SlideShare ist ein Scribd-Unternehmen logo
1 von 150
ปัจ จุบ ั
    สัต ว์ม ีก ระดูก สัน
             หลัง          น
                                     กำำ เนิด
 สัต ว์ไ ม่ม ี                                  สิ่ง
กระดูก สัน
    หลัง
                         กำำ เนิด
                          โลก          มีช ีว ิต
    โปรคำ
     ริโ อท
                                     ผุส ตี ปริย ำ
                                         นนท์
                                      ภำควิช ำ
                                      ชีว วิท ยำ
กำำ เนิด สัน นิษ ฐำนว่ำ
 สิ่ง มี
 ชีว ิต   มีเ ซลล์เ ดีย ว
 ชนิด เกิด ขึ้น ในทะเล
 แรก       ประมำณ
         3,900 ล้ำ นปี
              มำแล้ว
นัก วิท ยำศำสตร์ ปัจ จุบ ัน
บำยกำำ เนิด ของสิ่ง มีช ีว ิต ชนิด แ

      น่ำ จะมีต ้น กำำ เนิด มำ
              จำก
          โมเลกุล ของ
     สำรประกอบอิน ทรีย ์ใ น
ประวัต แ ละ
           ิ
 ควำมเป็น มำ
     ของ
ทฤษฎีก ำำ เนิด สิ่ง
    มีช ีว ต ิ
Spontaneous generati
    อริส โตเติล (Aristotle)
  นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวกรีก
    ก่อ น คริส ตศัก รำชที่ 17
งทฤษฎีก ำำ เนิด ของสิ่ง มีช ีว ิต ว่ำ
  “ ชีว ิต เกิด จำกสิ่ง ไม่ม ีช ีว ิต ”
 (Spontaneous generation)
โดยยกตัว อย่ำ ง
  หนอนเกิด มำจำกเนื้อ เน่ำ
   หนูเ กิด จำกกองผ้ำ ขี้ร ิ้ว
   เชื้อ โรคเกิด มำจำกดิน
            เนื่อ งจำก
พบเห็น หนอนอยู่ใ นเนื้อ เน่ำ
หนูว ิ่ง ออกมำจำกกองผ้ำ ขี้ร ิ้ว
ดิ (F. Redi) ค.ศ.1626 –1697
      ทำำ กำรทดลองเพื่อ พิส ูจ น์
ทิ้ง เนื้อ ให้เ น่ำ ไม่ใ ห้ม ีแ มลงวัน
       เนื้อ ที่เ น่ำ ฝำ ไม่ม ีห นอน
 บเทีย บกับ กำรตั้ง เนื้อ ทิ้ง ไว้ใ ห
                      ปิด


งไว้ใ นอำกำศ ชิ้น
             เนือ้
                          และมีแ มลงวัน
        พบว่ำ มีห นอนเกิด ขึ้น
กำรทดลองของ
 หลุย ส์ ปำสเตอร์
 (Louis Pasteur)
นัก วิท ยำศำสตร์ช ำว
        ฝรัง เศส
           ่
ค.ศ. 1822-1895
       กล่ำ วว่ำ
ทำำ กำรทดลอง
ต้ม นำ้ำ ซุบ เพื่อ ฆ่ำ เชื้อ ในขวดแก้ว
        ที่ม ีค อยำวและโค้ง งอ
                              ปำกขวด
              ส่ว นที่โ ค้ง งอด
                              เปิ

มำรถป้อ ้ำ ซุบ น จุล ิน ทรีย ์จ ำกอำก
            นำ
               งกั          คอขวด
     ไม่ใ ห้้อต กลงไปในนำ้ำ ซุบ
            ต้ม ฆ่ำ
            เชื
                            งอ ที
                            จุล ิน ทรี
   ทำำ ให้ไ ม่ม ีจ ุล ิน ทรีย ์เ ก ด ขึ้น
            แล้ว            ย์ถ ก ดักิ
                                 ู
                        เก็บ ไว้
“ ปลำสเจอร์ไ รเซชั่น ”
 นอกจำกจะพิส ูจ น์ใ ห้เ ห็น ว่ำ
 ไม่ไ ด้เ กิด จำก สิ่ง ที่ไ ม่ม ีช ีว ิต
ปใช้ใ นกำรเก็บ รัก ษำและถนอม
  ให้ป รำศจำกเชื้อ จุล ิน ทรีย ์
ำมำรถเก็บ รัก ษำอำหำรได้น ำน
ผลของกำรพิส ูจ น์
ำให้แ นวควำมคิด ของอริส โตเต
       หมดควำมเชื่อ ถือ
       ผลกำรทดลองของ
         หลุย ปลำสเตอร์
      ถูก นำำ ไปประยุก ต์ใ ช้
        ให้เ กิด ประโยชน์
ฎีค อสโมซัว (Cosmozao th
    นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวอัง กฤษ
      ชื่อ เคลวิน (Kelvin)
ละ นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวเยอรมัน
ชื่อ เฮมโฮลต์ส (Helmholtz)
ให้เ หตุผ ลว่ำ
     สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด แรก
ำจล่อ งลอยมำจำกดำวดวงอ
 ในรูป สปอร์ข องจุล ิน ทรีย ์
     ตกลงมำบนพื้น โลก
แล้ว เจริญ กลำยเป็น สิ่ง มีช ีว ิต
มีผ ู้ค ัด ค้ำ นว่ำ ไม่น ่ำ จะเกิด
                ขึ้น ได้
เพรำะไม่ม ีจ ุล ิน ทรีย ์ช นิด ใด
  มีค วำมทนทำนต่อ ควำม
        ร้อ นที่ถ ูก เผำไหม้อส
  นอกจำกนี้ ทฤษฎีค
     จำกกำรเสีย ดสีข อง
                โมซัว
    บรรยำกำศโลกได้ ว ่ำ
  ไม่ส ำมำรถอธิบ ำยได้
ทฤษฎี โอพำริน และ ฮอลเ
ำริน (Oparin) ชำวรัส เซีย (1
ดน (Haldane) ชำวอัง กฤษ (19
    มีค วำมคิด เห็น ตรงกัน ว่ำ
วิต ชนิด แรกบนโลกน่ำ จะมีต ้น ก
ำกโมเลกุล ของอิน ทรีย ์ส ำรในท
จำกหลัก เกณฑ์ข องทฤษฎี
     เป็น กำรยอมรับ ว่ำ
ตชนิด แรก กำำ เนิด จำกสิ่ง ที่ไ ม

       แต่ก ำรอธิบ ำย
          เหตุผ ล
       แตกต่ำ งไปจำก
         หลัก เกณฑ์
4) ทฤษฎีก ำำ เนิด ของสำร
         อิน ทรีย ์
จำกทฤษฎีโ อพำริน เกิด
   โลกเป็น ดำวเครำะห์ และ
     ฮอลเดน
   ประมำณ 5,000 ล้ำ นปี
บรรยำกำศของโลกขณะนัน     ้
         ประกอบด้ว ย
ก๊ำ ซ มีเ ทน (CH4) ไฮโดรเจน
  (H2) แอมโมเนีย (NH3)
สำรประกอบ อนิน ทรีย ์
         รวมตัว เป็น
 สำรประกอบ อิน ทรีย ์ เช่น
         กรดอะมิโ น
 สำมำรถรวมตัว กลำยเป็น
      โมเลกุ จับ
Proteniod ล ใหญ่ข ึ้น
      ตัว
   เรีย ก proteniod
  กลำยเป็น
จำก โมเลกุล สำรประกอบ
(โปรตีน ) จำำ นวน มำก รวมตัว
กับ นำ้ำ ในสภำวะทีเ หมำะสม
                      ่
ของ ion และควำมเป็น กรด
เป็น ด่ำ ง เกิด เป็น เยือ หุ้ม
                        ่
Coacerva
(membane) ล้อ มรอบ เรีย ก
     tes
  (Earliest
จำก Coacervates
   เพิม ขนำดใหญ่ข ึ้น
      ่
  และ มีก ำรแบ่ง ตัว ออก ่ม
replicating systems    เพิ
        โดยอัต โนมัต ิ
      ลัก ษณะนี้จ ัด เป็น
     สมบัต ิห นึ่ง ของสิ่ง มี
             ชีว ิต
นัก วิท ยำศำสตร์เ ชื่อ ว่ำ
      สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด แรกที่เ กิด ขึน
                                        ้
    ไม่ส ำมำรถสร้ำ งอำหำรได้เ อง
    ดำำ รงชีว ิต โดยกำรนำำ พลัง งำน
รัง สีอ ล ตรำไวโอเล็ต มำเก็บ ไว้ใ นเซ
        ุ
ต่อ จำกนัน มีว ิว ัฒ นำกำรกลำยเป
         ้
มำรถสร้ำ งอำหำรเองโดยกำรสัง เค
จำก กำรสัง เครำะห์แ สง ทำำ ให้
ณออกซิเ จนในบรรยำกำศเพิ่ม
ีก ำรรวมตัว ของออกซิเ จนอิส ร
เปลี่ย นสภำพเป็น โอโซน (O3)
ำยเป็น บรรยำกำศชั้น ในของโล
ป้อ งกัน รัง สีอ ัล ตรำไวโอเล็ต
        จำกดวงอำทิต ย์
จำกสมมติฐ ำนของ
     ปรำกฎกำรณ์น ี้
 มิล เลอร์ (Miller) นัก
   เคมีช ำวอเมริก ัน
         และ
เคลวิน (Kelvin) นัก
 ชีว เคมีช ำวเยอรมัน
มิล เลอร์
 ทดลองนำำ บรรยำกำศเทีย ม
        ประกอบด้ว ย
ก๊ำ ซ มีเ ทน (CH4) ไฮโดรเจน
   (H2) แอมโมเนีย (NH3)
 ไนโตรเจน (N2) และ ไอนำ้ำ
            (H2O) ่ไ ด้
              ผลที
สำรประกอบอิน ทรีย ์ อ งปฏิบ ัต ิ
ใส่ห ลอดทดลองในห้       หลำย
              ชนิด
              กำร
บรรยำกำศเทียม CH4 ,H2    NH3 H2O




                           คอนเดนเซอร์




กำรทดลองของมิล เลอร์ใ นห้อ งปฏิบ ต ิก ำร
                                 ั
      โดยใช้บ รรยำกำศเทีย ม
วิน (Kelvin) นัก ชีว เคมีช ำวเยอร
นำำ บรรยำกำศเทีย ม เช่น เดีย วกับ ม
ส่เ ครื่อ งมือ ทดลองในห้อ งปฏิบ ต ิก ำ
                                 ั
         ผ่ำ นด้ว ยรัง สีแ กมม่ำ

 ฏว่ำ เกิด โมเลกุล นำ้ำ ตำล กรดอ ะ
สำรที่เ ป็น องค์ป ระกอบของกรดนิว ค
สำรประกอบทีก ล่ำ วมำ
                  ่
   เป็น ส่ว นประกอบสำำ คัญ
ภำยในเซลล์ของสิ่ง มีช ีว ิต
 ทำำ หน้ำ ที่ สะสมพลัง งำน
            คือ ATP
(Adenosine TriPhosphate)
              และ
  กำรถ่ำ ยทอดพลัง งำน คือ
             NAD
ผลของกำรศึก ษำทดลองในห้อ งปฏ
      ทำำ ให้ส รุป ได้ว ่ำ

    1)   บรรยำกำศของ
        โลกในอดีต
          ขณะนั้น
     อำจจะสำมำรถสร้ำ ง
        สำรประกอบ
2)จำกกำรศึก ษำทำง
   ชีว เคมี
 พบว่ำ สำรประกอบ
   อิน ทรีย ์
เป็น โมเลกุล ที่ป ระกอบ
         (Organic
ด้วmolecules)
   ย
C-C Bond และ
C,H,O,N
ตัว อย่ำ งเช่น สำร
         โพลีเ ม
         อร์(Polymers) มี
         สูต รโมเลกุล เป็น

กุล เหล่ำ นี้ จะเกี่ย - อ งกับ สิ่ง ม
                      วข้
อมีก ระบวนกำรทำำ งำนทำงชีว
         CHONCHONCHO
3) กำรวิเ ครำะห์
   องค์ป ระกอบ
   ของสิ่ง มีช ีว ิต ปัจ จุบ ัน
อะมิโพบว่ำ ว นประกอบของโปร
     น (ส่
               และ
กรดนิว คลีอ ิก (สำรพัน ธุก รรม)
สำรประกอบที่ส ำำ คัญ ของสิ่ง มีช
ตัว อย่ำ ง โมเลกุล ของกรดอะ
       มิโ น Glycine
       CH2NH3
       COO

