SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 9
โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบัติ
                                Thinking and Doing School
                                                                              วัชรินทร์ จงกลสถิต

         เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าเปาหมายสูงสุดของการจัดการศึกษาก็คือการสอนให้ คนรู้จกคิด
                                   ้                                                ั
คิดเป็ น และควรจะคิดได้ ดีด้วย เพราลาพังการสอนให้ ร้ ู วิชาการ มีความรู้ แต่เพียงอย่างเดียวไม่
พอเพียงกับการการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปั จจุบนที่มีพลวัตและมีความซับซ้ อนอย่างมาก การ
                                             ั
ที่คนรู้จกคิดจึงเปรี ยบเสมือนเครื่ องมืออันสาคัญในการฝ่ าด่านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไปได้
         ั
         เมื่อกระแสการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ ้นอย่างรอบด้ านในยุคโลกาภิวตน์ ก่อให้ เกิดผลกระทบทัง
                                                                   ั                       ้
ทางตรงและทางอ้ อมต่อการดารงชีวิตของมนุษยชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษาจากเดิมที่เคย
เป็ นการดาเนินการด้ วยกระบวนการทุกอย่าง ที่ทาให้ บคคลพัฒนาความสามารถด้ านต่างๆ รวมทัง
                                                  ุ                                 ้
ทัศนคติและพฤติกรรมอื่ นๆ ตามค่านิ ยมและคุณธรรมในสัง คม (Good. 1973: 202) ได้ ท วี
ความสาคัญยิ่งขึ ้นก็ยงคงเป็ นเครื่ องมือสาคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศชาติให้
                     ั
พร้ อมในความพลเมืองและพลโลก การศึกษาได้ กลายเป็ นนวัตกรรม (อาทิตย์ อุไรรัตน์ ) และเป็ น
ปั จจัยที่ 5 ของชีวิต (พนม พงษ์ ไพบูลย์ , 2000) ไม่ใช้ เพียงเรี ยนเพื่อการประกอบวิชาชีพแต่อย่าง
เดียวอีกต่อไป การเรี ยนการสอนในยุคโลกาภิวตน์ที่มีองค์ความรู้ อยู่อย่างมากมาย ทังในเอกสาร
                                         ั                                     ้
บทความ และสื่อดิจิตอล ทุกๆ ภาคส่วนจึงปรับและเปลี่ยนมโนทัศน์ในการเรี ยนการสอนใหม่ จาก
เดิมที่การจัดการเรี ยนการสอนที่มีครู เป็ นศูนย์กลาง ใช้ กระบวนการ “สอนให้ จาทาตามครู ” มา
จัดการเรี ยนการสอนโดยมีผ้ เู รี ยนเป็ นศูนย์กลาง สอนและเรี ยนโดยอาศัยบริ บทที่เกี่ยวจ้ องโดยตรง
กับวิถีชิวิตของผู้เรี ยน การเรี ยนต้ องทาให้ ผ้ เรี ยนสนุกและเพลิดเพลิน เรี ยนผ่านการเล่น เรี ยนผ่าน
                                                ู
ชีวิตจริ ง ครูจึงต้ องปฏิรูปการสอนจากที่เดิมเคยเป็ นศูนย์กลางของความรู้ ก็ต้องปรับพฤติกรรมมา
เป็ นผู้สนับสนุน (Facilitator) ให้ เกิดการเรี ยนรู้แทน
         เรามักตระหนักว่าการสอนให้ เด็กรู้ จักคิดเป็ น ทาเป็ นนันเป็ นเรื่ องที่มีความจาเป็ นอย่าง
                                                                ้
เร่งด่วน และมักฝากภารกิจอันสาคัญยิ่งนี ้ไว้ กบโรงเรี ยน แต่สดท้ ายเราก็มกไม่ได้ สมความปรารถนา
                                             ั              ุ           ั
ทังนี ้เพราะโรงเรี ยนต่างๆ ส่วนใหญ่ยงคงยึดแนวทางการจัดการศึกษาแบบเดิมๆ คือ การสอนตาม
  ้                                 ั
หลักสูตร สอนให้ ท่องจา สอนและประเมินผลโดยการวัดเพียงความรู้จากความจา เราทังหลายคง
                                                                          ้
ยังไม่เข้ าใจดีว่าโรงเรี ยนแบบที่เราปรารถนา ที่สอนให้ เด็กคิดเป็ น ทาเป็ นนันควรเป็ นอย่างไร การ
                                                                            ้
คิด ทักษะการคิด การคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างเป็ นระบบ การคิดเชิงสร้ างสรรค์ การลงมือทา การ
สร้ างสรรค์ การสร้ างผลิตภาพ อันเป็ นมาตรฐานทางปั ญญาและทักษะในการใช้ ชีวิตในศตวรรษที่
21 นี ้คืออะไร และทาอย่างไรเราจะได้ โรงเรี ยนที่ได้ มาซึงสิ่งเหล่านี ้
                                                        ่
         ได้ มี ผ้ ูนาเสนอตัวแบบโรงเรี ยนไว้ อย่างหลากหลาย ทัง นี เ้ พื่ อให้ ผ้ ูเ รี ยนมี ผ ลสัม ฤทธิ์ ใ น
                                                             ้
การศึกษาที่สอดคล้ องกับความต้ องการของสังคม อาทิ ด้ านคุณธรรมจริ ยธรรมมีการนาเสนอตัว
แบบโรงเรี ยนวิถีพุทธ ด้ านการดารงชีวิตมีการนาเสนอตัวแบบโรงเรี ยนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ขึน เป็ นต้ น เพื่ อให้ เกิดความสมบูรณ์ ของผู้เรี ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คุณลักษณะคนไทยที่พึง
  ้
ประสงค์นันควรประกอบด้ วย มิ ติ 4 ด้ าน ได้ แก่ ด้ านร่ างกาย ด้ านจิ ตใจ ด้ านความรู้ และด้ าน
         ้
ทักษะความสามารถ เพื่อสร้ างภาพสังคมไทยที่พึงประสงค์ทงสังคมที่มีประสิทธิ ภาพ สังคมที่มี
                                                    ั้
ความรู้ เป็ นฐานมี ปัญ ญาเป็ นแก่การพัฒ นา สังคมที่มี เอกภาพในความหลากหลาย สัง คมที่ให้
ความสาคัญต่อสิ่งแวดล้ อม สังคมที่ภูมิใจในความเป็ นไทย สังคมที่เน้ นชุมชนวิถี และสังคมที่มี
คุณธรรมจริ ยธรรม (เกรี ยงศักดิ์ เจริ ญวงศ์ศกดิ,์ 2546: 13) ดังนันตัวแบบโรงเรี ยนที่เหมาะสมใน
                                           ั                    ้
การพัฒนาวิถีคนไทยเพื่อการพัฒนาอย่างยังยืนจึงควรเป็ นโรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติ (Thinking &
                                     ่                                    ั
Doing school) ที่สอน พัฒนาผู้เรี ยนให้ คดเป็ น ทาเป็ น มีความรับผิดชอบ
                                        ิ


