จิตวิทยาการเรียนรู้
 
เพาเวอร์พอย
เพาเวอร์พอยเพาเวอร์พอย
เพาเวอร์พอย
 
2
22
2
 
Process
ProcessProcess
Process
 
In side-100 story-001-248[1][19]
In side-100 story-001-248[1][19]In side-100 story-001-248[1][19]
In side-100 story-001-248[1][19]
 
หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2
หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2
หน่วยการเรียนรู้ระบบย่อยอาหารและการสลายอาหารระดับเซลล์.2
 

Mehr von Warissa'nan Wrs (16)

04 e
04 e04 e
04 e
 
04 e
04 e04 e
04 e
 
Yhin
YhinYhin
Yhin
 
สรุปสังคม O-net
สรุปสังคม O-netสรุปสังคม O-net
สรุปสังคม O-net
 
งานคอมสาละวิน
งานคอมสาละวินงานคอมสาละวิน
งานคอมสาละวิน
 
Nam
NamNam
Nam
 
ประวัติส่วนตัว
ประวัติส่วนตัวประวัติส่วนตัว
ประวัติส่วนตัว
 
ประวัติส่วนตัว1
ประวัติส่วนตัว1ประวัติส่วนตัว1
ประวัติส่วนตัว1
 
My profile (1)
My profile (1)My profile (1)
My profile (1)
 
