งานSh
- 2. ชือวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa L. วงศ์ Malvaceae
ชือสามัญ Rosella, Red Sorrel, Jamaica Sorrel
ชือท้องถิน ภาคเหนือเรี ยก ผักเก็งเค็ง ส้มเก็งเค็ง เงียว แม่ฮ่องสอนเรี ยก ส้มปู จังหวัดตากเรี ยก
ส้มตะแลงเครง ภาคกลางเรี ยก กระเจียบ กระเจียบเปรี ยว ทัวไปเรี ยก กระเจียบแดง
ุ่
ลักษณะทัวไป กระเจียบแดง เป็ นไม้พมขนาดเล็ก สูงประมาณ ๑.๕-๓ เมตร ลําต้นและกิงก้าน
มีสีม่วงแดง ใบสลับ มีหลายแบบด้วยกัน บ้างมีขอบใบเรี ยบ บ้างมีรอยหยักเว้า ๓ หยัก ดอก
เส้นผ่าศูนย์กลาง ๘-๑๐ เซนติเมตร ดอกมีสีครี ม ตรงกลางดอกมีสีเข้มมากกว่าขอบนอกของ
กลีบ กลีบดอกร่ วงโรยไป เหลือกลีบเลียงอวบพองคงอยู่ ใบกระเจียบแดงมีรสเปรี ยว กินได้ทง ั
ดิบและสุ ก ใส่ ในแกงเผ็ดเพือแต่งรสได้ ใบอ่อนและยอด ใช้แต่งรสเปรี ยว ใส่ ตมหรื อแกง ชาว
้
มอญใช้ใบกระเจียบแดงทําแกงกระเจียบ กลีบเลียงสี แดงใช้ทาเครื องดืม มีวตามินเอสู ง พบทัง
ํ ิ
ในประเทศไทยและแถบประเทศเม็กซิ โก กลีบเลียงมีเพ็กตินสู ง ใช้ทาแยมและประกอบ
ํ
อาหารเบเกอรี ได้ดี
- 3. กระเจียบเขียว (Okra, Lady's Finger) เป็ นพืชล้มลุกมีอายุประมาณ 1 ปี
เจริ ญเติบโตได้ดีในเขตอากาศกึงร้อน คือมีอุณหภูมิระหว่าง 18-35 องศาโดยประมาณ
เป็ นพืชทีสามารถนํามาเป็ น สมุนไพร ได้ เพราะมีสรรพคุณทางยาทีช่วยรักษาเกียวกับ
โรคกระเพาะอาหาร
ในประเทศอินเดียเรี ยกกระเจียบเขียวว่า บินดี (Bhindi) ส่ วนประเทศในแถบ
เมดิเตอร์เรเนียนเรี ยกว่า บามี (Bamies) ส่ วนของประเทศไทยนันแบ่งแยกเป็ นภาค
ภาคกลางเรี ยก กระเจียบ กระเจียบมอญ มะเขือทะวาย มะเขือมอญ ภาคเหนือเรี ยก
มะเขือพม่า มะเขือขืน มะเขือมอญ มะเขือละโว้
- 4. กระเจียบมอญ
ฝัก (ผล) อุดมด้วยเส้นใย
อาหาร เพ็กติน วิตามินเอ บี ซี กรดโฟลิก ธาตุแมกนีเซียม โพแทสเซี ยม เหล็ก แคลเซี ยม และ
แมงกานีส
ชือวิทยาศาสตร์ Abelmoschus esculentus (L.) Moench วงศ์
Malvaceae
มีชือเรี ยกหลายชือ ได้แก่โอคร่ า (Okra) กอมโบ้ (Gombo) เบนดี (Bendee) และ
Ladys finger ชือไทยคือมะเขือมอญ หรื อกระเจียบเขียว
กระเจียบมอญเป็ นพืชล้มลุก สู ง ๐.๕-๒ เมตร ลําต้นมีขนแข็ง
ใบเดียวเรี ยงสลับรู ปไข่หรื อค่อนข้างกลม กว้าง ๑๐-๓๐ เซนติเมตร ปลายหยักแหลม โคนเว้ารู ป
หัวใจ เส้นใบออกจากโคนใบ ๓-๗ เส้น
- 6. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
กระเจียบเป็ นพืชผักยืนต้น อายุประมาณ 1 ปี มีความสู ง 40 เซนติเมตร ถึง 2 เมตร ลําต้น มี
ขนสัน ๆ มีหลายสี แตกต่างตามพันธุ์ ใบมีลกษณะกว้างเป็ นแฉกคล้ายใบละหุ่ง แต่กานใบจะ
ั ้
สันกว่า ดอกมีสีเหลือง โคนดอกด้านในสี ม่วง เมือบานคล้ายดอกผ้าย มีเกสรตัวผูตวเมียอยูใน
้ั ่
ดอกเดียวกัน ฝักมีรูปเรี ยวยาว ปลายฝักแหลม มีทงชนิดฝักกลมและฝักเหลียม ซึ งมีเหลียม 5-
ั
10 เหลียม ขึนกับพันธุ์ในแต่ละฝักมีเมล็ด 80-200 เมล็ด เมล็ดมีลกษณะกลมรี ขนาด
ั
เดียวกับถัวเขียว เมล็ดอ่อนมีสีขาว เมือแก่มีสีเทา ฝักแก่สีฝักจะเปลียนเป็ นสี นาตาล และจะ
ํ
แตกออกตามแนวรอยสันเหลียมทําให้เห็นเมล็ดทีอยูขางใน ่ ้
- 7. วิธีทา
ํ
1. เอาดอกกระเจียบสดหรื อแห้งก็ได้ ล้างนําทําความสะอาด จากนันนําใส่ หม้อ ต้มจนเดือด
แล้วลดไฟลงอ่อน ๆ เคียวเรื อย ๆ จนนําเป็ นสี แดง จนเข้มข้น
2. เอาดอกกระเจียบขึนจากหม้อต้ม แล้วเอานําเชือมและเกลือใส่ ลงไป ปล่อยให้นากระเจียบ
ํ
เดือด 1 นาที ก็ยกลง ชิมรสตามใจชอบ
3. เอาขวดแม่โขงมาล้างทําความสะอาด ต้มในนําเดือด 20 นาที นํา นํากระเจียบแดงมา
กรอก แล้วปิ ดจุกให้แน่น เก็บไว้
- 8. ส่ วนผสม
ดอกกระเจียบสด/แห้ง 20 กรัม (5 ดอก)
นําเชือม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
นําเปล่า 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่ นเสริ มไอโอดีน 2 กรัม (2/5 ช้อนคาว)
- 9. 1.เป็ นยาลดไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดนําหนักด้วย
2.ลดความดันโลหิ ตได้โดยไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด
3.นํากระเจียบทําให้ความเหนียวข้นของเลือดลดลง
4.ช่วยรักษาโรคเส้นโลหิ ตแข็งเปราะได้ดี
5.นํากระเจียบยังมีฤทธิขับปั สสาวะ เป็ นการช่วยลดความดันอีกทางหนึง
6.ช่วยย่อยอาหาร เพราะไม่เพิมการหลังของกรดในกระเพาะ
7.เพิมการหลังนําดีจากตับ
8.เป็ นเครื องดืมทีช่วยให้ร่างกายสดชืน เพราะมีกรดซี ตริ คอยูดวย
่ ้