Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie ลูกลืมพ่อแม่ กระแตลืมป่า
Ähnlich wie ลูกลืมพ่อแม่ กระแตลืมป่า (8)
ลูกลืมพ่อแม่ กระแตลืมป่า
- 2. 2
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
จาก....วันวาน
“การศึกษาย่อมเป็นการส�ำคัญยิ่ง และเป็นต้นเหตุแห่งความเจริญของชาติ
บ้านเมือง ผู้ใดอุดหนุนการศึกษา ก็ได้ชื่อว่า อุดหนุนชาติบ้านเมืองด้วย เราตั้งใจที่จะ
ทะนุบ�ำรุงการศึกษาชาติ บ้านเมืองเราอยู่เสมอประเทศทั้งหลายย่อมเจริญได้ด้วยการ
ศึกษาประเทศใดปราศจากการศึกศึกษาประเทศนั้นต้องเป็นป่าเถื่อน”
ข้ อ ความข้ า งต้ น เป็ น พระราชด� ำ รั ส ของพระบาทสมเด็ จ พระมงกุ ฎ เกล้ า
เจ้าอยู่หัว ที่ตรัสไว้เพื่อเป็นการสนับสนุน ให้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประถม
ศึกษา พุทธศักราช 2464 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ที่มีพระราชบัญญัติประถมศึกษาแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ.2464 และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเสนาบดีกระทรวง
ศึกษาธิการ ในขณะนันได้กล่าวไว้วา “มณฑลอุบลอันเป็นมณฑลปลายพระราชอาณาเขต
้
่
และติดต่อกับประเทศฝรั่งเศสการศึกษาส�ำหรับที่เช่นนี้จึงจ�ำเป็นต้องเร่งรัดมาก ”
และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ยังได้กล่าวสนับสนุน นโยบายที่จะส่งเสริมให้
คนไทยหันมาประกอบอาชีพอื่นนอกจากอาชีพราชการว่า “ส�ำหรับประเทศสยาม
เป็นประเทศเพาะปลูก อาชีพของราษฎรย่อมเป็นไปในทางกสิกรรม หัตถกรรม และ
พาณิชยกรรม เป็นแต่เครืองประดับ แต่การจักก็เป็นการยากทีจะเป็นผลส�ำเร็จเพือจะได้ไป
่
่
่
เป็นเสมียนการจัดโรงเรียนเพาะปลูกจะประสบผลส�ำเร็จได้โดยการออกพระราชบัญญัติ
ประถมศึกษาเท่านั้น ”
“จะให้การศึกษาของกุลบุตรกุลธิดา ตามชนบทที่ยังไม่ได้รับการศึกษาก้าวหน้า
ขึนไป ทังยังเป็นการส่งเสริมหลักนโยบายของรัฐบาลทีจะขยายการศึกษาให้แพร่หลาย”
้
้
่
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี กล่าว
เร่งเร้าให้รฐบาลขยายการศึกษาภาคบังคับออกไปให้แพร่หลายเพราะปัญหาและอุปสรรค
ั
ของการจัดการศึกษาในสมัยนัน คือ พระราชบัญญัตประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ทีใช้มาเป็น
้
ิ
่
เวลานาน และมีข้อบกพร่อง
- 3. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
3
ข้อความทังหมดนี้ แสดงให้เห็นว่าการศึกษาเป็นการพัฒนามนุษย์ทกรูปทุกนาม
้
ุ
ผู้ใดที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนก็จะกลายเป็นคนล้าสมัยป่าเถื่อน ไม่สามารถจะด�ำรงอยู่ใน
สังคมอย่างมีความสุขเพราะฉะนั้นตลอดยุคสมัยที่ผ่านมาผู้น�ำรัฐบาลทุกรัฐบาล จะได้
ให้ความส�ำคัญและถือเป็นภารกิจทีจะด�ำเนินการให้การศึกษาแก่ปวงชนอย่างทัวถึงและ
่
่
มีประสิทธิภาพ
อุ บ ลราชธานี เ ป็ น เมื อ งที่ ส� ำ คั ญ มาแต่ อ ดี ต ได้ รั บ การสถาปนาเป็ น “เมื อ ง
อุบลราชธานีศรีวนาลัย” เมื่อวันจันทร์แรม 3 ค�่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1154 ซึ่งตรงกับ
พุทธศักราช 2335 รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในช่วงแรก
มีพระประทุมวรราชสุริยวงษ์ (ค�ำผง) เป็นเจ้าเมืองคนแรกหลังจากได้รับการสถาปนา
แล้วอุบลราชธานีได้มบทบาทส�ำคัญต่อเมืองราชธานี (กรุงเทพมหานคร) และเมืองต่างๆ
ี
ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นศูนย์กลางการปกครอง การบริหารการเก็บส่วยอากรอื่นๆ
เมื่อการปฏิรูปการปกครองครั้งใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยูหวอุบลราชธานีกยงคงมีบทบาทและความส�ำคัญหรือยิงกว่าเดิมอีก เป็นทีตงกอง
่ ั
็ั
่
่ ั้
บัญชาการมณฑล อีสานเป็นทีประทับของเชือพระวงศ์ชนสูงทีเ่ สด็จมาปกครองไพร่ฟา
่
้
ั้
้
ประชาชนในภูมภาคนี้ เช่นกรมหลวงพิชตปรีชากรณ์ และกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์
ิ
ิ
เป็นต้น
ย้อนไปเมื่อพ.ศ. 2430 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า รัชกาลที่ 5
ได้มีการจัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น สมเด็จกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ทรงเป็น
เสนาบดี พ ระองค์ แ รก ได้ ส นองแนวพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็ จ
พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู ่ หั ว โดยการจั ด ท� ำ แผนการที่ ข ยายการศึ ก ษาออกไปสู ่
หั วเมื อ งอย่ างกว้ างขวางเพื่อ ให้เยาวชนของชาติไ ด้มีโอกาสศึกษาเล่า เรีย นได้มาก
ที่สุด โดยอาศัยวัดเป็นหลักส�ำคัญในการด�ำเนินงานดังปรากฏในประกาศการจัดการ
ศึกษาในหัวเมือง ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 117 ความตอนหนึ่งว่า
“ขอภิกษุท้ังหลายจงเห็นแก่พระพุทธศาสนา และประชาชนทั้งปวงได้ช่วยเอาการธุระ
สั่งสอนกุลบุตรทั้งหลาย ให้ได้ศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และมีวิชาความรู้
อันเป็นสารประโยชน์ยงขึน ให้สมดังพระบรมราชประสงค์ ซึงได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ
ิ่ ้
่
่
ให้อาราธนามานี้ จงทุกประการเทอญฯ... ”
- 4. 4
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
จากนั้นเป็นต้นมาก็ได้มีการขยายการศึกษา หรือจัดตั้งโรงเรียนในหัวเมืองให้
แพร่หลาย ตามแนวพระบรมราโชวาท ในการจัดการศึกษาในหัวเมืองของพระองค์ซึ่ง
สอดคล้องกับพระราชด�ำริที่ว่า “เจ้านายราชตระกูล ตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นไป ตลอดจน
