More Related Content
Similar to การใช้สูตรในการคำนวณ โปรแกรม Microsoft Excel (20)
การใช้สูตรในการคำนวณ โปรแกรม Microsoft Excel
- 1. โปรแกรม Microsoft Excel 2003 เป็นโปรแกรมที่ใช้
สาหรับการคานวณ โดยมีเครื่องมือให้ใช้มากมาย ทังในรูปของ
สูตรหรือฟังก์ชันสามารถใช้ในรูปแบบอัตโนมัติ หรือสามารถ
กาหนดให้ด้วยตนเอง โดยที่สูตรเราจะหมายถึงการคานวณทาง
คณิตศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์
เครื่องหมายในการเปรียบเทียบ เชื่อมข้อความและการอ้างอิง
เช่น การบวก ลบ คูณ หาร เป็นต้น ส่วนฟังก์ชัน เราจะ
หมายถึง คาสั่งสาเร็จรูปที่ใช้ในการคานวณ เช่น Sum
Average Min Max ฯลฯ
- 2. ชนิดของสูตร
1. สูตรในการคานวณทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Formula)
เครื่องหมาย ความหมาย ตัวอย่างสูตร
+ บวก =40 + 10 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 50
- ลบ = 40 – 10 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 30
* คูณ =40*2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 80
/ หาร = 40/2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 20
% เปอร์เซ็นต์ = 40% จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 0.4
^ ยกกาลัง =40^2 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ 1600
โปรแกรม Microsoft Excel 2003 แบ่งชนิดของสูตร
ออกเป็น 4 ชนิด คือ
- 3. ชนิดของสูตร
2. สูตรในการเปรียบเทียบ (Comparision Formula) )
เครื่อง
หมาย
ความหมาย ตัวอย่างสูตร
= เท่ากับ = 40=30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False
> มากกว่า =40>30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ True
< น้อยกว่า =40<30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False
>= มากกว่าหรือเท่ากับ =40>=30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ True
<= น้อยกว่าหรือเท่ากับ =40<=30 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False
< > ไม่เท่ากับ 40< >40 จะได้ผลลัพธ์เท่ากับ False
- 5. ชนิดของสูตร
4. สูตรในการอ้างอิง (Text Formula)
เครื่องหมาย ความหมาย ตัวอย่างสูตร
: (Colon)
เว้นวรรค
(Insection)
, (Comma)
บอกช่วงของข้อมูล
กาหนดพื้นที่ทับกัน 2 ช่วง
เอาข้อมูลทั้ง 2 ช่วงมาเชื่อมต่อกัน
=(B1:B5)
=SUM(B1:C1 D1:E5)
=Sum(C1:C5,D7:D8)
- 10. การป้ อนสูตรในการคานวณ1. คลิกเมาส์เลือกเซลล์ที่จะป้อนสูตรคานวณหาผลรวม
2. พิมพ์เครื่องหมาย = ตามด้วยตาแหน่งของเซลล์ที่ต้องการ
นามาคานวณหาผลรวม เช่น =D4+D5+D6+D7+D8
3. กด Enter เมื่อเขียนสูตรเสร็จ ถ้าพิมพ์สูตรผิด Excel ไม่
สามารถคานวณได้ จะแสดง ERR! ในเซลล์ที่ใช้สูตรคานวณ
นั้น
การป้ อนสูตรคานวณในแถบสูตร คลิกที่เซลล์ต้องการป้อนสูตร
พิมพ์สูตรคานวณในแถบสูตรกด Enter
- 12. สรุปการป้ อนสูตรในการคานวณ
1. ถ้าค่าที่คานวณเป็นตัวเลขเกิน 10หลัก และรูปแบบตัวเลขเป็นแบบทั่วไป คอมพิวเตอร์
จะเขียนให้เป็นเลขยกกาลัง เช่น 8.98 E + 10107 ถ้าต้องการให้แสดงเป็นตัวเลขปกติ
ต้องเปลี่ยนรูปแบบเซลล์เป็นแบบตัวเลข
2. ถ้านาข้อมูลต่างประเภทกันมาคานวณ คอมพิวเตอร์จะแจ้งข้อความว่าผิดพลาดเป็น #
VALUE
3. ข้อมูลประเภทตัวอักษรในแต่ละเซลล์นามาเชื่อมกันได้โดยใช้เครื่องหมาย &
4. ถ้าใช้สัญลักษณ์ในการคานวณที่คอมพิวเตอร์ไม่รู้จักจะแจ้งการผิดพลาดเป็น
#NAME ถ้าอ้างอิงไม่ถูกต้อง #REF!
