More Related Content
Similar to ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจจีน (20)
More from Klangpanya (20)
ความสำเร็จทางยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจจีน
- 3. 1
สาธารณรัฐประชาชนจีนเคยถูกคาดคะเนไว้อย่างถูกต้องว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ที่ตื่นจากหลับ และ
ถึงแม้จะมิใช่มหาอานาจสูงสุดแห่งศตวรรษนี้ ก็มีความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ
สองรองจากสหรัฐอเมริกา และยังมีเครือข่ายการเมืองระหว่างประเทศที่เข้มแข็งกว่าในอดีตมาก
จีนเป็นตัวอย่างสาคัญของประเทศที่สามารถหลุดจากกับดักของความเป็นประเทศยากจนได้อย่าง
น่าทึ่ง
ความสาเร็จนี้อาจไม่เป็นที่น่าแปลกใจมากสาหรับหลายๆ คนเพราะจีนเติบโตจากฐานตัวเลขที่ต่า
ผิดปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจจีนกลับยังคงขยายตัวได้สูงมากติดต่อกันหลายทศวรรษ
ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการปฏิรูปทางเศรษฐกิจก็สามารถดาเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและมีการ
ปรับเปลี่ยนได้อย่างมากตามภววิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป
ความสาเร็จนี้เกิดขึ้นตลอด 40 ปีที่ผ่านมาอย่างที่ไม่มีประเทศใดในโลกทุนนิยมกระทาได้
ปัจจัยหลายประการมีส่วนทาให้จีนประสบความสาเร็จดังกล่าวนี้ อาจจะทั้งในแง่ของวิสัยทัศน์เชิง
ยุทธศาสตร์และความเข้มแข็งมุ่งมั่นของกระบวนการปฏิรูปในทางปฏิบัติ
ที่น่าสนใจคือ ความสาเร็จดังกล่าวมิได้พึ่งแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตก และมิได้พึ่งพลัง
ของกลไกตลาดมากมายเหมือนประเทศอื่นๆ ที่ดาเนินการปฏิรูป
ความสาเร็จของจีนจึงควรค่าแก่การเรียนรู้ของผู้นาไทยที่ต้องการ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” และกาลัง
พึ่งคณะกรรมการและองคาพยพอันใหญ่โตในการเดินทางสู่ยุทธศาสตร์ 20 ปี
ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐประชาชนจีนไม่เคยละเลยภาพใหญ่ของสังคมและ
การเมือง นับตั้งแต่ยุคที่ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจสมัยประธานเหมา เจ๋อตุง ผ่านยุคปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง จนถึง
ยุคสมัยปัจจุบันภายใต้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
การปกครองของจีนนับกันว่าเป็นประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการ แต่ก็มีลักษณะรวมหมู่ที่มี
การรับฟังและอาศัยความคิดเห็นของคนจานวนมากตามลาดับขั้นตอนของระบอบประชาธิปไตยแผนใหม่ที่
วางรากฐานกันมาตั้งแต่ยุคของประธานเหมา เจ๋อตุง หรือที่เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์
จุดแข็งด้านการบริหารจัดการของภาครัฐจึงเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพสูงมาก
เราคงสังเกตได้ว่าการปฏิรูปที่ประเทศประชาธิปไตยหลายประเทศกระทาไม่ได้ จีนกระทาได้
ในขณะที่การปฏิรูปที่ประเทศเผด็จการกระทาไม่สาเร็จ จีนกลับประสบความสาเร็จ
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
ความสาเร็จทางยุทธศาสตร์ของเศรษฐกิจจีน
- 4. 2สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากมายและเคยมีปัญหาด้านการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง รัฐบาล
จีนก็เคยผ่านประสบการณ์นั้นโดยยังรักษาความมั่นคงเอาไว้ได้ โดยเฉพาะยิ่งในช่วงปี พ.ศ.2501-2505 ซึ่งจีน
ต้องเผชิญกับภาวะอดอยากครั้งใหญ่และต้องสูญเสียชีวิตประชาชนไปเป็นจานวนมหาศาล
ยุทธศาสตร์ของจีนได้ผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยประสบการณ์และการต่อสู้ทางความคิดในหมู่ผู้นาจีน
มีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพการณ์ของปัญหาและการเมืองภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ก็สะท้อนถึง