ราษฎรที่ต�่ำที่สุด จะได้ให้มีโอกาสได้เล่าเรียนได้เสมอกัน ไม่ว่าเจ้า ว่าขุนนาง ว่าไพร่”
ต่อมาถึง พ.ศ. 2434 พระภักดีณรงค์ ( สิน ไกรฤกษ์ ) ข้าหลวงก�ำกับราชการ
เมืองอุบลราชธานีได้จดตัง”อุบลวาสิกสถาน”ขึนในบริเวณจวนเก่าของเจ้าพรหมเทวานุ
ั ้
้
เคราะห์วงศ์ อันเป็นโรงเรียนสอนไทยโรงแรกของอุบราชธานี แต่การศึกษาในขณะนั้น
ก็ได้ชะลอตัวลง เนื่องจากช่วงเวลานั้น ประเทศไทยก�ำลังถูกคุกคามจากชาติมหาอ�ำนาจ
คือฝรั่งเศส จนเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า “วิกฤตสยาม ร.ศ. 112 ” จนเหตุการณ์ได้ผ่านพ้น
ไป พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ได้เสด็จมาครองเมืองอุบลราชธานี
ในเบื้องแรกพระองค์ก็ยังไม่เป็นผลตามด�ำเนินการจัดการศึกษาให้เต็มรูปเสียทีเดียว
เนื่ อ งจากล่ อ แหลมจั ด ตั้ ง ส� ำ นั ก ก็ ไ ม่ ไ ด้ จ ะเป็ น ที่ ส ะดุ ้ ง สะเทื อ นคนทั้ ง ในเมื อ งและ
นอกเมือง ก็พระองค์กทรงตระหนักดีวาในเวลานันประเทศไทยยังขาดแคลนบุคคลากร
็
่
้
ทีมคณภาพมาจัดแจงบ้านเมืองอยูมาก เนืองจากขาดคนทีมการศึกษา ทีมพอจะอ่านออก
่ ีุ
่
่
่ ี
่ ี
เขียนได้ก็ยังยาก ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาและอุปสรรคส�ำคัญในการพัฒนาประเทศ จนถึงปี
พ.ศ. 2440 กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงได้ปรับปรุงพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง
และในเวลานั้นอุบลราชธานีก็ได้เกิดมีนักปราชญ์ ทางฝ่ายพุทธจักรเกิดขึ้นเป็นรูปแรก
ที่ถือว่าท่านผู้นี้ เป็นพระสงฆ์ที่เป็นต้นก�ำเนิดบุกเบิกและวางรากฐานการศึกษาของ
ชาวอุบลราชธานี ทั้งทางโลกและทางธรรม คือ ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(สิริจันโท จันทร์) ท่านผู้นี้ถือก�ำเนิดขึ้นที่บ้านหนองไหล อ�ำเภอเมืองอุบลราชธานี
เป็นบุตรคนหัวปีของกรมการเมืองสุโภรสุประการ (สอน) มารดาชื่อแก้ว อุปสมบท
กับท่านเทวธัมมี (ม้าว) ณ วัดศรีทอง ไปเรียนที่กรุงเทพมหานครสอบได้เปรียญธรรม
4 ประโยค แล้วกลับมาช่วยกรมการศาสนาที่อุบลราชธานี พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(สิริจันโท จันทร์ ) ได้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทยและบาลีขึ้นที่วัดสุปัฏนาราม
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2440 ตั้งชื่อว่าโรงเรียนอุบลวิทยาคม ซึ่งถือว่าเป็นแบบอย่าง
และรากฐานของการจั ด การศึ ก ษาของวั ด และการศึ ก ษาประชาบาลทั่ ว ไปของ
- 5. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
5
ชาวอีสานทังมวลด้วย ท่านเจ้าคุณอุบาลีคณปมาจารย์ มีลกศิษย์ททานน�ำไปศึกษาเล่าเรียน
้
ุ ู
ู
ี่ ่
จากกรุงเทพฯ แล้วกลับมาช่วยงานการศึกษาของท่าน ณ เวลานั้นถึง 6 รูปด้วยกันคือ
พระพรหมมุนี (ติส.โส อ้วน) ต่อมาคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติส.โส อ้วน) พระมหา
จันวังโส (แก้ว) พระมหาฐิตาโภ (ล้อม) พระปลัดหรุ่น พระใบฎีกาและพระเพียบ
การจัดการศึกษาโรงเรียนอุบลวิทยาคมในระยะแรกๆ ได้แบ่งการศึกษาออกเป็น
2 ประเภท คือ ประเภททีหนึง ได้แก่โรงเรียนสอนภาษาบาลี โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
่ ่
(ติส.โส อ้วน) ครั้งยังเป็นพระมหาอ้วน และพระมหาล้อม เป็นครูสอน ประเภทที่สอง
คือโรงเรียนสอนหนังสือไทย มีพระสงฆ์วจารณ์ พระครูพนานโอภาส พระสมุห์ และพระ
ิ
ใบฎีกา เป็นครูสอน มีท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณุปามาจารย์ เป็นผู้จัดการ ตั้งแต่บัดนั้น
มาโรงเรียนอุบลวิทยาคมก็มีความเจริญก้าวหน้าเรื่อยมาคือมีนักเรียนทั้งแผนกบาลีและ
แผนกหนังสือไทย เพิ่มขึ้นเป็นล�ำดับ ท�ำให้ผลดีแก่ลูกหลานชาวอุบลราชธานีโดยตรง
และยังมีผลโดยอ้อม คือ ท�ำให้เด็กที่อาศัยอยู่ในวัดสุปัฏนาราม และวัดใกล้เคียงตลอด
จนเด็กที่อาศัยอยู่ละแวกบ้าน ได้มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนด้วย แล้วกล่าวกันว่าโรงเรียน
อุบลวิทยาคมวัดสุปัฏนารามได้แหล่งวิชาการสอนคนในจังหวัดอุบลราชธานีได้มีความ
ก้าวหน้าและประสบความส�ำเร็จมากมายมีทงข้าราชการพ่อค้าประชาชน นักการเมืองนัก
ั้
ปกครองและพระสงค์องค์เจ้า ดังกล่าวแล้ว ใช่แต่เท่านั้น การที่มีโรงเรียนอุบลวิทยาคม
เป็นต้นแบบในการจัดโรงเรียน ได้มีการขยายผลคือ การตั้งโรงเรียน เพื่อบุตรหลานออก
ไปอีกอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา เช่น ในปี พ.ศ. 2440 ท่านเจ้าพระอุบาลีคุณุปามาจาร
ย์ ได้จัดตั้งโรงเรียน “อุดมวิทยากรณ์” ขึ้นที่วัดพระเหลาเทพนิมิต อ�ำเภอพนาขึ้นอีกแห่ง
หนึ่ง เป็นต้น
ในห้วงเวลาที่ท่านเจ้าพระอุบาลีคุณุปามาจารย์ ได้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือ
ไทยขึ้นในจังหวัดอุบลราชธานีนี้เอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรง
มีพระบรมราโชบายในการขยายการศึกษาและจัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทย ให้กว้าง
ขวางทั่วพระราชอาณาจักร ดังกล่าวมาแล้ว ท�ำให้การศึกษาของสยามประเทศมีความ
ก้าวหน้าสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
- 8. 8
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
คุณภาพการศึกษา : คุณภาพประชาชน
ปัจจุบันสังคมไทยมีปัญหามากมายไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอด
ทั้งระบบการศึกษาดูเหมือนว่าปัญหาดังกล่าว ได้สร้างความขัดแย้งให้ผู้คนในประเทศ
หลายเท่าทวีคูณ บางเรื่องบางประเด็นมองแทบไม่เห็นทางออก ปัจจัยที่ท�ำให้สังคมไทย
เปลี่ยนไปค่อนข้างมากและรวดเร็วมาจากหลายสาเหตุ ระบบการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งที่