My profile
My profileMy profile
My profile
 
My profile
My profileMy profile
My profile
 
604สุนิศา 08
604สุนิศา 08604สุนิศา 08
604สุนิศา 08
 
My
MyMy
My
 
1
11
1
 
Document2
Document2Document2
Document2
 
604วาริสษา 18
604วาริสษา 18604วาริสษา 18
604วาริสษา 18
 

73

  • 1. BOBBYtutor Biology Note เราจะศกษาชววทยากนอยางไร ึ ี ิ ั  การศกษาชววทยาของนกวทยาศาสตร ึ ี ิ ั ิ การศกษาชววทยาซงเปนแขนงหนงของการศกษาทางดานวทยาศาสตร เปนกระบวนการคนควาหาความจรงของ ึ ี ิ ่ึ  ่ึ ึ  ิ    ิ ปรากฏการณในธรรมชาติอยางมีระเบียบแบบแผนตามขันตอนของกระบวนการทางวิทยาศาสตร (Scientific process) ้ ซงประกอบดวย ่ึ  1. กําหนดปญหา (Statement of the problem) ปญหาเกิดขึนจากการเปนคนชางสังเกต ชางคิด มีความ ้ อยากรูอยากเห็น และใจกวาง เชน นกจลชววทยาชาวองกฤษชออเลกซานเดอร เฟลมมิง (Alexander Fleming) สังเกต   ั ุ ี ิ ั ่ื ็ วาแบคทีเรียในจานเพาะเชือไมเจริญ ถามเี พนซลเลยม (Penicillium sp.) เจรญอยดวย และยังพบวาราชนิดนีสามารถ ้  ิิ ี ิ ู  ้ ยับยังการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได เขาจงเกดความสงสยและตงปญหาวาเหตใดจงเปนเชนนน ้ ึ ิ ั ้ั   ุ ึ   ้ั จะเห็นไดวาปญหาเกิดขึนไดเสมอ แตการตังปญหาใหชดเจนสัมพันธกบขอเท็จจริงและความรูเ ดิมของผูตงปญหา  ้ ้ ั ั  ้ั นันไมใชสงทีทาไดงายเสมอไป ไอนสไตน (Einstein) ถือวา "การตังปญหานันสําคัญกวาการแกปญหา" ก็เพราะวา เมื่อ ้ ่ิ ่ ํ   ้ ้  กําหนดปญหาไดชดเจนและสัมพันธกบขอเท็จจริงและความรูเ ดิม ผูตงปญหายอมมองเห็นลูทางทีจะคนหาคําตอบได ั ั  ้ั  ่ เพราะฉะนนจงถอวา "การตงปญหาเปนความกาวหนาทางวทยาศาสตรอยางแทจรง" ้ั ึ ื  ้ั     ิ    ิ 2. ตงสมมตฐาน (Formulation of hypothesis) คําอธบาย หรือการคาดคะเนคาตอบทีเ่ กียวของกับขอเท็จจริง ้ั ิ ิ ํ ่ เรียกวา สมมติฐาน (Hypothesis) สมมตฐานเกดขนหลงจากไดกําหนดปญหาชัดเจนแลว ในการตังสมมติฐานมักใช ิ ิ ้ึ ั  ้ ประโยค "ถา...ดังนัน..." สวนทีขนตนดวย "ถา" จะระบุขอความทีเ่ ปนเหตุหรือเปนคําตอบทเ่ี ปนไปได สําหรบสวนหลงท่ี ้ ่ ้ึ   ั  ั ขึ้นตนดวย "ดงนน" จะระบขอความทแนะวธตรวจสอบสมมตฐาน ถาสมมติฐานมีแตเพียงสวนแรกทีเ่ ปนคําตอบทีนา ั ้ั ุ ่ี ิ ี ิ ่ เปนไปได ก็จะไมเห็นแนวทางวาจะตรวจสอบสมมติฐานดวยวิธใด เชน ี ปญหา : การไดรบสารอาหารทมฟอสเฟตไมเ พยงพอ มีสวนเกียวของกับการเกิดโรคนิวในกระเพาะปสสาวะหรือไม  ั ่ี ี ี  ่ ่ สมมติฐาน : ถาการไดรบอาหารทมฟอสเฟสไมเ พยงพอ มสวนทําใหเกิดโรคนิวในกระเพาะปสสาวะ ดงนนเดกท่ี  ั ่ี ี ี ี ่ ั ้ั ็ ไดรบเกลอฟอสเฟตเปนอาหารเสรม ยอมจะไมเ ปนโรคนวในกระเพาะปสสาวะ ั ื  ิ   ่ิ 
  • 2. BOBBYtutor Biology Note 3. การตรวจสอบสมมติฐาน (Test hypothesis) ในทางวทยาศาสตรสวนใหญจะมวธทดลอง (Experiment) ิ   ีิี โดยออกแบบการทดลองทีมการกําหนดและควบคมตวแปร (Variable) ทเ่ี กยวของกบการทดลองซงตวแปรแบงออกเปน ่ี ุ ั ่ี  ั ่ึ ั   3 ชนิด คือ 1. ตัวแปรตนหรือตัวแปรอิสระ (Independent variable) คือ สิงทีเ่ ปนสาเหตุทําใหเกิดผลตางๆ หรอสงท่ี ่ ื ่ิ ตองการศึกษาตรวจสอบวาเปนสาเหตุกอใหเกิดผลเชนนันหรือไม  ้ 2. ตวแปรตาม (Dependent variable) คือ สิงทีเ่ ปนผลจากตัวแปรตน ั ่ 3. ตัวแปรควบคุม (Controlled variable) คือ ตัวแปรทีตองควบคุมใหคงทีตลอดการทดลอง มิฉะนั้นจะ ่ ่ ทําใหผลการทดลองคลาดเคลือนได เชน ถาตองการศึกษาวา "แสงจําเปนตอการเจริญเติบโตของพืช" ผูทดลองจะตอง ่  กําหนดชนดของพชทดลองทมอายุ ขนาด และความแข็งแรงพอๆ กันจํานวนหนึง แลวแบงออกเปน 2 กลุม โดยให ิ ื ่ี ี ่  กลุมหนึงไดรบแสง เรียกวา กลุมทดลอง (Experimental group) และอีกกลุมหนึงไมไดรบแสง เรียกวา กลุมควบคุม  ่ ั   ่ ั  (Controlled group) ตัวแปรอิสระ คือ "แสง" เพราะเปนสาเหตุทําใหเกิดผลตางๆ ทีตองการศึกษา ่ ตวแปรตาม คือ "การเจริญเติบโตของพืช" เพราะเปนผลจากตัวแปรอิสระ ั ตัวแปรควบคุม คือ ชนิดของดิน นํ้า ปุย และอณหภมิ จะตองควบคมใหทง 2 กลุม ไดรบเทาเทียมกันตลอด  ุ ู  ุ  ้ั  ั การทดลองซึงจะมีประโยชนในการตัดสินวาสมมติฐานทีตงไวเปนไปไดหรือไม ่ ่ ้ั 4. การแปรผลและสรุปผลการทดลอง (Conclusion) หลังจากการทดลองเพือตรวจสอบสมมติฐานทีตงขึน ่ ่ ้ั ้ นักวิทยาศาสตรจะแปลความหมายขอมูล วิเคราะหขอมูล และลงขอสรุปภายในขอบเขตของผลการทดลอง หรอผลการศึกษา   ื ทีเ่ ปนจริง หากผลสรปเหมอนกบสมมตฐานทตงไว สมมตฐานนนกตงเปนทฤษฎีได ุ ื ั ิ ่ี ้ั ิ ้ั ็ ้ั  ชววทยาคออะไร ี ิ ื คําวา ชีววิทยา ตรงกบภาษาองกฤษวา Biology ซึงมาจากรากศัพทเดิมทีเ่ ปนภาษากรีก 2 คํา คือ bios หมายถึง  ั ั  ่ ชีวิต และ logos หมายถึง ความคิดและเหตุผล ดงนนชววทยาจงหมายถงการศกษาเกยวกบสงมชวตอยางมเี หตผล ั ้ั ี ิ ึ ึ ึ ่ี ั ่ิ ี ี ิ  ุ คุณสมบัตของสิงมีชวต ิ ่ ีิ 1. เคลือนไหวไดดวยพลังงานภายในตัวเอง ่  2. มการตอบสนองตอสงเราอยางเหมาะสมเพอการอยรอด ี  ่ิ   ่ื ู 3. ตองใชอาหารสําหรบการดารงชีพ การเจริญเติบโต และใชเปนแหลงสะสมพลังงานสําหรับการเพิมจํานวน   ั ํ ่ สิงมีชวต ่ ีิ 4. มีการหายใจซึงเปนการสรางพลังงานทีสามารถนําไปใชในการดํารงชีวตได ่ ่ ิ 5. มีการเจริญเติบโตโดยการใชสารประกอบอินทรีย และอนินทรียไปใชในการสรางสวนประกอบของรางกาย  6. มีการขับถายเพือกําจัดของเสียทีเ่ กิดจากกระบวนการเมแทบอลิซมออกจากรางกาย ่ ึ 7. สามารถสืบพันธุได เพอเพมจํานวนสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน (ความสามารถในการสืบพันธุไดจดเปนคุณสมบัติ  ่ื ่ิ  ั เดนของสิ่งมีชีวิต)
  • 3. BOBBYtutor Biology Note ชีววิทยาเปนศาสตรที่กวางขวางมาก ประกอบดวยสาขาวชาตางๆ มากมาย เชน  ิ  1. กายวิภาคศาสตร (Anatomy) ศึกษาเกียวกับโครงสรางสวนตางๆ ของสิ่งมีชีวิต ่ 2. ชีวเคมี (Biochemistry) ศกษาโครงสรางและกระบวนการเปลยนแปลงของสารชวโมเลกลในสงมชวต ึ  ่ี ี ุ ่ิ ี ี ิ 3. พฤกษศาสตร (Botany) ศึกษาเกียวกับพืช ่ 4. เซลลวทยา (Cytology) ศึกษาเกียวกับเซลล ิ ่ 5. นเวศวทยา (Ecology) การศึกษาความสัมพันธระหวางสิงมีชวตดวยกัน และความสัมพันธระหวางสิงมีชวต ิ ิ ่ ีิ ่ ีิ กบสงแวดลอม ั ่ิ  6. กีฏวิทยา (Entomology) ศึกษาเกียวกับแมลง ่ 7. คพภะวทยา (Embryology) ศึกษาเกียวกับตัวออนของสิงมีชวต ั ิ ่ ่ ีิ 8. วิวัฒนาการ (Evolution) ศึกษาการเจริญเปลียนแปลงของสิงมีชวตจากอดีตจนถึงปจจุบน รวมทังแนวคิด ่ ่ ีิ ั ้ ของนกวทยาศาสตรทเ่ี กยวกบววฒนาการ ั ิ  ่ี ั ิ ั 9. พันธุศาสตร (Genetics) ศึกษาเกียวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิงมีชวต ่ ่ ีิ 10. หนอนพยาธิวทยา (Helminthology) ศึกษาเกียวกับหนอนพยาธิชนิดตางๆ ิ ่ 11. มีนวิทยา (Icthyology) ศึกษาเกียวกับปลา ่ 12. จลชววทยา (Microbiology) ศึกษาเกียวกับจุลนทรีย ุ ี ิ ่ ิ 13. อนุกรมวิธาน (Taxonomy) ศกษาเกยวกบการจดหมวดหมู การตังชือและการเรียกชือสิงมีชวต ึ ่ี ั ั ้ ่ ่ ่ ีิ 14. สัตววิทยา (Zoology) ศึกษาเกียวกับสัตวตางๆ ทังพวกมีกระดูกสันหลัง (Vertebrate) และไมมกระดกสนหลง ่  ้ ี ู ั ั (Invertebrate) ขอควรทราบ  วิธการทางวิทยาศาสตร ประกอบดวย การกําหนดปญหา การตังสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การแปรผล ี  ้ และสรุปผล ชีววิทยา คือ การศึกษาเกียวกับสิงมีชวต ่ ่ ีิ ความรูเกียวกับสิงมีชวต เชน สัตวศาสตร, พฤกษศาสตร, จลชววทยา, สรีรวิทยา, คพภะวทยา และพันธุศาสตร  ่ ่ ีิ ุ ี ิ ั ิ สมมติฐาน คือ คําตอบทอาจเปนไปไดของปญหา ยังไมใชคาตอบทแทจรง เปนการคาดคะเนโดยนําขอเท็จจริงที่ ่ี    ํ ่ี  ิ รวบรวมไดจากการสังเกต หรือการนําปญหามาวิเคราะห เพือคนหาคําตอบ ดังนั้นจึงเปนการคาดคะเนคําตอบทีสมพันธ ่ ่ั กบขอสงสยหรอปญหานนๆ มากทีสด ั  ั ื  ้ั ุ่ ขอเท็จจริง คือ สิงทีไดจากการสังเกตโดยตรงไมมการเปลียนแปลง ในทางวิทยาศาสตรถอวาขอเท็จจริงทีปรากฏ ่ ่ ี ่ ื ่ อยในธรรมชาตยอมถกตองเสมอ แตการสงเกตขอเทจจรงอาจผดพลาดได ู ิ ู   ั  ็ ิ ิ ขอมูล คือ ขอเท็จจริงทีปรากฏอยูในธรรมชาติหรือทีรวบรวมไดจากการทดลอง ่  ่ ทฤษฎี คือ สมมตฐานทไดรบการตรวจสอบแลวหลายครง ซงสามารถใชอางองหรอทานายขอเทจจรงได ิ ่ี  ั  ้ั ่ึ  ิ ื ํ  ็ ิ กฎ คือ ความจริงหลักทีแสดงความสัมพันธระหวางเหตุกบผล สามารถทดสอบไดผลเหมือนเดิมทุกครังและไมมี ่ ั ้ ขอโตแยงใดๆ    ความรู คือ ผลจากการกระทําของมนษยโดยการใชกระบวนการทางวทยาศาสตร ุ   ิ
  • 4. BOBBYtutor Biology Note แบบทดสอบ จงเลือกคําตอบที่ถูกตอง 1. การทดลองในตารางพิสจนสมมติฐานขอใด ู จํานวนวันทีทดลอง ่ จํานวนเซลลทยงมชวต  ่ี ั ี ี ิ พวกทไมมนวเคลยส พวกทีมนวเคลียส ่ี  ี ิ ี ่ี ิ 1 100 100 2 80 79 3 60 74 4 30 72 5 3 72 1) นิวเคลียสจําเปนตอการแบงเซลล    2) นิวเคลียสจําเปนตอการมีชวตของเซลล ีิ 3) ไซโตพลาสซมจาเปนตอการมีชวตของเซลล ึ ํ ีิ 4) ไซโตพลาสซมไมจําเปนตอการมีชวตของเซลล ึ  ีิ 2. เมื่อนําแบคทเี รยพวกนวโมคอกคสชนด C ซงสามารถสรางแคปซลได และชนิด B ซงไมสามารถสรางแคปซล ี ิ ั ิ ่ึ  ู ่ึ   ู มาเลียงในอาหารเลียงแบคทีเรียซึงทําใหปราศจากเชือแลว ปรากฏผลการทดลองในเวลาตอมาดงน้ี ้ ้ ่ ้  ั เรมทดลอง ่ิ ผลการทดลองในเวลาตอมา  1. ชนิด C ทีตายแลว ่ ไมมการเจริญเติบโต ี 2. ชนิด B ทยงมชวตอยู ่ี ั ี ี ิ เจริญขยายพันธุอยางรวดเร็ว  3. ชนิด B ทยงมชวตอยู ชนิด C ทีตายแลว ่ี ั ี ี ิ ่ ชนิด B สรางแคปซูลได การทดลองนีผทดลองมีสมมติฐานอยางไร ้ ู 1) แคปซลจาเปนตอการขยายพันธุของแบคทีเรีย ู ํ  2) อาหารทเ่ี ลยงแบคทเี รยนเ้ี หมาะกบแบคทเี รยชนด B มากกวา ้ี ี ั ี ิ  3) แบคทีเรียชนิด B นาจะรบสารบางอยางจากชนด C ทมผลตอการสรางแคปซล  ั  ิ ่ี ี   ู 4) ในอาหารเลยงแบคทเี รยมสารททําใหแบคทีเรีย B สรางแคปซูลได ้ี ี ี ่ี
