More Related Content
Similar to วิจัยในชั้นเรียน
Similar to วิจัยในชั้นเรียน (20)
วิจัยในชั้นเรียน
- 1. วิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง
การพัฒนาความสามารถทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์สำาหรับ
นักเรียน
ที่เรียนอ่อน โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้น
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ผู้วิจัย
ครูวาสนา พุ่มผกา
กลุมสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
่
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550
- 2. การวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550
เรื่อง การพัฒนาความสามารถทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์
สำาหรับนักเรียนที่เรียนอ่อน
ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เอกสารประกอบการ
เรียนที่สร้างขึ้น
ชื่อผู้วิจัย นางวาสนา พุ่มผกา
1. สภาพปัญหาและความจำาเป็น
จากการสอนวิชาคอมพิวเตอร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
พบว่า มีนักเรียนจำานวน
12 คน ขาดทั กษะการปฏิ บั ติงานในแต่ ละเนื้ อ หาที่ ถู ก ต้ อ งและ
บางคนไม่สามารถปฏิบัติได้เลย เป็นผลทำา ให้ไม่มีงานส่งครู หรือ
บางคนมี ง านส่ ง แต่ ผ ลงานอยู่ ใ นเกณฑ์ ต้ อ งปรั บ ปรุ ง เมื่ อ ครู ซั ก
ถามในประเด็ น หรื อ เนื้ อ หาที่ สำา คั ญ ของการเรี ย นแต่ ล ะครั้ ง
นักเรียนไม่สามารถตอบคำาถามได้ถูกต้อง
จากปั ญ หาที่ พ บ ผู้ วิ จั ย จึ ง สนใจที่ จ ะแก้ ไ ขปั ญ หาโดยการ
สร้างเอกสารประกอบการเรียนขึ้นมา เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ
บ่ อ ยๆ จากเนื้ อ หาที่ จั ด ลำา ดั บ ความง่ า ยไปยากและเพื่ อ ให้ เ กิ ด
ความชำา นาญในการใช้ คำา สั่ ง ซึ่ ง เป็ น พื้ น ฐานของการเรี ย นวิ ช า
คอมพิวเตอร์ในระดับสูงต่อไป
2. วัตถุประสงค์ในการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานของนักเรียนให้ถูก ต้อ ง
ตามวิธีการและขั้นตอนยิ่งขึ้น
2. เพื่อให้นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนอ่อน
มีผลการเรียนที่ดีขึ้น
3. สมมติฐานสำาหรับการวิจัย
นั ก เรี ย นมี ผ ลสั ม ฤทธิ์ ท างการเรี ย นหลั ง การใช้ เ อกสาร
ประกอบการเรียนสูงกว่าก่อนการใช้เอกสารประกอบการเรียน
4. ขอบเขตของการวิจัย
1.ในการวิจัยพัฒนาครั้งนี้เป็นการสร้างเอกสารประกอบการ
เรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
- 3. 2. ประชากรในการวิ จั ย ครั้ ง นี้ คื อ นั ก เรี ย นระดั บ ประถม
ศึ ก ษาปี ที่ 5 ที่ เ รี ย นอ่ อ น จำา นวน 12 คน ของโรงเรี ย นอั ส
สัมชัญศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550
- 4. 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. สามารถใช้เอกสารประกอบการเรียนในการพัฒนาความ
สามารถทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ สำาหรับเด็กเรียนอ่อนใน
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
2. นักเรียนมีพฒนาการในการปฏิบัติงานได้ถูกต้องตามวิธี
ั
การและขั้นตอนดีขึ้นหลังการฝึก
6. วิธีดำาเนินการวิจัย
1. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จำานวน 12 คน
2. ตัวแปรที่ศึกษา
2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ เอกสารประกอบการเรียน
2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถทางการเรียน
คอมพิวเตอร์ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 5
3. วิธีการนำาไปใช้ ใช้เอกสารประกอบการเรียนในการฝึก
1 ภาคเรียน ปีการศึกษา 2550 โดยมีการทดสอบทักษะความ
สามารถทางการเรียน ดังนี้
3.1 ทดสอบวัดความสามารถในการเรียนก่อนการฝึก
1 ครั้ง
3.2 ทดสอบความสามารถในการฝึกปฏิบัติเป็นระยะ ๆ
เมื่อจบขั้นตอนการฝึกแต่
ละเนื้อหา
3.3 ทดสอบวัดความสามารถในการเรียนหลังการฝึก
1 ครั้ง
4. การเก็บรวบรวมข้อมูล
ข้อมูล/ผลที่จะ วิธีการ เครื่องมือ จำานวนครั้ง/
เก็บ ระยะเวลาที่
เก็บ
คะแนนความ การทดสอบ แบบทดสอบ ทดสอบ 2 ครั้ง
สามารถในการ จำานวน 1 ก่อนการฝึก 1
เรียนคอมพิวเตอร์ ฉบับ ครั้ง หลังการ
ฝึก 1 ครั้ง
- 5. 5. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
5.1หาค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถทางการเรียน
คอมพิวเตอร์ก่อนและหลังการ ฝึก
5.2เปรียบเทียบคะแนนความแตกต่างระหว่างก่อนฝึก
และหลังฝึกเป็นรายบุคคล
5.3หาค่าร้อยละจำานวนนักเรียนที่มีข้อบกพร่องในการ
เรียนคอมพิวเตอร์ด้านต่างๆ
6. สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย
สรุปผล
ภายหลังการพัฒนาความสามารถทางการเรียนคอมพิวเตอร์
สำาหรับเด็กนักเรียนมีความสามารถในการเรียนคอมพิวเตอร์อ่อนใน
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้เอกสารประกอบการเรียน
ปรากฏว่านักเรียนมีการพัฒนาความสามารถทางการเรียนดีขึ้น
อภิปรายผล
จากผลการใช้เอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้น ปรากฏว่า
นักเรียนมีความสามารถในการเรียนคอมพิวเตอร์ดีขึ้น ซึ่งเมื่อ
พิจารณาความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียน พบว่า นักเรียน
สามารถพัฒนาได้ตามระยะเวลาและจำานวนกิจกรรมที่ฝึก และเมื่อ
สิ้นสุดการฝึก พบว่า นักเรียนมีทักษะการปฏิบัติและทักษะการจัด
องค์ประกอบต่างๆ ของผลงานดีขึ้น ทังนี้อาจเป็นเพราะเครื่อง
้
มือที่ใช้ในการพัฒนามีการจัดลำาดับความยากง่ายที่เหมาะสมกับผู้
เรียน แสดงว่าเอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้นนี้ ช่วยให้
นักเรียนมีความสามารถทางการเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ดีขึ้น
ข้อเสนอแนะ
ควรฝึกเพิ่มเติมให้กับนักเรียนที่ยงมีข้อบกพร่องในด้าน
ั
ทักษะการปฏิบัติ โดยปรับเปลี่ยนกิจกรรมให้เหมาะสมกับลักษณะ
ของข้อบกพร่องนั้นๆ