      โมเลกุล ของคำร์โ บไฮเดรต
(นำ้ำ ตำล)
                   HC=O
                 HOCH
                      HOCH
อย่ำ งไรก็ต ำม
ปัจ จุบ ัน    ไม่ป รำกฎว่ำ
  มีน ัก วิท ยำศำสตร์ผ ู้ใ ด
สำมำรถสร้ำ งเซลล์ท ี่ม ีช ีว ิต
 ขึ้น ได้ใ นห้อ งปฏิบ ัต ิก ำร
สิง มีช ว ิต ชนิด แรก กำำ เนิด ขึ้น
                        ่     ี
                      มำบนโลกประมำณ 3,900
                          ปัจ จุบ ัน นปีม ำแล้ว
                                ล้ำ
      สัต ว์ม ก ระดูก สัน
              ี                        ปัจ จุบ ัน พบว่ำ
                หลัง                       มีส ง มีช ีว ิต
                                                ิ่
                                           มำกมำย
                                       หลำยล้ำ นชนิด
สัต ว์ไ ม่ม ก ระดูก
            ี
     สัน หลัง
                            กำำ เนิด
                             โลก
                                          แต่ล ะชนิด
                                           มีร ูป ร่ำ ง
       โปรคำริ
        โอท                                ลัก ษณะ
คำำ ถำม สิ่ง มีช ีว ิต มำจำก
             ใหน
              และ
  สำมำรถดำำ รงเผ่ำ พัน ธุ์อ ยู่
        คำได้อ ย่ำคือ
          ำ ตอบ งไร
สิ่ง มีช ีว ต มีว ว ฒ นำกำร
            ิ     ิ ั
วิว ฒ นำกำร คือ อะไร
    ั
วิว ัฒ นำกำร
     คือ กำรเปลีย นแปลง ลัก ษณะ
                      ่
พัน ธุก รรมในประชำก ร ของสิง มี      ่
ชีว ิต ทีน ำำ ไปสู่ก ำรเปลี่ย นแปลง
         ่
โครงสร้ำ ง รูป ร่ำ ง ลัก ษณะ
หรือ หน้ำ ที่ก ำรทำำ งำน
           เมื่อ มีก ำรสะสม........ใน
ปริม ำณที่ม ำกขึ้น นำำ ไปสู่ก ำร
กำำ เนิด สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด ใหม่ห รือ
สปีช ีส ์ (Species) วงค์ (F    amily)
วิว ฒ นำกำร
    ั
ศึก ษำในระดับ
  ประชำกร
ประวัต ิแ ละแนวคิด เกี่ย วกับ วิว ัฒ นำกำร

        จำกควำมเชื่อ ในอดีต
       ที่เ ชื่อ ว่ำ สิ่ง ต่ำ งๆบนโลก
      เกิด จำกควำมประสงค์ข อง
                    พระเจ้ำ
                 โดยที่เ ชื่อ ว่ำ
    โลก มีอ ำยุป ระมำณ 6,000 ปี
                     เท่ำ นั้น
                 ควำมเชื่อ นี้
ต่อ มำ
   คริส ต์ศ ตวรรษที่ 18
 ควำมรู้ท ำงวิท ยำศำสตร์
  เจริญ ก้ำ วหน้ำ มำกขึน ้
     มีน ัก วิท ยำศำสตร์
แสดงควำมคิด เห็น แตกต่ำ ง
               กัน
มีแ นวควำมคิด อีก มำกมำย
ลำมำร์ค (Lamarck, 1744-1829)
         นัก วิท ยำศำสตร์ ชำว
                  ฝรั่ง เศส
            ที่น ำำ เสนอทฤษฎี
               วิว ัฒ นำกำร
                เป็น คนแรก
          แต่ท ฤษฎีถ ูก ปฏิเ สธ
         จำกนัก วิว ัฒ นำกำร
                  เนื่อ งจำก
         ไม่ส ำมำรถพิส จ น์ไ ด้
                            ู
ทฤษฎีข อง ลำมำร์ค ประกอบด้ว ย
           หลัก เกณฑ์ใ หญ่ คือ
  1) T Inheritance of acquired
      he
  characteristics
  2) L of use and disuse
      aw
ร่ำ งกำยและส่ว นต่ำ งๆมีแ นวโน้ม ที่จ ะเพิม
                                          ่
ขนำดตลอดเวลำ
มีอ วัย วะเกิด ขึ้น ใหม่เ นื่อ งจำกผลของ
กำรใช้ง ำน
ส่ว นใหนที่ถ ูก ใช้จ ะเจริญ หรือ เพิ่ม ขนำด
ส่ว นที่ไ ม่ถ ูก ใช้จ ะลดขนำดหรือ สูญ หำย
Lamarckism
     “T theory of acquired characteristics”
       he




รุษ ยีร ำฟคอสัน กว่ำ ยีร ำฟปัจ จุบ ัน
                   ้                       กิน ใบอ่อ นบนยอดไม้เ ป
นบริเ วณด้ำ นล่ำ งถูก กิน หมด ต้อ งยืด คอเพือ กิน ยอดไม้ท อ
                                                      ่               ี่
นำนทำำ ให้ค อยำวขึ้น เมือ ยีร ำฟตัว นี้ม ล ูก ลูก ทีเ กิด จะคอย
                                ่             ี             ่
มื่อ ทำำ เช่น นี้ไ ปหลำยชั่ว รุ่น เป็น สำเหตุใ ห้ย ีร ำฟรุ่น ต่อ ๆ มำ
  จนในทีส ุด มีค อยำวอย่ำ งทีเ ห็น ในปัจ จุบ ัน
            ่                      ่
ปัญ หำของทฤษฎี ลำมำร์ค
  ไม่ส ำมำรถทดลองพิส ูจ น์ใ ห้
        August จริeisman
           เห็น Wง ได้
 นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวเยอรมัน
    ทำำ กำรทดลองตัด หำงหนู
        ประมำณ 20 ชั่ว รุ่น
ปรำกฏว่ำ หนูท ี่เ กิด ใหม่ย ัง คงมี
          หำงตำมปกติ
คัด ค้ำ นหลัก เกณฑ์ข องทฤษฏีน ี้
ทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำร
  ของ ดำร์ว ิน
  (Darwinism)
ชำร์ล ดำวิน : Charles R.
    Darwin 1809-1882
นัก ธรรมชำติว ิท ยำ
     ชำวอัง กฤษ
บิด ำ ของกำรศึก ษำ
     วิว ัฒ นำกำร
       ผู้ต ั้ง
ทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำร
หลัก เกณฑ์ส ำำ คัญ
 ทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำรของ
      ดำร์ว ิน   คือ
กลไกกำรคัด เลือ กโดย
    ธรรมชำติ
 (Natural Selection)
แนวควำมคิด ที่น ำำ ไปสู่
           กำรนำำ เสนอทฤษฎี
      วิว ัฒ นำกำร ของ ดำร์ว ิน
                  ได้แ ก่
1) กำรเดิน ทำงรอบโลกไปกับ เรือ HMS Beagle :
                1831-1836
หมูเ กำะกำลำปำกอส
           ่

                        หมูเ กำะกำำ เนิด จำก
                             ่
                          ภูเ ขำไฟ ตั้ง อยู่
                       บริเ วณเส้น ศูน ย์ส ต รู
                         ห่ำ งจำกประเทศ
                        อิเ ควดอร์ ประมำณ
                        600 ไมล์ มีก ระแส
                         นำ้ำ อุ่น และนำ้ำ เย็น
สัต ว์ท ี่พ บ   มีล ัก ษณะแตกต่ำำ น
                               ไหลผ่ งไป
                จำกที่อ ื่น ช บนเกำะเป็น
                           พื
ตัว อย่ำ งสัต ว์บ ำงชนิด ที่ด ำร์ว ิน พบ
จำกกำรศึก ษำ Darwin’s E        vidence
            for E volution
Variation of M    ocking
         birds



         นกฟิน ซ์ช นิด ต่ำ งๆ บนหมูเ กำะ
                                   ่
                 กำลำปำกอส
2) ไลเอลล์ (Charles Lyell, 1797-18
    นัก ธรณีว ิท ยำ ชำว
 อัง กฤษ
               เขีย นหนัง สือ
 ทำงธรณีว ิท ยำ
  เป็น ผู้ท ี่ สนับ สนุนhe
                      “T ทฤษฎี
   Principle of Geology”
       T Phe rinciple of
 Uniformitarianism
 โดยเชือ ว่ำ resent กิดthe ในปัจ จุบ ัน เป็น
          ่ “P สิ่ง ที่เ is ขึ้น
   อย่K to the P
      ำ งไร
        ey             ast”      ในอดีต จะ
3) ควำมรู้จ ำก    มัล ทัส (Thomas Multhus) :
                  1766-1834
                    นัก ประชำกรศำสตร์   เขีย น
                             หนัง สือ
                     เรื่อ ง “ T P
                                he rinciple of
               มีใ จควำมตอนหนึง ที่ก ล่ำ วว่ำ
                             P      ่
                              opulation”
               “อัต รำกำรเพิ่ม ของประชำกร
               เป็น แบบทวีค ณู    ในขณะที่
              อัต รำกำรเพิ่ม ของอำหำร เป็น
                   แบบผลบวกเลขคณิต ”
                 อัต รำส่ว นในกำรเพิ่ม จึง ไม่
ดำร์ว ิน นำำ หลัก เกณฑ์น ี้ สัม พัน ธ์ก ัน
                            อธิบ ำย ทฤษฎีก ำรคัด
               เลือ กโดยธรรมชำติ
ควำมรู้ท ี่ไ ด้จ ำก วอลเลส
                       (Alfred R.
     W allace) :วอลเลส มีแ นวคิด เช่น
                    1823-1913
                      เดีย วกับ ดำร์ว ิน
                   โดยเขีย นบทควำมเกี่ย วกับ
                   กำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ




   หมู่เ กำะ
มำเลย์อ ำชิเ พลำ
      โก
ลัก เกณฑ์ท ฤษฎีว ิว ัฒ นำกำรของดำร์ว ิน
1. ควำมสำมำรถในกำรสืบ พัน ธุ์ส ง
                               ู

2. มีล ัก ษณะแตกต่ำ งแปรผัน

3. กำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ
(Natural Selection)

4. ตัว ทีถ ก คัด เลือ กไว้
         ่ ู
จะสืบ พัน ธุ์แ ละถ่ำ ยทอดลัก ษณะ
ต่อ ไปยัง ลูก หลำน
หลัก เกณฑ์ท ฤษฏีว ิว ัฒ นำกำร
                ของดำร์ว ิน
 ได้ร ับ กำรยอมรับ และ กระตุ้น ให้
             นัก วิท ยำศำสตร์
สนใจศึก ษำวิว ัฒ นำกำรเพิ่ม มำกขึ้น
        ปัญ หำของทฤษฎีด ำร์ว ิน
 * รับ แนวควำมคิด ของลำมำร์ค ใน
เรื่อ งอิท ธิพ ลของสภำพแวดล้อ ม
 * ไม่ส ำมำรถอธิบ ำยขั้น ตอนกำร
แปรผัน ลัก ษณะทีเ กิด ขึ้น
                      ่
ต่อ มำ ในระหว่ำ งปี 1822-1884

 เมนเดล (Gregor J M . endel)
บำดหลวงและนัก พฤกษศำสตร์
        ชำวออสเตรีย
  ค้น พบกำรถ่ำ ยทอดลัก ษณะ
         พัน ธุก รรม
โดย ทำำ กำรทดลองผสมต้น ถัว  ่
ดำร์ว ิน       ได้ช ื่อ
         ว่ำ
บิด ำแห่ง วิว ัฒ นำกำร
เมนเดล          ได้ช ื่อ
         ว่ำ
บิด ำแห่ง พัน ธุศ ำสตร์
อย่ำ งไรก็ต ำม
      ทฤษฎี
 วิว ัฒ นำกำร
มีก ำรเปลี่ย นแปลงไป
        ตำม
เหตุผ ลและกำลเวลำ
ทฤษฎีป ัจ จุบ ัน
 (Modern synthesis)
   นับ ตั้ง แต่ใ นปี1935
มีก ำรนำำ ควำมรู้ใ หม่ๆ ใน
          สำขำวิช ำ
พัน ธุศ ำสตร์     พัน ธุศ ำสตร์
         ประชำกร
ทฤษฎีว ว ฒ นำกำร
          ิ ั
ปัจ จุบ ัน เรีย กว่ำ
  Neo-Darwinism
       หรือ
  Synthetic Theory
Modern synthesis
                     กล่ำ วถึง
ประชำกรสิ่ง มีช ีว ิต ทีป ระกอบ
                        ่
            ด้ว ย
   Genetic variation ซึ่ง
เกิด ขึ้น โดย
          mutation กับ
         recombination.
netic drift, Gene flow
    และ Natural Selection
 กับ กำรเปลี่ย นแปลง
ลัก ษณะภำยนอก (phenotypes
...ซึ่ง กำรเปลี่ย นแปลงที่เ กิด ขึ้น
notypes เกิด ขึน อย่ำ งค่อ ยเป็น ค่อ
               ้
หลัก ของ
 M odern
synthesis
  หรือ
Synthesis
 Theory
1) Random genetic drift เป็น
ปัจ จัย สำำ คัญ เท่ำ กับ Natural
Selection
2) Variation within a population
เกิด จำกผลของ M   utiple alleles of
a gene
3) Speciation เกิด จำกกำรสะสม
ของกำรเปลี่ย นแปลงทำง
อย่ำ งไรก็ต ำม กำรศึก ษำใน
ปัจ จุบ ัน พบว่ำ หลัก เกณฑ์ข ้อ ที่ 3
ของ....................มีข ้อ โต้แ ย้ง
      จำกกำรค้น พบฟอสซิล ของ
 สิ่ง มีช ีว ิต         ที่พ บในห้ว ง
 เวลำหนึ่ง จะมีล ัก ษณะคงที่ไ ม่
 เปลี่ย นแปลง แต่จ ำกนั้น ต่อ มำมี
 กำรเปลี่ย น            แปลงเกิด ขึ้น
 อย่ำ งรวดเร็ว ฉับ พลัน กลำยเป็น
 สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด ใหม่ M    odel ที่
Punctuated equilibrium
               ทฤษฎีก ำรเปลี่ย นแปลงที่น ำำ ไป
สู่ก ำรกำำ เนิด ของสิ่ง มีช ว ิต ชนิด ใหม่ ทีไ ด้
                             ี                   ่
จำกหลัก ฐำนกำรค้น พบฟอลซิล
      ของสิ่ง มีช ีว ิต ต่ำ งสีป ช ีส ์ก ัน ในสำยวิ
                                 ี
      วัฒ นำกำรหนึ่ง ๆ พบว่ำ ห้ว งเวลำ
50,000-100,000 ปี สปีช ีส ์แ ต่ล ะสปีช ีส ์
         มีล ัก ษณะคงที่ มีก ำรเปลี่ย นแปลง
น้ต่ำ งจำก Darwinism
   อ ยมำก
      ต่อ จำกนั้น กำรเปลี่ย นแปลงเกิด ขึ้น ง
                       มีก ำรเปลี่ย นแปลงอย่ำ
รวดเร็วงค่อ ยเป็น ค่อ ยไป (Gradualism) ีว ิต
     อย่ำ ในเวลำอัน สั้น กลำยเป็น สิ่ง มีช
                      ชนิด ใหม่
เปรีย บเทีย บทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำร
Lamarckis Darwin          Synthesis
   m          ism           theory
1) T he          1)          1) Random
inheritance      Variation   genetic drift
   of            2)          2) Population
acquired         Natural     genetic
                             3) P unctuated
characterisric   Selection   equilibrium
2) L of
    aw
  use and
ทฤษฎีว ว ฒ นำกำร
       ิ ั
   ปัจ จุบ ัน
     แสดงให้เ ห็น ว่ำ
กระบวนกำรวิว ัฒ นำกำร
มีป จ จัย หลำยอย่ำ งทำำ งำน
    ั
           ร่ว มกัน
จจัย ต่ำ งๆเหล่ำ นั้น ประกอบด้ว
 1. กำรแปรผัน ของลัก ษณะ
    พัน ธุก รรม (Genetic
         variation)
  2. กำรคัด เลือ กทำง
  ธรรมชำติ (Natural
  3. เวลำ
       Selection)
              (Time)
1) กำรแปรผัน ทำง
         พัน ธุก รรม
   (Genetic variation)
    เกิด ขึ้น ได้อ ย่ำ งไร
  สิ่ง มีช ีว ิต มีก ำรถ่ำ ยทอด
ลัก ษณ ะ                     ทำง
พัน ธุก รรม
                แบ่ง ออก เป็น 2
ประกำรหลัก
1) กำรควบคุม ลัก ษณะ
   ต่ำ งๆ
 ของสิ่ง มีช ีว ิต ให้ค งเดิม
2) กำรทำำ ให้ส ิ่ง มีช ีว ิต มี
ลัก ษณะแตกต่ำ งแปรผัน
     เปลี่ย นแปลงไป
ตัว อย่ำ ง  สิ่ง มีช ีว ิต มีล ัก ษณะ
แตกต่ำ งกัน เนื่อ งจำกกำร
แปรผัน ของลัก ษณะพัน ธุก รรม




