Weitere ähnliche Inhalte Ähnlich wie The 7 habits of highly effective people all (20) The 7 habits of highly effective people all1. The 7 Habits
of Highly
Effective
People
7 อุปนิสัย เพื่อการทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ
สตีเฟนอาร โควีย (Stephen R. Covey)
ผูเขียนหนังสือ The 7 Habits of Highly Effective People
หนังสือที่ไดรับการยกยองจากนิตยสารฟอรบใหเปน 1 ใน 2 หนังสือที่มีอิทธิพล
ที่สุดในศตวรรษ 20 เปนบุคคลที่ไดรับการกลาวถึงในดานของการพัฒนาตนเอง
เขาเปนผูที่รวบรวมแนวความคิดของนิสัยที่ดีซึ่งหากบุคคลใดมีครบ ปฏิบัติครบ และ
ปฏิบัติไดเปนนิสัยแลว จะทําใหเขาผูนั้นเปนผูที่ทํางานการไดอยางมีประสิทธิภาพ
สิ่งดีๆหาอานไดที่
WWW.JATUPORN.UCOZ.COM
2. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |2 |
The 7 Habits of Highly Effective People
สตีเฟนอาร โควีย (Stephen R. Covey) ผูเ ขียนหนัง สือ The 7 Habits of Highly Effective
People หนังสือที่ไดรับการยกยองจากนิตยสารฟอรบใหเปน 1 ใน 2 หนังสือที่มีอิทธิพลที่สุดในศตวรรษ 20 เปน
บุคคลที่ไดรับการกลาวถึงในดานของการพัฒนาตนเอง เขาเปนผูที่รวบรวมแนวความคิดของนิสัยที่ดีซึ่งหากบุคคลใด
มีครบ ปฏิบัติครบ และปฏิบัติไดเปนนิสัยแลว จะทําใหเขาผูนั้นเปนผูที่ทํางานการไดอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งอุปนิสัย
ที่ดีเหลานี้มีอยู 7 ประการ ดังนี:้
The Habit The Results of 7 Habits Training
อุปนิสัยที่ 1 Fosters courage to take risks and accept new challenges to achieve goals
Be เสริมสรางใหมีความกลาที่จะเผชิญสิ่งใหมๆ กลารับผิดชอบ และปรับปรุง การยอมรับในหนาที่ ที่
Proactive ไดรับมอบหมาย เพื่อที่จะไดบรรลุถึงวัตถุประสงค
อุปนิสัยที่ 2 Brings projects to completion and unites teams and organizations under a
Begin with the shared vision, mission, and purpose
End in Mind เริ่ มต นด วยจุ ดมุ งหมายในใจ มุง ที่ค วามสําเร็ จของโครงการ โดยรวมเปาหมาย ของที ม งานและ
องคกรไวดวยกัน
อุปนิสัยที่ 3 Promotes getting the most important things done first and encourages direct
Put First Things effectiveness
First ทําสิ่งที่สําคัญกอน มุงเนนทําสิ่งที่สําคัญกอน และสงเสริมการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผล
อุปนิสัยที่ 4 Encourages conflict resolution and helps individuals seek mutual benefit,
Think increasing group momentum
Win-Win คิ ด แบบชนะ ชนะ ส ง เสริ ม ให มี การแก ป ญ หา และความขั ด แย ง ร วมกั น แสวงหาหนทาง ที่ มี
ผลประโยชนดวยกัน
อุปนิสัยที่ 5 Helps people understand problems, resulting in targeted solutions; and
Seek First to promotes better communications, leading to successful problem-solving
Understand, Then
เขาใจผูอื่นกอนแลวจึงทําใหผูอื่นเขาใจเรา สรางความชัดเจน ในการติดตอสื่อสาร ใหมากขึ้น โดยใช
to Be Understood ทักษะในการฟง เพิ่มความไววางใจ ใหสูงขึ้นและทํางานใหสําเร็จเร็วขึ้น ชวยทําใหเ ขาใจ ปญหา
ตางๆ และทัศนะในการสื่อสารดีขึ้น เพื่อหาทางแกปญหา ไดอยางถูกตองที่สุด
อุปนิสัยที่ 6 Ensures greater "buy-in" from team members and leverages the diversity of
Synergize individuals to increase levels of success
ผนึกพลังประสานความตาง ผนึกพลังตางๆ รวมกันจากสมาชิกในกลุม เพื่อนํามาเปนสวน ไดเปรียบ
ในทางเลือกใหม
อุปนิสัยที่ 7 Promotes continuous improvements and safeguards against "burn-out" and
Sharpen the Saw subsequent non-productivity
ลับเลื่อยใหคมอยูเสมอ ทําใหเปนกิจวัตร หมั่ นฝกฝน เพื่อพัฒนาทั้ง 6 อุป นิสัยใหดีขึ้น ไปเรื่อยๆ
รวมทั้งเอาใจใสทั้งสี่มิติของการเติมพลังชีวิต 1 กายภาพ 2 สติปญญา 3 จิตวิญญาณ 4 สังคม/
อารมณ
3. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |3 |
กรอบความคิดและหลักการ (ภาพรวมของอุปนิสัยทั้ง 7)
“อุปนิสัย ” เปนผลรวมขององคประกอบสวนบุคคลในดานความรู ทัก ษะและทัศนคติ เปนการเรียนรู
มากกวาการถายทอด ซึ่ง ทําใหเ ราเกิด ความเขา ใจวาตนเองตองทํา อะไร อย างไร และเพื่ออะไร อุป นิสัยที่ มี
ประสิทธิผลสามารถเรียนรูกันไดและอุปนิสัยที่ไมเปนประสิทธิผลเราละเลิกได โดย 7 อุปนิสัย ที่จะนําเสนอตอไปนี้มี
ความเกี่ยวเนื่อง พึ่งพาซึ่งกันและกันและเปนขั้นตอน ในการนําอุปนิสัยไปใชเพื่อใหเกิดประสิทธิผลสูงสุดในแตละ
บุคคล โดยทั่วไปแลวพฤติกรรมของเราประกอบไปดวยอุปนิสัยตางๆ ในตัวเรา ความคิดจะสงผลใหเกิดการปฏิบัติ
และเมื่อปฏิบัติเปนนิจก็จะกลายเปนอุปนิสัย เมื่อมีอุปนิสัยก็จะกลายเปนคุณลักษณะ และในที่สุดจะกลายเปนวิถี
ชีวิต
สวนคําวา “ประสิทธิภาพ” หมายถึง การสรางผลลัพธในระยะสั้นและระยะยาวอยางสมดุล การสรางและ
พัฒนาตนเองใหมีประสิทธิภาพสูง ตองเริ่มจากการปลูกฝงลักษณะนิสัยที่ดีของแตละบุคคล (อุปนิสัยที่ 1 -3) ไป
จนกระทั่งทําใหบุคคลนั้นตระหนักถึง กฎธรรมชาติที่วาทุกสรรพสิ่งตางพึ่งพาอาศัยกัน มนุษยจึงตองมีปฏิสัมพันธกัน
ผูอื่น (อุปนิสัยที่ 4-6)
อุปนิสัยที่ดี ตองเริ่มจากการปรับมุมมอง หรือ การมีกรอบความคิดตอสิ่งตาง ๆ ไดอยางถูกตองกอน เพราะ
คนเราแตล ะคนจะมีก รอบความคิ ดที่ไ มเ หมือ นกัน ขึ้ นอยู กับ ป จ จั ยหลายประการ เชน การเลี้ยงดูที่ ผานมา,
ประสบการณ, ทัศนคติ คานิยม หรือสภาพแวดลอม ซึ่งหากเรามีกรอบความคิดที่ผิดไปแลว เราก็จะตีความหรือ
