Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (20)
Mehr von DekDoy Khonderm (6)
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
- 2. เ ด็ ก บ ก พ ร่ อ ง ท า ง ส ติ ปั ญ ญ า หมายถึง
เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่่ากว่าเกณฑ์
เฉลี่ยเมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายุเดียวกัน
- 4. เด็ ก บกพร่ อ งทางสติ ปั ญ ญาแบ่ ง เป็ น 2 กลุ่ ม
1.เด็กเรียนช้า หมายถึง เด็กที่มีความสามารถในการ
เรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
2. เด็กปัญญาอ่อน หมายถึง เด็กที่มีภาวะพัฒนาการ
ของจิตใจหยุดชะงัก หรือเจริญไม่เต็มที่
- 5. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ประกอบด้วย
ลักษณะสาคัญ 3 ประการ
1. ความสามารถทางสติปัญญาต่่ากว่าเกณฑ์เฉลี่ย
คือมีเชาว์ปัญญาต่่ากว่า 70
2. ความสามารถทางทักษะในการปรับตัว อย่าง
น้อย 2ใน 10 ดังต่อไปนี้
2.1. การสื่อความหมาย (Communication)
2.2. การดูแลตนเอง (Self-care)
2.3. การด่ารงชีวิตในบ้าน (Home Living)
- 6. 2.4. ทักษะทางสังคม(Social / Interpersonal Skills)
2.5. ทักษะในการเรียน (Functional Academic Skills)
2.6. การรู้จักใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน (Use of
Community Resources)
2.7. การควบคุมตนเอง (Self-direction)
2.8. การท่างาน(Work)
2.9. การใช้เวลาว่าง (Leisure)
2.10. การดูแลสุขภาพ และ
ความปลอดภัย (Health and Safety)
3. อาการแสดงก่อนอายุ 18 ปี
- 7. ประเภทของเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา
แบ่งตามระดับความรุนแรงเป็น 4 ระดับ
1. เด็ ก ที่ มี ค วามบกพร่ อ งทางด้ า น
สติ ปั ญ ญาระดั บ เล็ ก น้ อ ย IQ 50-70
2. เด็ ก ที่ มี ค วามบกพร่ อ งทางด้ า น
สติ ปั ญ ญาระดั บ กลาง IQ 35-49
3. เด็ ก ที่ มี ค วามบกพร่ อ งทาง
สติ ปั ญ ญาระดั บ รุ น แรง IQ 20-34
4. เด็ ก ที่ มี ค วามบกพร่ อ งทาง
สติ ปั ญ ญาระดั บ รุ น แรงมาก IQ 20 ลงไป
- 8. ลั ก ษณะท่ า ทางของบุ ค คลที่ มี ค วาม
บกพร่ อ งทางสติ ปั ญ ญา
1.ลั ก ษณะทางร่ า งกาย
มั ก มี รู ป ร่ า งหน้ า ตาไม่ ส มประกอบ
2. ลั ก ษณะด้ า นพฤติ ก รรม
การพู ด การท่า ความเข้ า ใจ
การตั ด สิ น ใจมั ก ช้ า
- 9. ลักษณะทางจิตวิทยา
1. ลักษณะทางด้านการเรียนรู้
มีช่วงความสนใจสั้น สนใจบทเรียนได้ไม่นาน
เสียสมาธิง่าย
2. ลักษณะทางด้านภาษาและการพูด
ความสามารถทางภาษาจะต่่ากว่าระดับอายุสมอง
3. ลักษณะด้านร่างกายและสุขภาพ
ส่วนสูงและน้่าหนักโดยเฉลี่ยต่่ากว่าเด็กปกติ
- 10. ความผิดปกติที่พบร่วมด้วย
ส่วนใหญ่เป็นปัญหาพฤติกรรม ความผิดปกติที่พบ
ได้แก่ ซน สมาธิสั้น พฤติกรรมท่าร้ายตนเอง ก้าวร้าว
กระตุ้นตนเอง
- 11. อาการแทรกซ้อน
1. พิการซ้่าซ้อน ได้แก่ ความพิการร่างกาย