   สุน ัข ชนิด     งูช นิด เดีย วกัน
 เดีย วกัน
2. กำรคัด เลือ กโดย
   ธรรมชำติ( Natural
       Selection)
  สภำพแวดล้อ มแต่ล ะแห่ง มี
      ควำมแตกต่ำ งกัน
สิ่ง มีช ีว ิต มีล ัก ษณะหลำยแบบ

          ดัง นั้น
ลัก ษณะใดเหมำะสมกับ สภำพ
3. เวลำ (Time)
กำรเปลี่ย นแปลงของลัก ษณะ
 ที่เ กิด ขึ้น
ต้อ งอำศัย เวลำในกำรสะสม
ปริม ำณกำรเปลี่ย นแปลง


ทีอ ำจนำำ ไปสู่ก ำรเกิด ลัก ษณะ
  ่
ตัว อย่ำ ง วิว ัฒ นำกำรใน
           ธรรมชำติ
  คือ กำรเกิด วิว ัฒ นำกำร
    อย่ำ งรวดเร็ว ในผีเ สื้อ
     Indrustrial melanism
 กลำงคืน (Biston betularia)
เมลำนิซ ึม ของผีเ สื้อ กลำงคืน

     เกิด จำกผลของ
     กำรคัด เลือ กโดย
จำกกำรศึก ษำ
ประชำกรผีเ สื้อ (Biston betularia)
                   กลำงคืน
                 ในประเทศ
อัง กฤษ พบว่ำ ประกอบด้ว ย
ผีเ สื้อ ลัก ษณะปีก สีเ ทำ และ
               ปีก สีด ำำ
กำรกระจำยของประชำกร
        ผีเ สือ
              ้
                  Trypica
                    l form




             Melanic
              form
มีผู้ล ่ำ
(Predator)ผู้ล่ำ

            คือ
            นก
กำรศึก ษำในปี
        1848
        พบว่ำ
 ประชำกรใน
     ขณะนั้น
 ประกอบด้ว ย
ผีเ สื้อ ปีก สีเ ทำ
        98 %
 ผีเ สื้อ ปีก สีด ำำ
ต่อ มำ ปี 1898
เมือ งเบอร์ม ง แฮม
               ิ
     พัฒ นำเป็น
เมือ งอุต สำหกรรม
     เกิด มลพิษ
ต้น ไม้ถ ูก ควัน ดำำ รม
    ไลเคน ตำย
  กำรศึก ษำ พบผีเ สื้อ ปีก สีเ ทำเพีย ง 1
            พบ ปีก สีด ำำ 99 %
กำรเปลี่ย นแปลงของ
      ประชำกรผีเ สื้อ กลำงคืน
    ปัจ จัย แสดงให้เ ห็น ัฒ นำกำร
            ที่ม ีผ ลต่อ วิว ว่ำ
  1)กำรแปรผัได้แ ก่
              น ทำง
  พัน ธุก รรม
  ได้แ ก่


ลัก ษณะปีก สีเ ทำ
2) กำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ
     ที่เ กิด จำกผลของกำร
    เปลีย นแปลง ของสภำพ
         ่
                   1848 ไม่ม ีม ลพิษ
               แวดล้อ ม




มีม ลพิษ
3) เวลำ (Time)
สะสมปริม ำณกำร
  เปลี่ย นแปลง
สรุป
                    กระบวนกำร
 (กลไก) วิว ัฒ นำกำรของสิ่ง มี
  ชีว ิต มีป ัจ จัย ที่เ กียน ทำง คือ
       1) กำรแปรผั วข้อ ง  ่
พัน ธุก รรม ทำำ ให้เ กิด ควำม
หลำกหลำย
                 2) สภำพ
 แวดล้อ ม ทำำ หน้ำ ทีก ำำ หนด
                      ่
ลัก ษณะทีเ หมำะสม
          ่
ฒนำกำรของสิ่ง มีช ีว ิต      ค
       ควำมจริง (F     act)
 ที่เ กิด ขึ้น มำแล้ว ในอดีต
           ดัง นั้น
    ไม่ส ำมำรถพิส ูจ น์ใ ห้
          เห็น จริง
ในกำรศึก ษำ
   จึง ต้อ งนำำ หลัก ฐำนต่ำ งๆ
                และ
     วิท ยำศำสตร์ส ำขำอื่น ๆ
มำประมวลเป็น หลัก เกณฑ์แ ละทฤษ
อใช้อ ธิบ ำยและสนับ สนุน วิว ัฒ นำกำ
  ให้เ ข้ำ ใจได้ถ ก ต้อ งมำกขึน
                  ู           ้
หลัก ฐำนสนับ สนุน
วิว ัฒ นำกำร
             ได้แ ก่
   1. กำรศึก ษำ   ทำง ธรณีว ิท ยำ
(ฟอสซิล )
   2. กำรศึก ษำ   ชีว ภูม ศ ำสตร์
                          ิ
   3. กำรศึก ษำ   ทำงกำยวิภ ำค
เปรีย บเทีย บ
   4. กำรศึก ษำ   ทำงตัว อ่อ น
1. กำรศึก ษำฟอสซิล (F  ossils)
     หรือ ซำกดึก ดำำ บรรพ์

ฟอสซิล (F     ossils) คือ ซำกของสิ่ง
                มีช ีว ิต
 ที่ถ ูก ทับ ถมจนกลำยเป็น หิน
    กำรศึก ษำโดยวิธ ีก ำรทำง
             ธรณีว ิท ยำ
สำมำรถนำำ ซำก ที่ก ลำยเป็น หิน
              (ฟอสซิล )
ตัว อย่ำ ง fossil บำงชนิด ที่
        ค่อ นข้ำ งสมบูร ณ์
      ได้แ ก่
(1)     fossil ใบไม้
         อำยุ 40 ล้ำ นปี
(2) fossil Ichthyosaurs (สัต ว์
 เลื้อ ยคลำนโบรำณ)         มี
  ลัก ษณะคล้ำ ยปลำโลมำ
  ค้น พบโดยนัก โบรำณคดี
 อำยุป ระมำณ 200 ล้ำ นปี มี
        ลัก ษณะสมบูร ณ์
ฟอสซิล นกโบรำณ
        (Archaeoptery   x)
        อำยุ 140 ล้ำ นปี
       มีล ัก ษณะกึ่ง กลำง
ระหว่ำ งสัต ว์เ ลื้อ ยคลำน และนก
  มีฟ ัน ขำหน้ำ และขำหลัง
ำยบรรพบุร ุษ ของสัต ว์เ ลื้อ ยคลำน
   และมีล ัก ษณะอื่น เช่น
 ขนนก ที่ค ล้ำ ยกับ นกปัจ จุบ นั
                               เรีย ก
      Transitional fossil เชื่อ มโยง
           อดีต กับ ปัจ จุบ ัน
จำกกำรศึก ษำทำงธรณีว ิท ยำ
  พบฟอสซิล อยู่ใ นหิน ชั้น หรือ
 หิน ตะกอน (sedimentary rock)
   ที่ม ีก ำรทับ ถมมำจำกด้ำ นบน
            ด้ว ยเหตุน ี้
         นัก ธรณีว ิท ยำเชื่อ ว่ำ
ฟอสซิล ที่อ ยู่ช ั้น ล่ำ งมีอ ำยุม ำกกว่ำ
          ฟอสซิล ที่อ ยู่ช ั้น บน
นอกจำกนี้ก ำรศึก ษำเรื่อ งรำว
               ของฟอสซิล
ทำำ ให้น ัก วิท ยำศำสตร์ท รำบว่ำ
       สิ่ง มีช ีว ิต ในธรรมชำติ
      ที่เ กิด ขึ้น ในอดีต จนถึง
                  ปัจ จุบ ัน
และยัำกมำยหลำยล้ำ นชนิีส ์ไ ม่ม ี
    มีม ง ทำำ ให้ท รำบว่ สปีช ด
ที่ส ูญ พัน ธุ์ไ ปแล้ว มีเ ป็น จำำ นวน
                ควำมคงที่
                     มำก
               หำกแต่ว ่ำ
2. กำรศึก ษำชีว ภูม ิศ ำสตร์
    (Biogeography)
    ศึก ษำกำรกระจำย
  ของสิ่ง มีช ีว ิต แต่ล ะชนิด
  ในสภำพภูม ศ ำสตร์ต ่ำ งๆ
                  ิ
วอลเลส
ศึก ษำกำรกระจำยของสิ่ง
          มีช ีว ิต
 มีก ำรค้น พบสัต ว์ป ระจำำ
           ถิ่น
    (Endemic species)
โดยแบ่ง สภำพ
ภูม ศ ำสตร์
    ิ
   ออกเป็น 6 อนำเขต
  1        2
               5

          4        6
      3
1   2   5




3   4   6
หมีข ำว (P  olar bear) พบที่บ ริเ วณ
       ขั้ว โลกเหนือ เท่ำ นั้น




ขณะที่น ก penguins บำงชนิด พบที่
บริเ วณขั้ว โลกใต้
หลัก ฐำนสำำ คัญ
  ในกำรสนับ สนุน สมมุต ฐ ำน
                          ิ
กำรกระจำยของสิ่ง มีช ีว ิต ชนิด
              ต่ำ งๆ
กำรศึก ษำเรื่อ งรำวของฟอสซิล
        (Fossil record)
              และ
 กำรเคลื่อ นตัว ของเปลือ กโลก
      (Continental drift)
หลัก ฐำนสนับ สนุน กำรเคลื่อ นตัว ของเปลือ ก
             โลกและกำรกระจำยพัน ธุ์
             (Continental drift and
พบ   ฟอสซิล ของสัต ว์เ ลื้อ ยคลำน (reptiles) และ   เฟิร ์น ในบ
                  B iogeography)
                                               Ly strosa
                                               urusไดโน
                                                 เสำร์
                                               ขนำดเล็ก

Cyanogna                                       Glossopt
  thus                                         eris เฟิร ์น
ไดโนเสำร์             Mesosaurus
                       ไดโนเสำร์ ที่
กำรเคลื่อ นตัว ของเปลือ กโลก
      (continental drift) Pang
 200-
  250                    aea
 ล้ำ นปี
                           Laurasia
 180 ล้ำ น                Gondwana
    ปี                      land




                            ทวีป
ปัจ จุบ ั                   ต่ำ งๆ
3. Comparative Anatomy
 (หลัก ฐำนทำงกำยวิภ ำค
      เปรีย บเทีย บ)
 เป็น กำรศึก ษำเปรีย บเทีย บ
จุด กำำ เนิด หน้ำ ที่ และ กำร
             ทำำ งำน
ของ โครงสร้ำ งต่ำ งๆ ในตัว
           เต็ม วัย
ได้แ ก่ H  omologous structure
  และ Analogous structure
H omologous
                 structure
               โครงสร้ำ งมำจำก
  จุด กำำ เนิด เดีย วกัน แต่ท ำำ หน้ำ ที่ต ่ำ งกัน
ฒนำกำรของโครงสร้ำ งนี้เ รีย กว่ำ H             omol
       กำรมำจำกจุด กำำ เนิด เดีย วกัน
           แสดงว่ำ สิง มีช ว ิต กลุม นี้
                       ่    ี      ่
      มีค วำมสัม พัน ธ์ใ กล้ช ิด กัน ในเชิง
                 วิว ัฒ นำกำร
            (มีบ รรพบุร ุษ ร่ว มกัน )
ย่ำ งเช่น ระยำงค์ค ห น้ำ ของสัต ว์เ ลี้ย งลูก ด้ว ยนม ได
                   ู่
ของคน ขำหน้ำ ของเสือ ครีบ ปลำวำฬ และ ปีก ค้ำ ง