5. การเปรียบเทียบค่าระหว่างเซลล์ คอมพิวเตอร์จะแจ้งว่า จริง (True) หรือไม่จริง
(False) เท่านั้น
- 18. การอ้างอิงแบบผสม
วิธีที่ 2
1. เลือกเซลล์ที่ต้องการเปลี่ยนการอ้างอิง
2. กดปุ่ม F2 เพื่อขอแก้ไขสูตร และกดปุ่ม
F4 จะปรากฏชนิดของการอ้างอิงแต่
ละชนิดตามที่ต้องการ โดยจะมีรูปแบบ
ของการใส่เครื่อง $ กากับเซลล์
3. กด Enter เมื่อเลือกชนิดตามที่
ต้องการได้แล้ว
วิธีที่ 1
1. เลือกเซลล์ที่ต้องการเปลี่ยน
การอ้างอิง
2. พิมพ์เปลี่ยนการอ้างอิงที่แถบ
ของสูตรตามที่ต้องการ
3. กด Enter
- 20. การใช้ฟังก์ชันในตาราง
ฟังก์ชัน (Function) หมายถึงสูตรพิเศษที่โปรแกรมสร้างไว้เพื่อให้คานวณค่า
ต่าง ๆ ตามจุดประสงค์ การใช้ฟังก์ชัน จะช่วยให้เขียนสูตรในการคานวณได้สั้นและง่าย
ขึ้น ตัวอย่าง เช่น หากต้องการรวมค่าจากเซลล์ A1 ถึง A5 แทนที่จะพิมพ์สูตร
=A1+A2+A3+A4+A5 ก็ใช้ฟังก์ชัน =SUM(A1:A5) หรือ การจะหา
ค่าเฉลี่ย สามารถหาได้จากผลรวมของทุกเซลล์หารด้วยจานวนทั้งหมดใส่สูตร =(
A1+A2+A3+A4+A5 )/5 หรือจะใช้ =SUM(A1:A5)/5 สามารถใช้ฟังก์ชัน
=AVERAGE(A1:A5) แทนได้
- 22. แนะนาส่วนประกอบของฟังก์ชัน
ใน Excel มีฟังก์ชันมากกว่า 300 ฟังก์ชัน สาหรับทาหน้าที่ต่าง ๆ อาทิ เช่น การ
คานวณตัวเลข การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติและการเงิน ฟังก์ชันที่เกี่ยวกับตัวเลขและ
ตัวอักษร ฟังก์ชันเกี่ยวกับวันที่และเวลา ฟังก์ชันการจัดการฐานข้อมูล เป็นต้น ซึ่ง
ฟังก์ชันแต่ละตัวนั้นอาจมีรายละเอียดการใช้งานที่แตกต่างกันไป แต่พอสรุป
ส่วนประกอบได้ดังนี้
- 24. การใช้งานฟังก์ชันมีด้วยกัน 2 วิธี คือการใส่ฟังก์ชันด้วยตนเอง
หรือการใส่ฟังก์ชันวิซาร์ด
วิธีที่ 1 การใส่ฟังก์ชันด้วยตนเอง
1. คลิกเลือกเซลล์ที่ต้องหาผลลัพธ์โดยการใช้ฟังก์ชัน
2. ใส่เครื่องหมายเท่ากับ ( = ) ตามด้วยชื่อของฟังก์ชันและใส่วงเล็บ
ภายในขอบเขตของช่วงที่ต้องการหา
3. กด Enter
- 25. วิธีที่ 2 การใส่ฟังก์ชันวิซาร์ด
1. คลิกที่คาสั่งแทรก (Insert) บนเมนูบาร์ เลือกคาสั่ง ฟังก์ชัน (Function)
2. จะเกิดกรอบโต้ตอบ แทรกฟังก์ชัน (Insert Functions)คลิกเลือก