1. แนวคิดของ Thinking & Doing school
         โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติ (Thinking & Doing school) เป็ นโรงเรี ยนที่มีแนวคิดมุ่งเน้ นให้
                               ั
ผู้เรี ยนเป็ นผู้คิดเป็ น ทาเป็ น มีใจใฝ่ คิดวิเคราะห์ (Critical thinking mind) โดยการใช้ เครื่ องมือที่มี
ความหลากหลาย สามารถวิเคราะห์และเรี ยนรู้ จากสภาพแวดล้ อมที่เ ป็ นอยู่จริ งในชุมชน สังคม
และประเทศชาติ ค้ นคว้ า ทดลองและรวบรวมข้ อมูล ด้ วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เ พ่ือหา
คาตอบ โดยมีชุมชน (Community) ปั ญหา (Problem) กรณีศึกษา (Case) โครงการ (Project)
และการวิจย (Research) เป็ นฐานของการเรี ยนรู้ ครู ผ้ สอนมิใช่ผ้ ที่เป็ นศูนย์ก ลางของความรู้ อีก
         ั                                           ู          ู
ต่อไป หากแต่ทาหน้ าที่ประสานและเอื ออานวยให้ ผ้ ูเรี ยนเกิดกระบวนการเรี ยนรู้ ได้ ด้วยการคิด
                                   ้
วิเคราะห์ วิพากษ์ และใช้ วิจารณญาณของผู้เรี ยนประกอบกับข้ อมูลที่รวบรวมได้
นอกจากนี ้แล้ วแนวคิดของ Thinking & Doing school ยังมุ่งเน้ นให้ ผ้ เู รี ยนนาองค์ความรู้ ที่
เกิดจากการคิดวิเคราะห์มาสร้ างสรรค์ (Creative) ก่อเกิดผลิตภาพ (Productive) ได้ มิใช่เพียงคิด
สิ่งที่เป็ นนามธรรม หรื อจินตนาการแต่เพียงอย่างเดียว การจัดการการเรี ยนรู้ ของ Thinking &
Doing school จึงต้ องดาเนินการจัดการเรี ยนรู้สการปฏิบติจริ ง คือให้ ผ้ เู รี ยนแปรความรู้จากการคิด
                                              ู่     ั
มาเป็ นผลิตผล เป็ นรูปธรรม ที่สามารถจับต้ องได้ แก้ ปัญหาที่พบได้ อย่างแท้ จริง
        การจัดการเรี ยนรู้จึงสามารถทาได้ ในทังในรูปแบบของทัง Project-based, Community-
                                             ้             ้
based, Problem-based และ Research-based ซึ่งมีความสนใจของผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลาง
ผู้เรี ยนจึงสามารถทังคิดและทาเป็ น ไม่ใช่เพียงคิดได้ และทาได้ เท่านัน ทังนี ้เพราะเปาหมายของ
                    ้                                               ้ ้             ้
Think & Doing school มุ่งให้ ผ้ เู รี ยนคิดเป็ น และทาเป็ น คือ มีความรับผิดชอบ (Responsibility)
ต่อ ความคิด และการกระท า คิด และกระท าในสิ่ ง ที่ มี ป ระโยชน์ ต่อ ตนเอง ชุม ชน สัง คม และ
ประเทศชาติ การศึกษาในมุมมองของ Thinking and Doing School จึงมีความหมายที่กว้ างกว่า
เพียงการสอนให้ ร้ ู หากแต่เป็ นการเชื่อมต่อของการใช้ ชีวิตในโรงเรี ยน สถาบันการศึกษาที่สูงขึน
                                                                                            ้
และมากไปกว่านันคือโลกของความจริ งที่เด็กต้ องใช้ ชีวิตในฐานะของพลเมืองและพลโลกหลังจาก
              ้
ออกจากโรงเรี ยนไป หรื อหากจะกล่าวให้ เฉพาะเจาะจงไปก็คือ การพัฒนาให้ เกิดความเข้ าใจที่ดีขึ ้น
ในเรื่ องที่เกี่ ยวข้ องกับความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งที่สอนในห้ องเรี ยน และความสามารถของเด็กที่มี
และที่ควรจะพิจารณาในปั จจุบนและในอนาคตของชีวิตนอกโรงเรี ยนหลังจากนัน
                           ั                                       ้


2. กระบวนการจัดการสู่ Thinking and Doing School
        กระบวนการจัดการสู่ Thinking and Doing School มีแนวทางการจัดการโดยใช้ หลักการ
POL คือ การวางแผน (Planning) การจัดการ (Organizing) และการนา (Leading) โดยที่ม่ง
                                                                               ุ
ปฏิรูปการจัดการเรี ยนรู้ของผู้เรี ยนสูการเป็ นนักคิดนักปฏิบตที่มีความรับผิดชอบ ซึงมีขนตอน ดังนี ้
                                      ่                    ัิ                    ่ ั้


2.1 การวางแผน (Planning)
        Thinking & Doing School เริ่มต้ นการจัดการจากการวิเคราะห์สภาพการจัดการเรี ยนการ
สอนในปั จ จุบันที่ พ บว่าปั ญ หาที่ เ กี่ ย วข้ องกับการจัด การศึก ษาในปั จ จุบันเกิ ดจากทุก ส่วนของ
โรงเรี ยน คือ ผู้เรี ยน ผู้สอน และผู้บริ หาร โดยที่ผ้ เู รี ยนมีสมฤทธิผลในการเรี ยนที่ต่า ไม่สามารถคิด
                                                                 ั
ทา และแก้ ปัญหาที่เกิดขึ ้นในชีวิตประจาวันได้ มาตรฐานด้ านจริ ยธรรมตกต่าลง ขณะผู้สอนเองก็
ยัง คงใช้ ก ลวิ ธี ก ารสอนแบบเดิม ๆ เน้ น การสอนโดยมี ผ้ ูส อนเป็ นศูน ย์ ก ลาง สอนเน้ น เนื อ หา
                                                                                             ้
(Content based teaching) และไม่สามารถส่งเสริ มให้ ผ้ เู รี ยนบูรณาการสภาพปั ญหาของผู้เรี ยนที่
แท้ จริงมาใช้ ในการเรี ยนรู้ได้ อีกทังผู้บริ หารสถานศึกษายังละเลยต่อการนิเทศการจัดการเรี ยนการ
                                     ้
สอนของครู ผ้ สอน ไม่สามารถจัดหาทรัพยากรและสร้ างสภาพแวดล้ อมที่เอื ้ออานวยต่อการเรี ยนรู้
             ู
ของผู้เรี ยนได้ สภาพปั ญหาดังกล่าวข้ างต้ นจึงนามาสู่กระบวนการวางแผนเพื่อการจัดการศึกษาได้
เน้ นกระบวนการคิดและลงมือทาจริ งของผู้เรี ยน โดยที่ต้องมุ่งปรับทัศนคติ และวิธีการสอนของ
ครูผ้ สอนเพื่อส่งเสริมให้ ผ้ เู รี ยนคิดเป็ นและทาเป็ น
      ู
         การวางแผนเพื่อพัฒนา โรงเรี ยนสู่Thinking&Doing School นัน ใช้ มาตรฐานการศึกษา
                                                                 ้
ชาติ กรอบแนวทางการการปฏิ รูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 พระราชบัญบัติการศึกษาแห่งชาติฯ
รวมทังแผนการดาเนินการสูโรงเรี ยนมาตรฐานสากล เป็ นกรอบแนวทางในการดาเนินการ โดยเน้ น
     ้                 ่
ที่การมีส่วนร่ วมของทุกภาคส่วน ทังครู นักเรี ยน ผู้ปกครอง และกรรมการสถานศึกษาทังในระดับ
                                 ้                                             ้
การวิเคราะห์สภาพปั ญหา การสร้ างความตระหนัก และการวางแผนร่วมกันอย่างเป็ นระบบ เพื่อให้
แผนการดาเนินงานดังกล่าวเป็ นฉันทามติของทุกฝ่ ายอย่างแท้ จริง