มีส่วนส�ำคัญต่อผลที่เกิดขึ้นในสังคมวันนี้
จากอดีตถึงปัจจุบันมีผู้คน จ�ำนวนหนึ่งที่พยายามจะพลิกฟื้นระบบการศึกษาให้
ตอบสนองวิถีชีวิตแห่งความเป็นไทยที่สอดรับกับวัฒนธรรมให้ยั่งยืน และเมื่อปี 2542
มีพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 และ (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2
พุทธศักราช 2545) ก�ำหนดให้การจัดการศึกษาเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ
เอกชน และท้องถิ่น
กว่า 10 ปีที่ผ่านไป แทบไม่มีผลปรับเปลี่ยนอะไรในทางบวกต่อสังคม น่าจะ
มีอะไรที่ซ่อนเร้น และทับซ้อนระหว่างกฎเกณฑ์ กติกาและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับ
การศึกษาอยู่ไม่ใช่น้อย สิ่งที่เป็นจริงวันนี้พบว่าระบบการวัดและประเมินผลมนุษย์
ในระบบการศึกษาของไทยยังมุ่งผลที่การวัดด้วยระบบคะแนนสอบความรู้เป็นหลัก
สถานศึกษาใดค่าเฉลียคะแนนสอบของนักเรียนสูงถือได้วาจัดการศึกษามีประสิทธิภาพ
่
่
กระทรวงศึกษาธิการเองก็ตั้งองค์กรกลาง จัดท�ำและออกข้อสอบกลางขึ้นมาเพื่อตีค่า
ความเป็นมนุษย์ของเด็กไทยทั่วประเทศด้วยเครื่องมือเดียวกันทุกคน ในความแตกต่าง
ของมนุษย์ที่มีบริบทที่ห่างกันสิ้นเชิง ด้วยคะแนนไม่กี่วิชา แล้วก็ตัดสินว่ามีและไม่มี
ประสิทธิภาพ ทุกสถานศึกษาจึงมุงสอนและใช้กลเม็ดให้นกเรียนสอบได้คะแนนสูงทีสด
่
ั
่ ุ
และเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้มากทีสด เมือจบการศึกษาเข้าสูกระบวนการท�ำงานก็มปญหา
่ ุ ่
่
ี ั
ทุจริต คอรัปชั่น ไม่ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ขาดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ และอุดมการณ์แห่ง
สาธารณะอื่นๆมากมาย น�ำพาตนเองเพื่อเข้าสู่ระบบบริโภคนิยม โดยใช้ระบบอุปถัมภ์
เป็นวังวนคุณภาพของคนในสังคมไม่จบไม่สิ้น
- 9. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
9
การประเมินคุณภาพโรงเรียนจากบุคคลภายนอก (องค์การมหาชน) ก็ตดสินโดย
ั
ใช้บรรทัดฐานกฎเกณฑ์เดียวกันทั่วทั้งประเทศ แม้โรงเรียนหลายแห่งจะอยู่ในป่าเขา
ทีราบ บนเกาะ หรือ ในเมืองทีพร้อมสมบูรณ์ดวยทรัพยากรมากมาย นีคอปรากฏการณ์ที่
่
่
้
่ื
เกิดขึนและเป็นจริงในระบบการศึกษา แนวคิดและวิธการดังกล่าว มีผคนจ�ำนวนไม่นอย
้
ี
ู้
้
ทีพยายามวัดความเป็นมนุษย์โดยเน้นพฤติกรรมทีความดีงาม มีจตสาธารณะ ส�ำคัญกว่า
่
่
ิ
ภาคความรูทได้จากการสอบ แต่เรืองทีดดงกล่าวไม่คอยได้รบการยอมรับจากหน่วยงาน
้ ี่
่ ่ีั
่
ั
และผู้รับผิดชอบ หรือน�ำไปเผยแพร่ขยายผลให้เป็นต้นแบบ ต้นกล้าที่ดีทางการศึกษา
อย่างจริงจัง
คุณภาพการศึกษา : คุณภาพประชาชน คือ ก�ำลังพลที่รอการพัฒนา การศึกษา
สร้างคน คนสร้างชาติ เป็นภารกิจหลักของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาตามเจตนารมณ์ของ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไข
เพิ่มเติม พ.ศ.2545 ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติ
ปัญญา ความรู้ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมในการด�ำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วม
กับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และประการส�ำคัญ คือ การจัดการศึกษาตลอดชีวิตส�ำหรับ
ประชาชน ทีเ่ ปิดโอกาสและให้สงคมมีสวนร่วมในการจัดการศึกษาอย่างทัวถึงและเสมอ
ั
่
่
ภาค โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งรัฐจัดให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
คุณภาพการศึกษาที่สังคมไทยคาดหวัง จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ มุ่งให้
เยาวชนคิดเป็น ท�ำเป็น เรียนรู้อย่างมีความสุขได้เรียนในสิ่งที่ตนสนใจ เรียนรู้ใน
โลกกว้างที่มิใช่แต่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่ปัญหาที่พบอยู่ในปัจจุบัน คือ นักเรียน
ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีวิชาเรียนมาก แบกกระเป๋าใบโต จึงขอให้หน่วยงานที่
เกี่ยวข้องปรับหลักสูตรให้เหมาะสม โดยให้สอดแทรกกิจกรรมดนตรี กีฬา จริยธรรม
และวิถชวตประชาธิปไตยให้มากขึน เพือให้นกเรียนได้ปลดปล่อยพลังสมองเรียนรูอย่าง
ี ีิ
้ ่
ั
้
มีความสุข สนุกกับการเรียน มีวนย รูจกสิทธิและหน้าทีของการเป็นพลเมืองทีดี และไม่
ิ ั ้ั
่
่
สนับสนุนให้เด็กไปเรียนกวดวิชา เพราะนอกจากสร้างความเครียดให้แก่นกเรียนแล้ว ยัง
ั
ท�ำให้ผู้ปกครองเดือดร้อนในด้านค่าเรียนพิเศษ และส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอน
ของครูในห้องเรียนอีกด้วย
- 10. 10
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
ดังนั้น การปฏิรูปการศึกษา จะส�ำเร็จได้นั้น จะต้องเริ่มที่ชุมชน ต้องวิเคราะห์
ความจ�ำเป็นและความต้องการของชุมชน ให้ชุมชนร่วมกันในการก�ำหนดเป้าหมาย
ระบุประเด็นปัญหาให้ชัดเจน ใช้ทรัพยากรเท่าที่จะเป็นหรือเท่าที่ มีอยู่ในชุมชนให้เกิด
ประสิทธิภาพสูงสุด ก�ำหนดแนวทางหรือทางเลือกและวางแผนการ ด�ำเนินงานที่เป็น
รูปธรรม สามารถท�ำได้จริง เพือให้สอดคล้องกับระบบการศึกษาทีเ่ ป็น อยูและสอดคล้อง
่
่
กับวิถชวตนอกชุมชน รวมทังจะต้องปฏิรปการศึกษา กับการปฏิรปการเมืองไปพร้อมๆ
ี ีิ
้
ู
ู
กัน
จึงจะท�ำให้การปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเจริญ
ก้าวหน้าสู่ประชาคมอาเซียนและสากลต่อไป
- 12. 12
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
แหล่งเรียนรู้แห่งที่ 3 ของโลก
“ศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัดอุบลราชธานี ” หรือ “ศ.อ.ศ.อ.”