  • 5. BOBBYtutor Biology Note 3. ตารางการทดลองนแสดงผลอะไร ้ี นํ้าแปง + นํ้ายอย + ไอโอดีน หลอดที่ 1 หลอดที่ 2 หลอดที่ 3 หลอดที่ 4 เวลาการทดลอง 0 นาที 5 นาที 10 นาที 15 นาที สทปรากฏ ี ่ี นํ้าเงินเขม นํ้าเงิน ฟา ไมมสี ี 1) หลอดท่ี 1 เกดปฏกรยาระหวางน้ําแปงกับนํ้ายอยมากทีสด ิ ิิิ  ุ่ 2) เวลาทีเ่ หมาะสมทีสดในการทดสอบแปง คือ 10 นาที ุ่ 3) นํ้าแปงสามารถถกไฮโดรลซสหมดภายใน 15 นาที  ู ิิ 4) ประสิทธิภาพของนํายอยเปนสัดสวนผกผันกับเวลาทีใช ้ ่ 4. ในการทดลองใชเ อนไซมยอยสารชนดหนงทอณหภมตางกนปรากฏผลดงน้ี  ิ ่ึ ่ี ุ ู ิ  ั ั หลอดทดลอง อุณหภูมิ (°C) เวลาที่ใชยอยสาร 1 20 15 นาที 2 30 6 นาที 3 40 3 นาที 4 50 ไมเปลียนแปลง ่ การทดลองนสรปผลสําคญไดอยางไร ้ี ุ ั   1) เอนไซมยอยสารไดชาทีสดทีอณหภูมิ 20°C   ุ่ ุ่ 2) เอนไซมยอยสารไดชาทีสดทีอณหภูมประมาณ 50°C   ุ่ ุ่ ิ 3) เอนไซมสลายตัวทีอณหภูมิ 40°C ุ่ 4) เอนไซมจะทํางานไดดทสดทีอณหภูมประมาณ 40°C  ี ่ี ุ ่ ุ ิ 5. เมอเตมโยเกรตหนงชอนชาลงในหลอดทดลองทมสารละลายบรอมไธมอลบลู แลวเปรียบเทียบกับหลอดทีมเี ฉพาะ ่ื ิ ิ  ่ึ  ่ี ี ่ บรอมไธมอลบลูอยางเดียว ปดฝาจกทงไว 1 วัน ผลจะเปนอยางไร  ุ ้ิ 1) สของบรอมไธมอลบลเู จอจางลงเลกนอยเนองจากมปรมาณของโยเกรตทเ่ี ตมลงไป ี ื ็  ่ื ี ิ ิ ิ 2) สของบรอมไธมอลบลในหลอดทงสองยงคงเดม ี ู ้ั ั ิ 3) สของบรอมไธมอลบลเู ปลยนแปลงจากเดมเนองจากโยเกรต ี ่ี ิ ่ื ิ 4) สของบรอมไธมอลบลในหลอดทไมมโยเกรตไมจําเปนตองนํามาเปรียบเทียบในการทดลอง ี ู ่ี  ี ิ   เฉลย 1. 2) 2. 3) 3. 3) 4. 4) 5. 3)
  • 6. BOBBYtutor Biology Note สงมชวตกบสภาวะแวดลอม ่ิ ี ี ิ ั  ระบบนิเวศ (Ecosystem) ระบบนเวศ คือ ระบบความสัมพันธระหวางกลุมสิงมีชวต (Community) ทีอาศัยอยูรวมกัน และความสัมพันธ ิ  ่ ีิ ่  ระหวางกลมสงมชวตกบสภาพแวดลอม (Environment) ของแหลงทอยู (Habitat) ตวอยางระบบนเิ วศ เชน ระบบ  ุ ่ิ ี ี ิ ั   ่ี ั  นิเวศนํ้าจืด (Fresh water ecosystem) ระบบนิเวศทะเล (Ocean ecosystem) ระบบนิเวศปาไม (Forest ecosystem) โลกของเราจัดเปนระบบนิเวศทีใหญทสด เรียกวา โลกของสิงมีชวตหรือชีวภาค (Biosphere) ่ ่ี ุ ่ ีิ การปรับตัวของสิงมีชวต (Adaptation) สิงมีชีวตในระบบนิเวศมีการปรับตัว 3 แบบ คือ ่ ีิ ่ ิ 1. การปรับตัวทางดานรูปราง (Morphological adaptation) มองเห็นไดจากภายนอก เชน ผักตบชวา มีกานใบเปนกระเปาะเพือเก็บอากาศเปนทุนลอยนํ้า กระบองเพชรเปลยนใบเปนหนามเพอลดการสญเสยน้ํา ตกแตนมปก  ่  ่ี  ่ื ู ี ๊ั ี คลายใบไม ฯลฯ 2. การปรับตัวทางดานสรีระ (Physiological adaptation) เปนการปรับตัวทางดานหนาทีหรือกลไกการทํางาน ่ ของอวัยวะตางๆ ภายในรางกายใหเหมาะสมตอการดํารงชีวต เชน คนทีอาศัยอยูตามภูเขาสูงซึงมี O2 ตํา รางกายจะปรับ ิ ่  ่ ่ ตวเพอสรางเมดเลอดแดงเพมขน การปรับตัวของปลานําจืดทีสามารถไปอาศัยอยูในนําเค็มได การปรบตวของ นกทะเล ั ่ื  ็ ื ่ิ ้ึ ้ ่  ้ ั ั โดยมี Nasal gland อยูใกลจมูก ฯลฯ  3. การปรับตัวทางดานพฤติกรรม (Behavioral adaptation) เปนการปรับตัวทางดานอุปนิสย เพือใหสามารถ ั ่ ดํารงชวตไดอยางเหมาะสม เชน การจําศีลของสัตว เมื่อขาดแคลนอาหาร หรอเมออณหภมของอากาศไมเ หมาะสมตอ ีิ   ื ่ื ุ ู ิ  การดํารงชีวต การอพยพยายถินของสัตวบางชนิด เชน นกนางแอนจะอพยพหนีหนาวจากประเทศจีนมาอาศัยอยูใน ิ ่  ประเทศไทย ฯลฯ (Migration คือ การอพยพยายถินชัวคราว, Emigration คือ การอพยพออกจากถินเดิมแลวไมกลับมาอีก, ่ ่ ่ Immigration คือ การอพยพไปอยูทหนึงทีใดแลวจะอยูอยางถาวรไมยายออกไปอีก)  ่ี ่ ่   โครงสรางของระบบนิเวศ แบงออกไดดงนี้ ั 1. โครงสรางทางชีวภาพ (Biological structure) ประกอบดวย สงมชวตตางๆ ทีมบทบาทในระบบนิเวศ ไดแก  ่ิ ี ี ิ  ่ ี ก. ผูผลิต (Producer) หมายถึง สิงมีชวตทีสรางอาหารไดเอง ่ ีิ ่ ข. ผูบริโภค (Consumer or Heterotroph) หมายถึง สงมชวตทสรางอาหารเองไมได แบงยอยออกเปน  ่ิ ี ี ิ ่ี      ผูบริโภคพืช (Herbivore) เชน วัว ควาย มา กระตาย ฯลฯ ผูบริโภคสัตว (Carnivore) เชน สนข แมว เสือ สิงโต ฯลฯ  ุั ผบรโภคทงพชและสตว (Omnivore) เชน คน เปด ไก ฯลฯ ู ิ ้ั ื ั  ผูบริโภคซากพืชและซากสัตว (Scavengers or Detritivores) เชน กิงกือ ไสเดือนดิน ปลวก นกแรง ฯลฯ  ้ ค. ผูยอยสลาย (Decomposer) หมายถึง สงมชวตทสรางอาหารเองไมได แตจะไดอาหารจากการหลง ่ิ ี ี ิ ่ี     ่ั เอนไซมไปยอยสลายสารอนทรยแลวนําขึ้นมาใช เชน แบคทเี รย เหด รา ฯลฯ   ิ ี  ี ็ 2. โครงสรางทางกายภาพ (Physiological structure) ประกอบดวย สงทไมมชวตทมบทบาทตอการดํารงชีวต ิ่ ี่  ี ี ิ ี่ ี  ิ ของสิ่งมีชีวิต เชน แสง อณหภมิ แรธาตุ ความชื้น ฯลฯ ุ ู