2.2 การจัดการ (Organizing)
         การพัฒนาโรงเรี ยนสู่ Thinking & Doing School นัน ต้ องอาศัยการปรับเปลี่ยนโครงสร้ าง
                                                        ้
การบริ หารจั ด การในโรงเรี ยน ลดล าดั บ ชั น ของการบริ หารจั ด การ กระจายอ านาจ
                                           ้
(Decentralization) ไปยังกลุ่มทางาน (Task force) ต่างๆ เพื่อให้ การจัดการเป็ นไปอย่างคล่องตัว
และเอื ้ออานวยให้ แต่ละกลุ่มงานมีกระบวนการคิดเป็ นและทาเป็ น สามารถแก้ ปั ยหาที่เกิดขึ ้นจริ ง
ในกลุมงานของตนเองได้ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
     ่
         นอกจากนี ้แล้ ว การจัดองค์กรใน Thinking & Doing School ยังต้ องเน้ นให้ เกิดการมีส่วน
ร่ ว มของภาคี ส มาชิ ก ของโรงเรี ย น ทัง ผู้ป กครอง นัก เรี ย น ชุม ชน และกรรมการสถานศึก ษา
                                       ้
ก่อให้ เกิดการมีส่วนร่ วมในการดาเนิ นงานของโรงเรี ยน โดยจัดการให้ มีกรรมการจากภาคีสมาชิก
ของโรงเรี ยนเข้ ามามีสวนในการเสนอแนะ และลงมือทา ร่วมกับครูผ้ สอน และผู้บริ หารสถานศึกษา
                      ่                                      ู
ทังในรูปของคณะทางาน คณะที่ปรึกษา และคณะกรรมการตรวจสอบติดตามประเมินผล
  ้
อย่างไรก็ดี Thinking & Doing School จะไม่สามารถเกิดขึ ้นได้ โดยปราศจากครูผ้ สอนทีู่
เป็ นกลจักรสาคัญในการจัดการเรี ยนการสอนของ Thinking & Doing School ดังนันครูผ้ สอนจึง ้ ู
ต้ องเป็ นผู้ที่ได้ รับการคัดเลื อกมาจากผู้ที่มี ความรู้ ความสามารถ มี ทักษะในกระบวนการคิด มี
ประสบการณ์ ต รงจากด้ า นต่า งๆ ที่ หลากหลาย มี ความเป็ นสหวิทยาการ (Multi-disciplinary)
รวมทังเป็ นผู้ที่มีทศนคติที่ดีตอการจัดการศึกษาโดยเน้ นผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลาง การคัดเลือกครูผ้ สอน
       ้               ั         ่                                                             ู
จึงต้ องดาเนินการอย่างระมัดระวังที่สด และมีการปฐมนิเทศ ฝึ กอบรม ให้ เกิดความเข้ าใจและเห็น
                                       ุ
พ้ องในวิสยทัศน์และพันธกิจของ Thinking & Doing School
           ั

2.3 การนา (Leading)
        การนาใน Thinking & Doing School นัน ผู้นาต้ องเป็ นผู้นาให้ องค์กรเกิ ดการ
                                          ้
เปลี่ยนแปลง แปรสภาพจากองค์กรแบบเดิมที่เน้ นการจัดการเรี ยนการสอนโดยมีครูเป็ นศูนย์กลาง
สอนให้ ท่องจา ขาดการคิดวิเคราะห์ ขาดการลงมือทา จนผู้เรี ยนคิดและทาไม่เป็ น ผู้บริ หารใน
ฐานะของผู้น าองค์ ก รต้ อ งเป็ นตัว แบบในการคิด และลงมื อ ท า เป็ นผู้เ อื อ อ านวยให้ ค รู ผ้ ูส อน
                                                                           ้
บุคลากรอื่นๆ และนักเรี ยนเกิดความคิด และสามารถนาความคิดนันแปรสภาพเป็ นการลงมือทา
                                                         ้
        ผู้บริ หารผู้นาของThinking & Doing school จึงต้ องมีภาวะผู้นาเชิงปฏิรูป (Situational
leadership) ที่สามารถเข้ าใจความเปลี่ยนแปลงในบริ บทที่เปลี่ยนแปลงไปได้ อย่างดี และปรับ
ประยุกต์วิธีการจัดการให้ เหมาะสมสอดคล้ องกับสถานการณ์ ที่เปลี่ยนแปลง ทังนีผ้ ูบริ หารของ
                                                                       ้ ้
Thinking & Doing school ต้ องเป็ นผู้นาเชิงปฏิรูปโดยมีคณลักษณะดังนี ้ (สมยศ นาวีการ,
                                                       ุ
2540:235-6)
        1. มีบารมีซึ่งเกี่ ยวข้ องกับวิสยทัศน์ และจิตสานึกด้ านพันธกิจ มีความสามารถปลูกฝั ง
                                        ั
ความภาคภูมิใจเพื่อให้ ครู ผ้ ูสอน บุคลากรอื่นๆ และผู้เรี ยนเกิดความไว้ วางใจ จงรักภักดี และมี
ความเชื่อถือ
        2. เป็ นผู้สร้ างแรงบันดาลใจโดยการสื่อสารความคาดหวังที่สง การใช้ สญลักษณ์เพื่อสร้ าง
                                                                ู         ั
พลังในการขับเคลื่อน รวมทังการแสดงออกด้ วยวิธีการที่เรี ยบง่ายเพื่อให้ ครู ผ้ สอน บุคลากรอื่นๆ
                         ้                                                   ู
และผู้เรี ยนมีแรงบันดาลใจและมีพลังในการเปลี่ยนแปลง
3. เป็ นผู้กระตุ้นให้ เกิดความคิดเห็น ผ่านการส่งเสริ มให้ ครูผ้ สอน บุคลากรอื่นๆ และผู้เรี ยน
                                                                        ู
มีสวนร่วมเสนอแนะ ร่วมคิด ร่วมทา อย่างมีเหตุมีผล รอบคอบ เพื่อแก้ ปัญหาที่เกิดขึ ้น
   ่


