Anzeige

แสงแห่งธรรม12

MI
media at MI um MI
26. Mar 2018
Anzeige

Más contenido relacionado

Último(20)

Anzeige

แสงแห่งธรรม12

  1. อย่าสาคัญว่าตนเอง เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง จนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ยังไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร อย่าสาคัญว่าตนเอง เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง จนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ยังไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร 1/2
  2. เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรมคาสอน จะเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุผล ไม่ทาตามความอยาก เมื่อพยายามฝ่าฝืนให้เป็นไปตามทางของนักปราชญ์ได้ จะประสบผลคือความสุขในปัจจุบันทันตา แม้จะมิได้เป็นเจ้าของเงินล้าน แต่มีทางได้รับความสุขจากสมบัติและ ความประพฤติดีของตน 2/2
  3. ท่านทั้งหลาย จงอย่าทาตัวเป็นตัวบุ้งตัวหนอน คอยกัดแทะกระดาษแห่งคัมภีร์ใบลานเปล่าๆ โดยไม่สนใจพิจารณาสัจธรรมอันประเสริฐ ที่มีอยู่กับตัว แต่มัวไปยึดธรรมที่ศึกษามาถ่ายเดียว ซึ่งเป็นสมบัติของพระะพุทธเจ้า มาเป็นสมบัติของตน ด้วยความเข้าใจผิดว่าตนเรียนรู้ และฉลาดพอตัวแล้ว ทั้งที่กิเลสยังกองเต็มหัวใจยิ่งกว่าภูเขาไฟ มิได้ลดน้อยลงบ้างเลย จงพากันมีสติคอยระวังตัว อย่าให้เป็นคนประเภทใบลานเปล่าๆ เรียนเปล่าและตายทิ้งเปล่า ไม่มีธรรมอันเป็นสมบัติของตัว อย่างแท้จริงติดตัวบ้างเลย
  4. การปล่อยวาง สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรทาความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้กระทาความผูกพันและหมายมั่นให้สิ่งนั้น กลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทาความสาคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงนั้น เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีต ปล่อยไว้ตามอดีต อนาคต ปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นจะสาเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทาได้ไม่สุดวิสัย
  5. ผู้เห็นคุณค่าของตัว ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงเห็นคุณค่าของผู้อื่น ว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทาลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทาลายขันธ์ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่าเพราะอานาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้วควรจดจาให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน
  6. การรักษาศีล ศีลนั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่าผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคน มีแต่กายจะทาอะไรได้ ร่างกายกับจิต ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่างๆมีโทษต่างๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียน ไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลง กายกับจิตเราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทาให้เป็นศีลก็รีบทา ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่กี่กาลก็ได้ผลไม่กี่กาล ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจ กล้าหาญ ผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้มีศีลจักมั่งคั่ง ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวร หมดภัย
  7. หลวงปู่มั่นตอบคาถามเรื่องการรักษาศีล และอะไรคือศีลอย่างแท้จริง ศีลที่แท้จริง คือความคิดในแง่ต่างๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจให้เป็นไปตามขอบเขตของ ศีลธรรม ที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมา ชื่อว่า มีสภาพปกติ ไม่คะนองกาย วาจา ใจ ให้เป็นกิริยาน่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่า อะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือน ซึ่งเป็นคนละอย่างที่พอแยกกันออกได้ไม่ยากนัก ว่านั่นคือตัวบ้านเรือน และนั่นคือเจ้าของบ้าน