แขนขา ตาบอด หูหนวก เป็นใบ้
- 12. 2. ปั ญ หาพฤติ ก รรมที่ ไ ม่ เ หมาะสม
(Challenging behavior)
- 15. สาเหตุ
มักเกิดจากหลายสาเหตุเป็นปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยทาง
ชีวภาพ และปัจจัยทางจิตสังคมปัจจัยทางชีวภาพ
-โรคทางพั น ธุ ก รรม
- การติ ด เชื้ อ
- การได้ รั บ สารพิ ษ
- การขาดออกซิ เ จน
- 17. แนวทางการดู แ ลรั ก ษา
1) การส่ ง เสริ ม ศั ก ยภาพครอบครั ว
ครอบครัวควรมีความรู้ ทักษะและเจตคติที่ดีในการดูแล
2) การส่ ง เสริ ม พั ฒ นาการ (Early Intervention)
ควรจัดโปรแกรมการฝึกทักษะที่จ่าเป็นในการเรียนรู้
ส่งเสริมพัฒนาการทุกๆด้าน
- 19. ฝึกทักษะในชีวิตประจาวัน (Activity of Daily
Living Training) เน้นพัฒนาการด้านสังคม และการ
ดูแลตนเองในชีวิตประจ่าวัน
4.) การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านการศึกษา
ส่งเสริมการจัดการเรียนร่วมให้มากที่สุด โดยท่า
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
- 20. 5) การฟื้ น ฟู ส มรรถภาพทางสั ง คม
คือการส่งเสริมให้เด็กสามารถใช้ชีวิตในสังคม และ
ชุมชนได้ปกติ โดยการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก
อย่างเท่าเทียม
6) การฟื้ น ฟู ส มรรถภาพทางอาชี พ
การฝึกทักษะพื้นฐานทางอาชีพเฉพาะด้าน
7) การใช้ ย า
การใช้ยาไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อท่าให้ความบกพร่อง
ทางสติปัญญาหายไปแต่ใช้เพื่อบรรเทาความรุนแรงของ
ปัญหา
- 21. เทคนิคการสอนเด็กทีมีความบกพร่องทางสติปัญญา
่
1. สอนโดยเน้นให้เด็กท่องจ่าค่าหรือข้อความ โดย
ให้เด็กพูดออกเสียงให้ชัดเจน
2. สอนโดยเน้นการจ่าแนกส่วนต่างๆพร้อมบอกชื่อ
และวาดภาพประกอบ
3. เนื้อหาควรมีความหมายและเกี่ยวข้องกับตัวเด็ก
4. ควรเปิดโอกาสให้เด็กได้จับต้องและสัมผัสในสิ่ง
ที่ให้เด็กเรียน
- 22. 5. หมั่ น ทบทวนสิ่ ง ที่ เ รี ย นไปแล้ ว บ่ อ ยๆ เพื่ อ ให้
เด็ ก จ่า ได้
6. ควรมี ภ าพประกอบในการอธิ บ าย เนื้ อ หา
7. ควรให้ แ รงเสริ ม แก่ เ ด็ ก อย่ า งสม่่า เสมอ
- 23. การป้องกัน
ก่อนตั้งครรภ์
การให้วัคซีนหัดเยอรมัน หรือ เกลือไอโอดีน ให้
ค่าแนะน่าคู่สมรสเรื่องอายุมารดาที่เหมาะในการ
ตั้งครรภ์
- 25. 3. ระยะคลอด
ควรคลอดในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อป้องกัน
ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
- 26. 4. ระยะหลังคลอด
ควรให้แม่และลูกได้อยู่ด้วยกันเร็วที่สุด เพื่อให้ลูก
ได้ดื่มนมแม่ซึ่งมีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
- 28. ความหมายของเด็กปัญญาเลิศ(อัจฉริยะ)
เด็กปัญญาเลิศหมายถึง เด็กที่มีความสามารถทาง
สติปัญญา และความถนัดเฉพาะทางอยู่ระดับสูงกว่าเด็กอื่น
ในวัยเดียวกัน ค่าที่ใช้ในความหมายที่มีอยู่หลายค่า เช่น เด็ก
ปัญญาเลิศ เด็กอัจฉริยะ เด็กฉลาด เด็กมีพรสวรรค์ ฯลฯ เมื่อ