                                      สัง เกต
                                      ลัก ษณะ
                                     กระดูก ชิ้น
                                       ต่ำ งๆ
                                   ที่ม ีส เ ดีย วกัน
                                           ี
      นิ้
      ว H omologous                  มำจำกจุด
             structures               กำำ เนิด
Analogous
              structure
          โครงสร้ำ งของสิ่ง มีช ีว ิต
ำจำกจุด กำำ เนิด ต่ำ งกัน แต่ท ำำ หน้ำ ทีเ หมือ น
                                         ่
 ยกวิว ัฒ นำกำรของโครงสร้ำ ง นีว ่ำ Anal
                                     ้

   ในเชิง วิว ัฒ นำกำร สิง มีช ว ิต กลุม นี้
                              ่  ี     ่
   ไม่ม ีค วำมสัม พัน ธ์ก ัน ทำงบรรพบุร ุษ
     ตัว อย่ำ งเช่น ปีก นก ปีก แมลง
ตัว อย่ำ ง ปีก นก ปีก แมลง
 โครงสร้ำ งมำจำก จุด กำำ เนิด ต่ำ งกัน
นำำ ไปใช้ป ระโยชน์ ในกำรบิน เช่น เดีย ว

                          กำรศึก ษำ
                             ส่ว น
                           ประกอบ
                             ของ
                          โครงสร้ำ ง
     Analogous structure ที่ป ระกอบ
                         เป็น ปีก จะ
4. Comparative Embryology
 กำรศึก ษำกำรเจริญ ของเอมบริโ อในสิง              ่
                      มีช ีว ิต พบว่ำ
   สิ่ง มีช ีว ิต ที่ม ีค วำมสัม พัน ธ์ก ัน ในสำย
                        วิว ัฒ นำกำร
 มีแ งเช่น กลุ่ม สัต ว์ของเอมบริโหลัง ได
อย่ำ บบแผนกำรเจริญ ม ีก ระดูก สัน อ ระยะ
                  แรกคล้ำ ยคลึว์กัน ยคลำน ไก
ว์ส ะเทิน นำ้ำ สะเทิน บก สัต       ง เ ลือ
                                         ้
 ริญ ของเอมบริโ อระยะแรกมีล ก ษณะเหมือ
                               ั
            ต่อ จำกนั้น
 ทิศ ทำง ในกำรเจริญ ที่เ ป็น ลัก ษณะเฉพำ
1
        2

        3
ปลำ สัต ว์ส ะเทิน นำ้ำ สะเทิบ นบก สัต ว์เ ลื้อ นยคลำน สัต ว์ป ีก
                          หมู วัว คน


 ไก่                                                      คน


          embryo มี gill slits อยู่บ ริเ วณคอ
สัต ว์ก ลุ่ม ไม่ม ีก ระดูก สัน หลัง
      T rochophore larva
     สัต ว์ กลุ่ม ใส้เ ดือ นดิน
       มีร ูป ร่ำ งคล้ำ ยกับ
         Veliger larva
       สัต ว์ใ น กลุ่ม หอย
          แสดงว่ำ
         สัต ว์ท ั้ง 2                      Trochoph
                                  Veliger
          Phylum                   larva       ore
      มีค วำมสัม พัน ธ์                       larva
             กัน
5. กำรศึก ษำทำงสรีร วิท ยำและชีว โมเลกุล
    โครงสร้ำ งพืน ฐำนของสิ่ง มีช ีว ิต ที่
                  ้
                    ควบคุม
     กำรถ่ำ ยทอดลัก ษณะพัน ธุก รรม
          คือ DNA หรือ Genes
       ซึ่ง จะทำำ หน้ำ ที่ เกี่ย วข้อ ง
       กับ กำรสัง เครำะห์โ ปรตีน
    โปรตีน เกิด จำกกรดอมิโ นหลำย
                (protein)
              ตัว มำต่อ กัน
      มีค วำมสำำ คัญ ต่อ กระบวนกำร
โมเลกุล ของ
โมเลกุล ของ ดีเ อน
                       โปรตีน
        เอ
กำรศึก ษำพบว่ำ
สิ่ง มีช ว ิต ที่ม ีค วำมสัม พัน ธ์ใ กล้ช ิด ในเชิง
         ี
                      วิว ัฒ นำกำร
มีค วำมเหมือ นกัน ของ ย วกันมำกกว่ำ สิ่ง
                  ทำำ นองเดี     DNA
                  มีช ีว ิต กลุม อื่น ๆ
                               ่
     ในสิ่ง มีช ีว ิต ชนิด เดีย วกัน
    ในสมำชิก ที่เ ป็น กลุ่ม พี่น ้อ ง
 จะมีค วำมเหมือ นกัน ของลำำ ดับ เบส
    บนสำย DNA และ protein
     มำกกว่ำ สมำชิก กลุ่ม อื่น ๆ
ตัว อย่ำ ง กำรศึก ษำควำมสัม พัน ธ์
                   ของสิง มีช ีว ิต
                         ่
              จำก จำำ นวน amino acid
         ที่พ บ บนสำย polypeptide ของ
                    hemoglobin




olecular data and the evolutionary relationships of vertebr
          แกนตั้ง คือ จำำ นวนของ amino
6. กำรศึก ษำทำงพัน ธุ
       ศำสตร์
จำกควำมรู้ท ำงพัน ธุศ ำสตร์
           สำมำรถนำำ
    มำประยุก ต์ใ ช้ ในกำร
 เปลี่ย นแปลงลัก ษณะของ
ประชำกรสิ่ง มีช ีว ิต ได้ เช่น
กำรคัด เลือ กพัน ธุ์ และ กำร
ที่ม นุษ ย์เ ป็น ผู้ก ระทำำ เรีย ก
         ปรับ ปรุง พัน ธุ์
   กำรคัด เลือ กแบบนี้ว ่ำ
         พืช และ สัต ว์
      Artificial selection
กำรคัด เลือ กและกำรปรับ ปรุง
           พัอย่ำพ ช น
          ตัว น ธุ์ งเช่
                     ื
                 มำจำกส่ว นต่ำ งๆของ
                 ต้น มัส ตำดป่ำ




    กระหลำ่ำ
   ชนิด ต่ำ งๆ
กำรคัด เลือ กพัน ธุแ ละกำร
                    ์
   ปรับ ปรุง พัน ธุส ต ว์
                   ์ ั




  สุน ั
   ข
กำรคัด เลือ ก โดยวิธ ีต ัด ต่อ
               ยีน
     (Genetic engineering)
            GM   Os
     (Genetically M       odified
              Organisms)
คือ สิง มีช ว ิต ทีไ ด้ม ำจำกกำรคัด
      ่     ี      ่
                  เลือ ก
        และกำรปรับ ปรุง พัน ธุ์
วิว ัฒ นำกำรของ
       มนุษ ย์
มนุษ ย์เ ป็น สัต ว์เ ลี้ย งลูก ด้ว ยนม
  มีช ื่อ วิท ยำศำสตร์ Hom sapien sapien
                                o
           มีก ำรดำำ รงชีว ิต มำ
      ประมำณ 3 หมื่น -1 แสนปี มำแล้ว

  นัก มนุษ ยวิท ยำส่ว นใหญ่ ลงควำมเห็น ว่ำ
นุษ ย์ และ ลิง ไร้ห ำง (ape) มีบ รรพบุร ุษ ร่ว มก
ข้อ แตกต่ำ ง ระหว่ำ ง มนุษ ย์แ ละลิง
1. กำรเดิน       มนุษ ย์เ ดิน 2 ขำ ลำำ ตัว ตั้ง ตรง
ลิง เดิน 4 ขำ
2. กระดูก เชิง กรำน มนุษ ย์ม ีช ิ้น ถัด ไปเรีย ง
ตัว ในแนวตั้ง
     กระดูก เชิง กรำนลิง มีล ัก ษณะลำดเอีย ง
ดึง โน้ม ให้ก ระดูก คอ
           เปรีย บเทีย บ
     และกระโหลกศรีษ ะเรีย งตัว ในแนวนอน
         ลัก ษณะกำรเดิน
                และ
       กระดูก เชิง กรำน
    ระหว่ำ งลิง ไร้ห ำง กับ คน
ริม ำตรของสมอง        มนุษ ย์ม ีม ำก
วนของหน้ำ และขำกรรไกร มนุษ ย์ล ดขน
    เปรีย บเทีย บขนำดของสมอง ระหว่ำ ง
  ชิม แพนซี มนุษ ย์โ บรำณ มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน




                                      ขำกรรไกรมนุษ ย
                                      ลดขนำดลง
ษณะมือ มนุษ ย์แ ละลิง คล้ำ ยกัน แต่ก ำรใช้ง ำนต่ำ งก
องจำก           ขนำดของนิว หัว แม่ม อ ยำวไม่เ ท่ำ กัน
                          ้         ื
หัว แม่ม อ ของลิง ชิม แพนซี สัน กว่ำ ฐำนข้อ ที่ 1 ของน
         ื                    ้
นนิว หัว แม่ม อ ของมนุษ ย์ ยำวเกือ บกึ่ง กลำงของข้อ
    ้         ื




                   ชิม        มนุษ
                  แพนซี       ย์
สำยวิว ัฒ นำกำรของ
                  มนุษ ย์ o
                     Hom
                     sps.




                                      Cromay
                                      on

                               Neanderthal
Australopitheci
                               man
nes
T Australopithecines (มนุษ ย์ว ำนร)
        he
           บรรพบุร ษ ของมนุษ ย์ช นิด นี้
                     ุ
        ปรำกฏขึ้น ครั้ง แรก สมัย ไมโอซีน
พบว่ำ มีค วำมสัม พัน ธ์ใ กล้ช ิด กับ African ape
ละ เชือ ว่ำ วิว ัฒ นำกำรมำจำกบรรพบุร ุษ เดีย วก
      ่
         เมื่อ ประมำณ 4-8 ล้ำ นปีม ำแล้ว

              มีก ำรค้น พบฟอสซิล
       Australopithecines 4 สปีช ีส ์ คือ
          Australopithecus afarensis,
      A. africanus , A. robustus , A. bosei
Australopithecine สปีช ีส แ รก คือ
                                ์
         Australopithecus afarensis

 ษณะสำำ คัญ มีข นำดใหญ่ก ว่ำ ชิม แพนซีเ ล็ก น
1-1.5 เมตร (3-5 ฟุต ) นำ้ำ หนัก ตัว 25-50 กิโ ล
สมองมีข นำดเล็ก ประมำณ 380-450 ลบ.ซม
           ช่ว งแขนยำวกว่ำ ช่ว งขำ

         มีก ำรค้น พบฟอสซิล ของ A.
               afarensis ในอัฟ ริก ำ
        มีล ัก ษณะเป็น ผู้ห ญิง ตั้ง ชื่อ ว่ำ
                      “L ucy”
“Lucy”
            โครงกระดูก                 รอยเท้ำ

  Australopithecus afarensis ชื่อ ลูซ ี “Lucy” ทีพ บจำำ นวน 13 ฟ
                                                 ่
เหนือ ของทะเลทรำยในเอธิโ อเปีย น ปี 1974 โดย Donald J
มีอ ำยุม ำกกว่ำ 3 ล้ำ นปี โครงกระดูก เป็น ลัก ษณะผู้ห ญิง เด
สปีช ีส ์ท ี่ 2 คือ   Australopithecus africa
              นัก มนุษ ย์ว ิท ยำเชื่อ ว่ำ
 A. africanus วิว ัฒ นำกำรมำจำก A. afarensis
   ขนำดสมองอยูร ะหว่ำ ง 494-600 ลบ.ซม.
                    ่
         มีค วำมสูง ประมำณ 1.4 เมตร
นหน้ำ มีล ัก ษณะแบน ฟัน หน้ำ (incisor) มีข นำด

        พบฟอสซิล ของ A.
           africanus
      ในประเทศแทนซำเนีย
         และเอธิโ อเปีย
สปีช ีส ท ี่ 3 คือ Australopithecus robustus
          ์
กำรดำำ รงชีว ิต เมื่อ ประมำณ 2.3-1.3 ล้ำ นปีม ำแ
ลัก ษณะแตกต่ำ งไปจำก 2 สปีช ีส แ รก
                                  ์
อ สมองมีข นำดประมำณ 500-600 ลบ.ซม.
ควำมสูง ประมำณ 1.5 เมตร
ำหนัก ตัว ประมำณ 45 กิโ ลกรัม

      มีห ลัก ฐำนพบว่ำ A.
      robustus
      มีก ำรวิว ัฒ นำกำรแตก
      สำยออกไป
สปีช ีส ์ส ุด ท้ำ ย คือ Australopithecus boi
      นัก มนุษ ย์ว ิท ยำมีห ลัก ฐำนพบว่ำ
            มนุษ ย์ว ำนร สปีช ีส น ี้
                                   ์
วัฒ นำกำรแตกสำยแยกออกมำจำก A. afarens
      สมองมีล ัก ษณะคล้ำ ย A. robustus
J ขนำดใหญ่ และมีค วำมกว้ำ งของฟัน มำก
 aw