  • 7. BOBBYtutor Biology Note ความสมพนธระหวางสภาวะแวดลอมทางกายภาพกบสงมชวต ั ั    ั ่ิ ี ี ิ 1. แสง มีความจําเปนตอการดํารงชีวตของพืช เชน การเอนเขาหาแสงของยอดออนของพช การออกดอก ิ   ื การสรางอาหาร และมีความจําเปนตอสัตว เชน การแพรกระจายของตัวออนแมลง การออกหากนของสตวบางชนด  ิ ั  ิ 2. อุณหภูมิ มีอทธิพลตอกระบวนการสรางอาหารของพืช การออกหากินของสัตว ิ 3. แกส มีความจําเปนตอการหายใจของพืชและสัตว การยอยสลายโดยจุลนทรียและการสรางอาหารของพืช  ิ  4. แรธาตุ เชน ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซยม ฯลฯ พืชใชในการสังเคราะหสารตางๆ ในเซลลพช ี ื 5. ความเปนกรดเบส จะตองเหมาะสมตอการเจรญเตบโตของพช ถา pH สงเกนไปพชจะไมสามารถดดแรธาตุ    ิ ิ ื ู ิ ื  ู  ไปใชได ความสมพนธของสงมชวตทอาศยอยรวมกน ั ั  ่ิ ี ี ิ ่ี ั ู  ั ความสัมพันธระหวางสิงมีชวตตางชนิดกันทีอาศัยอยูรวมกัน (Interspecific Relationship) ในระบบนิเวศจะมี ่ ีิ ่  ความสมพนธกนหลายแบบ กลาวคอเมออยรวมกนแลวอาจมฝายหนงฝายใดเสยประโยชน ไดประโยชน หรือไมไดไม ั ั ั  ื ่ื ู  ั  ี  ่ึ  ี เสียประโยชนกได ถากําหนดความสมพนธดวยเครองหมายดงน้ี ็ ั ั  ่ื ั + หมายถึง ไดประโยชนจากอีกฝายหนึง ่ - หมายถึง เสยประโยชนใหอกฝายหนง ี   ี  ่ึ 0 หมายถง ไมมการไดหรอเสยประโยชน ึ ี  ื ี จากการกําหนดความสมพนธดวยเครองหมาย สามารถแบงความสัมพันธของสิงมีชวตตางชนิดกันไดดงนี้ ั ั  ่ื ่ ีิ ั 1. ภาวะพงพา (Mutualism) สัญลักษณ +, + เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ทีตางฝายตางไดรบ ่ึ ่ ีิ ่ ั ประโยชนซงกนและกน โดยจะตองอยรวมกนตลอดเวลา หากแยกจากกันจะไมสามารถดํารงชีวตอยูได เชน  ่ึ ั ั  ู  ั ิ  - ไลเคนส (Lichens) เปนการอยรวมกนระหวางรากบสาหราย โดยราจะไดรบอาหารจากสาหราย สวน  ู  ั  ั  ั สาหรายไดรบความชนจากรา  ั ้ื - แบคทีเรีย E. coli ในลําไสใหญของคน แบคทเี รยจะชวยสลายกากอาหารและสงเคราะหวตามน B12 ี  ั ิ ิ และวตามน K ใหแกคน ในขณะเดียวกันแบคทีเรียก็จะไดอาหารและแหลงทีอยูอาศัยจากคน ิ ิ ่  - แบคทีเรีย Rhizobium sp. กับพืชตระกูลถัว แบคทีเรียทีอาศัยอยูในปมรากพืชตระกูลถัวจะทําหนาท่ี ่ ่  ่  ตรึงไนโตรเจนจากอากาศแลวเปลียนเปนสารประกอบไนโตรเจนในดิน ซึงเปนประโยชนตอการเจริญเติบโตของตนถัว ่ ่  ่ - โปรโตซัว Trichonympha sp. ในลําไสปลวก โปรโตซัวมีเอนไซมสาหรบยอยเซลลโลสในลําไสปลวก ํ ั  ู อาหารทียอยไดจะเปนประโยชนกบปลวกและโปรโตซัว ่ ั - รา Mycorrhiza sp. ในปมรากสน ราจะทําหนาทีสลายธาตุฟอสฟอรัสใหอยูในรูปทีพชสามารถนําไปใช ่  ่ ื ไดในขณะเดียวกัน ราก็จะไดอาหารทีพชตระกูลสนสังเคราะหขน ่ ื ้ึ - สาหรายสีนํ้าเงนแกมเขยวบางชนดกบแหนแดง ในโพรงใบของแหนแดงมีสาหรายสีเขียวแกมนําเงิน ิ ี ิ ั ้ บางชนด เชน Anabaena sp. และ Nostoc sp. อาศัยอยู ทําหนาทตรงไนโตรเจนจากอากาศเปลยนเปนสารประกอบ ิ  ่ี ึ ่ี  ไนโตรเจนทแหนแดงสามารถนาไปใชประโยชนได ่ี ํ
  • 8. BOBBYtutor Biology Note 2. ภาวะไดประโยชนรวมกัน (Protocooperation) สัญลักษณ +, + เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด  ่ ีิ ทีไดรบประโยชนดวยกันทัง 2 ฝาย แตไมจาเปนตองอยรวมกนตลอดเวลา ถาแยกกันอยูกสามารถดํารงชีวตไดตามปกติ ่ ั  ้   ํ   ู  ั ็ ิ เชน - นกเอยงกบควาย นกเอียงจะกินปรสิตบนหลังควาย ทําใหปรสิตของควายลดลง ้ี ั ้ - แมลงกบดอกไม แมลงไดอาหารจากดอกไม ในขณะเดียวกันแมลงก็ชวยผสมเกสรดอกไมทําใหแพรพนธุ ั     ั ไดมาก - ปเสฉวนกบดอกไมทะเล ดอกไมทะเลทีเ่ กาะอยูบนเปลือกปูเสฉวนไดเคลือนทีไปพรอมๆ กบปเู สฉวน ู ั   ่ ่ ั เปนการเปลยนแหลงอาหารไปเรอยๆ สวนปเู สฉวนจะไดทพรางตวทําใหศตรูมองไมเห็น  ่ี  ่ื   ่ี ั ั - มดดํากับเพลีย มดดําจะนําไขของเพลียไปไวในรัง เพือใหไดรบความอบอุนและฟกออกเปนตัว และมดดา ้ ้ ่ ั  ํ จะทําหนาทีปองกันเพลียใหพนจากอันตราย เวลามดออกหาอาหารจะนําเพลยไปดวย เพือใหเพลียดูดนํ้าหวานจากตนไม ่ ้  ้ี  ่ ้  และมดดาจะไดอาหารจากเพลยอกทอดหนง ํ  ้ี ี ่ึ 3. ภาวะอิงอาศัย หรอภาวะเกอกล (Commensalism) สัญลักษณ +, 0 เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ื ้ื ู ่ ีิ ทีฝายหนึงไดประโยชนสวนอีกฝายหนึงไมไดและไมเสียประโยชน เชน ่ ่  ่ - ปลาฉลามกับเหาฉลาม เหาฉลามเปนปลาชนดหนงทมครบหลงเปลยนเปนอวยวะสําหรับยึดเกาะกับ  ิ ่ึ ่ี ี ี ั ่ี  ั ปลาฉลาม ซึงจะไดอาหารจากปลาฉลามโดยไมทําอันตรายปลาฉลามและปลาฉลามก็ไมไดเสียประโยชนแตอยางใด ่ - กลวยไมกบตนไมใหญ ตนไมใหญเปนฝายใหทอยูอาศัยแกกลวยไม ซึงกลวยไมทอาศัยอยูนนก็ไมได  ั   ่ี  ่ ่ี  ้ั แยงอาหารจากตนไม - นกทํารังบนตนไม นกไดประโยชนจากตนไม คือ ไดทอยูอาศัย สวนตนไมไมไดหรอเสยประโยชน ่ี       ื ี แตอยางใด  4. ภาวะลาเหยื่อ (Predation) สัญลักษณ +, - เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ในลกษณะทสงมชวต ่ ีิ ั ่ี ่ิ ี ี ิ ชนิดหนึ่งเปนอาหารของสงมชวตอกชนดหนง สิงมีชวตทีจบสัตวอนกินเปนอาหาร เรียกวา ผูลา (Predator) สวนสงมชวต ิ่ ี ี ิ ี ิ ึ่ ่ ี ิ ่ ั ื่  ่ิ ี ี ิ ทีตกเปนอาหาร เรียกวา เหยือ (Prey) เชน โคกนหญา กบกินแมลง ไกกนขาว เปนตน ่ ่ ิ  ิ 5. ภาวะปรสิต (Parasitism) สัญลักษณ +, - เปนความสัมพันธของสิงมีชวต 2 ชนิด ในลกษณะทฝายหนง ่ ีิ ั ่ี  ่ึ ไดประโยชนจากการเปนผูอาศัยหรือปรสิต (Parasite) อีกฝายหนึงเสียประโยชนจากการเปนผูถกอาศัย หรอโฮสต  ่ ู ื (Host) ปรสตอาจอาศยภายนอก หรอภายในรางกายของผถกอาศยกได เราสามารถจําแนกประเภทของปรสิตตามแหลง ิ ั ื  ู ู ั ็ ทีอยูได 2 พวก คือ ่  5.1 ปรสิตภายนอก (Ectoparasite) เปนปรสิตทีอาศัยอยูบนรางกายของโฮสต เชน หมัด เหา เหบ ไร ่  ็ เปนตน 5.2 ปรสิตภายใน (Endoparasite) เปนปรสตทอาศยอยในรางกายของผถกอาศย เชน ภายในเซลล  ิ ่ี ั ู  ู ู ั ในทอทางเดินอาหาร กลามเนือ ตับ ปอด ถงนาดี ตวอยางปรสตภายใน ไดแก หนอนพยาธิชนิดตางๆ ้ ุ ้ํ ั  ิ 6. ภาวะแขงขัน (Competition) สัญลักษณ -, - เปนความสัมพันธของสิ่งมีชวตชนิดเดียวกัน หรือตางชนิดกัน ีิ ก็ไดทมความตองการสิงเดียวกันแลวเกิดการแกงแยงแขงขันกัน ทําใหเสียประโยชนทง 2 ฝาย เชน การเจรญของผกบง ่ี ี ่ ้ั ิ ั ุ และผกกระเฉดในสระน้ํา การแขงขนของสตวเ พอครอบครองทอยอาศยหรอแยงชงอาหาร สุนขจิงจอกแยงกวางทีจบได ั  ั ั ่ื ่ี ู ั ื  ิ ั ้ ่ั เปนตน
  • 9. BOBBYtutor Biology Note 7. ภาวะการหลั่งสารตอตาน (Antibiosis) สัญลักษณ 0, - เปนความสมพนธของสงมชวต 2 ชนิด ทีฝายหนึง  ั ั  ่ิ ี ี ิ ่ ่ ไมไดหรือไมเสียประโยชนแตอกฝายหนึงเสียประโยชน โดยฝายหนึงจะหลังสารไปยับยังการเจริญเติบโตของสิงมีชวตอีก ี ่ ่ ่ ้ ่ ีิ ชนิดหนึ่ง เชน สาหรายสีเขียวบางชนิดหลังสารยับยังการเจริญเติบโตของไดอะตอม เปนตน การยบยงการเจรญเตบโต ่ ้ ั ้ั ิ ิ โดยไมมการหลังสาร ตนไมเล็กๆ ทีอยูใตตนไมใหญมกจะไมเจริญเติบโต เพราะตนไมใหญบงแสงแดดเอาไว ี ่ ่   ั ั 8. ภาวะเปนกลาง (Neutralism) สัญลักษณ 0, 0 เปนความสัมพันธของสิงมีชวต ททง 2 ฝายไมเกี่ยวของ  ่ ี ิ ่ี ้ั สัมพันธกนในระหวางทีอาศัยอยูรวมกัน เชน แมงมมกบกระตายทอาศยอยดวยกนในทงหญา ไสเดือนดินกับตักแตนที่ ั ่  ุ ั  ่ี ั ู  ั ุ  ๊ อาศัยอยูในนาขาว เปนตน การถายทอดพลงงานและการหมนเวยนสารในระบบนเวศ  ั ุ ี ิ การถายทอดพลงงานในกลมสงมชวตในระบบนเวศ มี 2 ลักษณะ คือ  ั ุ ่ิ ี ี ิ ิ 1. ถายทอดพลงงานในรปโซอาหาร (Food chain) หมายถึง การกินตอกันเปนทอดๆ โดยเริ่มจากผูผลิต  ั ู  ถายทอดพลงงานไปยงผบรโภคในลําดับถัดไป เชน  ั ั ู ิ ผักกาด ตักแตน ๊ นก คน (ผักกาดถูกกินโดยตักแตน, ตักแตนถูกกินโดยนก, นกถูกกินโดยคน) ๊ ๊ ตําแหนงหนาที่เชิงอาหารและลําดับขั้นของอาหาร ลําดับขั้นอาหาร (Trophric level) สิงมีชวต ่ ีิ หนาที่เชิงอาหาร 4 คน ผูบริโภคเนื้อสัตวอันดับสอง หรือผูบริโภคอันดับสุดทาย  3 นก ผูบริโภคเนื้อสัตวอันดับหนึ่ง หรือผูบริโภคอันดับทีสอง  ่ 2 ตักแตน ๊ ผูบริโภคพืช หรือผูบริโภคอันดับทีหนึง   ่ ่ 1 ผักกาด ผูผลิต  พระมดอาหาร (Food pyramid) ี ิ เมือพิจารณาแบบแผนการถายทอดพลังงานในหวงโซอาหารหนึงๆ สามารถนํามาเขียนในรูปพีระมิดได 3 แบบ คือ ่ ่ 1. พระมดจํานวนของสิ่งมีชีวิต (Pyramid of number) มีทงแบบฐานกวางและฐานแคบ ี ิ ้ั 2. พระมดมวลของสงมชีวต (Pyramid of mass) อาจเปนแบบฐานกวางหรือฐานแคบก็ได ี ิ ่ิ ี ิ 3. พีระมิดปริมาณพลังงาน (Pyramid of energy) เปนแบบฐานกวางเสมอ   2. ถายทอดพลังงานในรูปสายใยอาหาร (Food web) หมายถึง การกนกนอยางซบซอน ประกอบดวยโซอาหาร ิ ั  ั  จานวนมาก โดยผูบริโภคแตละชนิดจะกินสัตวอนไดมากกวา 1 ชนิด ํ  ่ื