มีชอภาษาอังกฤษว่า TUFEC ซึงย่อมาจาก Thailand UNESCO Fundamental Education
ื่
Centre เปิดด�ำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 โดยความร่วมมือ
ระหว่างรัฐบาลไทย และองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNESCO) มีจดมุงหมายเพือท�ำหน้าทีฝกอบรมเจ้าหน้าทีเ่ กียวกับมูลสารศึกษา และให้
ุ ่
่
่ึ
่
ความรู้กับประชาชนในภูมิภาคนี้ ที่ส�ำคัญเป็นแหล่งเรียนรู้แห่งที่ 3 ของโลก ซึ่งรัฐบาล
ไทย และ UNESCO ได้สร้างพื้นฐานการศึกษาให้ประชาชนอ่านออกเขียนได้ และองค์
ความรูสำหรับการประกอบอาชีพให้มคณภาพชีวตทีดี เป็นต�ำนาน และสืบสานการศึกษา
้ �
ีุ
ิ ่
ตามภารกิจ การศึกษานอกระบบ ..รวมถึงการศึกษาตามอัธยาศัย และเปลี่ยนชื่อใหม่
เป็น สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคตะวันออกเฉียง
เหนือ “ศ.อ.ศ.อ.” สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีเขตพื้นที่รับผิดชอบในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ 20 จังหวัด คือ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์
บึงกาฬ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร อ�ำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร
สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวล�ำภู อุดรธานี และ อุบลราชธานี .....
เมือสงครามโลกครังที่ 2 สินสุดลง องค์การสหประชาชาติ ได้สำรวจดูประชาชน
่
้
้
�
ทียงไม่รหนังสือทัวโลก ปรากฏว่ามีมากถึง 1,200 ล้านคน UNESCO พิจารณาเห็นว่า การ
่ ั ู้
่
ให้การศึกษาผูใหญ่ประเภทหลักมูลสารศึกษานีจะช่วยให้ประชาชนได้รบการศึกษาและ
้
้
ั
มีความรู้พอสมควรในอันที่จะยกระดับฐานะ การครองชีวิตในด้านการประกอบอาชีพ
การอนามัย การเกษตร การอุตสาหกรรม การขจัดปัญหาต่างๆ เพื่อให้มีชีวิตร่วมอยู่ด้วย
กันในสังคมด้วยดี
ปี พ.ศ. 2491 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ได้เริ่มด�ำเนินงานฝึกเจ้า
หน้าที่เกี่ยวกับมูลสารศึกษา โดยส่งผู้เชี่ยวชาญไปช่วยประเทศเฮติ จัดตั้งศูนย์กลางมูล
สารศึกษาแห่งชาติ และได้รบผลเป็นทีพงพอใจ การประชุมใหญ่ของ UNESCO ครังที่ 6
ั
่ ึ
้
ณ กรุงปารีส ประเทศฝรังเศส ในปี พ.ศ.2494 มีบรรดาประเทศทีเ่ ป็นสมาชิก 64 ประเทศ
่
- 13. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
13
ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ด้วย (มล.ปิ่น มาลากุล ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นหัวหน้า
ผู้แทนประเทศไทย) ได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ตั้งศูนย์กลางหลักมูลสารศึกษาขึ้นประจ�ำ
ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกขึ้น 6 แห่ง คือ
1. กลุ่มละตินอเมริกัน 1 แห่ง
2. กลุ่มอัฟริกากลาง 1 แห่ง
3. กลุ่มประเทศอินเดีย 1 แห่ง
4. กลุ่มภาคตะวันออกกลาง 1 แห่ง และ
5. กลุ่มประเทศตะวันออกไกล 2 แห่ง
ศู น ย์ ก ลางการศึ ก ษาหลั ก มู ล ฐานแห่ ง ที่ 1 ของโลกเรี ย กว่ า CREFAL
มีชื่อเต็มว่า Centre Regional Education Fundamental American Latin ตั้งขึ้นที่แพทซ์
คัวโร (Patzcuaro) ประเทศเม็กซิโก (Maxico) เริ่มด�ำเนินงานและเปิดเรียน เมื่อวันที่
9 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 19 เดือน 6 เดือนแรก เป็นการศึกษาที่
ศูนย์กลาง แล้วออกไปปฏิบัติงานในหมู่บ้านเป็นเวลา 10 เดือน และกลับมาปฏิบัติงาน
ที่ศูนย์กลางอีก 3 เดือน รับนักศึกษาจาก 9 ประเทศ โดยใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก และไม่มี
ความล�ำบากในเรื่องภาษา เพราะทุกประเทศใช้ภาษาสเปน
ศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานแห่งที่ 2 ของโลกเรียกว่า ASFEC มีชื่อเต็มคือ
Arab State Fundamental Education Centre ตั้งขึ้นที่ซิสซ์-เอล-ลายาน (Sirs-el-Layan)
ประเทศอียิปต์ (Egype) เริ่มด�ำเนินงานและเปิดเรียนเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2496
ศูนย์กลางแห่งนี้รับนักศึกษาจากกลุ่มประเทศอาหรับ 6 ประเทศ คือ อียิปต์ จอร์แดน
อิรัก เลบานอน อารเบีย และซีเรีย ศูนย์กลางแห่งนี้ไม่มีความล�ำบากในเรื่องภาษา เพราะ
ทุกประเทศใช้ภาษาอาหรับ
ศูนย์กลางการศึกษาหลักมูลฐานแห่งที่ 3 ของโลก คือ ศ.อ.ศ.อ. หรือ TUFEC ซึง
่
ย่อมาจากค�ำว่า Thailand UNESCO Fundamental Education Centre ที่ตั้งขึ้นในจังหวัด
อุบลราชธานี ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางอบรมการศึกษาระหว่างชาติประจ�ำภาคอาเซียน
ตะวันออก และประเทศต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ลาว เขมร เวียดนาม
- 14. 14
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
ประการส� ำ คั ญ กระทรวงศึ ก ษาธิ ก ารได้ บั น ทึ ก ไว้ แ ห่ ง ความทรงจ� ำ ของ
ประวัตศาสตร์การศึกษาไทย เมือวันที่ 18 พฤศจิกายน 2498 พระบาทสมเด็พระเจ้าอยูหว
ิ
่
่ ั
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชด�ำเนินเยี่ยมศูนย์ ฯ แห่งนี้
ยังความปลื้มต่อเหล่าข้าราชการเจ้าหน้าที่ และผู้เข้าร่วมพิธีโดยทั่วกัน
สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ หรือ “ศ.อ.ศ.อ.” ในปัจจุบัน เป็นสถานศึกษาสังกัด ส�ำนักงานส่งเสริมการ
ศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ส�ำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ รับผิด
ชอบการจัดการศึกษาต่อเนื่องจากภารกิจของ “ศูนย์กลางอบรมการศึกษาผู้ใหญ่จังหวัด
อุบลราชธานี” “ศ.อ.ศ.อ.” และ“ สถาบัน กศน.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ซึ่งมีบทบาท
หน้าที่เปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย คือ
ภารกิจในยุคแรก (พ.ศ.2497 - พ.ศ. 2505 ) ได้ผลิตสารนิเทศก์ในสาขาวิชาต่าง ๆ
6 หมวด ได้แก่ หมวดเกษตร หมวดอนามัย หมวดการศึกษา หมวดการเรือน หมวด
อุตสาหกรรมในหมู่บ้าน หมวดสวัสดิภาพสังคม รวม 7 รุ่น จ�ำนวน 451 คน และอบรม
ตามความต้องการของกระทรวงมหาดไทย อาทิ พัฒนากรที่ส�ำเร็จการศึกษาปริญญาตรี
ต�ำรวจตระเวนชายแดน ปลัดอ�ำเภอ ผูนำท้องถิน ก�ำนัน ผูใหญ่บาน รวมทังสิน 1,552 คน
้ �
่
้
้
้ ้
ยุคที่สอง (พ.ศ. 2505 - พ.ศ. 2519 ) ศ.อ.ศ.อ.ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นศูนย์