พูดถึงเด็กปัญญาเลิศ ก็มักนึกถึงเด็กทีเ่ รียนเก่ง สอบได้
คะแนนดีหรือถือเอาเรื่องของความถนัดเฉพาะทางซึ่งเรียก
กันว่า พรสวรรค์ในด้านที่เห็นได้ชัด เช่น ทางศิลปะและ
ดนตรีเป็นหลัก
- 29. ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ(อัจฉริยะ)
เด็กปัญญาเลิศเป็นเด็กทีมีสติปัญญาสูงมีความเฉลียวฉลาด
่
กว่าเด็กทั่วไป ความฉลาดได้ส่อแววมาตั้งแต่ในวัยเด็กเล็ก เด็ก
อาจจะเดินได้ วิ่งได้ตั้งแต่อายุยังน้อยมีพัฒนาการล้่าหน้ากว่าเด็ก
อื่นในวัยเดียวกัน เรียนรู้ได้รวดเร็วหากมีการทดสอบทางด้าน
สติปัญญาหรือความถนัด เด็กเหล่านี้จะได้คะแนนสูงกว่าเด็ก
ทั่วไป เด็กปัญญาเลิศมักจะเก่งในด้านต่อไปนี้
1. มีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจที่เจริญเติบโตได้เร็วกว่า
เด็กปกติ
- 30. 2. มีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและ
ง่ายดาย
3. มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบชักถาม
4. มีความสามารถในการแก้ปัญหา การใช้สามัญส่านึกและ
สามารถน่าความรู้ที่มีไปใช้ได้ในชีวิตจริง
5. มีเหตุผล ความคิดดี
6. จดจ่าสิ่งที่เคยเห็นเคยอ่านได้รวดเร็วและแม่นย่า
7. มีความรู้กว้างขวางเกินวัย
8. ใช้ค่าศัพท์กว้างขวาง ถูกต้องแม่นย่าและปริมาณค่าที่รู้จักก็
มีมาก
- 33. พฤติกรรมบางอย่างในห้องเรียน
1. เข้าใจได้ง่าย และรวดเร็ว มักมีค่าถามชวนคิด
2. สมาธิในการเรียนและการท่างานดี
3. สนใจและสนุกกับปัญหาที่ยากซับซ้อน
4. อ่านหนังสือได้เร็วกว่าอายุ
5. ชอบประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือในแนวใหม่ๆ
6. ใช้ภาษาได้ดี รู้จักค่าศัพท์กว้างขวางเกินวัย
7. ชอบเรียนหนังสือ
8. แก้ปัญหาด้วยวิธีการหลากหลาย
9. มีลักษณะเป็นผู้น่าในกลุ่มเด็กวัยเดียวกัน
- 34. การคัดแยกเด็กปัญญาเลิศ(อัจฉริยะ)
การคัดแยกเด็กปัญญาเลิศต้องสอดคล้องกับกระบวนการ
ที่จะตามมาซึ่งได้แก่เป้าหมายของการศึกษาวัตถุประสงค์ การ
จัดหลักสูตร วิธีสอนและการประเมินผลการศึกษา การคัดแยก
เด็กปัญญาเลิศนั้นควรเริ่มในวัยเด็ก ทั้งนี้เพื่อจะได้ส่งเสริมเด็ก
ได้ทันท่วงทีผู้ที่ท่าการคัดเลือกควรวิธีการหลายๆวิธีรวมกัน ให้
เลือกใช้วิธการคัดแยกเด็กวิธีใดวิธีหนึ่งดังต่อไปนี้
ี
- 35. 1. การคัดแยกเด็กตามวิธีของโกแวน (Gowan) มีดังนี้
1.1 คัดเลือกเด็กที่หลายคนคิดว่าเป็นเด็กฉลาด
1.2 ทดสอบเด็กโดยใช้แบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาที่
เป็นการทดสอบพร้อมกันครั้งละหลายคน คัดเลือกเอาเด็กที่ได้
คะแนนสูงสุด 10% เด็กเหล่านี้จัดเป็นเด็กปัญญาเลิศ ส่วนเด็กที่
เหลือให้จัดกลุ่มไว้ต่างหากเด็กกลุ่มนี้เรียกว่า “อ่างเก็บน้่า”
1.3 ให้ครูประจ่าชั้นคัดเลือกเด็กในชั้นจ่านวนหนึ่งเด็กที่
คัดเลือกควรมีลักษณะดังนี้
- 36. - เรียนเก่ง
- รู้ค่าศัพท์มาก