  8. ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลาบาก เฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้ แม้แต่ผลคือความเย็นใจ ที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกกันไม่ออก ถ้าแยกออกได้ ศีลก็อาจกลายเป็นสินค้า มีเกลื่อนตามตลาดไปนานแล้ว และอาจมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยง จากตัวไปหลายรายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อน แก่เจ้าของเช่นเดียวกับสมบัติอื่นๆ ทาให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอา ที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน เพราะได้มาแล้วก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้น ความไม่รู้ “อะไรเป็นศีลธรรมแท้” จึงเป็นอุบายวิธีหลีกภัยอันเกิดแก่ผู้มีศีลได้อย่างหนึ่ง อย่างแยบยลและเย็นใจ อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกสบาย ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย ตัวจะตายจากศีล กลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีล เช่นเดียวกับคนที่เป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้
  9. กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ ส่วนเครื่องส่งเสริมและกดถ่วงกิเลสและธรรมนั้น มีอยู่ทั่วไปทั้งภายในภายนอก ฉะนั้น ท่านจึงสอนให้หลบหลีกปลีกตัว จากสิ่งยั่วยวน กวนใจ อันจะทาให้กิเลสที่มีอยู่ภายในกาเริบลาพอง มี รูป เสียง เป็นต้น และสอนให้เที่ยวอยู่ในที่วิเวกสงัด เพื่อกาจัดกิเลสชนิดต่างๆ ด้วยความเพียรได้ง่ายขึ้น อันเป็นการย่นวัฏฏะภายในใจให้สั้นเข้า
  10. พวกเราทั้งหลาย จงรีบเร่งปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม เหมือนไฟกาลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลัน ให้จิตใจเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏสงสาร ทั้งโลกภายในคือหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ทั้งโลกนอกที่รวมลงเป็นสังขารโลก ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาติดต่ออยู่ไม่มีกลางวันกลางคืนเถิด ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์ ก็จะต้องได้รับแบบเย็นๆ และแยบคายด้วย จะเป็นสัมมาวิมุตติ และสัมมาญาณะถ่องแท้ ไม่ต้องสงสัยดอก พระธรรมเหล่านี้ ไม่ล่วงไปไหน มีอยู่ทรงอยู่ในปัจจุบันจิตในปัจจุบันธรรม ที่เธอทั้งหลายตั้งไว้ที่หน้าสติหน้าปัญญา อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหละ
  11. จิตที่ได้รับการอบรมที่ถูกต้องแล้ว ปัญญาย่อมเกิดขึ้น จะมองดูอะไรก็เป็น “นิยายนิกธรรม” ทั้งสิ้น ส่วนผู้ไม่ได้รับการอบรมจิตที่ถูกต้อง ปัญญาแท้จริงก็ไม่เกิด แม้ผู้นั้นกาลังจับพระไตรปิฎกอ่านอยู่ ก็ไม่เป็นผล ยิ่งทาให้เกิดความลังเลสงสัยตลอดไป ส่วนผู้มีปัญญาอบรมมาด้วยจิตที่ถูกต้อง แม้จะไม่ต้องจับพระไตรปิฎก แต่ก็น้อมเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นธรรม เป็นยอดพระไตรปิฎกได้
  12. ความไม่ยั่งยืน เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่ คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ คือชีวิตที่อยู่ด้วยทาน ศีล เมตตา และกตัญญู ชีวิตที่มีความดี อาจมิใช่ความยิ่งใหญ่ แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น
  13. ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยการงาน ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ธรรมชาติของดีทั้งหลาย ย่อมเกิดมาแต่ของไม่ดี อุปมาดั่งดอกประทุมชาติอันสวยๆ งามๆ ก็เกิดจากโคลนตมอันเป็นของสกปรก
  14. เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิ ดังที่ทราบอยู่แก่ใจ อย่าลืมตัวลืมวาสนา โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเรา ที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลง และกลับกลายหายไปเป็นชาติที่ต่าทราม ท่านจึงสอน ไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ หรือกาลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้น หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆ ไม่มีใครมีอานาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดี กรรมชั่ว เรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น
  15. ทาน - ศีล - ภาวนา เป็นรากเหง้าของความเป็นมนุษย์ และเป็นรากเหง้าของพระศาสนา ที่มนุษย์ต้องคอยสั่งสมให้มาอยู่ในนิสัย ทาน...เป็นเครื่องแสดงน้าใจ เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ศีล...เป็นเครื่องปัดเป่าความคิดของผู้มีกิเลส ภาวนา...อบรมใจให้ฉลาดเที่ยงตรงต่อเหตุผล และความถูกต้อง ผู้เป็นหัวหน้างาน หรือมีภารกิจมาก ควรหันมาฝึกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการภาวนาช่วยแก้ ความยุ่งยากลาบากใจทุกประเภทที่เป็นภาระหนัก หากปล่อยใจโดยไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง คงไม่ได้รับความสุข แม้จะมีสมบัติก่ายกอง
Anzeige