     มีก ำรดำำ รงชีว ิต อยูท ำงตะวัน ออกของ
                           ่
                  ทวีป อัฟ ริก ำ
     ในช่ว งระหว่ำ ง 2.5-1.2 ล้ำ นปีม ำแล้ว
H  uman
            species สกุล Homo
    มนุษ ย์ มี 1 สกุล คือ
     ประกอบด้ว ย 3 สปีช ีส ์ ได้แ ก่
Hom habilis, Hom erectus , Hom sapien
   o            o                o

      H. habilis และ H. erectus
       จัด เป็น มนุษ ย์โ บรำณ
       ที่ส ูญ พัน ธุ์ไ ปหมดแล้ว
(1) Hom habilis
                     o
            มนุษ ย์โ บรำณ ที่ม ีก ำร
                     ดำำ รงชีพ
            เมื่อ ประมำณ 3-2 ล้ำ นปี
   มีค วำมสูง ประมำณ 1.5 เมตร
                     มำแล้ว
   สมองมีข นำดใหญ่ป ระมำณ
   700 ลบ.ซม.
   ส่ง ผลทำำ ให้ส ว นหน้ำ มีข นำด
                   ่
   ใหญ่ข ึ้น ด้ว ย
รถสร้ำ ข นำดของฟัน หน้ำ และำ หรับ ใช้ล ่ำ สัต ว์เ
   แต่งเครื่อ งมือ หำอำหำรสำ
   เขี้ย วกลับำรดำำ รงชีว ิต แบบเร่ร ่อ น
           มีก เล็ก ลง
ในปี 1960 นัก มนุษ ย์ว ิท ยำชือ L
                                     ่ eaky
        ค้น พบฟอสซิล ของ H. habilis
            ที่เ มือ ง Olduvai Gorge
       อยูท ำงตอนใต้ข องทวีป อัฟ ริก ำ
          ่
      ฟอสซิล มีอ ำยุป ระมำณ1.75 ล้ำ นปี
ลัก ษณะเป็น ผู้ห ญิง ตั้ง ชื่อ ฟอสซิล ว่ำ “Twiggy

    ยัง มีก ำรค้น พบฟอสซิล ของ H. habilis
        อีก เป็น จำำ นวนมำกในทะเลสำบ
                      Turkana
    ที่อ ยูท ำงตอนเหนือ ของทวีป อัฟ ริก ำ
           ่
บริเ วณที่ค ้น พบฟอสซิล        H.
            habilis
พบหลัก ฐำนกำรประดิษ ฐ์เ ครื่อ งมือ ล่ำ
                    สัต ว์
   แสดงให้เ ห็น ว่ำ มีก ำรพัฒ นำทำง
       ที่ท ำำ มำจำกหิน แบบง่ำ ยๆ
                   สมอง
 มีค วำมสำมำรถในกำรควบคุม สภำพ
    มีก ำรพัฒ นำด้ำ นกำรใช้ส ำยตำ
                  แวดล้อ ม
                 เป็น อย่ำ งดี
มีค วำมสำมำรถในกำรวำงแผนในกำร
                  จับ สัต ว์
และกำรทดลองรูป แบบที่เ หมำะสมใน
(2) Hom erectus
                  o
  ดำำ รงชีพ เมื่อ ประมำณ 1.5 ล้ำ นปีม ำแล้ว
 เป็น มนุษ ย์ก ลุ่ม แรก ที่อ พยพย้ำ ยถิ่น ฐำน
จำกทวีป อัฟ ริก ำ ไปยัง ทวีป เอเชีย และทวีป ยุโ
  สูง ประมำณ 1.6-1.8 เมตร (6
  ฟุต )
  นำ้ำ หนัก ตัว ประมำณ 48
  กิโ ลกรัม
      สำมำรถสร้ำ งเครื่อ งมือ ล่ำ สัต ว์ใ หญ่
  ขนำดสมองประมำณ 800-
  1250 ลบ.ซม.            ได้
      สร้ำ งที่อ ยูอ ำศัย แต่ย ง คงดำำ รงชีว ิต
                   ่           ั
พบฟอสซิล กะโหลกศีร ษะ
                  มนุษ ย์โ บรำณ
Hom erectus
   o
                     ในทะเลสำบ
             Turkana
มีอ ำยุม ำกกว่ำ 1.5 ล้ำ นปี
   มีล ัก ษณะคล้ำ ยมนุษ ย์ช วำ
          และ มนุษ ย์ป ัก กิ่ง
   ลัก ษณะค่อ นมำทำงมนุษ ย์
              ปัจ จุบ ัน
บริเ วณ ทีค ้น พบ
          ่
ฟอสซิล
มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน Homo
               sapiens
มีเ พีย ง 1 สปีช ีส ์ แบ่ง ออกเป็น
     มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย แรก
           Hom sapiens
                  o
           Neanderthal
         มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย
               สุด ท้ำ ย
       Hom sapiens sapiens
            o
มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย แรก
Hom sapiens neanderthalensis
   o

ดำำ รงชีพ เมื่อ ประมำณ 4 แสน
            ปีม ำแล้ว
 สมองมีข นำดใหญ่ก ว่ำ มนุษ ย์
       ปัจ จุบ ัน เล็ก น้อ ย
  ขนำดสมองประมำณ 1,400
      พบฟอสซิล ที่บ ริเ วณ
            ลบ.ซม
       Neanderthal.valley
มนุษ ย์น ีอ ัล เดอร์ท ล โครงร่ำ งมี
                         ั
               ลัก ษณะเตี้ย
 มีก ล้ำ มเนื้อ มำกกว่ำ มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน
จมูก มีล ก ษณะแบน และ รูจ มูก กว้ำ ง
         ั
 เนื่อ งจำกมีก ำรดำำ รงชีพ อยู่ใ นเขต
       ทำำ ให้น ัก มนุษ ย์ว ิท ยำมีข ้อ
                    หนำว
              สัน นิษ ฐำนว่ำ
  กำรที่ม ีโ ครงร่ำ งและลัก ษณะใน
                   แบบนี้
  อำจมีผ ลเนื่อ งจำกต้อ งมีก ำรปรับ
มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย สุด ท้ำ ย
     Hom sapiens sapiens
        o
          ดำำ รงชีพ เมื่อ
ประมำณ 3 หมื่น ถึง 1 แสนปี มำแล้ว
รค้น พบฟอสซิล ของ มนุษ ย์โ ครมัน ย
               สมอง
    มีข นำดใหญ่ก ว่ำ มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน
             เล็ก น้อ ย
       ประมำณ 1,350 ลบ.ซม.
มนุษ ย์โ ครมัน ยอง
มีค วำมสำมำรถในกำร
        วำดรูป
 ภำพวำดทีพ บในถำ้ำ
             ่

                         สำมำรถ
                        เย็บ เสื้อ ผ้ำ
                           ใส่
                          กิน เนื้อ
                            สัต ว์
ควำมแตกต่ำ งของกระโหลก
                          ศีร ษะ
           ระหว่ำ งมนุษ ย์ป จ จุบ น และมนุษ ย์
                             ั    ั
                    นีอ ล เดอร์ท ัล
                        ั
ัก ษณะทั่ว ไปจะคล้ำ ยคลึง กัน
     มีเ พีย งบำงลัก ษณะ
 ทีแ ตกต่ำ งกัน เห็น ได้ช ัด คือ
   ่

       นีอ ัล เดอร์ท ล
                     ั
   หน้ำ ผำกลำดแคบ
    มีส น คิ้ว ใหญ่ห นำ
        ั
คำงแคบหดไปทำงด้ำ นหลัง
วิว ัฒ นำกำรด้ำ นอำรยธรรม
       (Cultural evolution)

มนุษ ย์แ ตกต่ำ งไปจำกสิง มีช ีว ิต อื่น
                          ่
          โดยมีว ิว ัฒ นำกำร
  ด้ำ นอำรยธรรมและวัฒ นธรรม

 ทีอ ำศัย กำรเรีย นรู้ส ืบ ทอดกัน มำ
   ่
เหตุท ี่ท ำำ ให้ม นุษ ย์ม ีว ิว ัฒ นำกำรด้ำ นอำรยธรร
 มำจำกกำรเปลี่ย นแปลงของมนุษ ย์ 2 ประกำร

รเดิน ตัว ตรงของมนุษ ย์ ส่ง ผลให้ก ระโหลกศีร ษ
 รเปลี่ย นแปลง มีส มองใหญ่ข น มีค วำมคิด มำ
                                    ึ้
 ห้ม นุษ ย์ม ีว ิว ัฒ นำกำรด้ำ นวัฒ นธรรมและอำรย
พ่อ แม่ด แ ลลูก เป็น ระยะเวลำนำน ส่ง ผลทำำ ให้
         ู
ลูก มีโ อกำสได้เ รีย นรูส ิ่ง ต่ำ งๆจำกพ่อ แม่ม ำกข
                        ้
ได้แ ก่ K   nowledge, Customs, belief, Arts,
วิว ัฒ นำกำรทำงอำรยธรรมของ
                     มนุษ ย์
              แบ่ง ออกเป็น 3 ช่ว ง
Scavenging-gathering-H   unting เป็น ช่ว งแรกข
 m habilis, H. erectus, Neanderthal (M
  o                                    odern m

ทำำ เกษตรกรรม (Agriculture)         เป็น ช่ว งท

ช่ว งอุต สำหกรรม (T machine age) เป็น ช่ว ง
                   he
ช่ว งต่ำ งๆ ของวิว ัฒ นำกำรด้ำ นอำรยธรรม
   Scavenging-gathering-
   Hunting


                   Agriculture



       T machine age
        he
Cultural evolution
 เป็น สิ่ง สำำ คัญ ที่ส ่ง ผลทำำ ให้ม นุษ ย์

    สำมำรถเปลี่ย นแปลงสิ่ง ต่ำ งๆ
 โดยเฉพำะสภำพแวดล้อ มของโลก
ให้ม ีก ำรเปลี่ย นแปลงไปอย่ำ งรวดเร็ว
             เกิน กว่ำ ปกติ
นอกจำกนี้
                   มนุษ ย์
 มี Cultural evolution อัน เกิด ขึ้น
           จำกเปรีย บเทีย บ
    กำรเจริญ ด้ำ นวัฒ นธรรมและ
              อำรยธรรม
   และจำกลัก ษณะทีแ ตกต่ำ งทำง
                            ่
               พัน ธุก รรม
ได้แ ก่ สีผ ิว สีผ ม สีต ำ งและ พัป ร่ำ ง
 ส่ง ผล ให้ม ก ำรแบ่ เผ่ำ รู น ธุ์
                 ี
ที่แ ตกต่ำ งกัน ไปตำมถิ่น ที่อ ยู่อ ำศัย
               (Races)
                   ดั้ง เดิม B
 อัน เกิด จำกผลของ iological
กำรแบ่ง เผ่ำ พัน ธุม นุษ ย์ (Races)
                   ์
           แบ่ง ออกเป็น
     คอเคซอยด์ (Caucasoid)
    มองโกลอยด์ (M   ongoloid)
นีก รอยด์ (Negroid) และ ออสเตร
        ลอยด์ (Australoid)
                 คอเคซอยด์
                  (Caucasoid)
สำมำรถ แสดงพฤติก รรมที่
          ซับ ซ้อ น
ได้แ ตกต่ำ งไปจำกสิ่ง มีช ีว ิต
            อืน
              ่

ใช้ภ ำษำพูด และภำษำเขีย น

      ทำำ เกษตรกรรม
ด้ว ยควำมสำมำรถและควำม
               ฉลำด
     ทำำ ให้ม นุษ ย์ต ก ตวง
                        ั
ผลประโยชน์จ ำกธรรมชำติ
  ได้ม ำกกว่ำ สิ่ง มีช ีว ิต อื่น
               ดัง นั้น
       จึง อำจได้ช ื่อ ว่ำ
     เป็น ทัง ผู้ส ร้ำ งสรรค์
            ้
   และผู้ท ำำ ลำยได้ใ นเวลำ
              เดีย วกัน

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

โครงการปันรัก
โครงการปันรักโครงการปันรัก
โครงการปันรัก
kessara61977
 
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
Wichai Likitponrak
 
7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
Wijitta DevilTeacher
 
เพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตเพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซต
Aon Narinchoti
 
ขนราก
ขนรากขนราก
ขนราก
dnavaroj
 
G biology bio7
G biology bio7G biology bio7
G biology bio7
Bios Logos
 
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัด
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัดโครงการจิตอาสาพัฒนาวัด
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัด
พัน พัน
 

Was ist angesagt? (20)

ราก (T)
ราก (T)ราก (T)
ราก (T)
 
สมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่นสมบัติของคลื่น
สมบัติของคลื่น
 
โครงการปันรัก
โครงการปันรักโครงการปันรัก
โครงการปันรัก
 
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
สอบกลางภาคชีวะ51 1m-5
 
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอดการศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
การศึกษาโครงสร้างของหัวใจหมู โครงสร้างอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊ส และการวัดปริมาตรปอด
 
7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
7ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส
 
ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด
ระบบหมุนเวียนเลือด
 
เพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซตเพาเวอร์เซต
เพาเวอร์เซต
 
Learning force p5
Learning force p5Learning force p5
Learning force p5
 
ราก (Root)
ราก (Root)ราก (Root)
ราก (Root)
 
มัลติเปิล อัลลีล (Multiple allele)
มัลติเปิล อัลลีล (Multiple allele)มัลติเปิล อัลลีล (Multiple allele)
มัลติเปิล อัลลีล (Multiple allele)
 
6.ชุด 3 การแพร่
6.ชุด 3 การแพร่6.ชุด 3 การแพร่
6.ชุด 3 การแพร่
 
การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)การถ่ายละอองเรณู (T)
การถ่ายละอองเรณู (T)
 
ขนราก
ขนรากขนราก
ขนราก
 
G biology bio7
G biology bio7G biology bio7
G biology bio7
 
ค่ามาตรฐาน
ค่ามาตรฐานค่ามาตรฐาน
ค่ามาตรฐาน
 
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัด
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัดโครงการจิตอาสาพัฒนาวัด
โครงการจิตอาสาพัฒนาวัด
 
ฟิสิกส์พื้นฐาน
ฟิสิกส์พื้นฐานฟิสิกส์พื้นฐาน
ฟิสิกส์พื้นฐาน
 
เค้าโครงโครงงานวิทยาศาสตร์
เค้าโครงโครงงานวิทยาศาสตร์เค้าโครงโครงงานวิทยาศาสตร์
เค้าโครงโครงงานวิทยาศาสตร์
 
10. ชุดที่ 7 การเจริญเติบโต
10. ชุดที่ 7 การเจริญเติบโต10. ชุดที่ 7 การเจริญเติบโต
10. ชุดที่ 7 การเจริญเติบโต
 

Ähnlich wie กำเนิดสิ่งมีชีวิต

7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 25507.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
เลิกเสี่ยง. ป่าน
 
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 25507.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
เลิกเสี่ยง. ป่าน
 
ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
Warangkana Chaiwan
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
feeonameray
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasisการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
supreechafkk
 
วิวัฒนาการ
วิวัฒนาการวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการ
supreechafkk
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
Podjaman Jongkaijak
 
แบบจำลองอะตอม
แบบจำลองอะตอมแบบจำลองอะตอม
แบบจำลองอะตอม
sripa16
 
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
Thanyamon Chat.
 