ดําเนินชีวิตไมถูกตองไปทั้งหมด เปรียบเหมือนการมีแผนที่ที่ผิด ก็จะนําทางเราไปสูความลมเหลว ดังนั้น สิ่งแรกเรา
ตองมั่นใจวาเรามีกรอบความคิดที่ดี ที่ถูกตอง ไมมีอคติตอสิ่งใด โดยเนนความคิดที่สอดคลองกับธรรมชาติ การอยู
รวมกันของมนุษย เชน การมีคุณธรรม จริยธรรมความยุติธรรม, ซื่อสัตย,จิตใจบริการ, เปนตน
ก อ นที่ จ ะกล า วถึ ง นิ สั ย ทั้ ง 7 ประการ ผู แ ต ง ได ใ ห แ ง คิ ด ว า มนุ ษ ย มี สิ่ ง ที่ แ ตกต า งจากสั ต ว เ ดรั จ ฉาน
อยู 3 อยางคือ มีสามัญสํานึกรูจักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสรางสรรค และมีพลังจิต ดังนั้น การเอาใจใส
และหมั่นฝกฝนคุณสมบัติพิเศษเหลานี้จนกลายเปนนิสัย จะทําใหประสบความสําเร็จและมีความสุ ขอยางแทจริง
นอกจากนั้น ผูแตงไดกลาววา กรอบในการมองโลก (paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นสวนใหญจะถูกปลูกฝงมา
จากการสั่งสอนของคนรอบขาง การใชชีวิตในสังคม และจากการเรียนรูดวยตัวเอง และดวยความเคยชินทําใหคนเรา
นั้นไมเคยฉุกคิดวามุมมองที่มีอยูนั้นถูกตองหรือเหมาะสมหรือไม จึงกอใหเกิดการทะเลาะเบาะแวงและไมเขาใจผูอื่น
อยูตลอดเวลา เพราะเอาความคิดของตนเองเปนตัวตัดสิน
ดังนั้น ผูแตงจึงแนะนําใหหยุดทบทวนแนวความคิดมุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาวา สิ่ง
เหลานั้นถูกตองแลวจริงหรือ ใหพิจารณาตามความเปนจริง สิ่งไหนคิดผิดใหคิดใหมแกไขที่ตนเหตุ เมื่อเขาใจตนเอง
จึงจะเขาใจผูอื่นได นอกจากนั้นผูแตงยังเชื่อวาผูที่จะประสบความสําเร็จไดนั้นสวนหนึ่งเกิดจากการมีสมองขางขวาที่
ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการทํางานของสมองดานซายได สมองขางขวามีหนาที่ เตือนใหรูจักผิดชอบชั่วดี
การมีจินตนาการ และการมีอารมณและความรูสึก ดังนั้น การฝกใชจินตนาการและมีสติรูเนื้อรูตัวอยูตลอดเวลาจึง
เปนการพัฒนาการทํางานของสมองดานขวาไดเปนอยางดี
อุปนิสัยเปนปจจัยสําคัญ ตอชีวิต และเกิดขึ้นตลอดเวลาจนเกือบไมรูตัว แตเราสามารถสรางอุปนิสัยที่มี
ประสิทธิผลใหเกิดขึ้นกับตัวเราได ดวยความอดทนและตั้งใจจริง กอนที่จะอธิบายเกี่ยวกับอุปนิสัยทั้ง 7 สตีเฟนอาร
4. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |4 |
โควีย (Stephen R. Covey) ไดอธิบายใหเราเขาใจถึง "กรอบความคิด" หรือ Paradigms ของตัวเราเองและดูวา
เราจะสามารถ "เปลี่ยนกรอบความคิด" (Paradigms Shift) นี้ไดอยางไร เพราะแตละคนยอมมีมุมมองที่ตางกันขึ้นอยู
กับวัตถุประสงคในการมองและการตีความเมื่อเขาใจความหมายของ Paradigms ไดดีขึ้นและเริ่มเปรียบเทียบกับ
ขอเท็จจริงและรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น ก็จะทําใหเรามีโลกทัศนที่กวางไกลกวาเดิม ทุกชีวิตเริ่มตนดวยการเปน
ทารก ตองพึ่งพาอาศัยผูอื่นตลอดเวลา (Dependence) พอโตขึ้นก็เริ่มพึ่งพาตนเอง (Independence) มากขึ้นทั้ง
ทางรางกายและจิตใจ จนกระทั่งสามารถดูแลตนเองไดและพัฒนาตนถึงขั้นมีความคิด และความเชื่อมั่นเปนของ
ตนเอง เมื่อเริ่มเปนผูใหญจะตระหนักถึงการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (Interdependence) โดยจะเกิดขึ้นไดเฉพาะ
คนที่พึ่งพาตนเองไดแลวเทานั้น
ดวยเหตุนี้อุปนิสัยที่ 1, 2, 3 จึงเกี่ยวของกับการเอาชนะใจตนเอง คือ เปลี่ยนจากคนที่ตองพึ่งพาผูอื่นไปเปน
คนที่พึ่งพาตนเองหรือ "ชนะใจตนเอง" เมื่อพึ่งพาตนเองไดถือวามีพื้นฐานสําหรับการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไดก็
จะสามารถกาวไปสูการ "ชนะใจผูอื่น" ดวยการทํางานเปนทีมและสื่อสารอยางมีประสิทธิผ ลในอุปนิสัยที่ 4, 5,
6 สําหรับอุปนิสัยที่ 7 เปนอุปนิสัยที่ตองหมั่นทบทวนอยางสม่ําเสมอ ชนะใจตนเอง (อุปนิสัยที่ 1-3)
หลังจากเรามีกรอบความคิดที่ดีแลว เราก็จะสามารถพัฒนาอุปนิสัยที่ดี 7 ประการไดอยางมีประสิทธิภาพ
และประสิทธิผล โดยอุปนิสัยทั้ง 7 มีดังนี้
5. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |5 |
อุปนิสัยที่ 1 ตองเปนฝาย เริ่มตนทํากอน (Be Proactive)
“หลักการวิสัยทัศนสวนบุคคล (Self vision)”
เราเปนคนที่มีอิสรภาพในการเลือก มีทางเลือกของตนเองบนพื้นฐานคานิยมที่ถูกตอง มีสติในการคิดในการ
เลือกทางเลือกที่เห็นวาเหมาะสมที่สุด และพรอมที่จะรับผิดชอบตอทางเลือกของตนเอง อุปนิสัยที่ 1 จะเปนพื้นฐาน
ของของอุปนิสัยที่ 2 – 7 ถาไมสามารถสรางอุปนิสัยที่ 1 ได ก็จะไมสามารถสรางอุปนิสัยที่ 2 – 7 ได
เป นอุ ป นิ สัย เบื้ อ งต นที่ สํา คัญ ที่ สุด ของคนที่ จ ะมี ป ระสิ ท ธิ ผ ลในทุ ก สถานการณ คํ าว า Pro-activity มี
ความหมายมากกวาการริเริ่ม คนที่ Proactive จะมีความรับผิดชอบดีมาก ไมตําหนิสภาพแวดลอม เงื่อนไขตางๆ
หรือขอจํากัดจากพฤติกรรมของเขา การกระทําของเขาเกิดจากการเลือกของตนเองซึ่งตั้งอยูบนพื้นฐานของคุณคา
มากกวาผลจากเงื่อนไขหรือความรูสึกแกนแทของคนที่ Proactive คือความสามารถในการเก็บแรงกระตุน การ
ตอบสนองกับสิ่งกระตุนจะเปนไปอยางรอบคอบ และผานการชั่งใจมาแลว ตางกับคนที่ Reactive หรือเปนฝายถูก
กระทํา มักไดรับผลกระทบจากเงื่อนไขทางสภาพแวดลอมและเลือกที่จะใหอํานาจเหลานั้นมาควบคุมตน
คนเรานั้น หากไมเปนผูกระทํา (Proactive) ก็มักจะเปนผูถูกกระทํา (Reactive) คนที่เปนคนเฉื่อย ไมยอม
คิดไมยอมสรางอะไร ก็จะถูกสิ่งแวดลอมมากระทบหรือนําพาบังคับใหตองทําอยางนั้นอยางนี้ไปตามสภาพแวดลอม
แบบนั้นเรียกวาเปนผูที่ถูกกระทํา แตในทางตรงกันขาม คนที่อยูในประเภทที่เปนผูกระทํา จะเปนผูเลือกที่จะทําหรือ