สรุป
        จากแนวคิด Thinking & Doing school เป็ นแนวคิดโรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติที่ม่งเน้ นให้
                                                                           ั ุ
ผู้เ รี ย นเป็ นผู้คิด เป็ น และท าเป็ น มี ค วามรั บ ผิ ด ชอบต่อ การคิด และการปฏิ บัติข องตนเอง ซึ่ ง
กระบวนการสู่โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบตินนต้ องเริ่ มตังแต่การเปลี่ยนผู้บริ หาร ปรับครู ผ้ สอน เพื่อ
                                  ั ั้             ้                                   ู
แปลงไปสู่การเรี ยนรู้ ของผู้เรี ยน อันจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน การใช้ ชีวิต ในความเป็ น
พลเมืองและพลโลกต่อไป โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติจึงอาจถือได้ ว่าเป็ นแนวทางหนึ่งในการพัฒนา
                                           ั
คนให้ มีคณลักษณะที่พงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 ซึงคาดหวังคนดี คนเก่ง คนที่มีความสุข
         ุ          ึ                        ่
        ทังนีเ้ พราะการมีความรู้ เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอถึงแม้ เราจะเข้ าถึงความรู้ ที่สมบูรณ์
          ้
แบบได้ ก็ตาม แต่สุดท้ ายแล้ วเราก็ต้องอาศัยความคิดและการลงมือทาเป็ นเครื่ องจักรกลที่สาคัญ
ในการขับเคลื่อนความรู้ ไปสู่จุดที่เราต้ องการ โรงเรี ยนที่สอนให้ คิดและลงมือทาจึงไม่ไ ด้ หมาย
เพียงแต่การทาให้ นกเรี ยนแต่ละคนเมื่อสาเร็ จการศึกษาออกไปแล้ วมีขีดความสามารถทางการคิด
                  ั
และการปฏิบติที่สูงขึ ้นเท่านัน หากแต่เปาหมายปลายทางของการศึกษาจักต้ องสร้ างให้ เกิดสิ่งที่
          ั                  ้         ้
เรี ยกว่าชุมชนใฝ่ รู้ (Community of Inquiries) และชุมชนนักปฏิบติ (Community of Practices)
                                                              ั
อย่างยังยืนทังในระดับห้ องเรี ยน ทังโรงเรี ยน รวมทังชุมชนรอบข้ าง การศึกษาจึงจะเป็ นโคมส่อง
       ่     ้                     ้               ้
ทางการเปลี่ยนเปลี่ยนได้ อย่างแท้ จริง
        การขับเคลื่อนโรงเรี ยนให้ ออกจากรอบความคิดแบบเดิม ๆ ของการเรี ยนการสอนที่เรา
คุ้นเคยจึงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ ้นได้ โดยง่าย เพียงความคิด ความปรารถนา ความตังใจของใครคนใด
                                                                             ้
คนหนึ่งหรื อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่จะเป็ นความท้ าทายอย่างยิ่งยวดในความหาญกล้ านาการ
เปลี่ยนแปลงอันเกิดความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมอุดมการณ์ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็ น
ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง นักเรี ยนยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 รวมทังภาคส่วน
                                                                               ้
อื่นๆ ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการรังสรรค์การศึกษาให้ ก้าวผ่านสู่หลักชัยใหม่ เพราะในบริ บทเดิม
โรงเรี ยนได้ เป็ นเครื่ องบันทอนสัญชาตญาณที่มีมาแต่กาเนิดของเด็กซึ่งก็คือความกระหายใคร่ ร้ ู
                            ่
และเป็ นพันธนาการของความคิด จากเด็กที่เคยมีชีวิตชีวา สดใส ร่าเริ ง มีจินตนาการอันเต็มเปี่ ยม
และช่างซักช่างถาม แต่เมื่อเข้ ามาอยู่ในระบบโรงเรี ยนเขาเหล่านันได้ กลับกลายเป็ นคนที่เฉื่ อยชา
                                                              ้
ไร้ ความกระตือรื อร้ น ขาดแรงขับที่จะรู้ จะคิด
        จึงเป็ นหน้ าที่ของเราทุกคนที่จะร่ว มสร้ างโรงเรี ยนของเราขึ ้นมาใหม่ เป็ นโรงเรี ยนที่สอนให้
เด็กของเราคิด รู้จกคิด คิดเป็ น และทาเป็ น
                  ั
บรรณานุกรม

เกรี ยงศักดิ์ เจริ ญวงศ์ศกดิ์. 2546, ภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พงประสงค์ .
                         ั                                           ึ
       กรุงเทพมหานครฯ, โครงการวิถีการเรี ยนรู้ของคนไทย, สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
       แห่งชาติ


ชัยอนันต์ สมุทรวาณิช , Thinking School, หนังสือพิมพ์ผ้ จดการออนไลน์ วันที่ 9 สิงหาคม 2552
                                                       ูั
       สืบค้ นจาก http://www.manager.co.th


บรรจง อมรชีวิน. 2554, Thinking School สอนให้ คิด. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์


พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยุตโต). 2542, การศึกษาเพื่อสร้ างบัณฑิตหรื อการศึกษาเพื่อสร้ างผลผลิต,
กรุงเทพฯ: มูลนิธิพทธธรรม
                  ุ


พนม พงษ์ไพบูลย์. 2000, การศึกษาคือปั จจัยที่ 5 ของชีวิต, สืบค้ นจาก
       http://www.moe.go.th/web-panom/article-panom/article10.htm


ไพฑูรย์ สินลารัตน์. 2549, การศึกษาเชิงสร้ างสรรค์ และผลิตภาพ, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์
       มหาวิทยาลัย


ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. 2554, CCPR โมเดล กระบวนทัศน์ ใหม่ ของผู้นาเชิงสร้ างสรรค์
       และผลิตภาพ, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สมยศ นาวีการ. 2540, การบริหารและพฤติกรรมองค์ การ, กรุงเทพมหานคร: ผู้จดการ
                                                                     ั
Thinking and doing school

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

9789740331278
97897403312789789740331278
9789740331278CUPress
 
จิตวิทยาการเรียนรู้(2)
จิตวิทยาการเรียนรู้(2)จิตวิทยาการเรียนรู้(2)
จิตวิทยาการเรียนรู้(2)maymymay
 
คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์
คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์
คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์pimkhwan
 
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญาการพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญาSinghar Kramer
 
1 กระตุกต่อมคิด
1 กระตุกต่อมคิด1 กระตุกต่อมคิด
1 กระตุกต่อมคิดNirut Uthatip
 
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21Teacher Sophonnawit
 
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)kroofon fon
 
Social media in the classroom: Why and how to use it
Social media in the classroom: Why and how to use itSocial media in the classroom: Why and how to use it
Social media in the classroom: Why and how to use itAnucha Somabut
 
จิตวิทยาการเรียนรู้231
จิตวิทยาการเรียนรู้231จิตวิทยาการเรียนรู้231
จิตวิทยาการเรียนรู้231Anny Hotelier
 
013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ วัดไร่ขิง
013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ  วัดไร่ขิง013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ  วัดไร่ขิง
013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ วัดไร่ขิงniralai
 
เอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดี
เอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดีเอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดี
เอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดีSophinyaDara
 
PPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ
PPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธPPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ
PPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธauei angkana
 

Was ist angesagt? (18)

Ch 2
Ch 2Ch 2
Ch 2
 
C
CC
C
 
9789740331278
97897403312789789740331278
9789740331278
 
จิตวิทยาการเรียนรู้(2)
จิตวิทยาการเรียนรู้(2)จิตวิทยาการเรียนรู้(2)
จิตวิทยาการเรียนรู้(2)
 
คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์
คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์
คุณลักษณะครูที่พึงประสงค์
 
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญาการพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และสังคมแห่งปัญญา
 
1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict
1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict
1.best practice วิธีสอนศิลปะ 3 สาระด้วย ict
 
10 km 1
10 km 110 km 1
10 km 1
 
1 กระตุกต่อมคิด
1 กระตุกต่อมคิด1 กระตุกต่อมคิด
1 กระตุกต่อมคิด
 
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21
วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21
 
Instdev
InstdevInstdev
Instdev
 
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
คู่มือบริหารจัดการเวลาเรียน (ปรับปรุงใหม่)
 
Social media in the classroom: Why and how to use it
Social media in the classroom: Why and how to use itSocial media in the classroom: Why and how to use it
Social media in the classroom: Why and how to use it
 
บทท 7
บทท   7บทท   7
บทท 7
 
จิตวิทยาการเรียนรู้231
จิตวิทยาการเรียนรู้231จิตวิทยาการเรียนรู้231
จิตวิทยาการเรียนรู้231
 