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
Peangjit Chamnan
 
ยาหอมลมหายใจแห่งชีวิต
ยาหอมลมหายใจแห่งชีวิตยาหอมลมหายใจแห่งชีวิต
ยาหอมลมหายใจแห่งชีวิต
Wasan Yodsanit
 
บทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ฟลุ๊ค ลำพูน
 

Ähnlich wie กำเนิดสิ่งมีชีวิต (20)

ดาราศาสตร์
ดาราศาสตร์ดาราศาสตร์
ดาราศาสตร์
 
กำเนิดจักรวาล
กำเนิดจักรวาลกำเนิดจักรวาล
กำเนิดจักรวาล
 
Photosynthesis
PhotosynthesisPhotosynthesis
Photosynthesis
 
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 25507.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
 
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 25507.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
7.ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
 
ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
ข้อสอบ a netวิชาวิทยาศาสตร์ ชีววิทยา- ปีการศึกษา 2550
 
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
อนุกรมวิธาน+อาณาจักรสัตว์
 
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasisการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
การรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต - Homeostasis
 
เฉลยSci onet49
เฉลยSci onet49เฉลยSci onet49
เฉลยSci onet49
 
เฉลยSci onet49
เฉลยSci onet49เฉลยSci onet49
เฉลยSci onet49
 
Sci onet49
Sci onet49Sci onet49
Sci onet49
 
Movement
MovementMovement
Movement
 
วิวัฒนาการ
วิวัฒนาการวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการ
 
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
การเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต
 
แบบจำลองอะตอม
แบบจำลองอะตอมแบบจำลองอะตอม
แบบจำลองอะตอม
 
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
เซลล์ของสิ่งมีชีวิต(สอน)
 
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์การลำเลียงสารผ่านเซลล์
การลำเลียงสารผ่านเซลล์
 
ยาหอมลมหายใจแห่งชีวิต
ยาหอมลมหายใจแห่งชีวิตยาหอมลมหายใจแห่งชีวิต
ยาหอมลมหายใจแห่งชีวิต
 
บทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตบทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
บทที่ 19 วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
 