จะไมทําสิ่งใดๆ ดวยเหตุดวยผลของเขาเอง คือคิดวาตัวเองเปนผูกําหนดชีวิตของตน ทั้งนี้ดวยการพิจารณาไวกอน
ไมใชวาถึง เวลาแลวคอยคิดจะทํา เพราะสุดทายแลวก็จ ะกลายเปนผูถูก กระทําและตอบสนองตอสิ่ง แวดลอม
เหมือนเดิม
บุคคลจะตองมีความกระตือรือรน และริเริ่มทําสิ่งตางๆ หรือโครงการตางๆดวยตนเองกอนที่จะเรียกรองให
คนอื่นทํา การริเริ่มงานเปนความรับผิดชอบตอการเลือกกระทําของตนเองและมีอิสระในการเลือกกระทํา ซึ่งอิสระ
ในการเลือกเปนไปตามหลักการและคานิยมที่ดีในการทํางาน ไมใชเลือกกระทําเพราะอยูในอารมณอยากทําหรือ
เนื่องจากตกอยูภายใตเงื่อนไขที่จะตองทํา
ความจริง การเริ่มตนทํากอน เหมือนเหรียญที่มี 2 ดาน
ดานหนึ่ง คือ การเริ่มทําอะไรสักอยาง (Pro action)
อีกดานคือ รออะไรสักอยางแลวจึงลงมือทํา (Reaction)
การเริ่มตนลงมือทํา เปนการแสดงความรับผิดชอบอยางหนึ่งของชีวิต เพราะถาคุณเอาแตตั้งหนาตั้งตารอ
คอย คุณจะเที่ยวโทษคนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ โทษเรื่องตางๆ นอกตัว โดยที่ไมมองตัวเอง ดังนั้น เราจึงควรคิดริเริ่ม
ลงมือทํา แลวติดตามผลลัพธ ผลลัพธซึ่งจะเกิดขึ้นตามหลักของเหตุและผล อยางไรก็ตาม เมื่อเราถูกกระทบดว ย
ความรูสึกใด เราจะทําอะไรบางอยางเปนการตอบโตหรือตอบสนอง แตเพราะคนมีสามัญสํานึก (สัตวไมม)ี ดังนั้น เรา
ตอง“เลือก”ที่จะทําในสิ่งที่ควรทํา ที่วาเปนเหรียญ 2 ดาน ก็เพราะการเลือกทํานั่นแหละ คือ การเริ่มตนลงมือทํา
กอน
6. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |6 |
เมื่อมีสิ่งเรามากระทบกับตัวเรา หากเราโตตอบไปทันที เรียกวา Reactive
แตถาเราหยุดใชสติ คิด แลวเลือกการตอบสนองสิ่งเรา เรียกวา Proactive
สรุปงายๆ คือ ใหเรามีสติในการแกปญหาตางๆ ที่เผชิญอยูนั่นเอง ในอุปนิสัยนี้ยังสอนดวยวา เรามักไปกังวลกับสิ่งที่
เราไมสามารถทําอะไรได ดังนั้น Proactive สอนใหเราทําในสิ่งที่เราทําไดใหมากที่สุด ทําตัวเราที่ทําไดใหดีที่สุด ก็
คือ อยูกับปจจุบัน ทําปจจุบันใหดีที่สุด นั่นเอง
นอกจากนั้นในอุปนิสัยนี้ ยังพูดในเรื่องของสิ่งที่คนเรากังวล โดยปกติแลวคนเรามักจะมีเรื่องกังวลมาก และ
ทุกขใจไปหมด แตที่ถูกแลวเราควรกังวลเฉพาะเรื่องที่เราจัดการได และหาทางปองกันหรือแกไขปญหานั้น หาก
เปนเรื่องที่ควบคุมไมไดจริง ๆ เชน เรื่องดินฟาอากาศ, เรื่องความคิดของคนอื่น เราก็ไมควรไปกังวลมาก เพียงแต
จัดการในสิ่งที่เราทําไดใหดีที่สุดเทานั้น
เคล็ดลับ ชีวิตของเรา เราตองเลือกเอง เราตองเปนผูกําหนด อยาใหสภาพแวดลอมตาง ๆ มาทําใหเราลังเล
ตองมั่นใจ ตองมี "สติ" หรือ “มีการรูสึกตัว” ในการเลือกทําอะไรทุกครั้ง และพรอมจะรับผลจากสิ่งที่เราเลือก
นั้นไมวาดีหรือรายอยางเขมแข็งและกลาหาญ
7. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |7 |
อุปนิสัยที่ 2 เริ่มตนดวยจุดมุงหมายในใจ (Begin with the end in mind)
“หลักการของภาวะผูนําตนเอง (Self-Leadership)”
เมื่อเรามีทางเลือกของเราเองแลว เราตองสรางภาพในใจขึ้นมากอนการลงมือทํา เพื่อเปนแผนที่นํา
ทางไปสูเปาหมาย วาอยากเห็นตนเองเปนอยางไร อยากเห็นผลงานเปนอยางไร จากนั้นจึงเริ่มลงมือปฏิบัติตามแผนที่
นั้น
อุปนิสัยที่ 2 นี้มีพื้นฐานอยูบนหลักการของ "ภาวะผูนํา" เริ่มตนดวยการมองเห็นกรอบความคิดเกี่ยวกับ
จุดมุงหมายสุดทายในชีวิตของเราเพื่อใชเปนกรอบอางอิง ตรวจสอบทุกอยางที่ผานมาวาสอดคลองกับสิ่งที่กําหนดไว
ในใจหรือไม โดยตองกําหนดเปาหมายไวอยางชัดเจน และพยายามทําทุกอยางไมใหขัดแยงกับสิ่งที่เรากําหนดไววา
สําคัญที่สุดและทําใหเขาใกลเปาหมายใหมากที่สุด
การกําหนดเปาหมายไมวาจะเปนเปาหมายเล็กหรือเปาหมายใหญ และการกําหนดแผนงานกอนลงมือ
ทํา จะชวยใหบุคคลสามารถชี้ชัดไดวาตนเองตองการอะไร ตองทําอะไร อยางไหร เมื่อไหร ที่ไหน และทําใหเกิด
ความผูก พันตอเปามาย หลัก การ แผนงาน และวัตถุป ระสงค ที่สําคัญ ที่สุดของตน ซึ่ง นําไปสู ความสําเร็จ ใน
เปาหมายของตน
การที่เราเองตองเปนผูริเริ่มกําหนด หรือเลือกสิ่งตาง ๆ ที่เราจะทําเอง เพราะในการดําเนินชีวิตทุกวันของ
เรา จะมี "สิ่งเรา " เขามากระทบเราอยูเ สมอ คนที่ Proactive จะมีส ติในการคิดในการเลือกทางเลือกที่เ ห็นวา
เหมาะสมที่สุด และพรอมที่จะรับผลกระทบจากการตัดสินใจของตนเอง เนื่องจากในการเลือกของตนเองไดมีการ
คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแลว แตคนที่ Reactiveจะตอบสนองตอสิ่งเรา หรือเรื่องที่มากระทบโดยไมไดคิดใหดี และเมื่อ
ทําไปแลวก็เกิดความทุกขใจ รวมทั้งเมื่อเกิดผลกระทบ ก็โทษสิ่งตาง ๆ วาทําใหตนเองตองเปนเชนนี้
อุป นิสั ยที่ 2 คือ การนํา ผลลั พธ สุด ทา ยที่ เ ราต องการเป นตั วตั้ ง โดยสรา งให เ ป นภาพที่ชั ดเจนในใจ
เรา จากนั้นใหเขียนออกมาใหชัดเจน ซึ่งหากเราเห็นผลลัพธที่เราตองการไดชัดเจนแลว เราก็จะสามารถแปลมาเปน
วิธีการที่จะทําใหถึงเปาหมายนั้นไดงาย เพราะเราจะเห็นวามีสิ่งใดบางที่จะทําใหเรามุงสูเปาหมายได และสิ่งใดไม
เกี่ยวของกับเปาหมาย ทําใหเราสามารถบรรลุเปาหมายที่เราตองการไดอยางรวดเร็ว และไมหลงทาง ตางจากการ
เปน "ผูจัดการ" คือ
"การจัดการ" เหมือนความสามารถในการไตบันไดแหงความสําเร็จไดอยางรวดเร็วและมีประสิทธิผล แต
"ภาวะผูนํา" เหมือนกับการพิจารณาวาบันไดอันไหนพิงอยูบนกําแพงที่ถูกตอง
บอยครั้งที่เราทํางานหนักเพื่อไตบันไดแหงความสําเร็จ แตกลับพบวาบันไดนั้นพิงผิดที่วิธีที่มีประสิทธิผล