อบรมครูประจ�ำการระดับประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ครูใหญ่
ครูประจ�ำชั้น ครูประชาบาลจากเขตล่อแหลม ครูท้องถิ่นกันดาร ครูหัวหน้าหมวดวิชา
และครูประจ�ำการที่ไม่มีวุฒิ อบรมผู้ใหญ่ชนบท อบรมหลักสูตรวิชาชีพ กลุ่มสนใจ
และอบรมผู้ใหญ่ชนบท มีผู้ผ่านการอบรมกว่า 50,000 คน และยังได้ตั้งโรงเรียนประถม
ศ.อ.ศ.อ. ตั้งโรงเรียนผู้ใหญ่ ศ.อ.ศ.อ. เพื่อขยายงานด้านการบริการการศึกษาส�ำหรับ
ประชาชนทุกระดับอีกด้วย
ยุคที่สาม (พ.ศ. 2519 - พ.ศ. 2550 ) กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งและ
เปลี่ยนชื่อ “ศ.อ.ศ.อ.” เป็นศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนประจ�ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2519 และเมื่อมีการสถาปนากรมการศึกษานอกโรงเรียนขึ้นวันที่ 24
มีนาคม 2522 ได้เปลี่ยนชื่อสถาบันแห่งนี้อีกครั้งหนึ่งเป็น ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ศนอ.) “ศ.อ.ศ.อ.” จังหวัดอุบลราธานี เป็นศูนย์พัฒนาการ
- 15. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
15
วิชาการการศึกษานอกโรงเรียน โดยมีจุดเน้นที่ส�ำคัญคือ การวิจัยและพัฒนา การฝึก
อบรม การพัฒนาหลักสูตร การผลิตและพัฒนาสื่อ การพัฒนาระบบวัดผลประเมินผล
และการพัฒนาเครือข่ายด้านวิชาการ
นอกจากความเป็ น มาที่ ที่ ผ ลต่ อ การจั ด การศึ ก ษาและพั ฒ นาคุ ณ ภาพชี วิ ต
ประชาชนดั ง กล่ า วแล้ ว ยั ง มี บุ ค คลส� ำ คั ญ และบุ ค ลากรทางการศึ ก ษาที่ มี ส ่ ว น
ผลั ก ดั น การศึ ก ษาและร่ ว มก่ อ ตั้ ง ศ.อ.ศ.อ. ประกอบด้ ว ย 1. มล.ปิ ่ น มาลากุ ล
ผู ้ แ ทนประเทศไทยใน UNESCO และประธานคณะกรรมการบริ ห าร ศ.อ.ศ.อ.
2. นายอภั ย จั น ทวิ ม ล ผอ.ศ.อ.ศ.อ. คนแรก 3. นายเกรี ย ง เอี่ ย มสกุ ล
4. นายประสงค์ รังสิวัฒนะ 5. นายสนิท สุวรรณฑัต 6. นายพินิจ กาญจนะวงศ์
7. นายเฉลิ ม สุ ข เสริ ม 8. นายประมู ล พลโกษฐ์ 9. นายบุ ญ ทั น ฉลวยศรี
10. นายสงัด สันตะพันธุ์ 11. นายสถาน สุวรรณราช 12. ว่าที่ ร.ต.ณรงศักดิ์ กุลจินต์
13. ว่าที่ ร.ต.สิน รองโสภา 14. นายจรูญพงษ์ จีระมะกร 15. นายนิคม ทองพิทักษ์ และ
16. นายวราวุธ พยัคฆพงษ์ เป็นผู้อ�ำนวยการสถาบัน ฯ คนปัจจุบัน
ส�ำหรับบุคคลที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจการศึกษาทั้งในระบบ และ
นอกระบบ คือ คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษา
ขันพืนฐาน (สพฐ.) และเคยด�ำรงต�ำแหน่งส�ำคัญ ๆในกระทรวงศึกษาธิการหลายต�ำแหน่ง
้ ้
นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญจาก UNESCO และนักวิชาการในประเทศไทย ได้ร่วมด�ำเนิน
งานจนภารกิจของ ศ.อ.ศ.อ.บรรลุตามวัตถุประสงค์ เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชน
ทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆ มากมาย บัดนี้ ความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก
ท�ำให้ ศ.อ.ศ.อ.เปลี่ยนไป แต่ไม่ท�ำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจของผู้รับผิดชอบการศึกษาของ
หยุดนิงอยูกบที่ และยิงมีพลังในการสืบสานพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประชาชนให้มี
่ ่ั
่
ความรู้ คู่คุณธรรม และน�ำประสบการณ์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนสังคมประเทศ
ชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไป.
- 17. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
17
ชีวิตครูสู่ ส.ส.หญิงคนแรกของประเทศไทย
การเมืองการปกครองของประเทศไทย มีเหตุการณ์ที่ควรจดจ�ำและยกเป็นแบบ
อย่างหลังมีการเลือกตัง ส.ส. และบทบาทโดดเด่นทีสดในยุคประชาธิปไตย คือ ผูหญิงเก่ง ดี
้
่ ุ
้
มีความสามารถ ชาวอุบลราชธานี ได้รับเลือกตั้งให้เป็น ส.ส. และเป็น ส.ส.หญิงคนแรก
ของจังหวัดอุบลราชธานี เป็น ส.ส.หญิงคนแรกของประเทศไทย ได้รับเลือกตั้งให้เป็น
ส.ส.อุบลราชธานี มีคะแนนสูงสุดระดับประเทศ และได้เป็นส.ส. ถึง 3 สมัย
ส.ส. อรพินท์ ไชยกาล เป็นผูหญิงคนเดียวคนแรกในยุคมีการเลือกตัง และได้เป็น
้
้
ส.ส.นับเป็นเกียรติประวัตสำคัญของการเมืองไทยให้สตรีไทยได้เรียนรู้ และมีผหญิงไทย
ิ �
ู้
หลายคนได้เจริญรอยตามสร้างบทบาทให้สตรีไทยได้กาวสูสภา และได้รบการยอมรับให้
้ ่
ั
ท�ำหน้าที่ฝ่ายบริหารได้เป็นรัฐมนตรี หลายกระทรวงในคณะรัฐบาลชุดต่างๆ
ความภาคภูมิใจของชาวอุบลราชธานี และคุณูปการที่ ส.ส. อรพินท์ ไชยกาล ได้
ท�ำหน้าทีกอนเป็น ส.ส. และการเป็น ส.ส.อุบลราชธานี นักการเมือง และประชาชนชาว
่่
อุบลราชธานี สมควรทีอนุชนรุนหลังจะได้เรียนรูและน�ำไปเป็นแบบอย่าง จึงขออนุญาต
่
่
้
น�ำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสาระส�ำคัญในการท�ำหน้าที่ ส.ส.ของ อรพินท์ ไชยกาล
เพื่อทราบโดยสังเขป ดังนี้
ส.ส. อรพินท์ ไชยกาล เกิดวันศุกร์ที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๗ เป็นบุตรของคุณ
พ่อแก้ว และคุณแม่คูณ คุณิตะสิน คหบดีคุ้มบ้านเหนือ ในเมืองอุบลราชธานี
จบการศึกษาชันมัธยมปีที่ ๖ จากโรงเรียนนารีนกล จบประกาศนียบัตรครูประถม
้
ุู
(ปป) โรงเรียนฝึกหัดครูสตรีเบญจมราชาลัย กรุงเทพฯ ซึงเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูสตรีแห่ง
่
แรกของประเทศไทย เป็นนักเรียนทุนมณฑลอุบล
นางสาวอรพินท์ คุณิตะสิน ได้สมรสกับ นายเลียง ไชยกาล และเป็นสมาชิกสภา
ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี
การรับราชการ หลังจบการศึกษาประกาศนียบัตรครูประถมแล้ว บรรจุเป็น
ครูโรงเรียนนารีนุกูล ปี ๒๔๖๗ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นครูใหญ่โรงเรียนนารีนุกูลในปี
- 18. 18
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
เดียวกัน เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดครู (สตรี) อุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๙
นางอรพินท์ ไชยกาล ได้รับความไว้วางใจให้ด�ำรงต�ำแหน่งครูใหญ่โรงเรียนฝึกหัดครู
สตรีคนแรกอีกด้วย ภายหลังโรงเรียนฝึกหัดครูสตรีได้ยุบรวมกับโรงเรียนฝึกหัดครูชาย
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙
ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ นางอรพินท์ ไชยกาล ได้รบเลือกตังเป็นสภาผูแทนราษฎร (สส.)