  • 10. BOBBYtutor Biology Note การหมุนเวียนสารที่สาคัญในระบบนิเวศ ํ 1. วัฏจักรคารบอน แหลงธาตคารบอนในบรรยากาศ คือ กาซคารบอนไดออกไซด (CO2) กาซคารบอนมอนอกไซด  ุ    (CO) ในนํ้าอยูในรูปไฮโดรเจนคารบอเนตไอออน ดังสมการ  CO2 + H2O H2CO3 H+ + HCO- คารบอนไดออกไซดจะถูกผูผลิตเปลียนไปเปน 3  ่ คารโบไฮเดรตเมื่อผูบริโภคนําไปใชจะปลอยคารบอนไดออกไซดออกมาทางลมหายใจ     2. วัฏจักรไนโตรเจน ประกอบดวย 4 ขั้นตอน คือ  1. Nitrogen fixation คือ การตรึงไนโตรเจนในอากาศเปลียนเปนสารประกอบไนโตรเจน เกิดจาก ่ ปรากฏการณธรรมชาติ เชน ฟาแลบ และอาศัยสิงมีชวต เชน แบคทเี รย ไรโซเบียม (Rhizobium sp.) สาหรายสเี ขยว-  ่ ีิ ี  ี แกมนํ้าเงินพวก Anabaena sp., Nostoc sp. เปนตน 2. Ammonification คือ กระบวนการสลายสารอนทรยจากพชและสตวเ ปนแอมโมเนย (NH3) ิ ี ื ั  ี ี - ซงตองอาศยแบคทเรยหลายชนด 3. Nitrification คือ กระบวนการเปลยนแอมโนเนยเปนไนไตรท NO2 ่ึ  ี่ ั ี ี ิ เชน Nitrococcus sp., Nitrosomonas sp., Nitrosocystis sp. และเปลียนไนไตรทเปนไนเตรต NO3 ่ - โดยใช แบคทเี รย Nitrobacter sp. ี 4. Denitrification คือ กระบวนการเปลียนไนเตรตเปนกาซไนโตรเจน (N2) ซึงตองใชแบคทีเรียพวก ่ ่ Pseudomonas sp., Micrococcus sp., Chromabacterium sp. 3. วฏจกรฟอสฟอรส และวฏจกรแคลเซยม เปนวัฏจักรทีไมตองผานบรรยากาศเพราะไมมสารประกอบในรูป ั ั ั ั ั ี ่  ี ของกาซ  4. วฏจกรซลเฟอร พืชและสัตวไมสามารถใชซลเฟอรไดโดยตรงตองอาศัยแบคทีเรียเปลียนใหอยูในรูปสาร- ั ั ั ั ่  ประกอบซลเฟตจงจะนาไปใชได ั ึ ํ ขอควรทราบ  สารหมนเวยนเปนวฏจกรได ุ ี  ั ั พลงงานหมนเวยนเปนวฏจกรไมได แตถายทอดได ั ุ ี  ั ั   ผยอยสลายจะเปนผรบพลงงานลาดบสดทาย ู   ู ั ั ํ ั ุ  การเปลยนแปลงแทนท่ี (Succession) ่ี คือ การเปลียนแปลงของกลุมสิงมีชวตทังในดานจํานวนและชนิดของสิงมีชวตในธรรมชาติ โดยมีปจจัยทาง ่  ่ ีิ ้ ่ ีิ  กายภาพและชีวภาพเปนตัวควบคุมจนเกิดสมดุลตามธรรมชาติ ทําใหกลมสงมชวตมความสมพนธกนอยางเหมาะสมและ  ุ ่ิ ี ี ิ ี ั ั ั  ดํารงอยูในสภาวะทีคอนขางจะสมดุล เรียกสภาวะเชนนีวา สงคมสงมชวตขนสด (Climax community)  ่ ้  ั ่ิ ี ี ิ ้ั ุ การเปลียนแปลงแทนทีของสิงมีชวตในธรรมชาติ แบงออกเปน 2 ประเภท คือ ่ ่ ่ ีิ 1. การเปลียนแปลงแทนทีแบบปฐมภูมิ (Primary succession) คือ การเปลียนแปลงแทนทีในพืนทีซงไมเคยมี ่ ่ ่ ่ ้ ่ ่ึ สิงมีชวตอาศัยมากอน เชน มีพชขึนบนเกาะทีเ่ กิดใหมหรือบริเวณทีเ่ กิดภูเขาไฟใหมๆ ซึงยังไมมการครอบครองของ ่ ีิ ื ้ ่ ี สิงมีชวตมากอน ่ ีิ 2. การเปลยนแปลงแทนทแบบทตยภมิ (Secondary succession) คือ การเปลยนแปลงแทนทในพนท่ี ่ี ่ี ุิ ู ่ี ่ี ้ื ซึงเคยมีสงมีชวตอาศัยอยูแตถกทําลายไปโดยคน สัตวหรือภัยธรรมชาติ เชน ไฟไหม นํ้าทวม เปนตน ่ ่ิ ี ิ  ู
  • 11. BOBBYtutor Biology Note การเปลียนแปลงในสภาพแหงแลง เรียกวา Xerosere เชน ทีกอนหิน กองทราย หรอลาวา หลังจากทีเ่ ย็นลง ่ ่ ื ซึงมักพบสิงมีชวตชนิดตางๆ ตามลําดับ ไดแก ่ ่ ีิ 1. สาหรายสีน้าเงินแกมเขียว จะชวยเปลียนสภาพของหิน ทรายหรือลาวาใหสามารถรับความชืนไดบาง ํ ่ ้  2. ครัสโทสไลเคนส (Crustose lichens) เปนไลเคนสชนิดทีสามารถติดอยูกบกอนหินได มีลกษณะเปนแผนบาง ่ ั ั 3. โฟลิโอสไลเคนส (Foliose lichens) จะเจริญไดเมือเนือหินเริมกลายเปนดินและมีซากสารอินทรียเ พิมขึน ่ ้ ่ ่ ้ 4. มอส (Moss) เมอหนไดเ ปลยนสภาพไปมากจนมสภาพเปนดนมากขน มีอนทรียวัตถุและความชืนเพิม ่ื ิ ่ี ี  ิ ้ึ ิ ้ ่ มากขึ้น ซึงเปนสภาพทีพชชันตําพวกมอสเจริญไดดี ่ ่ ื ้ ่ 5. ไมลมลุก หญาหรือเฟน พืชพวกนีจะเขามาแทนทีเ่ มือมอสไดตายไป นอกจากนสงมชวตใดจะมมากหรอนอย  ้ ่ ้ี ่ิ ี ี ิ ี ื  ยงขนอยกบอทธพลของความชนและปรมาณแสงอกดวย ั ้ึ ู ั ิ ิ ้ื ิ ี  6. ไมยนตนและไมพม จะเขามาแทนทีพวกไมลมลุก หญาหรือเฟน และการเจริญของพืชในชวงนีขนอยูกบ ื ุ ่  ้ ้ึ  ั สภาพภูมอากาศและปจจัยจํากดในสงแวดลอมนนๆ อาจมีสตวชนิดตางๆ อพยพเขาไปอยูอาศัย เชน สตวเ ลอยคลาน ิ ั ่ิ  ้ั ั  ั ้ื นกและสัตวเลียงลูกดวยนม ้ ประชากรกบสภาวะแวดลอมและทรพยากรธรรมชาติ ั  ั ประชากร (Population) คือ สิงมีชวตชนิดเดียวกัน อาศยอยในทแหงเดยวกนในชวงระยะเวลาหนง เชน ่ ีิ ั ู ่ี  ี ั  ่ึ จานวนประชากรผึงบนตนมะมวง เมื่อเดือนกุมภาพันธ พ.