- มีความคิดสร้างสรรค์สูง
- มีความเป็นผู้น่า
- มีความสนใจและเก่งในวิชาวิทยาศาสตร์
- มีความคิดเชิงวิจารณ์สูง
- มีลักษณะพิเศษ แต่มักรบกวนความสงบในห้องเรียน
- มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูง
- มีเพื่อนมากที่สุด
- มีพ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจ ส่งเสริมการเรียนของเด็ก
- 38. - เป็นเด็กฉลาด แม้จะมีปัญหาทางอารมณ์
- เป็นเด็กฉลาดที่คณะกรรมการนี้มีความเห็นว่าจะเป็นเด็ก
ปัญญาเลิศ
1.6 เรียงล่าดับรายชื่อเด็กและระบุว่าเด็กแต่ละคนถูก
กล่าวถึงกี่ครั้ง
1.7 เด็กใน “อ่างเก็บน้่า” เหล่านี้ หากคนใดถูก
กล่าวถึง 3 ครั้งขึ้นไป ให้จัดเป็นเด็กปัญญาเลิศได้
1.8 เด็กใน “อ่างเก็บน้่า” เหล่านี้ หากคนใดถูก
กล่าวถึง 2 ครั้งขึ้นไป ให้น่าไปทดสอบโดยใช้
แบบทดสอบ Stanford-Binet
- 39. 1.9 เด็กใน “อ่างเก็บน้่า” ที่ถูกกล่าวถึงเพียงครั้งเดียวให้
ปล่อยกลับชั้นเรียนไป
1.10 เด็กที่ผ่านการทดสอบโดยแบบทดสอบ Stanford-
Binet ให้จัดเป็นเด็กปัญญาเลิศ เด็กที่ไม่ผ่านให้กลับชั้นเรียนไป
ในการคัดเลือกครูควรพิจารณาและสังเกตเด็กต่อไปนี้เป็น
พิเศษ
- เด็กด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม
- เด็กที่ปัญหาทางอารมณ์
- เด็กที่มีปัญหาในการอ่าน
- เด็กที่มีความเป็นผู้น่า
- 40. 2. การคัดเลือกอย่างเป็นทางการ
วิธีการต่อไปนี้เป็นวิธีคัดเลือกเด็กปัญญาเลิศซึ่งโรงเรียน
ที่จัดการศึกษาส่าหรับเด็กปัญญาเลิศควรน่ามาใช้
2.1 การคัดเลือกเบื้องต้น
การคัดเลือกเบื้องต้นควรเป็นหน้าที่ของครูประจ่าชั้น ครู
ประจ่าวิชา ผู้ปกครอง เพื่อนร่วมชั้นของนักเรียน โดยบุคคล
ดังกล่าวท่าหน้าที่สังเกตพฤติกรรมของเด็กปัญญาเลิศตาม
ค่าจ่ากัดความที่ผู้ที่รับผิดชอบทางการศึกษาตกลงกันแบบ
สังเกตพฤติกรรมที่ปรากฏในภาคผนวกสามารถน่ามาใช้ได้
โดยเลือกมาใช้ตามความเหมาะสม
- 41. 2.2 การทดสอบทางจิตวิทยา
2.3 พิจารณาจากผลการเรียนโดยเฉพาะคะแนนจากวิชา
วิทยาศาสตร์และภาษา
2.4 การทดสอบความคิดสร้างสรรค์แบบทดสอบที่ควร
ใช้ ได้แก่ Torrance Tests of Creative Thinking ทั้ง Verbal
และ(Figural),Guilfords Test of Creativity
(ทั้ง Verbal และ Figural)
- 43. การคัดแยกเด็กพิจารณาความสามรถ 3 อย่าง คือ
- ทักษะในการคิดวิเคราะห์ (Analytical Skill)
- ทักษะในการคิดสร้างสรรค์ (Creative Skill)
- ทักษะในเชิงปฏิบัติ (Practical Skill)
ซึ่งทั้ง 3 ทักษะนี้จะน่าไปสู่ความส่าเร็จในการเรียน
และในชีวิตการงาน
- 44. การจัดการศึกษาสาหรับเด็กปัญญาเลิศ
การจัดโปรแกรมการศึกษาพิเศษหมายถึง การจัดการ
ศึกษาเพื่อแสดงถึงการยอมรับและเคารพต่อความแตกต่าง
ของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ การจัดการศึกษาจะต้อง
ปรับให้เกิดความเหมาะสม โดยพิจารณาจากผลของ
กระบวนการประเมินการศึกษาที่ต่อเนื่องรวมไปถึง