ความสาเร็จมากกว่าความล้มเหลว
ผู้นาของจีนอาศัยลัทธิมาร์กซ์-เลนินเป็นพื้นฐานในการกาหนดยุทธศาสตร์ เช่นเดียวกับสหภาพโซ
เวียต แต่มีความราบรื่นมากกว่า รวมทั้งมีการถ่ายเทอานาจการนาที่ราบรื่นกว่าด้วย
ตั้งแต่เริ่มต้น ผู้นาจีนมิได้อาศัยแนวคิดทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี เหมา เจ๋อตุง ในสมัยหนุ่มๆ
เคยศึกษางานของอดัม สมิธ บิดาของวิชาเศรษฐศาสตร์ แต่ต่อมาศรัทธาในลัทธิมาร์กซ์-เลนิน
ผู้นาจีนในระยะต้นก็ศึกษาลัทธิมาร์กซ์จากสหภาพโซเวียต การวางแผนเศรษฐกิจก่อนการเปิด
ประเทศจึงอาศัยลัทธิมาร์กซ์ล้วนๆ จนกระทั่งเปิดประเทศระยะหนึ่งแล้วจึงอาศัยแนวคิดทุนนิยมและ
เศรษฐศาสตร์ตะวันตกมากขึ้นเป็นลาดับ
ทฤษฎีของมาร์กซ์เป็นทฤษฎีฝ่ายวัตถุนิยมที่มองการพัฒนาของเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
สัมพันธ์กัน โดยที่มีรากฐานอยู่ที่พลังทางการผลิตและความสัมพันธ์ทางการผลิต
พลังทางการผลิตเป็นความสามารถที่มนุษย์หรือแรงงานจะสร้างผลผลิตเพื่อเลี้ยงดูสังคม
ความสัมพันธ์ทางการผลิตเป็นความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่อยู่ภายใต้กระบวนการผลิต เช่น
ความสัมพันธ์ระหว่างแรงงานกับนายทุนในสังคมทุนนิยม และความสัมพันธ์ระหว่างชาวนากับเจ้าของที่ดินใน
สังคมศักดินา เป็นต้น
การมองเช่นนี้ก็มิได้แตกต่างจากเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมเสรี แต่ความแตกต่างอยู่ที่การมองเห็นความ
ขัดแย้งภายในความสัมพันธ์ทางการผลิตที่มักมีลักษณะของการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ความขัดแย้งระหว่างทุนและแรงงานเกี่ยวกับการขูดรีดส่วนเกินที่สังคมผลิตได้ก็คือหัวใจ
ของเศรษฐกิจการเมืองแบบมาร์กซ์
ภายใต้การกาหนดยุทธศาสตร์ของจีน ผู้นาจีนได้ผ่านการต่อสู้และการแลกเปลี่ยนทางความคิด
ระหว่างกันว่าจะให้น้าหนักกับพลังการผลิต หรือการแก้ไขความสัมพันธ์ทางการผลิต เป็นหลักหรือรอง
อย่างไร
- 5. 3สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
ผู้นาจีนในยุคปิดประเทศมีประธานเหมา เจ๋อตุง เป็นผู้นาสูงสุด โดยทั่วไป ประธานเหมามีความคิด
อนุรักษ์ ในขณะที่ผู้นาที่มีความคิดก้าวหน้าได้แก่หลิว เส้าฉี และโจว เอินไหล
สาหรับการเมืองภายในพรรคยุคนั้น ฝ่ายหลักคือฝ่ายที่นิยมแนวคิดดั้งเดิมของเหมา เจ๋อตุง ซึ่งเน้นความ
เท่าเทียมกันในหมู่ประชาชน อีกฝ่ายเป็นฝ่ายที่นาโดยหลิว เส้าฉี ซึ่งเคยถูกวางตาแหน่งเป็นผู้สืบทอดอานาจต่อ
จากเหมาและเน้นความสามารถในการที่ภาคเศรษฐกิจและการเกษตรในการดูแลประชากร
หลิว เส้าฉี เป็นผู้ที่มักต้องรับผิดชอบงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องประสบกับจุดจบอย่างไร้เกียรติในช่วง
ปฏิวัติวัฒนธรรมที่นางเจียงชิง ภริยาของเหมา เจ๋อตุง มีอิทธิพล
ในช่วงที่จีนเห็นความล้มเหลวของการปฏิวัติวัฒนธรรมและฝ่ายของหลิว เส้าฉี ซึ่งมีเติ้ง เสี่ยวผิง เป็น
ผู้นาได้กลับมาสืบทอดอานาจต่อจากเหมา เจ๋อตุง การเน้นเรื่องพลังการผลิตจึงเริ่มเดินเครื่องในฐานะที่เป็น
ยุทธศาสตร์หลักของชาติ
ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพและวิกฤตการณ์น้ามันโลก การเปิดประเทศ
ของจีนพร้อมกับยุทธศาสตร์ใหม่จึงสอดคล้องกัน เพราะจีนมีค่าจ้างแรงงานต่ามาก ทาให้สามารถผลิตสินค้าใน
ราคาที่ถูกกว่าประเทศอื่น
การกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคต่างๆ ภายในประเทศจีนก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวทางยุทธศาสตร์ใหม่ที่เรียกว่า นโยบาย 4 ทันสมัย เป็นการปฏิรูปสู่เศรษฐกิจโลกและการยกระดับ
ความสามารถในการผลิตของสังคม
การปฏิรูปทั้ง 4 ด้านนี้ได้แก่ ด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรม ด้านความมั่นคงแห่งชาติ และด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จากเดิมที่มุ่งสร้างความมั่นคงแห่งชาติและความยึดมั่นในอุดมการณ์แบบมาร์กซ์-เล