ศ. 2540 เปนตน ํ ้ การวัดขนาดประชากร ทําไดหลายแบบ เชน การนับทังหมด การสมตวอยาง การทําเครืองหมายแลวปลอยไป ้ ุ ั  ่ เพือจับใหม ่ การอนรกษทรพยากรธรรมชาติ ุ ั  ั ทรพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิงทีเ่ กิดขึนเองตามธรรมชาติมนุษยไมไดสรางขึน มทงประเภททสามารถฟนสภาพ ั ่ ้ ้ ี ้ั ่ี  ได เชน พืช สัตว และประเภทสินเปลืองไมสามารถฟนสภาพได เชน ถานหิน นํามัน แรธาตุ ้  ้ มลภาวะของน้า (Water pollution) หมายถึง การทีนามีสารบางอยางหรือสภาพบางอยางในระดับทีไมเหมาะสม ํ ่ ้ํ ่ ตอการนํามาทําประโยชน มลภาวะของนํ้าเกดจากสาเหตตางๆ ไดแก ิ ุ - เชื้อโรคตางๆ ในแหลงนา  ้ํ - สงสกปรกทยอยสลายได เชน สารอินทรียจากนําทิงของโรงงานและบานเรือน ่ิ ่ี   ้ ้ - สงสกปรกทไมเ กดปฏกรยาเคมี เชน ดิน ทรายทถกชะลางลงไปในแหลงนา ขยะลอยนํา ฯลฯ ่ิ ่ี ิ ิ ิ ิ ่ี ู   ้ํ ้ - สิงสกปรกทีเ่ ปนสารพิษ เชน ปุยและสารเคมีกําจัดศัตรูพช ่  ื - สิงทีทําใหสมบัตทางเคมีและฟสกสของนํ้าเปลียนแปลงไป เชน อุณหภูมิ pH ่ ่ ิ ิ ่ บทบาทของแบคทเรยตอคณภาพของน้ํา ี ี  ุ ก. แบคทีเรียทีสรางอาหารไดเอง (Autotrophic bacteria) พวกที่มีประโยชนในการกาจัดนําเสีย ไดแก ไนไตรต- ่  ํ ้ แบคทเี รย ไนเตรตแบคทเี รย และแบคทีเรียทีเ่ ปลียนไฮโดรเจนซัลไฟดเปนซัลเฟต ี ี ่ ข. แบคทีเรียทีสรางอาหารเองไมได (Heterotrophic bacteria) มีจํานวนมากและมีบทบาทสําคัญทีสดใน ่ ุ่ การยอยสลายสารอนทรย แบงออกเปน  ิ ี  
  • 12. BOBBYtutor Biology Note 1. Aerobic bacteria คือ แบคทเี รยทตองใชออกซเิ จนในการสลายสารอนทรย ไดผลผลิตทีเ่ ปนคารบอนไดออกไซด ี ี่   ิ ี และนํา ้ 2. Anaerobic bacteria คอแบคทเี รยทสลายสารอนทรยโ ดยไมใชออกซเิ จน ไดผลผลิตทีเ่ ปนกาซมีกลิน ไดแก ื ี ่ี ิ ี   ่ CH4, H2S, NH3 3. Facultative bacteria คือ แบคทีเรียทีสามารถสลายสารอินทรียโดยไมใชออกซิเจนหรือใชออกซิเจนก็ได ่  ขึนอยูกบสภาพแวดลอมวามีออกซิเจนหรือไม ้ ั การวัดมลภาวะของนํ้า วัดจากปริมาณออกซิเจนทีมอยูในแหลงนํ้าซึงมีอยู 3 วิธี คือ ่ี  ่ 1. วัดปริมาณออกซิเจนทีละลายอยูในนํา (Dissolved Oxygen หรือ DO) มีหนวยเปนมิลลิกรัมตอลิตร หรือ ่  ้ ppm ออกซิเจนทีละลายอยูในนํ้ามาจากการสงเคราะหดวยแสงของพชน้า ถามความกดดนของออกซเิ จนในบรรยากาศ ่  ั  ื ํ  ี ั สูงออกซิเจนจะละลายนําไดมาก ถาความเขมขนของเกลือแรในนํ้าและอุณหภูมนาสูงออกซิเจนจะละลายไดนอย (ปกติ ้ ิ ้ํ  ปริมาณออกซิเจนทีเ่ หมาะสมตอการดํารงชวตของสงมชวตในนา คือ 5 มลลกรม/ลิตร ถาตากวา 3 มลลกรม/ลิตร ีิ ่ิ ี ี ิ ้ํ ิ ิ ั  ่ํ ิ ิ ั จะทําใหน้าเสีย) ํ 2. วดความตองการออกซเจนทางชวเคมี (Biochemical Oxygen Demand หรือ BOD) คือปริมาณ ั  ิ ี ออกซิเจนที่ Aerobic bacteria ใชสําหรบการยอยสลายสารอนทรย คํานวณไดจากผลตางของคา DO ของนํ้าทีวดทันที ั  ิ ี ่ั กับคา DO ของนํ้าทเ่ี กบไวในทมด 5 วัน ปรมาณออกซเิ จนจะลดลงเพราะแบคทีเรียใชในการยอยสลายอนทรย ถานํ้าสกปรก ็  ่ี ื ิ   ิ ี  แสดงวามสารอนทรยในนามาก คา BOD จะสูงคา BOD ในแหลงนาทวไปประมาณ 2-5 ppm ถาสงกวา 100 มลลกรม/ลิตร  ี ิ ี  ้ํ  ้ ํ ่ั  ู  ิ ิ ั จัดวาเปนนํ้าเสีย 3. วัดความตองการออกซิเจนทางเคมี (Chemical Oxygen Demand หรือ COD) คือ ปริมาณออกซิเจนที่ สารเคมีใชในการสลายสารอินทรีย สารเคมีทใชเปนตัวออกซิไดซคอ โพแทสเซียมไดโครเมต ถานําสกปรก แสดงวามี ่ี ื ้ สารอินทรียในนํามาก คา COD จะสูงในแหลงนําเดยวกน คา COD จะสูงกวาคา BOD เสมอ เพราะสารเคมีบางอยาง  ้ ้ ี ั ยอยสลายโดยแบคทีเรียไมไดแตยอยโดยการออกซิไดซทางเคมีได  มลภาวะของดิน (Soil pollution) เกดจากพวกกากสารกมมนตรงสี ขยะมลฝอยและสงปฏกล ปยและสารเคมี ิ ั ั ั ู ่ ิ ิ ู ุ ปราบศตรพชซงใชเ วลาในการสลายตวตางกน เชน เอนดริน 1-6 ป ดีลดริน 5-25 ป ดีดที 4-30 ป ั ู ื ่ึ ั  ั ี มลภาวะอากาศ (Air pollution) มีกาซ และสารตางๆ หลายชนดททําใหเกิดมลภาวะอากาศ เชน กาซซลเฟอร-  ิ ่ี  ั ไดออกไซดจากการเผาถานหน เมอกระทบกบความชนจะกลายเปนกรดซลฟวรก ทําอนตรายกบเนอเยอตางๆ สารกัมมันตรังสี  ิ ื่ ั ื้  ั  ิ ั ั ื้ ื่  ทําใหเกิดการระคายเคือง ตา จมูก คอ เกดการอาเจยน มือบวม โครโมโซมผิดปกติ เปนหมน สารตะกัวทีผสมในนํ้ามัน ิ ี  ั ่ ่ เชื้อเพลิง หรอจากโรงงานทําแบตเตอร่ี ทําสี มผลไปทําลายระบบประสาท เกิดการเสือมสลายของเสนเลือดฝอย ื ี ่ กาซคารบอนมอนอกไซด เกิดจากการเผาไหมทไมสมบูรณ สามารถรวมตัวกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงไดดกวา ่ี ี ออกซิเจนประมาณ 200-250 เทา ออกไซดของไนโตรเจน เกิดจากการเผาเชือเพลิงทีมไนโตรเจนเปนองคประกอบ  ้ ่ี สามารถรวมตัวกับฮีโมโกลบินไดเหมือนกับคารบอนไดออกไซด และยังทําใหเยือบุทางเดินของระบบหายใจ ตา จมูก ่ เกิดการระคายเคืองเชนเดียวกับกาซซัลเฟอรไดออกไซด สารปรอท ทําใหมการบบตวอยางรนแรงของทางเดนอาหาร ี ี ั  ุ ิ ปวดทอง อาเจียน ปวดเมือยกลามเนือ เรียกวาโรคมินามาตะ สารแคดเมยม จะไปสะสมทไต ทําลายหลอดไต กระดูก- ่ ้ ี ่ี ผุกรอน เกดการเจบปวดมาก เรียกวาโรคอิไต-อิไต กาซคารบอนไดออกไซด เกิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิง ถามีสะสม ิ ็ ในบรรยากาศมากทําใหเกิดปรากฏการณเรือนกระจก