แผนการศึกษาที่มีจุดประสงค์เป็นพิเศษเฉพาะที่ระบุถึง
การให้บริการทางการศึกษาที่ตอบสนองต่อความต้องการ
พิเศษของนักเรียน
- 45. การเรียนการสอนของเด็กปัญญาเลิศ(อัจฉริยะ)
วิธีสอนเด็กปัญญาเลิศมีดังนี้
1. การเรียนรู้แบบรูแจ้ง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการ
้
สอนให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอนตามระดับ
ความสามารถของเด็กโดยครูแจกแจงเนื้อหาวิชาออกเป็นขั้น
ย่อยๆหลายๆขั้น แล้วให้เด็กได้เรียนตามทีละขั้นโดยไม่มีการ
เร่งรัดเกี่ยวกับเวลามากนัก
2. การจัดหลักสูตรให้กะทัดรัด เป็นการปรับปรุง
หลักสูตรวิธีหนึ่งเพื่อให้เหมาะกับเด็กปัญญาเลิศโดยมุ่งเน้นให้
เด็กได้มุ่งเรียนในเนื้อหาวิชาที่เป็นจุดส่าคัญจริงๆ
- 47. 5. การคิดระดับสูง เป็นการสอนให้เด็กเรียนรู้ตาม
แนวความคิดของนักการศึกษาชาวอเมริกันชื่อ Benjamine
Bloom ซึ่งกล่าวว่า การสอนให้มีความรู้และความเข้าใจใน
เนื้อหาวิชาเป็นการสอนให้มีความรู้ในระดับต่่า ครูควรจะสอน
ให้เด็กน่าไปใช้วิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินผลสิ่งที่เรียนดี
ไม่ดี มีประโยชน์ไม่มีประโยชนอย่างไรจึงจะถือว่าประสบ
ผลส่าเร็จ เพราะนั่นคือการสอนให้เด็กรู้จักการคิดในระดับสูง
6. การศึกษาด้วยตัวเอง เป็นการมอบหมายให้เด็กได้ศึกษา
เรื่องใดเรื่องหนึ่งในแนวลึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เด็กให้
ความสนใจอย่างมากแต่ครูจะต้องคอยให้ค่าแนะน่าด้วย
- 48. 7. การฝึกงานกับผูชานาญงาน เป็นการส่งเด็กปัญญาเลิศ
้
ไปฝึกงานกับผู้ที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้ช่านาญการนั้นถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่
เด็กปัญญาเลิศ
8. การสอนเร่ง เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนเนื้อหา
ที่ยากขึ้น เกินกว่าที่ก่าหนดไว้ในหลักสูตร
9. การสอนเสริม เป็นการสอนตามเนื้อหาที่ก่าหนดไว้ใน
หลักสูตรแต่มีกิจกรรมที่กว้างขวางขึ้น ซึ่งอาจจัดเป็นกิจกรรม
นอกหลักสูตรหรือเป็นค่ายฤดูร้อนก็ได้
- 49. 10. การข้ามชั้น เป็นการเลื่อนชั้นเรียนให้สูงขึ้น
11. การเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ เป็นการส่งเด็กเข้าเรียนเมื่อ
อายุยังน้อย ตามปกติแล้วเด็กจะเข้าเรียนเมื่ออายุครบตามเกณฑ์
ที่กฎหมาก่าหนด
12. การเรียนตามความสามารถของตนเอง เป็นการให้
เด็กปัญญาเลิศเรียนหนังสือด้วยตัวเองตามเนื้อหาที่ก่าหนดโดย
ครูจะน่าเนื้อหาวิชามาแบ่งเป็นตอน ๆ หรือเป็นชุด ๆ แล้วให้
เด็กเรียนด้วยตนเองเป็นชุด ๆ ตามความสามารถของเด็ก ไม่มี
การก่าหนดเวลา
- 51. 15. การเรียนล่วงหน้า เป็นการอนุญาตให้นกเรียนในระดับ
ั
มัธยมศึกษาตอนปลายเข้าไปเลือกเรียนบางรายวิชาในระดับ
มหาวิทยาลัยได้และเก็บสะสมหน่วยกิตไว้เมื่อเด็กเข้าเรียนใน
มหาวิทยาลัยจริงจะช่วยให้เด็กเรียนจบระดับมหาวิทยาลัยเร็วขึ้น