02life
02life02life
02life
 

กำเนิดสิ่งมีชีวิต

  • 1. ปัจ จุบ ั สัต ว์ม ีก ระดูก สัน หลัง น กำำ เนิด สัต ว์ไ ม่ม ี สิ่ง กระดูก สัน หลัง กำำ เนิด โลก มีช ีว ิต โปรคำ ริโ อท ผุส ตี ปริย ำ นนท์ ภำควิช ำ ชีว วิท ยำ
  • 2. กำำ เนิด สัน นิษ ฐำนว่ำ สิ่ง มี ชีว ิต มีเ ซลล์เ ดีย ว ชนิด เกิด ขึ้น ในทะเล แรก ประมำณ 3,900 ล้ำ นปี มำแล้ว
  • 3. นัก วิท ยำศำสตร์ ปัจ จุบ ัน บำยกำำ เนิด ของสิ่ง มีช ีว ิต ชนิด แ น่ำ จะมีต ้น กำำ เนิด มำ จำก โมเลกุล ของ สำรประกอบอิน ทรีย ์ใ น
  • 4. ประวัต แ ละ ิ ควำมเป็น มำ ของ ทฤษฎีก ำำ เนิด สิ่ง มีช ีว ต ิ
  • 5. Spontaneous generati อริส โตเติล (Aristotle) นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวกรีก ก่อ น คริส ตศัก รำชที่ 17 งทฤษฎีก ำำ เนิด ของสิ่ง มีช ีว ิต ว่ำ “ ชีว ิต เกิด จำกสิ่ง ไม่ม ีช ีว ิต ” (Spontaneous generation)
  • 6. โดยยกตัว อย่ำ ง หนอนเกิด มำจำกเนื้อ เน่ำ หนูเ กิด จำกกองผ้ำ ขี้ร ิ้ว เชื้อ โรคเกิด มำจำกดิน เนื่อ งจำก พบเห็น หนอนอยู่ใ นเนื้อ เน่ำ หนูว ิ่ง ออกมำจำกกองผ้ำ ขี้ร ิ้ว
  • 7. ดิ (F. Redi) ค.ศ.1626 –1697 ทำำ กำรทดลองเพื่อ พิส ูจ น์ ทิ้ง เนื้อ ให้เ น่ำ ไม่ใ ห้ม ีแ มลงวัน เนื้อ ที่เ น่ำ ฝำ ไม่ม ีห นอน บเทีย บกับ กำรตั้ง เนื้อ ทิ้ง ไว้ใ ห ปิด งไว้ใ นอำกำศ ชิ้น เนือ้ และมีแ มลงวัน พบว่ำ มีห นอนเกิด ขึ้น
  • 8. กำรทดลองของ หลุย ส์ ปำสเตอร์ (Louis Pasteur) นัก วิท ยำศำสตร์ช ำว ฝรัง เศส ่ ค.ศ. 1822-1895 กล่ำ วว่ำ
  • 9. ทำำ กำรทดลอง ต้ม นำ้ำ ซุบ เพื่อ ฆ่ำ เชื้อ ในขวดแก้ว ที่ม ีค อยำวและโค้ง งอ ปำกขวด ส่ว นที่โ ค้ง งอด เปิ มำรถป้อ ้ำ ซุบ น จุล ิน ทรีย ์จ ำกอำก นำ งกั คอขวด ไม่ใ ห้้อต กลงไปในนำ้ำ ซุบ ต้ม ฆ่ำ เชื งอ ที จุล ิน ทรี ทำำ ให้ไ ม่ม ีจ ุล ิน ทรีย ์เ ก ด ขึ้น แล้ว ย์ถ ก ดักิ ู เก็บ ไว้
  • 10. “ ปลำสเจอร์ไ รเซชั่น ” นอกจำกจะพิส ูจ น์ใ ห้เ ห็น ว่ำ ไม่ไ ด้เ กิด จำก สิ่ง ที่ไ ม่ม ีช ีว ิต ปใช้ใ นกำรเก็บ รัก ษำและถนอม ให้ป รำศจำกเชื้อ จุล ิน ทรีย ์ ำมำรถเก็บ รัก ษำอำหำรได้น ำน
  • 11. ผลของกำรพิส ูจ น์ ำให้แ นวควำมคิด ของอริส โตเต หมดควำมเชื่อ ถือ ผลกำรทดลองของ หลุย ปลำสเตอร์ ถูก นำำ ไปประยุก ต์ใ ช้ ให้เ กิด ประโยชน์
  • 12. ฎีค อสโมซัว (Cosmozao th นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวอัง กฤษ ชื่อ เคลวิน (Kelvin) ละ นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวเยอรมัน ชื่อ เฮมโฮลต์ส (Helmholtz)
  • 13. ให้เ หตุผ ลว่ำ สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด แรก ำจล่อ งลอยมำจำกดำวดวงอ ในรูป สปอร์ข องจุล ิน ทรีย ์ ตกลงมำบนพื้น โลก แล้ว เจริญ กลำยเป็น สิ่ง มีช ีว ิต
  • 14. มีผ ู้ค ัด ค้ำ นว่ำ ไม่น ่ำ จะเกิด ขึ้น ได้ เพรำะไม่ม ีจ ุล ิน ทรีย ์ช นิด ใด มีค วำมทนทำนต่อ ควำม ร้อ นที่ถ ูก เผำไหม้อส นอกจำกนี้ ทฤษฎีค จำกกำรเสีย ดสีข อง โมซัว บรรยำกำศโลกได้ ว ่ำ ไม่ส ำมำรถอธิบ ำยได้
  • 15. ทฤษฎี โอพำริน และ ฮอลเ ำริน (Oparin) ชำวรัส เซีย (1 ดน (Haldane) ชำวอัง กฤษ (19 มีค วำมคิด เห็น ตรงกัน ว่ำ วิต ชนิด แรกบนโลกน่ำ จะมีต ้น ก ำกโมเลกุล ของอิน ทรีย ์ส ำรในท
  • 16. จำกหลัก เกณฑ์ข องทฤษฎี เป็น กำรยอมรับ ว่ำ ตชนิด แรก กำำ เนิด จำกสิ่ง ที่ไ ม แต่ก ำรอธิบ ำย เหตุผ ล แตกต่ำ งไปจำก หลัก เกณฑ์
  • 17. 4) ทฤษฎีก ำำ เนิด ของสำร อิน ทรีย ์ จำกทฤษฎีโ อพำริน เกิด โลกเป็น ดำวเครำะห์ และ ฮอลเดน ประมำณ 5,000 ล้ำ นปี บรรยำกำศของโลกขณะนัน ้ ประกอบด้ว ย ก๊ำ ซ มีเ ทน (CH4) ไฮโดรเจน (H2) แอมโมเนีย (NH3)
  • 18. สำรประกอบ อนิน ทรีย ์ รวมตัว เป็น สำรประกอบ อิน ทรีย ์ เช่น กรดอะมิโ น สำมำรถรวมตัว กลำยเป็น โมเลกุ จับ Proteniod ล ใหญ่ข ึ้น ตัว เรีย ก proteniod กลำยเป็น
  • 19. จำก โมเลกุล สำรประกอบ (โปรตีน ) จำำ นวน มำก รวมตัว กับ นำ้ำ ในสภำวะทีเ หมำะสม ่ ของ ion และควำมเป็น กรด เป็น ด่ำ ง เกิด เป็น เยือ หุ้ม ่ Coacerva (membane) ล้อ มรอบ เรีย ก tes (Earliest
  • 20. จำก Coacervates เพิม ขนำดใหญ่ข ึ้น ่ และ มีก ำรแบ่ง ตัว ออก ่ม replicating systems เพิ โดยอัต โนมัต ิ ลัก ษณะนี้จ ัด เป็น สมบัต ิห นึ่ง ของสิ่ง มี ชีว ิต
  • 21. นัก วิท ยำศำสตร์เ ชื่อ ว่ำ สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด แรกที่เ กิด ขึน ้ ไม่ส ำมำรถสร้ำ งอำหำรได้เ อง ดำำ รงชีว ิต โดยกำรนำำ พลัง งำน รัง สีอ ล ตรำไวโอเล็ต มำเก็บ ไว้ใ นเซ ุ ต่อ จำกนัน มีว ิว ัฒ นำกำรกลำยเป ้ มำรถสร้ำ งอำหำรเองโดยกำรสัง เค
  • 22. จำก กำรสัง เครำะห์แ สง ทำำ ให้ ณออกซิเ จนในบรรยำกำศเพิ่ม ีก ำรรวมตัว ของออกซิเ จนอิส ร เปลี่ย นสภำพเป็น โอโซน (O3) ำยเป็น บรรยำกำศชั้น ในของโล ป้อ งกัน รัง สีอ ัล ตรำไวโอเล็ต จำกดวงอำทิต ย์
  • 23. จำกสมมติฐ ำนของ ปรำกฎกำรณ์น ี้ มิล เลอร์ (Miller) นัก เคมีช ำวอเมริก ัน และ เคลวิน (Kelvin) นัก ชีว เคมีช ำวเยอรมัน
  • 24. มิล เลอร์ ทดลองนำำ บรรยำกำศเทีย ม ประกอบด้ว ย ก๊ำ ซ มีเ ทน (CH4) ไฮโดรเจน (H2) แอมโมเนีย (NH3) ไนโตรเจน (N2) และ ไอนำ้ำ (H2O) ่ไ ด้ ผลที สำรประกอบอิน ทรีย ์ อ งปฏิบ ัต ิ ใส่ห ลอดทดลองในห้ หลำย ชนิด กำร
  • 25. บรรยำกำศเทียม CH4 ,H2 NH3 H2O คอนเดนเซอร์ กำรทดลองของมิล เลอร์ใ นห้อ งปฏิบ ต ิก ำร ั โดยใช้บ รรยำกำศเทีย ม
  • 26. วิน (Kelvin) นัก ชีว เคมีช ำวเยอร นำำ บรรยำกำศเทีย ม เช่น เดีย วกับ ม ส่เ ครื่อ งมือ ทดลองในห้อ งปฏิบ ต ิก ำ ั ผ่ำ นด้ว ยรัง สีแ กมม่ำ ฏว่ำ เกิด โมเลกุล นำ้ำ ตำล กรดอ ะ สำรที่เ ป็น องค์ป ระกอบของกรดนิว ค
  • 27. สำรประกอบทีก ล่ำ วมำ ่ เป็น ส่ว นประกอบสำำ คัญ ภำยในเซลล์ของสิ่ง มีช ีว ิต ทำำ หน้ำ ที่ สะสมพลัง งำน คือ ATP (Adenosine TriPhosphate) และ กำรถ่ำ ยทอดพลัง งำน คือ NAD
  • 28. ผลของกำรศึก ษำทดลองในห้อ งปฏ ทำำ ให้ส รุป ได้ว ่ำ 1) บรรยำกำศของ โลกในอดีต ขณะนั้น อำจจะสำมำรถสร้ำ ง สำรประกอบ
  • 29. 2)จำกกำรศึก ษำทำง ชีว เคมี พบว่ำ สำรประกอบ อิน ทรีย ์ เป็น โมเลกุล ที่ป ระกอบ (Organic ด้วmolecules) ย C-C Bond และ C,H,O,N
  • 30. ตัว อย่ำ งเช่น สำร โพลีเ ม อร์(Polymers) มี สูต รโมเลกุล เป็น กุล เหล่ำ นี้ จะเกี่ย - อ งกับ สิ่ง ม วข้ อมีก ระบวนกำรทำำ งำนทำงชีว CHONCHONCHO
  • 31. 3) กำรวิเ ครำะห์ องค์ป ระกอบ ของสิ่ง มีช ีว ิต ปัจ จุบ ัน อะมิโพบว่ำ ว นประกอบของโปร น (ส่ และ กรดนิว คลีอ ิก (สำรพัน ธุก รรม) สำรประกอบที่ส ำำ คัญ ของสิ่ง มีช
  • 32. ตัว อย่ำ ง โมเลกุล ของกรดอะ มิโ น Glycine CH2NH3 COO โมเลกุล ของคำร์โ บไฮเดรต (นำ้ำ ตำล) HC=O HOCH HOCH
  • 33. อย่ำ งไรก็ต ำม ปัจ จุบ ัน ไม่ป รำกฎว่ำ มีน ัก วิท ยำศำสตร์ผ ู้ใ ด สำมำรถสร้ำ งเซลล์ท ี่ม ีช ีว ิต ขึ้น ได้ใ นห้อ งปฏิบ ัต ิก ำร
  • 34. สิง มีช ว ิต ชนิด แรก กำำ เนิด ขึ้น ่ ี มำบนโลกประมำณ 3,900 ปัจ จุบ ัน นปีม ำแล้ว ล้ำ สัต ว์ม ก ระดูก สัน ี ปัจ จุบ ัน พบว่ำ หลัง มีส ง มีช ีว ิต ิ่ มำกมำย หลำยล้ำ นชนิด สัต ว์ไ ม่ม ก ระดูก ี สัน หลัง กำำ เนิด โลก แต่ล ะชนิด มีร ูป ร่ำ ง โปรคำริ โอท ลัก ษณะ
  • 35. คำำ ถำม สิ่ง มีช ีว ิต มำจำก ใหน และ สำมำรถดำำ รงเผ่ำ พัน ธุ์อ ยู่ คำได้อ ย่ำคือ ำ ตอบ งไร สิ่ง มีช ีว ต มีว ว ฒ นำกำร ิ ิ ั
  • 36. วิว ฒ นำกำร คือ อะไร ั
  • 37. วิว ัฒ นำกำร คือ กำรเปลีย นแปลง ลัก ษณะ ่ พัน ธุก รรมในประชำก ร ของสิง มี ่ ชีว ิต ทีน ำำ ไปสู่ก ำรเปลี่ย นแปลง ่ โครงสร้ำ ง รูป ร่ำ ง ลัก ษณะ หรือ หน้ำ ที่ก ำรทำำ งำน เมื่อ มีก ำรสะสม........ใน ปริม ำณที่ม ำกขึ้น นำำ ไปสู่ก ำร กำำ เนิด สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด ใหม่ห รือ สปีช ีส ์ (Species) วงค์ (F amily)
  • 38. วิว ฒ นำกำร ั ศึก ษำในระดับ ประชำกร
  • 39. ประวัต ิแ ละแนวคิด เกี่ย วกับ วิว ัฒ นำกำร จำกควำมเชื่อ ในอดีต ที่เ ชื่อ ว่ำ สิ่ง ต่ำ งๆบนโลก เกิด จำกควำมประสงค์ข อง พระเจ้ำ โดยที่เ ชื่อ ว่ำ โลก มีอ ำยุป ระมำณ 6,000 ปี เท่ำ นั้น ควำมเชื่อ นี้
  • 40. ต่อ มำ คริส ต์ศ ตวรรษที่ 18 ควำมรู้ท ำงวิท ยำศำสตร์ เจริญ ก้ำ วหน้ำ มำกขึน ้ มีน ัก วิท ยำศำสตร์ แสดงควำมคิด เห็น แตกต่ำ ง กัน มีแ นวควำมคิด อีก มำกมำย
  • 41. ลำมำร์ค (Lamarck, 1744-1829) นัก วิท ยำศำสตร์ ชำว ฝรั่ง เศส ที่น ำำ เสนอทฤษฎี วิว ัฒ นำกำร เป็น คนแรก แต่ท ฤษฎีถ ูก ปฏิเ สธ จำกนัก วิว ัฒ นำกำร เนื่อ งจำก ไม่ส ำมำรถพิส จ น์ไ ด้ ู
  • 42. ทฤษฎีข อง ลำมำร์ค ประกอบด้ว ย หลัก เกณฑ์ใ หญ่ คือ 1) T Inheritance of acquired he characteristics 2) L of use and disuse aw ร่ำ งกำยและส่ว นต่ำ งๆมีแ นวโน้ม ที่จ ะเพิม ่ ขนำดตลอดเวลำ มีอ วัย วะเกิด ขึ้น ใหม่เ นื่อ งจำกผลของ กำรใช้ง ำน ส่ว นใหนที่ถ ูก ใช้จ ะเจริญ หรือ เพิ่ม ขนำด ส่ว นที่ไ ม่ถ ูก ใช้จ ะลดขนำดหรือ สูญ หำย
  • 43. Lamarckism “T theory of acquired characteristics” he รุษ ยีร ำฟคอสัน กว่ำ ยีร ำฟปัจ จุบ ัน ้ กิน ใบอ่อ นบนยอดไม้เ ป นบริเ วณด้ำ นล่ำ งถูก กิน หมด ต้อ งยืด คอเพือ กิน ยอดไม้ท อ ่ ี่ นำนทำำ ให้ค อยำวขึ้น เมือ ยีร ำฟตัว นี้ม ล ูก ลูก ทีเ กิด จะคอย ่ ี ่ มื่อ ทำำ เช่น นี้ไ ปหลำยชั่ว รุ่น เป็น สำเหตุใ ห้ย ีร ำฟรุ่น ต่อ ๆ มำ จนในทีส ุด มีค อยำวอย่ำ งทีเ ห็น ในปัจ จุบ ัน ่ ่
  • 44. ปัญ หำของทฤษฎี ลำมำร์ค ไม่ส ำมำรถทดลองพิส ูจ น์ใ ห้ August จริeisman เห็น Wง ได้ นัก วิท ยำศำสตร์ช ำวเยอรมัน ทำำ กำรทดลองตัด หำงหนู ประมำณ 20 ชั่ว รุ่น ปรำกฏว่ำ หนูท ี่เ กิด ใหม่ย ัง คงมี หำงตำมปกติ คัด ค้ำ นหลัก เกณฑ์ข องทฤษฏีน ี้
  • 45. ทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำร ของ ดำร์ว ิน (Darwinism)
  • 46. ชำร์ล ดำวิน : Charles R. Darwin 1809-1882 นัก ธรรมชำติว ิท ยำ ชำวอัง กฤษ บิด ำ ของกำรศึก ษำ วิว ัฒ นำกำร ผู้ต ั้ง ทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำร
  • 47. หลัก เกณฑ์ส ำำ คัญ ทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำรของ ดำร์ว ิน คือ กลไกกำรคัด เลือ กโดย ธรรมชำติ (Natural Selection)
  • 48. แนวควำมคิด ที่น ำำ ไปสู่ กำรนำำ เสนอทฤษฎี วิว ัฒ นำกำร ของ ดำร์ว ิน ได้แ ก่ 1) กำรเดิน ทำงรอบโลกไปกับ เรือ HMS Beagle : 1831-1836
  • 49. หมูเ กำะกำลำปำกอส ่ หมูเ กำะกำำ เนิด จำก ่ ภูเ ขำไฟ ตั้ง อยู่ บริเ วณเส้น ศูน ย์ส ต รู ห่ำ งจำกประเทศ อิเ ควดอร์ ประมำณ 600 ไมล์ มีก ระแส นำ้ำ อุ่น และนำ้ำ เย็น สัต ว์ท ี่พ บ มีล ัก ษณะแตกต่ำำ น ไหลผ่ งไป จำกที่อ ื่น ช บนเกำะเป็น พื