013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ วัดไร่ขิง
013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ  วัดไร่ขิง013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ  วัดไร่ขิง
013แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามแนววิถีพุทธ วัดไร่ขิง
 
เอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดี
เอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดีเอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดี
เอกสารประกอบการพิจารณาส่งเสริมและคัดเลือกนวัตกรรมสร้างสรรค์คนดี
 
PPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ
PPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธPPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ
PPT นวัตกรรมการศึกษา7ประเภท : การบริหารจัดการศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ
 

Ähnlich wie Thinking and doing school

Presentation 5
Presentation 5Presentation 5
Presentation 5moohmed
 
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือหลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือwatdang
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slidesharepaewwaew
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slidesharepaewwaew
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slidesharepaewwaew
 
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...Sawittri Phaisal
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7nattawad147
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524gam030
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7wanneemayss
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7benty2443
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8nattawad147
 

Ähnlich wie Thinking and doing school (20)

Presentation 5
Presentation 5Presentation 5
Presentation 5
 
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือหลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
หลักสูตรและวิชาพิเศษลูกเสือ
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slideshare
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slideshare
 
Slideshare
SlideshareSlideshare
Slideshare
 
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
กิจกรรมแนะแนวที่บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่...
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
7 170819173524
7 1708191735247 170819173524
7 170819173524
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 7
บทที่ 7บทที่ 7
บทที่ 7
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 
บทที่ 8
บทที่ 8บทที่ 8
บทที่ 8
 

Mehr von WC Triumph

ระบบบริการสุขภาพภาครัฐ
ระบบบริการสุขภาพภาครัฐระบบบริการสุขภาพภาครัฐ
ระบบบริการสุขภาพภาครัฐWC Triumph
 
2557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 1
2557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 12557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 1
2557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 1WC Triumph
 
2015 lesson 2 planning and decision making
2015 lesson 2 planning and decision making2015 lesson 2 planning and decision making
2015 lesson 2 planning and decision makingWC Triumph
 
2015 lesson 0 an introduction
2015 lesson 0 an introduction2015 lesson 0 an introduction
2015 lesson 0 an introductionWC Triumph
 
2015 lesson 1 history and current concept of management
2015 lesson 1 history and current concept of management2015 lesson 1 history and current concept of management
2015 lesson 1 history and current concept of managementWC Triumph
 
9 การให้สุขศึกษา
9 การให้สุขศึกษา9 การให้สุขศึกษา
9 การให้สุขศึกษาWC Triumph
 
ตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพ
ตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพ
ตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพWC Triumph
 

Mehr von WC Triumph (7)

ระบบบริการสุขภาพภาครัฐ
ระบบบริการสุขภาพภาครัฐระบบบริการสุขภาพภาครัฐ
ระบบบริการสุขภาพภาครัฐ
 
2557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 1
2557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 12557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 1
2557 มคอ 3 การจัดการคลินิกและโรงพยาบาล 1
 
2015 lesson 2 planning and decision making
2015 lesson 2 planning and decision making2015 lesson 2 planning and decision making
2015 lesson 2 planning and decision making
 
2015 lesson 0 an introduction
2015 lesson 0 an introduction2015 lesson 0 an introduction
2015 lesson 0 an introduction
 
2015 lesson 1 history and current concept of management
2015 lesson 1 history and current concept of management2015 lesson 1 history and current concept of management
2015 lesson 1 history and current concept of management
 
9 การให้สุขศึกษา
9 การให้สุขศึกษา9 การให้สุขศึกษา
9 การให้สุขศึกษา
 
ตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพ
ตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพ
ตัวอย่าง การจัดทำโครงการและการประเมินผลด้านสุขภาพ
 