นิน-เหมา เจ๋อตุง จึงขาดความไม่สนใจในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เข้มแข็งและเคลื่อนไปข้างหน้าได้ดี
ฝ่ายที่นิยมเหมาเชื่อความเห็นที่มีมาแต่เดิมของเหมาว่าความยิ่งใหญ่ของชาติมาจากการมีจานวน
ประชากรมากๆ
ฝ่ายหลิว เส้าฉี-เติ้ง เสี่ยวผิง เห็นความผิดพลาดของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและภาวะอด
อยากครั้งใหญ่ และเมื่อมีอานาจก็เห็นว่าจีนต้องอาศัยยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปที่เหมาะสมกับความเป็น
ประเทศที่มีประชากรมากและมีพลังการผลิตต่า
จีนยุคใหม่หันมาจากัดจานวนประชากร ยอมให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงาน มีการลดขนาดภาครัฐ และได้
เติมส่วนผสมของระบบทุนนิยมและองค์ความรู้ใหม่ของตะวันตกเข้าสู่สังคม เพื่อเปลี่ยนโฉมประเทศเสียใหม่
เติ้ง เสี่ยวผิง เห็นว่าจีนต้องยอมให้เมืองต่างๆ มีการพัฒนาที่เหลื่อมล้ากันได้ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจ
พิเศษชายฝั่งทะเลซึ่งมีทาเลเหมาะแก่การเปิดสู่เศรษฐกิจโลกจึงเกิดขึ้น
การปฏิรูปอย่างต่อเนื่องในทิศทางเหล่านี้ทาให้จีนได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลกในปี
พ.ศ.2544 และก็ได้รับประโยชน์มากมายอย่างยิ่ง
- 6. 4
สถาบันคลังปัญญาด้านยุทธศาสตร์ชาติ วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต
เศรษฐกิจจีนกลายเป็นปัจจัยที่กาหนดระดับค่าจ้างและราคาของโลก ซึ่งส่งผลให้ทั่วโลกมีอัตราเงินเฟ้อ
และอัตราการเพิ่มของค่าจ้างที่ต่าตามไปด้วย
เมื่อเข้าใกล้ปลายทศวรรษ 2000 ยุทธศาสตร์ของเติ้ง เสี่ยวผิง ถูกท้าทายจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลก
ที่ระบาดออกจากสหรัฐไปสู่ยุโรปและส่งผลกระทบถึงจีนและเอเชีย
ผู้นาจีนยังสืบสานแนวทางต่อมาจากเติ้ง เสี่ยวผิง ผ่านเจียง เจ๋อหมิน
ในทางนโยบาย รัฐบาลได้หันมาเน้นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นมากขึ้น โดยมีการลงทุนของ
ภาครัฐอย่างมากมายซึ่งได้ส่งผลให้หนี้สาธารณะของจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ต้องหันมาส่งเสริมการบริโภคมากขึ้นเพื่อชดเชยการส่งออกที่ชะลอตัวซึ่งเป็นนโยบายที่
สอดคล้องกับแนวทางเคนส์ของชาติตะวันตก
หนี้ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจกลับกลายมาเป็นความเสี่ยงใหม่และทาให้เศรษฐกิจในระยะยาวไม่
สามารถขยายตัวได้สูงเหมือนเดิม
จีนกลับเผชิญปัญหาใหม่ๆ ทั้งการปิดล้อมจากสหรัฐและภาวะหดตัวของภาคการผลิตของโลก
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน จีนก็สามารถปรับยุทธศาสตร์ใหม่ได้อีกครั้ง เมื่อสี จิ้นผิง เดินยุทธศาสตร์ One
Belt-One Road พร้อมๆ ไปกับการกระชับอานาจภายในพรรคให้ได้อย่างที่เติ้ง เสี่ยวผิง เคยมี
ยุทธศาสตร์นี้อาจต้องใช้เวลาสักระยะที่จะชี้ให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ของสี จิ้นผิง จะประสบความสาเร็จ
ในทางปฏิบัติหรือไม่
ทว่า ยุทธศาสตร์นี้ก็ได้ช่วยจีนกาหนดกรอบให้ประเทศต่างๆ เดินหน้าด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็น
ประโยชน์ต่อจีน โดยอาศัยเงินกู้และการติดตามโครงการอย่างใกล้ชิดของทางการจีน
ในขณะที่จีนเองยังมีเข็มมุ่งอื่นที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของชาติตน รวมทั้งการผ่อนคลาย
ความเหลื่อมล้าที่เป็นปัญหาด้านความสัมพันธ์ทางการผลิตด้วย
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้าเสรี เทคโนโลยีสมองกล และเทคโนโลยีพลังงานอันเป็นการเติม
แนวคิดที่สืบทอดจากปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างอดัม สมิธ และ โจเซฟ ชุมปีเตอร์ เข้า
ไปสู่วิธีคิดและกลไกการทางานของระบบทุนนิยมโดยรัฐนั่นเอง
***