มากที่ สุ ด ในการเริ่ ม ต น ด ว ยจุ ด มุ ง หมายในใจก็ คื อ การสร า งคํ า ปฏิ ญ ญาส ว นตั ว (Personal Mission
Statement) โดยตองเริ่มตนที่ "ศูนยรวม" ของขอบเขตที่สามารถทําไดเสียกอน "ศูนยรวม" มีหลายแบบ เชน "ศูนย
รวม" อยูที่คูครอง ลูก ครอบครัว เงิน ที่ทํางาน การเปนเจาของ ความยินดีและความพอใจ มิตรหรือศัตรู ศาสนาและ
ตนเอง เปนตน "ศูนยรวม" นี้จะเปนแหลงกําหนดปจจัยสนับสนุนชีวิต 4 ประการ ไดแก
1. ความมั่นคงในจิตใจ (Security)
2. เครื่องนําทาง (Guidance)
3. ปญญา (Wisdom)
4. อํานาจ (Power)
8. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |8 |
ปจจัยทั้ง 4 นี้ตองอาศัยซึ่งกันและกันจึงจะใหประโยชนสูงสุด ความมั่นคงในจิตใจและเครื่องนําทางที่ชัดเจน
นํามาซึ่งปญญา และปญญาเปนตัวจุดประกายใหมีการใชอํานาจผลกระทบในดานบวกที่จะเกิดกับชีวิตเราขึ้นอยูกับ
ชนิดของ "ศูนยรวม" ที่เราเปนอยู
เขาใจไดงายๆวา กอนที่เราจะเริ่มตนทําอะไรใหเราคิดถึงผลลัพธสุดทายกอน วาอยากใหเปนอยางไร แลว
จากผลลัพธที่คิดในใจก็จ ะแปลเปนวิธีการไปสูจุดหมาย เหมือนมีเปาหมายที่ชัดเจน การทําใหเปาหมายปรากฏ
ชัด (Visualization) หรือเห็นไดงาย เสมือนเปนแผนที่นําทางชวยใหเรามีความพยายามและทุมเททําในสิ่งที่ถูกตอง
อยางตอเนื่อง เราจะรูวาเราตองเตรียมอะไรบาง ทําอยางไร ไปทางไหน ใหประสบความสําเร็จบรรลุเปาหมายที่
วางไว
การวางแผนการทํางาน หรือวางแผนชีวิตของเราไวตั้งแตแรกเริ่มที่จะทําอะไร ทําใหเราไดตั้งใจไวแลววาใน
ที่สุดแลว การงานนั้นๆหรือชีวิตของเราจะมีลักษณะสุดทายเปนอยางไร เราก็จ ะทําตัว ใหสอดคลองกับจุดหมาย
นั้น โดยไมออกนอกเสนทางหรือหลงทางไปงายๆ
เคล็ดลับ เราตองเปนคนที่มีเปาหมายในชีวิต รูตัววาสุดทายเราตองการเปนอะไร เราจะอยูในจุดไหน
โดยเราตองสรางภาพนั้นออกมาใหชัดเจน พยายามจินตนาการถึงภาพแหงความสําเร็จในวันนั้นของเราวาจะ
เปนอยางไร เขียนออกมาใหชัดเจน และมุงมั่นตั้งใจในการทํากิจกรรมตาง ๆ ใหสําเร็จ เพื่อมุงสูเปาหมายที่
สําคัญที่สุดในชีวิตเรา
9. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |9 |
อุปนิสัยที่ 3 ทําตามลําดับความสําคัญ (Put first thing first)
“หลักการจัดการตนเอง (Self-Management)”
เปนการลงมือปฏิบัติโดยเริ่มตนจากเรื่องที่สําคัญกอน ดังนั้น จงยึดหลักวา “ชีวิตนี้สั้นนัก จึงควรทําสิ่ง
ที่สําคัญในชีวิตกอน” การจะทําอยางนั้นไดดีตองมีการบริหารเวลาเขามาเกี่ยวของ สิ่งที่ตองทําคือเรื่องสําคัญ ไมใช
เรื่องเรงดวน หากทําไดก็จะสามารถพึ่งตนเองได
อุปนิสัยที่ 3 นี้เกี่ยวของกับ "การบริหารเวลา" โดยมีปจจัย 2 อยาง ความ "เรงดวน" และ "สําคัญ" ที่เปน
ตัวกําหนดกิจกรรมตางๆ ความสําคัญไมไดอยูที่เวลาแตอยูที่ "การจัดการกับตัวเอง" โดยเฉพาะกับเปาหมายระยะ
ยาว เพราะเมื่อเริ่มตนลงมือทํา หลายเรื่องหลายอยางดูเรงดวนไปเสียหมด
อุปนิสัยที่ 3 คือ ทําสิ่งที่สําคัญกอน แลวอะไรคือสิ่งที่สําคัญ เราตองรูบทบาทหนาที่ของเรากอน 1 คนมีได
หลายบทบาท เชน พอแม เพื่อน ลูก สามี ลูก จาง เจานาย พนักงาน ประชาชน ฯลฯ แลวเราก็จะรูวาในแตล ะ
บทบาทอะไรคือสิ่งสําคัญ ในบทนี้เขาบอกตองแยกใหออกระหวาง สิ่งสําคัญ/ไมสําคัญ งานเรงดวน/ไมเรงดวน ถาเรา
รูจักวางแผนดีๆ งานสําคัญไมเรงดวนก็จะเยอะกวางานดวนและสําคัญ กับงานดวนแตไมสําคัญ เมื่อพบแลวตอง
เลือกทําในสิ่งที่สําคัญกอน ตามปกติ คนเราจะพบกับเรื่องตาง ๆ 4 แบบ คือ
3.1 เรื่อง "สําคัญ" และ "เรงดวน"
3.2 เรื่อง "สําคัญ" แต "ไมเรงดวน"
3.3 เรื่อง "ไมสําคัญ" แต "เรงดวน"
3.4 เรื่อง "ไมสําคัญ" และ "ไมเรงดวน"
ตามปกติเราจะเลือกทําในเรื่องที่สําคัญและเรงดวน ตามขอ 3.1 แตจะทําใหเราเหนื่อยมาก เพราะมีเรื่อง
เรงดวนที่ตองใหทํา ใหแกอยูตลอด ดังนั้น เราตองพยายามจัดสรรเวลามาทําในเรื่องที่ 3.2 คือเรื่องที่ "สําคัญ แต
ไมเรงดวน" ใหมาก ๆ ซึ่งเรื่องพวกนี้ไดแก เรื่องของการวางแผน การแสวงหาโอกาสใหม ๆ, การปองกันปญหา โดย
หากเราทําเรื่องพวกนี้ดี เรื่องเรงดวนตาง ๆ ก็จ ะลดลง ทําใหเรามีสุขภาพจิตในการทํางานที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ไดมีการ
แนะนําใหจัดทําตารางเวลาวาจะจัดทําอะไรกอน-หลัง ตารางที่ดีควรเปนตารางประจําสัปดาห เพื่อบอกเราวา
สัปดาหนี้มีเรื่องสําคัญอะไรที่ตองทํา และสิ่งที่ทําใหเราสามารถลําดับความสําคัญไดดี คือ การรูจักปฏิเสธ และการ
จดจอ (Focus) กับเปาหมายของตนเอง
การบริหารงานที่มีประสิทธิผล คือ การทําตามลํา ดับความสําคัญ การจัดประเภทและจัดลําดับการ
ทํางานชวยใหบุคคลทราบวา งานใดเปนสิ่งที่สําคัญที่สุดและเรงดวนที่สุดสําหรับการทํางานของตน หรืองาน
ใดแมสําคัญแตยังไมมีความจําเปนตองเรงดวนนัก ดังนั้น บุคคลจะสามารถทํางานที่สําคัญและเรงดวนที่สุด
เปนสิ่งแรกได โดยการจัดความสําคัญของสิ่งทีจะตองทํานั้น จะตองอยูบนรากฐานของหลักการและคานิยมที่ดี
่
ตอการทํางาน ไมใชเพราะการถูกบังคับหรือเพราะการถูกเรงใหทําดวยเหตุฉุกเฉิน
กลาวคือ ในขณะที่ผูนําเปนคนตัดสินใจวาสิ่งไหนตองทํากอน ผูจัดการจะนําสิ่งนั้นมาไวเปนลําดับแรกของ
การทํางาน การบริหารจัดการก็คือ การจัดระเบียบวินัยเพื่อทําสิ่งตางๆใหสําเร็จนั่นเอง
เคล็ดลับ เราทุกคนตางมีเรื่องที่ตองใหทํามากมาย แตคนที่มีประสิทธิภาพนั้น จะมีการวางแผนที่ดี รู
วาเรื่องไหนสําคัญ เรื่องไหนไมสําคัญ เรียงลําดับความสําคัญ แลวเลือกทํา เรื่องที่ควรจะทํา ชีวิตเขาจึงดูไ ม
สับสนและวุนวาย แตผลลัพธของเขากลับมีประสิทธิภาพมากกวาคนที่ "ยุง" อยูตลอดเวลา !
10. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |10 |
แบบพฤติกรรมในการจัดการตนเอง (Behavioral Self - Management)
กลยุทธที่ชวยบุคคลใหสามารถควบคุมชีวิตของเขาไดมากขึ้น ไดแก
1. การกําหนดเปาหมายดวยตนเอง (Self-Set Goals)
เปนผูกําหนดเปาหมายและระดับเปาหมายดวยตนเอง ควบคุมตนเอง และเกิดคํามั่นสัญญาตอเปาหมายที่ตนเอง
เปนผูกําหนด
2.การสังเกตการณดวยตนเอง (Self-Observation)
เปนกระบวนการที่ติดตามเฝาดูพฤติก รรมตนเองและตั้ง ขอสังเกตเกี่ยวกับ การกระทํา เหตุการณห รือผลลัพธ
(Outcomes) ปรัชญานี้ตั้งบนขอสมมติฐานวา เราสามารถตรวจสอบพฤติกรรมของตนเองได นอกจากนี้การสังเกต
การดวยตนเองยังรวมไปถึงการบันทึกผลการปฏิบัติงานดวย
3.การใหรางวัลดวยตนเอง (Self-Reward)
การให ร างวั ล ด ว ยตนเองเป น กระบวนการที่ ต รวจสอบ ประเมิ น และให ร างวั ล หรื อ ไม ใ ห ร างวั ล แก ผ ลการ
ปฏิบัติงาน การใหรางวัลอาจจะกระทําเปนระยะ ๆ เพื่อใหตนเองทราบวาอะไรเปนสิ่งที่เราตองปรับปรุงแกไข
4.การวางแผนตระเรียมการกอนการปฏิบัติจริง (Self-Cueing)
การวางแผนเตรียมการกอน การปฏิบัติงานจะชวยปองกันขอบกพรอง (Defects) ที่อาจเกิดขึ้นระหวางปฏิบัติงาน :
ซึ่ง การจําลองสถานการณ (Simulation) หรือการสรางเงื่อนไขที่ควบคุม ได (Controlled Conditions) เปน
เครื่องมือหนึ่งที่ใชสําหรับแนวทางนี้
5.การออกแบบงานดวยตนเอง (Self - Designed Jobs)
ความสามารถออกแบบงานหรือยื่นขอเสนอใหมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนการออกแบบงาน ทําใหเราตระหนักถึง
ความสามารถควบคุมตนเองได
การจัดการตนเองแบบจิตใจ (Cognitive Self-Management)
การจัดการตนเองแบบจิตใจ เปนกลยุทธการจัดการดวยตนเอง (Self-Management-Strategies) ที่สังเกต
และวัดไมได ในการจัดการตนเองแบบจิตใจ บุคคลสรางจินตภาพทางจิตใจ (Mental lmages) และแบบฉบับ
ความคิด (Thought Patterns) ที่สอดคลองกับเปาหมายขององคการ ไดแก
1. การสรางโอกาส (Opportunity Building)
เปนกระบวนการคนหาและ/หรือพัฒนาความเปนไปไดใหม ๆ เพื่อความสําเร็จปญหาในทางการบริหารนั้น
นอกจากจะเปนตัวปญหาจริง ๆ แลว การที่ไมสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงโอกาสถือเปนปญหาดวยเหมือนกัน
2. การพูดกับตนเองเชิงบวก (Positive Self-Talk)
เปนกระบวนการสรางจินตภาพแหงจิตใจที่เสริมแรงของตนเองในการตระหนักถึงความสําคัญของตนเองที่มีตอผูอื่น
และเพิ่มพูนความเชื่อของตนเองวามีความสามารถที่จําเปนในการปฏิบัติงานหนาที่และเผชิญหนากับการทาทายจาก
สถานการณตาง ๆ
11. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |11 |
อุปนิสัยที่ 4 คิดแบบ ชนะ - ชนะ (Think win - win)
“หลักทัศนคติที่ดีในการดําเนินชีวิตหรือทัศนคติเชิงบวก (Positive Attitude) ”
เปนเรื่องของทัศนคติในการทํางานและการใชชีวิตรวมกับผูอื่น มีแนวคิดวา ถาครอบครัวได เราก็ไดดวย
ถาองคกรได เราก็ไดดวย แนวคิดเชนนี้ทําใหเกิดความรวมมือกัน แตถามีความคิดแบบตนเองชนะ คนอื่นแพ ก็จะเกิด
ความขัดแยงและการแขงขันกัน
แนวคิดแบบชนะ - ชนะ เปนแนวคิดในการแสวงหาผลประโยชนรวมกัน ใหความรวมมือกัน มีขอตกลงหรือ
การแกปญหาตาง ๆ เปนไปเพื่อใหทุกฝายไดรับประโยชน ไมใชการแขงขันชิงดีชิงเดนกัน จึงเปนเรื่องของทัศนคติเชิง
บวกในการทํางานและการใชชีวิตรวมกับผูอื่น
แนวคิดชนะ- ชนะ วางอยูบนพื้นฐานของกรอบความคิดที่วา ยังมีที่วางสําหรับทุกคน ความสําเร็จของคน
คนหนึ่งไมไดหมายความวาจะตองทําใหอีกคนหนึ่งลมเหลวเสมอไปอุปนิสัยที่ 4 นี้ ตองอาศัยความเปนผูนําอยางมาก
ผูนําที่ดีนั้นตองมองการณไกล มีความคิดริเริ่ม กลาตัดสินใจและมั่นคง นําทางได มีภูมิปญญาและอํานาจซึ่งมาจาก
การเปนคนที่เ ครง ครัดในระเบียบวินัย นอกจากนี้ ผูเ ขียนยัง ไดก ลาวถึง แกนแทของอุป นิสัย 3 อยางที่จําเปน
ตอ กรอบความคิดแบบชนะ - ชนะ ไดแก ความซื่อตรง ความเปนผูใหญ และความมีจิตใจเอื้อเฟอเผื่อแผ
คนสวนใหญจะคิดแบบวา เราชนะนายแพ หรือเรายอมแพใหนายชนะ หรือ เราไมไดนายก็ตองไมได ซึ่งจะ
เห็นไดวา มีความสูญเสียเกิดขึ้น ดังนั้น ทัศนคติแบบ ชนะ-ชนะ บอกไววา เรามีทางเลือกเสมอ และมีทางออกที่ดี
สําหรับทั้งสองฝาย คนที่มีแนวคิดแบบ win win นี้ตองคุณลักษณะคือ ซื่อสัตยตอตนเองและผูอื่น มีความน้ําใจ ใจ
กวาง และมีวุฒิภาวะที่ดี
ในการลงมือทํางานเพื่อบรรลุเปาหมาย ใหแสวงหาผลประโยชนสูงสุดที่เห็นพองตองกันและการยอมรับใน
ผลลัพธดวยความเต็มใจ พยายามประสานผลประโยชนและความสัมพันธที่ทุกฝายควรจะไดรับอยางสูงสุดและดี
ที่สุด การคิดแบบชนะ –ชนะ จะตองอยูในแนวทางที่วาสิ่งที่ตองการหรือทางเลือกมีมากมายหลายทางเลือก หลาย
วิธี ก าร การพยายามชั ก จู ง ทํ าให เ กิ ด ความกลั วหรื อ เป น การเอาชนะ ซึ่ง การคิ ด แบบชนะ – ชนะ จะเน น
ที่ “เรา” ไมใช เฉพาะตัว “ฉัน” ไมใชการคิดแบบเห็นแกตัวเพื่อตนจะไดฝายเดียว