16. การแก้ปัญหา เป็นการฝึกให้เด็กแก้ปัญหาต่างๆที่
เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาในการเรียน หรือปัญหาในสังคมก็ได้
ครูอาจให้เด็กท่างานคนเดียวหรือท่างานเป็นกลุ่มก็ได้ เป็นการ
สอนให้เด็กรู้จักการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆได้
17. การจัดหลักสูตรฉบับย่อ เป็นการจัดหลักสูตรที่เข้มข้น
เพื่อให้เด็กปัญญาเลิศได้เรียนภายในเวลาที่สั้นลง
- 52. 18. การนับหน่วยกิตโดยการสอบ เป็นการสอบโดยที่
เด็กไม่ต้องมา เมื่อสิ้นภาคเรียนให้เด็กเข้าสอบ หากเด็กสอบ
ได้เด็กก็ได้รับสิทธิในการสอบผ่านการเรียนวิชานั้นและเก็บ
สะสมหน่วยกิตไว้เมื่อหน่วยกิตครบตามหลักสูตรก็ถือว่า
ส่าเร็จการศึกษา
19. การทาสัญญา เป็นการท่าสัญญาที่มีการลงนาม
เป็นลายลักษณ์อักษรด้านการเรียน ภายในจะต้องมี
จุดมุ่งหมายชัดเจน มีขอบข่ายเนื้อหาวิชาที่เด็กจะต้องรู้
ภายในเวลาที่ก่าหนดและเด็กต้องน่าเนื้อหาวิชามาเสนอครู
เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง
- 54. ลักษณะของครูผู้สอนเด็กปัญญาเลิศ(อัจฉริยะ)
ครูสอนผู้เรียนปัญญาเลิศควรเป็นบุคลากรวิชาชีพซึ่งท่า
หน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ด้วย
วิธีการต่างๆ ในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชนเพื่อสอน
รายวิชาตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้กับผู้เรียนปัญญา
เลิศ ศึกษาประวัติและข้อมูลของผู้เรียน ประเมินความสามารถ
ของผู้เรียน เพื่อจัดเตรียมแผนการสอน วิธีการสอน กิจกรรมการ
เรียนการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถ
ของผู้เรียน สอนโดยส่งเสริมให้ผู้เรียนปัญญาเลิศได้มีโอกาส
เต็มที่ในการพัฒนาศักยภาพ พร้อมทั้งบันทึกผลการเรียน
- 56. ปัญหาของเด็กปัญญาเลิศ
ปัญหาของเด็กปัญญาเลิศ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มที1 เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น นอนหลับลึกปลุกยาก เป็น
่
เด็กอ้วนถูกเพื่อนล้อเลียนไม่ค่อยได้ออกก่าลังกาย
กลุ่มที่ 2 เกี่ยวกับทางอารมณ์และสังคมได้แก่ การทะเลาะ
กันระหว่างพี่น้องเพราะมีความคิดแตกต่างกันมีความก้าวร้าว
หงุดหงิด มีความกังวลสูง ไม่พอใจค่าพูดของผู้ใหญ่ในบ้าน
มีนิสัยเฉื่อยชา กลัวคนแปลกหน้า ได้รับการตามใจมาก
เกินไป มีความกังวลเกี่ยวกับการเรียน ต้องการความรัก-เอา
ใจใส่จากมารดามากกว่าทุกๆคนท่าให้ไม่มีการเสียสละกัน
กลัวความล้มเหลว ขาดรู้สึกว่าตัวเองต่่าต้อยด้อยค่า
- 59. 1.น.ส.กนกวรรณ คนฟู รหัส 53181520101
2.น.ส.กัลปนา อินปันใจ รหัส 53181520102
3.น.ส.เกษศิรินทร์ อ่อนแก้ว รหัส 53181520103
4.น.ส.ขนิษฐา ดวงน่าน รหัส 53181520104
5.น.ส.ขวัญฤทัย ใจจริง รหัส 53181520105
สาขาวิทยาศาสตร์ศึกษา(ชีววิทยา)
มหาวิทยาลัยราชภัฏลาปาง