Thinking and doing school

  • 1. โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบัติ Thinking and Doing School วัชรินทร์ จงกลสถิต เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ ว่าเปาหมายสูงสุดของการจัดการศึกษาก็คือการสอนให้ คนรู้จกคิด ้ ั คิดเป็ น และควรจะคิดได้ ดีด้วย เพราลาพังการสอนให้ ร้ ู วิชาการ มีความรู้ แต่เพียงอย่างเดียวไม่ พอเพียงกับการการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปั จจุบนที่มีพลวัตและมีความซับซ้ อนอย่างมาก การ ั ที่คนรู้จกคิดจึงเปรี ยบเสมือนเครื่ องมืออันสาคัญในการฝ่ าด่านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไปได้ ั เมื่อกระแสการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ ้นอย่างรอบด้ านในยุคโลกาภิวตน์ ก่อให้ เกิดผลกระทบทัง ั ้ ทางตรงและทางอ้ อมต่อการดารงชีวิตของมนุษยชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การศึกษาจากเดิมที่เคย เป็ นการดาเนินการด้ วยกระบวนการทุกอย่าง ที่ทาให้ บคคลพัฒนาความสามารถด้ านต่างๆ รวมทัง ุ ้ ทัศนคติและพฤติกรรมอื่ นๆ ตามค่านิ ยมและคุณธรรมในสัง คม (Good. 1973: 202) ได้ ท วี ความสาคัญยิ่งขึ ้นก็ยงคงเป็ นเครื่ องมือสาคัญในการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศชาติให้ ั พร้ อมในความพลเมืองและพลโลก การศึกษาได้ กลายเป็ นนวัตกรรม (อาทิตย์ อุไรรัตน์ ) และเป็ น ปั จจัยที่ 5 ของชีวิต (พนม พงษ์ ไพบูลย์ , 2000) ไม่ใช้ เพียงเรี ยนเพื่อการประกอบวิชาชีพแต่อย่าง เดียวอีกต่อไป การเรี ยนการสอนในยุคโลกาภิวตน์ที่มีองค์ความรู้ อยู่อย่างมากมาย ทังในเอกสาร ั ้ บทความ และสื่อดิจิตอล ทุกๆ ภาคส่วนจึงปรับและเปลี่ยนมโนทัศน์ในการเรี ยนการสอนใหม่ จาก เดิมที่การจัดการเรี ยนการสอนที่มีครู เป็ นศูนย์กลาง ใช้ กระบวนการ “สอนให้ จาทาตามครู ” มา จัดการเรี ยนการสอนโดยมีผ้ เู รี ยนเป็ นศูนย์กลาง สอนและเรี ยนโดยอาศัยบริ บทที่เกี่ยวจ้ องโดยตรง กับวิถีชิวิตของผู้เรี ยน การเรี ยนต้ องทาให้ ผ้ เรี ยนสนุกและเพลิดเพลิน เรี ยนผ่านการเล่น เรี ยนผ่าน ู ชีวิตจริ ง ครูจึงต้ องปฏิรูปการสอนจากที่เดิมเคยเป็ นศูนย์กลางของความรู้ ก็ต้องปรับพฤติกรรมมา เป็ นผู้สนับสนุน (Facilitator) ให้ เกิดการเรี ยนรู้แทน เรามักตระหนักว่าการสอนให้ เด็กรู้ จักคิดเป็ น ทาเป็ นนันเป็ นเรื่ องที่มีความจาเป็ นอย่าง ้ เร่งด่วน และมักฝากภารกิจอันสาคัญยิ่งนี ้ไว้ กบโรงเรี ยน แต่สดท้ ายเราก็มกไม่ได้ สมความปรารถนา ั ุ ั ทังนี ้เพราะโรงเรี ยนต่างๆ ส่วนใหญ่ยงคงยึดแนวทางการจัดการศึกษาแบบเดิมๆ คือ การสอนตาม ้ ั
  • 2. หลักสูตร สอนให้ ท่องจา สอนและประเมินผลโดยการวัดเพียงความรู้จากความจา เราทังหลายคง ้ ยังไม่เข้ าใจดีว่าโรงเรี ยนแบบที่เราปรารถนา ที่สอนให้ เด็กคิดเป็ น ทาเป็ นนันควรเป็ นอย่างไร การ ้ คิด ทักษะการคิด การคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างเป็ นระบบ การคิดเชิงสร้ างสรรค์ การลงมือทา การ สร้ างสรรค์ การสร้ างผลิตภาพ อันเป็ นมาตรฐานทางปั ญญาและทักษะในการใช้ ชีวิตในศตวรรษที่ 21 นี ้คืออะไร และทาอย่างไรเราจะได้ โรงเรี ยนที่ได้ มาซึงสิ่งเหล่านี ้ ่ ได้ มี ผ้ ูนาเสนอตัวแบบโรงเรี ยนไว้ อย่างหลากหลาย ทัง นี เ้ พื่ อให้ ผ้ ูเ รี ยนมี ผ ลสัม ฤทธิ์ ใ น ้ การศึกษาที่สอดคล้ องกับความต้ องการของสังคม อาทิ ด้ านคุณธรรมจริ ยธรรมมีการนาเสนอตัว แบบโรงเรี ยนวิถีพุทธ ด้ านการดารงชีวิตมีการนาเสนอตัวแบบโรงเรี ยนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ขึน เป็ นต้ น เพื่ อให้ เกิดความสมบูรณ์ ของผู้เรี ยน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คุณลักษณะคนไทยที่พึง ้ ประสงค์นันควรประกอบด้ วย มิ ติ 4 ด้ าน ได้ แก่ ด้ านร่ างกาย ด้ านจิ ตใจ ด้ านความรู้ และด้ าน ้ ทักษะความสามารถ เพื่อสร้ างภาพสังคมไทยที่พึงประสงค์ทงสังคมที่มีประสิทธิ ภาพ สังคมที่มี ั้ ความรู้ เป็ นฐานมี ปัญ ญาเป็ นแก่การพัฒ นา สังคมที่มี เอกภาพในความหลากหลาย สัง คมที่ให้ ความสาคัญต่อสิ่งแวดล้ อม สังคมที่ภูมิใจในความเป็ นไทย สังคมที่เน้ นชุมชนวิถี และสังคมที่มี คุณธรรมจริ ยธรรม (เกรี ยงศักดิ์ เจริ ญวงศ์ศกดิ,์ 2546: 13) ดังนันตัวแบบโรงเรี ยนที่เหมาะสมใน ั ้ การพัฒนาวิถีคนไทยเพื่อการพัฒนาอย่างยังยืนจึงควรเป็ นโรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติ (Thinking & ่ ั Doing school) ที่สอน พัฒนาผู้เรี ยนให้ คดเป็ น ทาเป็ น มีความรับผิดชอบ ิ 1. แนวคิดของ Thinking & Doing school โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติ (Thinking & Doing school) เป็ นโรงเรี ยนที่มีแนวคิดมุ่งเน้ นให้ ั ผู้เรี ยนเป็ นผู้คิดเป็ น ทาเป็ น มีใจใฝ่ คิดวิเคราะห์ (Critical thinking mind) โดยการใช้ เครื่ องมือที่มี ความหลากหลาย สามารถวิเคราะห์และเรี ยนรู้ จากสภาพแวดล้ อมที่เ ป็ นอยู่จริ งในชุมชน สังคม และประเทศชาติ ค้ นคว้ า ทดลองและรวบรวมข้ อมูล ด้ วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เ พ่ือหา คาตอบ โดยมีชุมชน (Community) ปั ญหา (Problem) กรณีศึกษา (Case) โครงการ (Project) และการวิจย (Research) เป็ นฐานของการเรี ยนรู้ ครู ผ้ สอนมิใช่ผ้ ที่เป็ นศูนย์ก ลางของความรู้ อีก ั ู ู ต่อไป หากแต่ทาหน้ าที่ประสานและเอื ออานวยให้ ผ้ ูเรี ยนเกิดกระบวนการเรี ยนรู้ ได้ ด้วยการคิด ้ วิเคราะห์ วิพากษ์ และใช้ วิจารณญาณของผู้เรี ยนประกอบกับข้ อมูลที่รวบรวมได้