หลายสิ่งหลายอยางไมไดเปนไปอยางที่เราตองการ หลายคนไมไดคิดและเขาใจอยางเรา กอนตัดสินวาเขาไม
เขาใจเรา ไมคิดอยางเรา ลองนั่งลงฟงและตั้งคําถามเพื่อใหตนเองเขาใจเขาเสียกอนวา เหตุใดเขาจึงคิดและเขาใจ
เชนนั้น การฟงกอนพูด และการเขาไปนั่งในมุมเดียวกันกับเขา กอนจะชวนเขามานั่งดูเรื่องเดียวกันในมุมของเรา คือ
การสื่อสารที่ดี
เทคนิคในการอยูรวมกับผูอื่นที่สําคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือ การสราง "บัญชีออมใจ" คือ การปฏิบัติตนตอผูอื่น
ดวยความมีน้ําใจ เอื้ออาทร ซื่อสัตย รักษาสัญญา เหมือนเปนการออมเงินไว จะทําใหความสัมพันธของเรากับผูอื่น
เปนไปดวยดี ซึ่งความสัมพันธนี้ทําใหเกิดสิ่งที่เรียกวา "ชาแตเร็ว" หมายความวา การสรางความสัมพันธ และความ
เชื่อมั่นตอผูอื่น ตองใชเวลา แตเมื่อทําไดแลว ตอไปเรื่องตาง ๆ ที่จะทําดวยกันก็จะงาย เพราะตางฝายตางมีความ
ไววางใจ และเชื่อมั่นตอกัน
บนเสนทางสูเ ปาหมาย เราคงหลีกเลี่ยงความขัดแยง ไมได สวนใหญความขัดแยงมีผ ลมาจากความคิดที่
แตกตางกัน และคงไมมีใครอยากเปนผูแพ เราเองก็เชนกัน แตใครหลายคนหลงประเด็น โดยพยายามทําอะไรหลาย
อยาง เพื่อใหมีแตผูชนะ แตความจริง แพ-ชนะอยูที่ความคิด เราจึงตอง “คิด”แบบชนะ-ชนะ อยาพยายาม“ทํา”
แบบชนะ-ชนะ
12. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |12 |
เคล็ดลับ “ความสุข ไมไดขึ้นอยูกับสิ่งตา ง ๆ ที่ปรากฏอยูภายนอกแตขึ้นอยูกับ วิธีคิดและวิธีที่คุณ
มอง” การที่เราจะชนะได ไมจําเปนตองทํา ใหคนอื่นแพ เราสามารถมีชัยชนะไปพรอมๆ กันได และที่สําคัญ
วันนี้เราสราง "บัญชีออมใจ" กับใครไวบางหรือยัง?
อุปนิสัยที่ 5 เขาใจผูอื่นกอนจะใหผูอื่นเขาใจเรา
(Seek first to understand, then to be understood)
“หลักการติดตอสื่อสารระหวางบุคคล (Interpersonal Communication)”
การคิดแบบชนะ – ชนะ ทําใหคนเราจะยอมเขาใจคนอื่นกอน การจะเขาใจคนอื่นกอนได ตองฟงใหมาก ๆ
เพื่อเรียนรูและเขาใจผูที่เราฟง โดยพยายามฟงและเขาใจกับสิ่งที่ผูอื่นอธิบาย เอาตัวเราเขาไปอยูในสถานการณของ
เขา เมื่อเราเปดใจรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น ฝายตรงขามจะมีความรูสึกที่ผอนคลายและเปดกวางในการรับฟงเรา
มากขึ้น เมื่อเขาใจเขาแลว เขาจะเขาใจเราเชนกัน
ความเขาใจซึ่งกันและกัน เปนกุญแจสําคัญของหลักการติดตอสื่อสารระหวางบุคคลที่มีประสิทธิผลการ
ติดตอสื่อสารถือเปนทักษะที่สําคัญที่สุดในชีวิต เราใชเวลาหลายปในการเรียนรูวิธีการคิด อาน เขียน และพูด แต
นอยคนที่ไดผานการฝกอบรมเรื่องการฟง การฟงในที่นี้หมายถึงการฟงเพื่อแสวงหาความเขาใจซึ่งมากกวาการสนใจ
ฟง ในการสนทนาพูดคุยหรือปรึกษาหารือในเรื่องตางๆหรือปญหาตางๆ เราควรรับฟงกันดวยความตั้งใจ เพื่อที่จะ
เขาใจวาผูอื่นตองการอะไรมากกวาที่เคาพูด การพยายามเขาใจผูอื่นจะชวยใหทราบปญหาและความตองการของ
ผูอื่นไดชัดเจน ทําใหสามารถแกปญหาไดตรงจุดและสามารถพูดอยางเปดเผย เราตองฟงดวยหู ดวยหัวใจ ดวย
ความรูสึก ดวยความหมายที่แสดงออกมา เราตองฟงถึงพฤติกรรมและใชสมองดานซายและขวาไปพรอมกัน การ
รับฟงเพื่อแสวงหาความเขาใจสงผลดีอยางมากเพราะทําใหเราไดขอมูลที่ถูกตอง
การเขาใจเขากอนที่จะใหเขาเขาใจเรา มีวิธีงายๆ ก็คือ "การฟง" เขาบอกวา คนเรามักไมชอบฟงผูอื่น มัก
คิดถึงแตสิ่งที่ตนจะพูดเทานั้น และมักดวนสรุปตัดสินใครงายๆ จากการฟงไมกี่ประโยคเพื่อที่จะใหคําแนะนําจาก
ประสบการณของเราเอง นิสัยนี้เขาจึงสอนใหเราฟงคนอื่นแบบเอาใจเขามาใสใจเรา นั่นเอง
การเขาใจผูอื่น กอนที่ จ ะให ผูอื่น มาเข าใจเรา เปนทัก ษะที่สํ าคัญ ที่สุด การที่จ ะทํา ใหเ รามีอุป นิสัย นี้
คือ "การฟง" ตามปกติคนเราจะชอบพูดมากกวาชอบฟง บางครั้งเราฟง แตไมไดตั้งใจฟงจริง ฟงเพื่อรอคิวที่จะถึง
เวลาเราพูด ดังนั้น เราจะสามารถเขาใจผูอื่นไดดี เราตอง "ฟงเพื่อใหเขาใจ" ไมใช "ฟงเพื่อจะตอบ หรือเพื่อจะ
พูด" หรือฟงแบบวา “ฟงไมไดศัพท แลวจับกระเดียด” นําไปสูความเขาใจผิด กอใหเกิดความขัดแยงได
การฟงจึงเปนทักษะสําคัญที่จําเปนตองเรียนรู ทักษะการฟงที่ดีนํามาซึ่งความสําเร็จในชีวิต เพราะเปน
พื้นฐานสําคัญของทักษะการเขาสังคม สามารถลดความเขาใจผิด ความขัดแยงในการปฏิสัมพันธกับคน นอกจากนี้
การพัฒนาทักษะการฟงยังสงผลตอการพัฒนาในดานสติปญญา ในแงของการฝกใชความคิด การจับประเด็น ฝก
ความจํา และฝกฝนการจดจอแนวแนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือมีสมาธิที่ตองการเรียนรูไดอยางมีประสิทธิภาพ
การฟงอยางมีประสิทธิภาพนั้นเปนสิ่งที่สามารถสอนและฝกฝนกันได โดยพื้นฐานสําคัญอันดับแรกสุดในการ
ฝกฝนนั้น คือ การฝกฝนความอดทนในการเปนผูฟงที่ดี อยาพูดสอดแทรก รอใหอีกฝายพูดจนจบกอน มีมารยาทใน
การฟง เรียนรู ที่จ ะใหเ กียรติผูพูด เปนการฝก ฝนใหตนไมเ ปนคนที่เยอหยิ่ง หรือเอาตนเองเปนศูนยก ลางคิดวา
13. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |13 |
ความคิดของตนดีกวาจนไมยอมรับฟงผูใด จนเปนเหตุใหเ กิดการปดกั้นการเรียนรูจากแหลง ตาง ๆ ไปอยางน า