รูปแบบฟังก์ชันที่ต้องการ
- 27. ฟังก์ชันที่ควรรู้จัก
=AVERAGE(D5:D20) หมายถึง ค่าเฉลี่ยของค่าที่อยู่ในช่วงเซลล์ D6 ถึง D20
=MAX(D6:D20) หมายถึง ค่าสูงสุดของค่าที่อยู่ในช่วงเซลล์ D6 ถึง D20
=MIN(D6:D20) หมายถึง ค่าต่าสุดของค่าที่อยู่ในช่วงเซลล์ D6 ถึง D20
=STDEVP(D6:D20) หมายถึง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของคาในช่วงเซลล์ D6ถึงD20
=COUNTIF(ช่วงเขตข้อมูล,ค่าที่ต้องการนับ) เช่น
=COUNTIF($J$6:$J$20,4) หมายถึง ช่ว 16 ถึง J20 มีเลข 4 กี่เซลล์ (ให้ค่าเป็นจานวนนับ)
=RANK(I6,I$6:I$20,0) หมายถึง ค่าลาดับของตัวเลขในเซลล์ I6 ที่อยู่ในรายการตัวเลข
ในช่วงเซลล์ I6 ถึง I20 ส่วนตัวเลขศูนย์เป็นการระบุวิธีการจัดเรียงรายการตัวเลขในช่วงที่
กาหนดจากมากไปหาน้อย(ถ้าเป็นค่าอื่นที่ไม่ใช่ศูนย์จะเป็นการจัดเรียงรายการ
=IF(เงื่อนไข,ค่าที่แสดงเมื่อเงื่อนไขจริง,ค่าที่แสดงเมื่อเงื่อนไขเท็จ) เช่นตัวเลขจากน้อยไปมาก
=IF(I6>=80,4,IF(I6>=70,3,IF(I6>=60,2,IF(I6>=50,1,0)))) หมายถึง การหาผลการเรียนตาม
เงื่อนไข โดยให้คะแนนรวมอยู่ในเซลล์ I6
- 32. 2. การหาปีเกิด ของสมาชิก เป็นปี ค.ศ.
ส่งค่า วัน เดือน ปี เกิดของสมาชิก ซึ่งจากตัวอย่าง อยู่ในช่อง C2 เข้าฟังก์ชั่น
YEAR() เพื่อ คานวณหาปีเกิด ดังนี้
YEAR(C2)
แต่เนื่องจาก ค่าที่ได้คือ ค.ศ. 2525 จึงต้องลบออกเสีย 542 ปี เพื่อให้ถูกต้อง จึงเป็น
YEAR(C2)-543
- 33. 3. การคานวณหาอายุ
นาค่าที่ได้จาก 2 ไปลบออกจาก 1 ก็จะได้ จานวนปีของสมาชิกรายนี้
วิธีการ
1. คลิกที่ช่อง D2 ซึ่งจะบอกจานวนปี
2. พิมพ์ สูตรเพื่อคานวณหาอายุ ในช่อง Formula Bar ดังนี้ พิมพ์วันเดือนปีเกิด
C3 และพิมพ์สูตรที่ D3 =YEAR(TODAY())-(YEAR(C3)-543)
- 35. 4. การหาส่วนต่าง ระหว่างเวลา
ก็คือ DateDif( วันเริ่ม , วันสุดท้าย , ประเภทของช่วงเวลาที่ต้องการ )
ให้ B2 เป็นวันเริ่มต้น แล้ว C2 เป็นวันสุดท้ายสังเกตประเภทของช่วงเวลาที่เรา
ต้องการหาจะเปลี่ยนไป
1. หาจานวนปี =DATEDIF(B2,C2,"Y")
2. หาจานวนเดือน =DATEDIF(B2,C2,"YM")
3. หาจานวนวัน =DATEDIF(B2,C2,"MD")