ั
้
้
จังหวัดอุบลราชธานีนับเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสตรีคนแรกของประเทศไทย ได้
รับเป็นคะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้
แทนราษฎร ๓ สมัย เป็นสตรีเก่งและดี มีความพร้อม มีความเมตตา เสียสละ ได้รบความ
ั
ไว้วางใจให้เป็นเป็นกรรมการอ�ำนวยการสตรีแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๔-๒๕๐๖ เป็นนายก
สมาคมเบญจมราชาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้ชวยเหลืองานสังคมสงเคราะห์และ
่
งานสาธารณกุศลต่างๆ มากมาย
มีอุดมคติประจ�ำใจ ๓ ข้อ คือ มีความเมตตา มีความเสียสละ และมีความบริสุทธิ์
ใจ และปฏิบตตามอมตพจน์ของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสโส) องค์ปฐมสังฆนายก
ัิ
ฺ
แห่งประเทศไทย ที่ว่า “โง่ไม่เป็น เป็นใหญ่ยาก” สมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติให้
เป็นผูหญิงเก่งในศตวรรษของชาวอุบลราชธานี และ ต้นแบบ ส.ส.หญิงแห่งประเทศไทย
้
- 20. 20
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
ต้นแบบแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
จังหวัดอุบลราชธานี จัดงาน ประเพณีแห่เทียนพรรษา สืบสาน ภูมปญญา มรดก
ิ ั
ล�้ำค่าของเมืองอุบลฯ โดยการหลอมใจ หลอมบุญ และหลอมเทียน ถวายเป็นพุทธบูชา
และ มีพิธีอัญเชิญเทียนพระราชทานที่ยิ่งใหญ่
การจัดงานประเพณีในเทศกาลเข้าพรรษา มีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ร่วม
ชื่นชม ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานีร่วมกับทุกภาคส่วนจัดงานประเพณีที่ส�ำคัญของจังหวัด
มีการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลก ได้มาเที่ยวชมความงดงามของประเพณี
วัฒนธรรมในงานแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากจะได้ชมความสวยงาม
ในงานประเพณีแห่เทียนพรรษาแล้ว จังหวัดอุบลราชธานี ยังมีแหล่งท่องเที่ยว สถานที่
ส�ำคัญทั้งด้านธรรมชาติ และธรรมะให้ประชาชนที่มาเที่ยวงานได้เยี่ยมชม และยังได้จัด
อ�ำนวยความสะดวกเรื่องที่พัก อาหาร ของที่ระลึก และความปลอดภัยในการเดินทางสู่
อุบลราชธานี
ความส�ำคัญที่ประชาชนชาวไทย และชาวอุบลราชธานี มีความภาคภูมิใจยิ่ง คือ
เทียนพรรษาพระราชทาน นับตังแต่ ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา จังหวัดอุบลราชธานี ได้กราบ
้
บังคมทูลขอพระราชทานเทียนพรรษา และก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน
ตลอดมา ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุด
มิได้และเป็นทีปลาบปลืมปิตของหมูพสกนิกรชาวอุบลราชธานีอย่างยิง งานประเพณีแห่
่
้ ิ
่
่
เทียนพรรษาอุบลราชธานี ด�ำเนินงานแบบมีสวนร่วมมาตลอด จะเห็นได้วาองค์กรด�ำเนิน
่
่
การหลักๆ ประกอบด้วยภาครัฐอันได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนราชการสถาบันการ
ศึกษาต่างๆ และรัฐวิสาหกิจการท่องเทียวแห่งประเทศไทย และภาคเอกชน คุมวัดต่างๆ
่
้
หอการค้าจังหวัด ชมรม มูลนิธิ สมาคม และธุรกิจต่างๆ ยึดหลัก การมีสวนในการปฏิบติ
่
ั
งานร่วมกันในลักษณะเครือข่ายเครือญาติทางวัฒนธรรม โดยการหลอมเทียน หลอมใจ
และหลอมบุญ เปรียบเสมือนการหลอมจิตใจของคนในชุมชนให้เป็นหนึ่งเดียว ยึดมั่น
และศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งน�ำมาซึ่งความมั่นคงของชาติสืบไป
- 21. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
21
ในเทศกาลงานบุญเข้าพรรษา ตามหลักของศาสนาพุทธ นับตั้งแต่วันแรม 1 ค�่ำ
เดือน 8 ไปจนถึงวันขึ้น 15 ค�่ำ เดือน 11 รวมระยะเวลา 3 เดือนเต็ม ที่พระสงฆ์สาวก
ของพระพุทธเจ้าจะต้องหยุดจาริกแสวงบุญ เพื่อจะได้ไม่ไปเหยียบข้าวกล้าในนาของ
ชาวบ้านให้เกิดความเสียหาย จึงได้มีพุทธบัญญัติให้พระสงฆ์ ท�ำพิธีปวารณาเข้าอยู่จ�ำ
พรรษา ณ อาวาส แห่งใดแห่งหนึ่งตลอดไตรมาสและในโอกาสนี้นี่เองพุทธศาสนิกชน
ต่างก็จัดหาดอกไม้ ธูปเทียน ผ้าอาบน�้ำฝน ตลอดจนเครื่องปัจจัยไทยทานน�ำไปถวาย
พระภิกษุสามเณร ที่ตั้งมั่นจ�ำพรรษาอยู่ที่วัดใกล้บ้านของตน ในสิ่งที่ขาดไม่ได้กับการ
จ�ำพรรษาของพระสงฆ์ คือ “เทียน” เพราะเทียนมีประโยชน์ส�ำหรับจุดไฟให้เกิดแสง
สว่าง และสิงส�ำคัญ คือ พระสงฆ์จะใช้เทียนจุดบูชาพระพุทธรูป อันเป็นสัญลักษณ์แทน
่
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และใช้แสงสว่างเพื่อการบ�ำเพ็ญเพียรการศึกษาหาความรู้
การจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เป็นการแสดงออกทาง
วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของชาวพุทธศาสนิกชนคนไทยทุกหมู่เหล่า มีการสืบสาน
งานบุญให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น
ทางศิลปะ โดยการแกะสลักหรือติดพิมพ์เป็นลวดลายที่งดงามลงในต้นเทียน รวมทั้ง
การแสดงร่ายร�ำในขบวนแห่ของชาวคุมวัดต่างๆ ด้วยความรัก ความสามัคคีและเป็นการ
้
หลอมรวมดวงใจในการสร้างเทียนพรรษาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาอย่างต่อเนื่องทุกปี
นั บ ว่ า เป็ น ประเพณี ส� ำ คั ญ และเป็ น มรดกที่ ล�้ ำ ค่ า ของชาวอุ บ ลราชธานี ที่ สื บ สาน
วิวัฒนาการให้เจริญก้าวหน้าได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง
- 23. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
23
ภูมิพลัง.....สร้างคนเมืองอุบล
ชาวอุบลราชธานี และศิษย์เก่าโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช รวมทังประชาชนและ