เสียดาย รวมทั้งเปนการสรางสัมพันธอันดีตอทั้งผูพูดและผูฟง ทําใหการสนทนานั้นเปนไปอยางสรางสรรคและจบลง
ดวยดี
ผูฟงที่ดีจะตองมีลักษณะแหงความกระตือรือรนอยูดวย หรือที่เรียกวา Active Listening คือ แสดงทาทาง
ภายนอกว ากํ า ลั ง ฟ ง อยู และในสมองตอ งมีก ารทํา งานแล ว คิด ไปด ว ยอยู ต ลอดเวลา ผู ฟง ที่ ดี จ ะต อ งพั ฒ นา
ความสามารถในการจับประเด็นไปดวย เพราะเปนตัวชี้วาการสื่อสารที่เกิดขึ้นนั้นผูสงสารสามารถบรรลุเปาหมายใน
การสื่อสารที่ตองการไปยังผูรับสารหรือไม การสื่อสารเปนไปอยางมีประสิทธิภาพหรือไม ดังนั้น ผูฟงที่ดี ตองตั้งใจ
ฟง รูถึงความรูสึกและอารมณของเขา รับฟงอยางมีสติมั่นคง รับฟงอยางเปนกลางสายตาอยูที่ผูพูด อยาเพียงแตได
ยิน โดยที่ในใจคิดเรื่องอื่นอยู
เคล็ดลับ คนเรามักยึดตนเองเปนศูนยกลาง อยากใหใคร ๆ มาเขาใจเรา ทําในสิ่งที่เรา แตคนที่มีเสนห
คือ คนที่รับฟง แลวเขาใจผูอื่น ทําไดโดย ฟงใหมากขึ้น พูดใหนอยลง และที่สําคัญการฟงนั้น ตองฟงในสิ่งที่เคา
ไมไดพูด จะทําใหเขาใจผูอื่นไดจริง ๆ
14. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |14 |
อุปนิสัยที่ 6 ประสานพลัง (Synergize)
“หลักการรวมมืออยางสรางสรรค (Creative Collaboration)”
เมื่อเขาใจผูอื่นแลวจะเห็นความแตกตางระหวางบุคคล แลวจะใหคุณคาในความแตกตางเหลานั้น อัน
จะนํ าไปสู ความสามารถในการใชค วามแตกต างนั้ นมาผนึก พลัง ประสานความตา งได เมื่อ เกิ ดความรว มมื อ
กัน (Synergy) เราจะสามารถพึ่งพากันได และเมื่อนั้นเราจะมีชัยชนะ
การประสานพลัง (Synergize) หมายถึง การผนึกพลังผสานความตาง โดยการรวมมือกันกับคนอื่นอยาง
สรางสรรค เปนการนําขอดีของอุปนิสัยทั้งหมดมารวมเขาดวยกันเพื่อทํางานใหญใหสําเร็จ กุญแจสําคัญของการ
ประสานพลังระหวางบุคคล คือ การประสานพลังในตัวบุคคลนั่นเอง เปนการประสานพลังภายในตัวเองโดยการทํา
ใหอุปนิสัยทั้ง 3 ขอแรกฝงอยูในตัวเราใหได ซึ่งจะทําใหเ รารูสึก มั่นคงเพียงพอที่จะรับมือกับ ความเสี่ยงตาง ๆ ที่
อาจจะเกิดขึ้น เมื่อเรามีห ลักการทั้ง สามอยูในใจแลว ก็เหมือนกับเราไดพัฒ นาจิตใจที่เ อื้อเฟอ และมีความคิด
แบบ ชนะ / ชนะ อันเปนพลังของอุปนิสัยที่ 5 ในการสื่อสารแบบประสานพลัง เราตองเปดใจ เปดความคิดใหกวาง
และเตรียมความรูสึก ใหดี พรอมรับ มือกับ สิ่ง ใหม ๆ ที่จะเกิดขึ้นรวมทั้ง ทางเลือกใหมและโอกาสใหม ซึ่ง ฟง ดู
เหมือนกับวาจะขัดแยงกับอุปนิสัยที่ 2 (เริ่มตนดวยจุดมุงหมายในใจ) แตในความเปนจริงเรากําลังทําใหมันสมบูรณ
ยิ่งขึ้นตางหาก หรือ ผนึกพลังผสานความตาง คนเรามักอยูในมุมของตัวเอง ไมยอมรับความเห็นของผูอื่น ถาเราเปด
ใจยอมรับความเห็นที่แตกตางได นั่นยอมนํามาซึ่งผลลัพธที่คาดไมถึง 1+1 > 2 ก็เพราะการยอมรับในความแตกตาง
การยอมรับในคุณคาของตนเองหรือการนับถือตนเอง (Self - esteem) หมายถึง ความรูสึก ความเชื่อที่
บุคคลที่มีตอตนเองวามีความสามารถมีคุณคา ซึ่งจะมีระดับตั้งแตการนับถือตนเองต่ําไปจนถึงการนับถือตนเองสูง
การที่บุค คลยอมรั บ ตนเองนับ เปน ทัก ษะสํ าคัญ ในการที่จ ะเรีย นรูพั ฒ นาตนเอง และการดํ าเนิ นชีวิ ต เพราะ
ความสามารถในการรักษาสัมพันธภาพระหวางบุคคลไดดี มีผลมาจากการที่บุคคลยอมรับหรือปฏิเสธตนเอง ทําให
สามารถใชทํานายสัมพันธภาพที่บุคคลอื่นมีตอเราไดเชนกัน การนับถือตนเอง (Self - esteem) ประกอบดวย ความ
ตระหนักถึงคุณคาตนเอง (Self-respect) และ ความเชื่อมั่นในความสามารถตนเอง(Self-efficacy) จนกลายเปน
ภาพแหงตน (Self-image) ทําใหบุคคลรูจักตนเอง มองโลกในแงดีเสมอ มองวิกฤตใหเปนโอกาส ประเมินตัวเราให
มีคุณคาอยูเสมอ เชื่อมั่นในความสามารถตัวเอง มองวาตัวเราเปนสวนหนึ่งของชีวิตและเราสามารถเปลี่ยนแปลง
ตามที่เราตองการ และไมหลงตนเอง ทําใหมีความมั่นใจ มีความหวัง มีพลังในการตอสู ที่สําคัญคือเราตองเปดใจ
เขาใจในความแตกตางของผูอื่น และใชความแตกตางนั้นใหเกิดประโยชน
โบราณวาไว สองหัวดีกวาหัวเดียว ดังนั้น เมื่อคนสองคนคิดหาทางออกรวมกัน ยอมดีก วาที่ตางคนตาง
หาทางออกโดยไมปรึกษากัน หรือตัดสินใจคนเดียวตามลําพัง ความรวมมือรวมใจไมใชการยอมความ หากแตเปน
การสื่อสารกันดวยความเคารพในสิทธิและความคิดสรางสรรคของกันและกัน ทําใหเกิดการเรียนรู เกิดความเขาใจ
และสามารถหาทางออกไดดีกวาเดิม จึงทําใหเกิดสูตร Synergy คือ 1+1= 3
การทํางานใดๆ คงหลีก เลี่ยงอุปสรรคปญหาไมได แตการทํางานรวมกันเปนทีม (Team Work) ชวยให
บุคคลหลายคนทํางานรวมกันโดยมีความพึงพอใจในการทํางานนั้น เพื่อใหบรรลุผลสําเร็จตามเปาหมายเดียวกันอยาง
มีประสิทธิภาพ ทําใหสามารถแกปญหาไดมีประสิทธิภาพดีกวา ตัดสินใจไดรอบคอบยิ่งขึ้น และกอเกิดความคิด
สรางสรรคดีกวาคิดอยูคนเดียว การประสานพลัง คือ การประสานความแตกตาง โดยพยายามรวมกันเพื่อบรรลุ
เปาหมายของทุกคนในทีม ... The whole is greater than the sum of its parts.
15. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |15 |
การทํางานดวยการประสานประโยชนอยางสรางสรรคเพิ่มพูน (Synergize) จึงเปนการแสวงหาทางเลือกใน
การแก ปญ หา ทางเลือ กที่ ได เ ป นทางเลือ กจากการปรึก ษาพูด คุย แลกเปลี่ย นความคิ ดและขอ มูล ซึ่ง กัน และ
กัน สรุปผลเปนทางเลือกใหมที่ดีกวาทางเลือกของแตละคน เปนทางเลือกที่มีการยอมถอยคลละกาว การจะทํางาน
แบบประสานประโยชนอยางสรางสรรคได จะตองเปดใจรับฟงกันและกัน โดยใชอุปนิสัยที่ 4 และ5 มาชวยใหการ
ประสานพลัง มีประโยชน สรางสรรคและเพิ่มพูน
เคล็ดลับ ยอมรับในความแตกตางวาเปนเรื่องธรรมดา และตองคิดเสมอวาเราจะนําจุดเดนของแตละ
คน มาเสริมใหเกิดประโยชนซึ่งกันและกันไดอยางไร
16. The 7 Habits of Highly Effective People By (Stephen R. Covey) |16 |
อุปนิสัยที่ 7 ลับเลื่อยใหคม (Sharpen the saw)
“หลักการเรียนรูตลอดชีวิต (Life Long Learning)”
สิ่งใดก็ตาม ถาหากเราใชไปโดยไมหยุดพัก เมื่อถึงวันหนึ่งก็จะชํารุดไมสามารถใชงานไดตอไป ลับเลื่อย
ใหคมจึง เปนการใหพลัง กับ ชีวิต ถาเลื่อยมันทื่อเพราะใชง านหนัก ก็ลับมันบาง ทั้ง ดานรางกาย อารมณ สัง คม
สติปญญา เพราะถึงที่สุดแลว ชีวิตตองมีความสมดุล จึงจะอยูในสังคมไดอยางมีความสุข
ถาคนเกง หรือคนที่คิดวาตัวเองเกงแลว แตไมพัฒนาตัวเอง ความรูความสามารถที่มีอยูเดิมอาจจะใชการ
ไมได เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยูเสมอ ผลงานที่เคยทําไดดีก็อาจจะไมดีเหมือนเคย เหมือนกับเลื่อยที่ถูกใชงาน
ไปเรื่อย ๆ ถาไมหมั่นลับคม สักวันมีดก็ทื่อ ใชการไมไดในที่สุด
"ลับเลื่อยใหคม" หมายถึง การแสวงหาความรูใหมๆใหแกตนเองอยูเสมอใน 4 ดาน การแสดงใหเห็นถึงพลัง
ขับดันทั้ง 4อยางและการฝกหัดใชพลังทั้ง 4 ที่มีอยูในตัวเราอยางตอเนื่อง สม่ําเสมอ อยางฉลาดและสมดุลย ซึ่งจะ
ทําไดก็ตองเปนคนที่ชอบลงมือกอน โดยหมั่นเติมพลังใหชีวิต ทั้ง 4 ดานไดแก
1. ดานกายภาพ เชน หมั่นออกกําลังกาย พักผอนใหพอ กินอาหารที่มีประโยชน
2. ดานอารมณ เชน มองโลกในแงดี คิดในสิ่งที่ดี ทําความดี สรางความสัมพันธที่ดีกับคนรอบขาง เอาใจเคา
มาใสในเราและการอยูรวมกับผูอื่น
3. ดานสติปญญา เชน อานหนังสือ เรียนรูสิ่งใหมๆ การเดินทางหาประสบการณ การเขาอบรมสัมมนาใน
หลักสูตรตางๆ
4. ดานจิตวิญญาณ เชน เขาวัด ทําบุญ ปฏิบัติธรรม อยูกับธรรมชาติ
อุปนิสัยที่ 7 เปนหลักการปรับตัวใหมใหสมดุลซึ่งทําใหอุปนิสัยที่เหลือทั้งหมดทํางานไดผล เปรียบเสมือน
เครื่องคอมพิวเตอรสวนบุคคลที่ชวยรักษาและเพิ่มคุณคาที่มีอยูในตัวใหมากขึ้น เปนการปรับเปลี่ยนของสิ่งที่มีอยูใน
ตัวเราโดยธรรมชาติ 4 อยาง ไดแก รางกาย จิตวิญญาณ สติปญ ญา และความรู สึกที่มีตอสัง คม ในขณะที่ภาค
รางกาย สติปญญา และใจเกี่ยวของอยางใกลชิดกับอุปนิสัยที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งมีศูนยรวมเนนไปที่วิสัยทัศนสวนตัว
ความเปนผูนํา และการจัดการ แตทางภาคสังคมและอารมณจะเนนไปที่อุปนิสัยที่ 4, 5 และ 6 ซึ่งมีศูนยรวมที่เนน
ไปที่การติดตอระหวางบุคคลของการเปนผูนํา การติดตอสื่อสาร และการรวมมือกันสรางสรรค ดัง นั้นการที่ จ ะ
ประสบความสําเร็จในอุปนิสัยที่ 4, 5 และ 6 นั้นไมใชเปนเรื่องของสติปญญาแตเปนเรื่องของอารมณ
นิทานสอนเด็กบางครั้งก็มีคติเตือนใจเราไดมาก ถาเราจะลองพิจารณาดู อยางเรื่อง หานทองคํา ที่เรา
เรียน และไดฟงมาตั้งแตเล็ก
นิทานเรื่อง “หานทองคํา”
เรื่องมีวาชายคนหนึ่งโชคดีไดหานมา หานตัวนี้ออกไขมาเปนทองคําทุกวัน ๆ เจาของดีใจมาก แตตอนหลัง
รูสึก วาไดวัน ละฟองมั นนอ ยไป อยากจะได ม ากกวา นั้น และก็เ ชื่ อวา ในตั วหา นนา จะมี ไขที่ เ ปน ทองคําอี ก ตั้ ง
เยอะแยะ ถาจะรอใหมันออกมาวันละฟอง ๆ มันชาไป อยากระนั้นเลยควานทองเอาไขออกมาดีกวา ก็เลยฆาหาน
ตัวนั้น ปรากฏวาไมไดไขทองคําแมแตฟองเดียว ชายคนนั้นลืมไปวาถาอยากจะไดไขทองคํามาก ๆ ก็ตองดูแลรักษา
ตัวหานใหดี แตนี่กลับไมสนใจ มิหนําซ้ําไปฆามันเสีย ก็เทากับวาไปฆาตนทุนเสีย จะมีผลงอกงามไดอยางไร
ขอคิดของนิทานเรื่องนี้