  • 3. นอกจากนี ้แล้ วแนวคิดของ Thinking & Doing school ยังมุ่งเน้ นให้ ผ้ เู รี ยนนาองค์ความรู้ ที่ เกิดจากการคิดวิเคราะห์มาสร้ างสรรค์ (Creative) ก่อเกิดผลิตภาพ (Productive) ได้ มิใช่เพียงคิด สิ่งที่เป็ นนามธรรม หรื อจินตนาการแต่เพียงอย่างเดียว การจัดการการเรี ยนรู้ ของ Thinking & Doing school จึงต้ องดาเนินการจัดการเรี ยนรู้สการปฏิบติจริ ง คือให้ ผ้ เู รี ยนแปรความรู้จากการคิด ู่ ั มาเป็ นผลิตผล เป็ นรูปธรรม ที่สามารถจับต้ องได้ แก้ ปัญหาที่พบได้ อย่างแท้ จริง การจัดการเรี ยนรู้จึงสามารถทาได้ ในทังในรูปแบบของทัง Project-based, Community- ้ ้ based, Problem-based และ Research-based ซึ่งมีความสนใจของผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลาง ผู้เรี ยนจึงสามารถทังคิดและทาเป็ น ไม่ใช่เพียงคิดได้ และทาได้ เท่านัน ทังนี ้เพราะเปาหมายของ ้ ้ ้ ้ Think & Doing school มุ่งให้ ผ้ เู รี ยนคิดเป็ น และทาเป็ น คือ มีความรับผิดชอบ (Responsibility) ต่อ ความคิด และการกระท า คิด และกระท าในสิ่ ง ที่ มี ป ระโยชน์ ต่อ ตนเอง ชุม ชน สัง คม และ ประเทศชาติ การศึกษาในมุมมองของ Thinking and Doing School จึงมีความหมายที่กว้ างกว่า เพียงการสอนให้ ร้ ู หากแต่เป็ นการเชื่อมต่อของการใช้ ชีวิตในโรงเรี ยน สถาบันการศึกษาที่สูงขึน ้ และมากไปกว่านันคือโลกของความจริ งที่เด็กต้ องใช้ ชีวิตในฐานะของพลเมืองและพลโลกหลังจาก ้ ออกจากโรงเรี ยนไป หรื อหากจะกล่าวให้ เฉพาะเจาะจงไปก็คือ การพัฒนาให้ เกิดความเข้ าใจที่ดีขึ ้น ในเรื่ องที่เกี่ ยวข้ องกับความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งที่สอนในห้ องเรี ยน และความสามารถของเด็กที่มี และที่ควรจะพิจารณาในปั จจุบนและในอนาคตของชีวิตนอกโรงเรี ยนหลังจากนัน ั ้ 2. กระบวนการจัดการสู่ Thinking and Doing School กระบวนการจัดการสู่ Thinking and Doing School มีแนวทางการจัดการโดยใช้ หลักการ POL คือ การวางแผน (Planning) การจัดการ (Organizing) และการนา (Leading) โดยที่ม่ง ุ ปฏิรูปการจัดการเรี ยนรู้ของผู้เรี ยนสูการเป็ นนักคิดนักปฏิบตที่มีความรับผิดชอบ ซึงมีขนตอน ดังนี ้ ่ ัิ ่ ั้ 2.1 การวางแผน (Planning) Thinking & Doing School เริ่มต้ นการจัดการจากการวิเคราะห์สภาพการจัดการเรี ยนการ สอนในปั จ จุบันที่ พ บว่าปั ญ หาที่ เ กี่ ย วข้ องกับการจัด การศึก ษาในปั จ จุบันเกิ ดจากทุก ส่วนของ โรงเรี ยน คือ ผู้เรี ยน ผู้สอน และผู้บริ หาร โดยที่ผ้ เู รี ยนมีสมฤทธิผลในการเรี ยนที่ต่า ไม่สามารถคิด ั
  • 4. ทา และแก้ ปัญหาที่เกิดขึ ้นในชีวิตประจาวันได้ มาตรฐานด้ านจริ ยธรรมตกต่าลง ขณะผู้สอนเองก็ ยัง คงใช้ ก ลวิ ธี ก ารสอนแบบเดิม ๆ เน้ น การสอนโดยมี ผ้ ูส อนเป็ นศูน ย์ ก ลาง สอนเน้ น เนื อ หา ้ (Content based teaching) และไม่สามารถส่งเสริ มให้ ผ้ เู รี ยนบูรณาการสภาพปั ญหาของผู้เรี ยนที่ แท้ จริงมาใช้ ในการเรี ยนรู้ได้ อีกทังผู้บริ หารสถานศึกษายังละเลยต่อการนิเทศการจัดการเรี ยนการ ้ สอนของครู ผ้ สอน ไม่สามารถจัดหาทรัพยากรและสร้ างสภาพแวดล้ อมที่เอื ้ออานวยต่อการเรี ยนรู้ ู ของผู้เรี ยนได้ สภาพปั ญหาดังกล่าวข้ างต้ นจึงนามาสู่กระบวนการวางแผนเพื่อการจัดการศึกษาได้ เน้ นกระบวนการคิดและลงมือทาจริ งของผู้เรี ยน โดยที่ต้องมุ่งปรับทัศนคติ และวิธีการสอนของ ครูผ้ สอนเพื่อส่งเสริมให้ ผ้ เู รี ยนคิดเป็ นและทาเป็ น ู การวางแผนเพื่อพัฒนา โรงเรี ยนสู่Thinking&Doing School นัน ใช้ มาตรฐานการศึกษา ้ ชาติ กรอบแนวทางการการปฏิ รูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 พระราชบัญบัติการศึกษาแห่งชาติฯ รวมทังแผนการดาเนินการสูโรงเรี ยนมาตรฐานสากล เป็ นกรอบแนวทางในการดาเนินการ โดยเน้ น ้ ่ ที่การมีส่วนร่ วมของทุกภาคส่วน ทังครู นักเรี ยน ผู้ปกครอง และกรรมการสถานศึกษาทังในระดับ ้ ้ การวิเคราะห์สภาพปั ญหา การสร้ างความตระหนัก และการวางแผนร่วมกันอย่างเป็ นระบบ เพื่อให้ แผนการดาเนินงานดังกล่าวเป็ นฉันทามติของทุกฝ่ ายอย่างแท้ จริง 2.2 การจัดการ (Organizing) การพัฒนาโรงเรี ยนสู่ Thinking & Doing School นัน ต้ องอาศัยการปรับเปลี่ยนโครงสร้ าง ้ การบริ หารจั ด การในโรงเรี ยน ลดล าดั บ ชั น ของการบริ หารจั ด การ กระจายอ านาจ ้ (Decentralization) ไปยังกลุ่มทางาน (Task force) ต่างๆ เพื่อให้ การจัดการเป็ นไปอย่างคล่องตัว และเอื ้ออานวยให้ แต่ละกลุ่มงานมีกระบวนการคิดเป็ นและทาเป็ น สามารถแก้ ปั ยหาที่เกิดขึ ้นจริ ง ในกลุมงานของตนเองได้ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ่ นอกจากนี ้แล้ ว การจัดองค์กรใน Thinking & Doing School ยังต้ องเน้ นให้ เกิดการมีส่วน ร่ ว มของภาคี ส มาชิ ก ของโรงเรี ย น ทัง ผู้ป กครอง นัก เรี ย น ชุม ชน และกรรมการสถานศึก ษา ้ ก่อให้ เกิดการมีส่วนร่ วมในการดาเนิ นงานของโรงเรี ยน โดยจัดการให้ มีกรรมการจากภาคีสมาชิก ของโรงเรี ยนเข้ ามามีสวนในการเสนอแนะ และลงมือทา ร่วมกับครูผ้ สอน และผู้บริ หารสถานศึกษา ่ ู ทังในรูปของคณะทางาน คณะที่ปรึกษา และคณะกรรมการตรวจสอบติดตามประเมินผล ้
  • 5. อย่างไรก็ดี Thinking & Doing School จะไม่สามารถเกิดขึ ้นได้ โดยปราศจากครูผ้ สอนทีู่ เป็ นกลจักรสาคัญในการจัดการเรี ยนการสอนของ Thinking & Doing School ดังนันครูผ้ สอนจึง ้ ู ต้ องเป็ นผู้ที่ได้ รับการคัดเลื อกมาจากผู้ที่มี ความรู้ ความสามารถ มี ทักษะในกระบวนการคิด มี ประสบการณ์ ต รงจากด้ า นต่า งๆ ที่ หลากหลาย มี ความเป็ นสหวิทยาการ (Multi-disciplinary) รวมทังเป็ นผู้ที่มีทศนคติที่ดีตอการจัดการศึกษาโดยเน้ นผู้เรี ยนเป็ นศูนย์กลาง การคัดเลือกครูผ้ สอน ้ ั ่ ู จึงต้ องดาเนินการอย่างระมัดระวังที่สด และมีการปฐมนิเทศ ฝึ กอบรม ให้ เกิดความเข้ าใจและเห็น ุ พ้ องในวิสยทัศน์และพันธกิจของ Thinking & Doing School ั 2.3 การนา (Leading) การนาใน Thinking & Doing School นัน ผู้นาต้ องเป็ นผู้นาให้ องค์กรเกิ ดการ ้ เปลี่ยนแปลง แปรสภาพจากองค์กรแบบเดิมที่เน้ นการจัดการเรี ยนการสอนโดยมีครูเป็ นศูนย์กลาง สอนให้ ท่องจา ขาดการคิดวิเคราะห์ ขาดการลงมือทา จนผู้เรี ยนคิดและทาไม่เป็ น ผู้บริ หารใน ฐานะของผู้น าองค์ ก รต้ อ งเป็ นตัว แบบในการคิด และลงมื อ ท า เป็ นผู้เ อื อ อ านวยให้ ค รู ผ้ ูส อน ้ บุคลากรอื่นๆ และนักเรี ยนเกิดความคิด และสามารถนาความคิดนันแปรสภาพเป็ นการลงมือทา ้ ผู้บริ หารผู้นาของThinking & Doing school จึงต้ องมีภาวะผู้นาเชิงปฏิรูป (Situational leadership) ที่สามารถเข้ าใจความเปลี่ยนแปลงในบริ บทที่เปลี่ยนแปลงไปได้ อย่างดี และปรับ ประยุกต์วิธีการจัดการให้ เหมาะสมสอดคล้ องกับสถานการณ์ ที่เปลี่ยนแปลง ทังนีผ้ ูบริ หารของ ้ ้ Thinking & Doing school ต้ องเป็ นผู้นาเชิงปฏิรูปโดยมีคณลักษณะดังนี ้ (สมยศ นาวีการ, ุ 2540:235-6) 1. มีบารมีซึ่งเกี่ ยวข้ องกับวิสยทัศน์ และจิตสานึกด้ านพันธกิจ มีความสามารถปลูกฝั ง ั ความภาคภูมิใจเพื่อให้ ครู ผ้ ูสอน บุคลากรอื่นๆ และผู้เรี ยนเกิดความไว้ วางใจ จงรักภักดี และมี ความเชื่อถือ 2. เป็ นผู้สร้ างแรงบันดาลใจโดยการสื่อสารความคาดหวังที่สง การใช้ สญลักษณ์เพื่อสร้ าง ู ั พลังในการขับเคลื่อน รวมทังการแสดงออกด้ วยวิธีการที่เรี ยบง่ายเพื่อให้ ครู ผ้ สอน บุคลากรอื่นๆ ้ ู และผู้เรี ยนมีแรงบันดาลใจและมีพลังในการเปลี่ยนแปลง
  • 6. 3. เป็ นผู้กระตุ้นให้ เกิดความคิดเห็น ผ่านการส่งเสริ มให้ ครูผ้ สอน บุคลากรอื่นๆ และผู้เรี ยน ู มีสวนร่วมเสนอแนะ ร่วมคิด ร่วมทา อย่างมีเหตุมีผล รอบคอบ เพื่อแก้ ปัญหาที่เกิดขึ ้น ่ สรุป จากแนวคิด Thinking & Doing school เป็ นแนวคิดโรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติที่ม่งเน้ นให้ ั ุ ผู้เ รี ย นเป็ นผู้คิด เป็ น และท าเป็ น มี ค วามรั บ ผิ ด ชอบต่อ การคิด และการปฏิ บัติข องตนเอง ซึ่ ง กระบวนการสู่โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบตินนต้ องเริ่ มตังแต่การเปลี่ยนผู้บริ หาร ปรับครู ผ้ สอน เพื่อ ั ั้ ้ ู แปลงไปสู่การเรี ยนรู้ ของผู้เรี ยน อันจะส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน การใช้ ชีวิต ในความเป็ น พลเมืองและพลโลกต่อไป โรงเรี ยนนักคิดนักปฏิบติจึงอาจถือได้ ว่าเป็ นแนวทางหนึ่งในการพัฒนา ั คนให้ มีคณลักษณะที่พงประสงค์ในศตวรรษที่ 21 ซึงคาดหวังคนดี คนเก่ง คนที่มีความสุข ุ ึ ่ ทังนีเ้ พราะการมีความรู้ เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอถึงแม้ เราจะเข้ าถึงความรู้ ที่สมบูรณ์ ้ แบบได้ ก็ตาม แต่สุดท้ ายแล้ วเราก็ต้องอาศัยความคิดและการลงมือทาเป็ นเครื่ องจักรกลที่สาคัญ ในการขับเคลื่อนความรู้ ไปสู่จุดที่เราต้ องการ โรงเรี ยนที่สอนให้ คิดและลงมือทาจึงไม่ไ ด้ หมาย เพียงแต่การทาให้ นกเรี ยนแต่ละคนเมื่อสาเร็ จการศึกษาออกไปแล้ วมีขีดความสามารถทางการคิด ั และการปฏิบติที่สูงขึ ้นเท่านัน หากแต่เปาหมายปลายทางของการศึกษาจักต้ องสร้ างให้ เกิดสิ่งที่ ั ้ ้ เรี ยกว่าชุมชนใฝ่ รู้ (Community of Inquiries) และชุมชนนักปฏิบติ (Community of Practices) ั อย่างยังยืนทังในระดับห้ องเรี ยน ทังโรงเรี ยน รวมทังชุมชนรอบข้ าง การศึกษาจึงจะเป็ นโคมส่อง ่ ้ ้ ้ ทางการเปลี่ยนเปลี่ยนได้ อย่างแท้ จริง การขับเคลื่อนโรงเรี ยนให้ ออกจากรอบความคิดแบบเดิม ๆ ของการเรี ยนการสอนที่เรา คุ้นเคยจึงไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ ้นได้ โดยง่าย เพียงความคิด ความปรารถนา ความตังใจของใครคนใด ้ คนหนึ่งหรื อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่จะเป็ นความท้ าทายอย่างยิ่งยวดในความหาญกล้ านาการ เปลี่ยนแปลงอันเกิดความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และร่วมอุดมการณ์ของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็ น ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง นักเรี ยนยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 รวมทังภาคส่วน ้ อื่นๆ ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันในการรังสรรค์การศึกษาให้ ก้าวผ่านสู่หลักชัยใหม่ เพราะในบริ บทเดิม โรงเรี ยนได้ เป็ นเครื่ องบันทอนสัญชาตญาณที่มีมาแต่กาเนิดของเด็กซึ่งก็คือความกระหายใคร่ ร้ ู ่ และเป็ นพันธนาการของความคิด จากเด็กที่เคยมีชีวิตชีวา สดใส ร่าเริ ง มีจินตนาการอันเต็มเปี่ ยม
  • 7. และช่างซักช่างถาม แต่เมื่อเข้ ามาอยู่ในระบบโรงเรี ยนเขาเหล่านันได้ กลับกลายเป็ นคนที่เฉื่ อยชา ้ ไร้ ความกระตือรื อร้ น ขาดแรงขับที่จะรู้ จะคิด จึงเป็ นหน้ าที่ของเราทุกคนที่จะร่ว มสร้ างโรงเรี ยนของเราขึ ้นมาใหม่ เป็ นโรงเรี ยนที่สอนให้ เด็กของเราคิด รู้จกคิด คิดเป็ น และทาเป็ น ั
  • 8. บรรณานุกรม เกรี ยงศักดิ์ เจริ ญวงศ์ศกดิ์. 2546, ภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พงประสงค์ . ั ึ กรุงเทพมหานครฯ, โครงการวิถีการเรี ยนรู้ของคนไทย, สานักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ ชัยอนันต์ สมุทรวาณิช , Thinking School, หนังสือพิมพ์ผ้ จดการออนไลน์ วันที่ 9 สิงหาคม 2552 ูั สืบค้ นจาก http://www.manager.co.th บรรจง อมรชีวิน. 2554, Thinking School สอนให้ คิด. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์ พระธรรมปิ ฎก (ป.อ. ปยุตโต). 2542, การศึกษาเพื่อสร้ างบัณฑิตหรื อการศึกษาเพื่อสร้ างผลผลิต, กรุงเทพฯ: มูลนิธิพทธธรรม ุ พนม พงษ์ไพบูลย์. 2000, การศึกษาคือปั จจัยที่ 5 ของชีวิต, สืบค้ นจาก http://www.moe.go.th/web-panom/article-panom/article10.htm ไพฑูรย์ สินลารัตน์. 2549, การศึกษาเชิงสร้ างสรรค์ และผลิตภาพ, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และคณะ. 2554, CCPR โมเดล กระบวนทัศน์ ใหม่ ของผู้นาเชิงสร้ างสรรค์ และผลิตภาพ, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมยศ นาวีการ. 2540, การบริหารและพฤติกรรมองค์ การ, กรุงเทพมหานคร: ผู้จดการ ั