้
ผูเ้ กียวข้องทุกภาคส่วนต่างมีความชืนชมยินดีในโอกาสที่ มรดกล�ำค่าของชาติ คือ อาคาร
่
่
้
เรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที่ 2 ได้รบรางวัลอนุรกษ์ศลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น
ั
ั ิ
ประจ�ำปี พ.ศ.2554 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในงานสถาปนิก
สยาม 54 ระหว่างวันที่ 8 - 13 กุมภาพันธ์ 2554 รางวัล ประเภท อาคารสถาบันและอาคาร
สาธารณะ อาคารพาณิชย์ ทีตง ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี สถาปนิก/
่ ั้
ผูออกแบบ พระสาโรจน์รตนนิมมาน สถาปนิกประจ�ำกระทรวงศึกษาธิการ ผูครอบครอง
้
ั
้
ส�ำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี ปีที่สร้าง พ.ศ. 2476 -2477
ประวัติและความเป็นมา โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช เป็นโรงเรียนที่แยกมาจาก
โรงเรียนอุบลวิทยาคม ในปี พ.ศ. 2458 เนื่องจากโรงเรียนอุบลวิทยาคมซึ่งก่อตั้งขึ้น
ในปี พ.ศ. 2439 โดยเปิดการเรียน การสอน ณ วัดสุปัฏนารามวรวิหาร มีจ�ำนวนนักเรียน
มากขึ้นท�ำให้โรงเรียนคับแคบและช�ำรุดทรุดโทรม โรงเรียนใหม่นี้ตั้งอยู่ ณ บริเวณมุม
ทุ่งศรีเมืองด้านตะวันออก และได้รับประทานนามโรงเรียนจากกรมหลวงพิษณุโลก
- 24. 24
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
ประชานาถ ว่า “โรงเรียนตัวอย่างประจ�ำมณฑลอุบลราชธานีเบ็ญจะมะมหาราช”
เพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยได้
ทรงออกใบประกาศตั้งนามโรงเรียนให้ไว้เป็นส�ำคัญ ซึ่งโรงเรียนได้ใส่กรอบเก็บรักษา
ไว้จนกระทั่งบัดนี้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 ทางจังหวัดได้รับงบประมาณ 4 หมื่นเศษ
เพือสร้างอาคารเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที2 ขึน ในบริเวณทิศตะวันตกของ
่
่ ้
ทุงศรีเมือง เนืองจากอาคารเรียนหลังแรกของโรงเรียนไม่สามารถรองรับจ�ำนวนนักเรียน
่
่
ทีเ่ พิมมากขึนได้ โดยอาคารหลังนีกอสร้างเป็นอาคารไม้สองชันจ�ำนวน 20 ห้อง ประกอบ
่
้
้่
้
พิธีเปิดอาคารเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2478
อาคารเรียนโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชหลังที่ 2 เป็นอาคารสองชั้นทรงมะนิลา
มีพื้นที่ใช้สอย 2,376 ตารางเมตร หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตั้งอยู่บนฐานที่ก่อ
ด้วยซีเมนต์ ด้านหน้ามีมุข 3 มุข เรียงกัน หลังคามุงด้วยกระเบื้อง อาคารหลังนี้สร้าง
ด้วยไม้สักทั้งหลัง ทั้งพื้นเข้าลิ้น เพดาน ฝาผนัง ประตู หน้าต่าง ชั้นล่างประกอบด้วย
ห้องพักครู ห้องครูใหญ่ ห้องธุรการ และห้องเรียน ส่วนชันบนประกอบด้วย ห้องประชุม
้
ห้องสมุด และห้องเรียน หลังจากที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราชได้ย้ายโรงเรียนไปตั้งอยู่
ณ บ้านท่าวังหิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียนในปัจจุบัน ในปี พ.ศ.2513 อาคารเรียนหลังนี้
ได้มีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่องโดยส่วนราชการต่างๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่
สัสดีจังหวัด ส�ำนักงานธนารักษ์จังหวัด ส�ำนักงานสถิติจังหวัด และส�ำนักงานพัฒนา
อ�ำเภอเมืองอุบลราชธานี จนกระทังในปี พ.ศ. 2543 ได้มการย้ายส่วนราชการออกทังหมด
่
ี
้
โดยบางส่วนของอาคารยังคงใช้เป็นสถานทีเ่ ก็บพัสดุ ปัจจุบนอยูในความรับผิดชอบดูแล
ั ่
โดยส�ำนักงานจังหวัดอุบลราชธานี ในปี พ.ศ. 2545 กรมศิลปากรได้ประกาศให้อาคาร
หลังนี้เป็นโบราณสถาน
ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2545 คณะกรรมการอ�ำนวยการจัดระบบ
ศูนย์ราชการได้มีมติเห็นชอบให้ใช้แผนการใช้ที่ดินของหน่วยงานของรัฐซึ่งก�ำหนดให้
ปรับปรุงซ่อมแซมอาคารและให้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ด้านชาติพันธุ์และวัฒนธรรม
ท้องถิ่น โดยต้องใช้หลักการซ่อมแซมบูรณะในแนวทางอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่
ถูกต้อง ทางจังหวัดโดย นายสุธี มากบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น และสมาคม
ศิ ษ ย์ เ ก่ า โรงเรี ย นเบ็ ญ จะมะมหาราชจึ ง ได้ พิ จ ารณาเห็ น คุ ณ ค่ า ของอาคารเรี ย น
- 28. 28
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
และเสนอข้อมูลเพื่อขึ้นทะเบียนแล้ว ยังได้น�ำคณะศึกษาดูงานแหล่งประวัติศาสตร์ที่
วัดทุ่งศรีเมือง วัดสุปัฏนารามวรวิหาร และบ้านค�ำผ่อง สุขสาย เพื่อเป็นการสืบค้นและ
ประกอบในการขึนทะเบียนเอกสารมรดกความทรงจ�ำแห่งชาติ และแห่งโลกตามล�ำดับ
้
ส� ำ หรั บ สาระส� ำ คั ญ และความเป็ น มา ขอน� ำ เรี ย นเพื่ อ ทราบโดยย่ อ ดั ง นี้
มรดกความทรงจ�ำแห่งโลก (Memory of the World) ประเทศไทย องค์การศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก พิจารณาเห็นควรว่าความรู้
ความคิด ประสบการณ์ จินตนาการ เรืองราว ของมนุษย์ทมเี ชือชาติ ภาษา ขนบธรรมเนียม
่
ี่ ้
ประเพณี แ ตกต่ า งกั น กระจายอยู ่ ใ นดิ น แดนต่ า งๆ ทั่ ว โลก ที่ ม นุ ษ ย์ ไ ด้ ร ่ ว มกั น
โดยมิได้ตั้งใจสร้างสรรค์ภูมิปัญญาให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมด้วยการบันทึกเป็นภาพ
ลายลักษณ์อักษร เสียง ลงในวัสดุต่างๆ เพื่อกันลืม และเพื่อถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับทราบ
สืบต่อกันไป เช่นหนังสือทีเ่ ขียนด้วยมือบนกระดาษ ใบไม้ สกัดอักษรลงบนโสตทัศน์วสดุ
ั
บนแผ่นฟิล์มและแถบเสียง วัสดุอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ดิสเก็ต ซีดีรอม มัลติมิเดียและ
ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ รวมกันเป็นเอกสารมรดกความทรงจ�ำ เป็นเครื่องบ่งชี้ให้ทราบ
ถึงอารยธรรมของมนุษยชาติ แต่วัสดุเหล่านี้ส่วนมากแล้วไม่ทนต่อสภาพภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ เหตุการณ์ทางธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหว น�้ำท่วม ความชื้น ฝุ่นละออง
แสงแดด หนู ปลวก มอด แมลง และฝีมือมนุษย์ที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ฯลฯ จึงท�ำให้
อารยธรรมด้นเอกสารมรดกความทรงจ�ำของมนุษย์จึงถูกท�ำลายลงอย่างมากสมควรที่
ประเทศต่างๆ ต้องร่วมมือกันปกป้องรักษาเอกสารมรดกที่เหลืออยู่ในปัจจุบันทั้งวัสดุ
บันทึกและเนื้อหาอย่างยิ่งยืนยาวนานตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงอนาคต ส่วนที่เป็นเนื้อหา
ก็ควรเผยแพร่ให้ทราบและใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ที่ประชุมสมัยสามัญประจ�ำปี
พ.ศ.2535 ของยูเนสโก จึงมีมติให้จัดตั้งแผนงานความทรงจ�ำแห่งโลก (Memory of the
World Program) หรือมีช่อย่อว่า MOW ขึ้นภายใต้โครงการใหญ่ด้านสื่อสารมวลชน
หรือ Communication and Information ที่ประเทศไทยส่วนร่วมในการด�ำเนินงาน
มาตั้งแต่ต้น กล่าวคือเมื่อปี พ.ศ.2538 คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยา
ศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ของประเทศไทยจึงได้เสนอให้ศาสตราจารย์
พิเศษคุณหญิงแม้นมาส ชวลิต เป็นกรรมการที่ปรึกษาระหว่างประเทศว่าด้วยแผนงาน
ความทรงจ�ำแห่งโลก โดยเป็นกรรมการสองวาระ คือ พ.ศ.2538-2539 และ พ.ศ.2540-
- 29. อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
29
2541 ได้เดินทางไปร่วมประชุมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หนึ่งครั้ง ที่เมือง แดนซ์
ประเทศโปแลนด์ หนึ่งครั้ง
หลักฐานส�ำคัญในจังหวัดอุบลราชธานี ที่เสนอขึ้นทะเบียน คือ จารึกจังหวัด
อุบลราชธานี กล่าว ว่า จังหวัดอุบลราชธานีอยูในแหล่งทีมความส�ำคัญทางประวัตศาสตร์
่
่ ี
ิ
มาตั้งแต่สมัยโบราณ สมัยก่อนประวัติศาสตร์มีหลักฐานให้เห็นว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ ในยุค
เป็นสังคมผู้ล่าสัตว์ ต่อมาจนถึงสมัยที่ผู้คนมีอาชีพทางเกษตรกรรม ในพุทธศตวรรษ
ที่ 12-13 พื้นที่บางส่วนของจังหวัดอยู่ภายใต้อิทธิพล ของอาณาจักรเจนละดังปรากฏ
ลายลั ก ษณ์ อั ก ษรร่ ว มสมั ย ของอาณาจั ก รเจนละซึ่ ง แสดงว่ า เจ้ า ของพื้ น ที่ ดั้ ง เดิ ม
เป็นกลุ่มคนที่พูดภาษามอญ เขมร และเป็นชุมชนเกษตรกรรม อาศัยความคิดทางการ
เมือง และปรัชญาของอินเดีย
ต่อมาปลายพุทธศตวรรษ ที่ 12-13 ภายใต้วฒนธรรมของทวารวดี ซึงมีวฒนธรรม
ั
่ ั
ทางพระพุทธ-ศาสนาของอินเดีย เป็นพื้นฐาน ดังปรากฏหลักฐานเป็นพระพุทธรูปและ
ใบเสมา ภายใต้วัฒนธรรมเจนละสมัยเมืองพระนคร ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15-18
ปรากฏจารึกหลายหลักในจังหวัดอุบลราชธานี นอกจากนีภาพถ่ายทางอากาศยังแสดงถึง
้
ร่องรอยของชุมชนโบราณทางตอนเหนือ ของจังหวัดอุบลราชธานี เช่น การสร้างนาราย
และคูนำคันดินต่อมาชุมชนทีพดภาษาตระกูลไทยลาวจึงครองอ�ำนาจเหนือพืนทีบริเวณ
�้
่ ู
้ ่
นี้
สมัยรัตนโกสินทร์ต่อเนื่องมาจากสมัยกรุงธนบุรีพระวอ พระตา ขัดแย้งกับ
กษัตริยประเทศลาว มาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าตาก และได้สถาปนาเมืองอุบลขึน
์
้
แต่หลักฐานมีน้อยและขัดแย้งกันอยู่ เช่น พระวอ พระตาเป็นเจ้านายหรือคนธรรมดา
สองคนนี้เป็นพี่น้องกันหรือว่าพระวอ พระตาเป็นบุตรของพระตา
เรื่องนี้ น�ำมาจากหนังสือ “วัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์
และภูมิปัญญาจังหวัดอุบลราชธานี” ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานีได้จัดท�ำขึ้นโดยคณะ
กรรมการฝ่ายประมวล เอกสารและจดหมายเหตุในคณะกรรมการอ�ำนวยการอ�ำนวย
การจังหวัด งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ 5 ธันวาคม 2542
สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคอีสาน เล่ม 15 ได้ก�ำหนดเวลาครองเมือง ของ
เจ้าเมืองอุบลราชธานีไว้ตามหลักฐานจดหมายเหตุทางราชการ ที่ปรากฏอยู่ดังนี้
- 30. 30
อุบลราชธานีเมืองแห่งการเรียนรู้สู่เด็กและเยาวชน
1. พระปทุมวรราชสุริยวงษ์ (ค�ำผง) ผู้สร้างเมืองอุบลคนแรก พ.ศ.2321-2338
ครองอุบลวันจันทร์ เดือน 8 แรม13 ค�่ำ ตรงกับ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2335 ถึง 2338
2. พระพรหมราชสุริวงศา (ท้าวทิดพรหม) พ.ศ.2338-2338 เมืองสร้างไป 5 ปี
3. สุ่ย ลูกของพระพรหมราชสุริวงศา ครองเมือง 7 วัน ตาย
4. พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง) พ.ศ.2388-2403
5. เจ้าพระยาเทวานะเคราะห์ พ.ศ.2406-2429
หลักฐานเอกสารในจังหวัดอุบลราชธานี ก�ำลังได้รับการขับเคลื่อนให้เป็นความ
รู้ระดับโลก ขอขอบคุณหอจดหมายเหตุแห่งชาติฯ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวง
ศึกษาธิการ และนักประวัติศาสตร์ทุกท่าน ที่จัดประชุมสัมมนา รวมไปถึงนักปราชญ์
เมืองอุบลราชธานี ที่ได้ด�ำเนินการสืบสานมรดกล�้ำค่าในจังหวัดอุบลราชธานี และใน
ภูมภาคนีให้อนุชนรุนหลังได้มความเข้าใจ และเป็นองค์ความรูทจะน�ำไปขยายผลให้เกิด
ิ
้
่
ี
้ ี่
ความภาคภูมิใจของความเป็นชาติต่อไป