  • 50. ตัว อย่ำ งสัต ว์บ ำงชนิด ที่ด ำร์ว ิน พบ จำกกำรศึก ษำ Darwin’s E vidence for E volution Variation of M ocking birds นกฟิน ซ์ช นิด ต่ำ งๆ บนหมูเ กำะ ่ กำลำปำกอส
  • 51. 2) ไลเอลล์ (Charles Lyell, 1797-18 นัก ธรณีว ิท ยำ ชำว อัง กฤษ เขีย นหนัง สือ ทำงธรณีว ิท ยำ เป็น ผู้ท ี่ สนับ สนุนhe “T ทฤษฎี Principle of Geology” T Phe rinciple of Uniformitarianism โดยเชือ ว่ำ resent กิดthe ในปัจ จุบ ัน เป็น ่ “P สิ่ง ที่เ is ขึ้น อย่K to the P ำ งไร ey ast” ในอดีต จะ
  • 52. 3) ควำมรู้จ ำก มัล ทัส (Thomas Multhus) : 1766-1834 นัก ประชำกรศำสตร์ เขีย น หนัง สือ เรื่อ ง “ T P he rinciple of มีใ จควำมตอนหนึง ที่ก ล่ำ วว่ำ P ่ opulation” “อัต รำกำรเพิ่ม ของประชำกร เป็น แบบทวีค ณู ในขณะที่ อัต รำกำรเพิ่ม ของอำหำร เป็น แบบผลบวกเลขคณิต ” อัต รำส่ว นในกำรเพิ่ม จึง ไม่ ดำร์ว ิน นำำ หลัก เกณฑ์น ี้ สัม พัน ธ์ก ัน อธิบ ำย ทฤษฎีก ำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ
  • 53. ควำมรู้ท ี่ไ ด้จ ำก วอลเลส (Alfred R. W allace) :วอลเลส มีแ นวคิด เช่น 1823-1913 เดีย วกับ ดำร์ว ิน โดยเขีย นบทควำมเกี่ย วกับ กำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ หมู่เ กำะ มำเลย์อ ำชิเ พลำ โก
  • 54. ลัก เกณฑ์ท ฤษฎีว ิว ัฒ นำกำรของดำร์ว ิน 1. ควำมสำมำรถในกำรสืบ พัน ธุ์ส ง ู 2. มีล ัก ษณะแตกต่ำ งแปรผัน 3. กำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ (Natural Selection) 4. ตัว ทีถ ก คัด เลือ กไว้ ่ ู จะสืบ พัน ธุ์แ ละถ่ำ ยทอดลัก ษณะ ต่อ ไปยัง ลูก หลำน
  • 55. หลัก เกณฑ์ท ฤษฏีว ิว ัฒ นำกำร ของดำร์ว ิน ได้ร ับ กำรยอมรับ และ กระตุ้น ให้ นัก วิท ยำศำสตร์ สนใจศึก ษำวิว ัฒ นำกำรเพิ่ม มำกขึ้น ปัญ หำของทฤษฎีด ำร์ว ิน * รับ แนวควำมคิด ของลำมำร์ค ใน เรื่อ งอิท ธิพ ลของสภำพแวดล้อ ม * ไม่ส ำมำรถอธิบ ำยขั้น ตอนกำร แปรผัน ลัก ษณะทีเ กิด ขึ้น ่
  • 56. ต่อ มำ ในระหว่ำ งปี 1822-1884 เมนเดล (Gregor J M . endel) บำดหลวงและนัก พฤกษศำสตร์ ชำวออสเตรีย ค้น พบกำรถ่ำ ยทอดลัก ษณะ พัน ธุก รรม โดย ทำำ กำรทดลองผสมต้น ถัว ่
  • 57. ดำร์ว ิน ได้ช ื่อ ว่ำ บิด ำแห่ง วิว ัฒ นำกำร เมนเดล ได้ช ื่อ ว่ำ บิด ำแห่ง พัน ธุศ ำสตร์
  • 58. อย่ำ งไรก็ต ำม ทฤษฎี วิว ัฒ นำกำร มีก ำรเปลี่ย นแปลงไป ตำม เหตุผ ลและกำลเวลำ
  • 59. ทฤษฎีป ัจ จุบ ัน (Modern synthesis) นับ ตั้ง แต่ใ นปี1935 มีก ำรนำำ ควำมรู้ใ หม่ๆ ใน สำขำวิช ำ พัน ธุศ ำสตร์ พัน ธุศ ำสตร์ ประชำกร
  • 60. ทฤษฎีว ว ฒ นำกำร ิ ั ปัจ จุบ ัน เรีย กว่ำ Neo-Darwinism หรือ Synthetic Theory
  • 61. Modern synthesis กล่ำ วถึง ประชำกรสิ่ง มีช ีว ิต ทีป ระกอบ ่ ด้ว ย Genetic variation ซึ่ง เกิด ขึ้น โดย mutation กับ recombination.
  • 62. netic drift, Gene flow และ Natural Selection กับ กำรเปลี่ย นแปลง ลัก ษณะภำยนอก (phenotypes ...ซึ่ง กำรเปลี่ย นแปลงที่เ กิด ขึ้น notypes เกิด ขึน อย่ำ งค่อ ยเป็น ค่อ ้
  • 63. หลัก ของ M odern synthesis หรือ Synthesis Theory
  • 64. 1) Random genetic drift เป็น ปัจ จัย สำำ คัญ เท่ำ กับ Natural Selection 2) Variation within a population เกิด จำกผลของ M utiple alleles of a gene 3) Speciation เกิด จำกกำรสะสม ของกำรเปลี่ย นแปลงทำง
  • 65. อย่ำ งไรก็ต ำม กำรศึก ษำใน ปัจ จุบ ัน พบว่ำ หลัก เกณฑ์ข ้อ ที่ 3 ของ....................มีข ้อ โต้แ ย้ง จำกกำรค้น พบฟอสซิล ของ สิ่ง มีช ีว ิต ที่พ บในห้ว ง เวลำหนึ่ง จะมีล ัก ษณะคงที่ไ ม่ เปลี่ย นแปลง แต่จ ำกนั้น ต่อ มำมี กำรเปลี่ย น แปลงเกิด ขึ้น อย่ำ งรวดเร็ว ฉับ พลัน กลำยเป็น สิ่ง มีช ีว ิต ชนิด ใหม่ M odel ที่
  • 66. Punctuated equilibrium ทฤษฎีก ำรเปลี่ย นแปลงที่น ำำ ไป สู่ก ำรกำำ เนิด ของสิ่ง มีช ว ิต ชนิด ใหม่ ทีไ ด้ ี ่ จำกหลัก ฐำนกำรค้น พบฟอลซิล ของสิ่ง มีช ีว ิต ต่ำ งสีป ช ีส ์ก ัน ในสำยวิ ี วัฒ นำกำรหนึ่ง ๆ พบว่ำ ห้ว งเวลำ 50,000-100,000 ปี สปีช ีส ์แ ต่ล ะสปีช ีส ์ มีล ัก ษณะคงที่ มีก ำรเปลี่ย นแปลง น้ต่ำ งจำก Darwinism อ ยมำก ต่อ จำกนั้น กำรเปลี่ย นแปลงเกิด ขึ้น ง มีก ำรเปลี่ย นแปลงอย่ำ รวดเร็วงค่อ ยเป็น ค่อ ยไป (Gradualism) ีว ิต อย่ำ ในเวลำอัน สั้น กลำยเป็น สิ่ง มีช ชนิด ใหม่
  • 67. เปรีย บเทีย บทฤษฎีว ิว ัฒ นำกำร Lamarckis Darwin Synthesis m ism theory 1) T he 1) 1) Random inheritance Variation genetic drift of 2) 2) Population acquired Natural genetic 3) P unctuated characterisric Selection equilibrium 2) L of aw use and
  • 68. ทฤษฎีว ว ฒ นำกำร ิ ั ปัจ จุบ ัน แสดงให้เ ห็น ว่ำ กระบวนกำรวิว ัฒ นำกำร มีป จ จัย หลำยอย่ำ งทำำ งำน ั ร่ว มกัน
  • 69. จจัย ต่ำ งๆเหล่ำ นั้น ประกอบด้ว 1. กำรแปรผัน ของลัก ษณะ พัน ธุก รรม (Genetic variation) 2. กำรคัด เลือ กทำง ธรรมชำติ (Natural 3. เวลำ Selection) (Time)
  • 70. 1) กำรแปรผัน ทำง พัน ธุก รรม (Genetic variation) เกิด ขึ้น ได้อ ย่ำ งไร สิ่ง มีช ีว ิต มีก ำรถ่ำ ยทอด ลัก ษณ ะ ทำง พัน ธุก รรม แบ่ง ออก เป็น 2 ประกำรหลัก
  • 71. 1) กำรควบคุม ลัก ษณะ ต่ำ งๆ ของสิ่ง มีช ีว ิต ให้ค งเดิม 2) กำรทำำ ให้ส ิ่ง มีช ีว ิต มี ลัก ษณะแตกต่ำ งแปรผัน เปลี่ย นแปลงไป
  • 72. ตัว อย่ำ ง สิ่ง มีช ีว ิต มีล ัก ษณะ แตกต่ำ งกัน เนื่อ งจำกกำร แปรผัน ของลัก ษณะพัน ธุก รรม สุน ัข ชนิด งูช นิด เดีย วกัน เดีย วกัน
  • 73. 2. กำรคัด เลือ กโดย ธรรมชำติ( Natural Selection) สภำพแวดล้อ มแต่ล ะแห่ง มี ควำมแตกต่ำ งกัน สิ่ง มีช ีว ิต มีล ัก ษณะหลำยแบบ ดัง นั้น ลัก ษณะใดเหมำะสมกับ สภำพ
  • 74. 3. เวลำ (Time) กำรเปลี่ย นแปลงของลัก ษณะ ที่เ กิด ขึ้น ต้อ งอำศัย เวลำในกำรสะสม ปริม ำณกำรเปลี่ย นแปลง ทีอ ำจนำำ ไปสู่ก ำรเกิด ลัก ษณะ ่
  • 75. ตัว อย่ำ ง วิว ัฒ นำกำรใน ธรรมชำติ คือ กำรเกิด วิว ัฒ นำกำร อย่ำ งรวดเร็ว ในผีเ สื้อ Indrustrial melanism กลำงคืน (Biston betularia) เมลำนิซ ึม ของผีเ สื้อ กลำงคืน เกิด จำกผลของ กำรคัด เลือ กโดย
  • 76. จำกกำรศึก ษำ ประชำกรผีเ สื้อ (Biston betularia) กลำงคืน ในประเทศ อัง กฤษ พบว่ำ ประกอบด้ว ย ผีเ สื้อ ลัก ษณะปีก สีเ ทำ และ ปีก สีด ำำ
  • 77. กำรกระจำยของประชำกร ผีเ สือ ้ Trypica l form Melanic form
  • 79. กำรศึก ษำในปี 1848 พบว่ำ ประชำกรใน ขณะนั้น ประกอบด้ว ย ผีเ สื้อ ปีก สีเ ทำ 98 % ผีเ สื้อ ปีก สีด ำำ
  • 80. ต่อ มำ ปี 1898 เมือ งเบอร์ม ง แฮม ิ พัฒ นำเป็น เมือ งอุต สำหกรรม เกิด มลพิษ ต้น ไม้ถ ูก ควัน ดำำ รม ไลเคน ตำย กำรศึก ษำ พบผีเ สื้อ ปีก สีเ ทำเพีย ง 1 พบ ปีก สีด ำำ 99 %
  • 81. กำรเปลี่ย นแปลงของ ประชำกรผีเ สื้อ กลำงคืน ปัจ จัย แสดงให้เ ห็น ัฒ นำกำร ที่ม ีผ ลต่อ วิว ว่ำ 1)กำรแปรผัได้แ ก่ น ทำง พัน ธุก รรม ได้แ ก่ ลัก ษณะปีก สีเ ทำ
  • 82. 2) กำรคัด เลือ กโดยธรรมชำติ ที่เ กิด จำกผลของกำร เปลีย นแปลง ของสภำพ ่ 1848 ไม่ม ีม ลพิษ แวดล้อ ม มีม ลพิษ
  • 83. 3) เวลำ (Time) สะสมปริม ำณกำร เปลี่ย นแปลง
  • 84. สรุป กระบวนกำร (กลไก) วิว ัฒ นำกำรของสิ่ง มี ชีว ิต มีป ัจ จัย ที่เ กียน ทำง คือ 1) กำรแปรผั วข้อ ง ่ พัน ธุก รรม ทำำ ให้เ กิด ควำม หลำกหลำย 2) สภำพ แวดล้อ ม ทำำ หน้ำ ทีก ำำ หนด ่ ลัก ษณะทีเ หมำะสม ่
  • 85. ฒนำกำรของสิ่ง มีช ีว ิต ค ควำมจริง (F act) ที่เ กิด ขึ้น มำแล้ว ในอดีต ดัง นั้น ไม่ส ำมำรถพิส ูจ น์ใ ห้ เห็น จริง
  • 86. ในกำรศึก ษำ จึง ต้อ งนำำ หลัก ฐำนต่ำ งๆ และ วิท ยำศำสตร์ส ำขำอื่น ๆ มำประมวลเป็น หลัก เกณฑ์แ ละทฤษ อใช้อ ธิบ ำยและสนับ สนุน วิว ัฒ นำกำ ให้เ ข้ำ ใจได้ถ ก ต้อ งมำกขึน ู ้
  • 87. หลัก ฐำนสนับ สนุน วิว ัฒ นำกำร ได้แ ก่ 1. กำรศึก ษำ ทำง ธรณีว ิท ยำ (ฟอสซิล ) 2. กำรศึก ษำ ชีว ภูม ศ ำสตร์ ิ 3. กำรศึก ษำ ทำงกำยวิภ ำค เปรีย บเทีย บ 4. กำรศึก ษำ ทำงตัว อ่อ น
  • 88. 1. กำรศึก ษำฟอสซิล (F ossils) หรือ ซำกดึก ดำำ บรรพ์ ฟอสซิล (F ossils) คือ ซำกของสิ่ง มีช ีว ิต ที่ถ ูก ทับ ถมจนกลำยเป็น หิน กำรศึก ษำโดยวิธ ีก ำรทำง ธรณีว ิท ยำ สำมำรถนำำ ซำก ที่ก ลำยเป็น หิน (ฟอสซิล )
  • 89. ตัว อย่ำ ง fossil บำงชนิด ที่ ค่อ นข้ำ งสมบูร ณ์ ได้แ ก่ (1) fossil ใบไม้ อำยุ 40 ล้ำ นปี (2) fossil Ichthyosaurs (สัต ว์ เลื้อ ยคลำนโบรำณ) มี ลัก ษณะคล้ำ ยปลำโลมำ ค้น พบโดยนัก โบรำณคดี อำยุป ระมำณ 200 ล้ำ นปี มี ลัก ษณะสมบูร ณ์
  • 90. ฟอสซิล นกโบรำณ (Archaeoptery x) อำยุ 140 ล้ำ นปี มีล ัก ษณะกึ่ง กลำง ระหว่ำ งสัต ว์เ ลื้อ ยคลำน และนก มีฟ ัน ขำหน้ำ และขำหลัง ำยบรรพบุร ุษ ของสัต ว์เ ลื้อ ยคลำน และมีล ัก ษณะอื่น เช่น ขนนก ที่ค ล้ำ ยกับ นกปัจ จุบ นั เรีย ก Transitional fossil เชื่อ มโยง อดีต กับ ปัจ จุบ ัน
  • 91. จำกกำรศึก ษำทำงธรณีว ิท ยำ พบฟอสซิล อยู่ใ นหิน ชั้น หรือ หิน ตะกอน (sedimentary rock) ที่ม ีก ำรทับ ถมมำจำกด้ำ นบน ด้ว ยเหตุน ี้ นัก ธรณีว ิท ยำเชื่อ ว่ำ ฟอสซิล ที่อ ยู่ช ั้น ล่ำ งมีอ ำยุม ำกกว่ำ ฟอสซิล ที่อ ยู่ช ั้น บน
  • 92. นอกจำกนี้ก ำรศึก ษำเรื่อ งรำว ของฟอสซิล ทำำ ให้น ัก วิท ยำศำสตร์ท รำบว่ำ สิ่ง มีช ีว ิต ในธรรมชำติ ที่เ กิด ขึ้น ในอดีต จนถึง ปัจ จุบ ัน และยัำกมำยหลำยล้ำ นชนิีส ์ไ ม่ม ี มีม ง ทำำ ให้ท รำบว่ สปีช ด ที่ส ูญ พัน ธุ์ไ ปแล้ว มีเ ป็น จำำ นวน ควำมคงที่ มำก หำกแต่ว ่ำ
  • 93. 2. กำรศึก ษำชีว ภูม ิศ ำสตร์ (Biogeography) ศึก ษำกำรกระจำย ของสิ่ง มีช ีว ิต แต่ล ะชนิด ในสภำพภูม ศ ำสตร์ต ่ำ งๆ ิ
  • 94. วอลเลส ศึก ษำกำรกระจำยของสิ่ง มีช ีว ิต มีก ำรค้น พบสัต ว์ป ระจำำ ถิ่น (Endemic species)
  • 95. โดยแบ่ง สภำพ ภูม ศ ำสตร์ ิ ออกเป็น 6 อนำเขต 1 2 5 4 6 3
  • 96. 1 2 5 3 4 6
  • 97. หมีข ำว (P olar bear) พบที่บ ริเ วณ ขั้ว โลกเหนือ เท่ำ นั้น ขณะที่น ก penguins บำงชนิด พบที่ บริเ วณขั้ว โลกใต้
  • 98. หลัก ฐำนสำำ คัญ ในกำรสนับ สนุน สมมุต ฐ ำน ิ กำรกระจำยของสิ่ง มีช ีว ิต ชนิด ต่ำ งๆ กำรศึก ษำเรื่อ งรำวของฟอสซิล (Fossil record) และ กำรเคลื่อ นตัว ของเปลือ กโลก (Continental drift)
  • 99. หลัก ฐำนสนับ สนุน กำรเคลื่อ นตัว ของเปลือ ก โลกและกำรกระจำยพัน ธุ์ (Continental drift and พบ ฟอสซิล ของสัต ว์เ ลื้อ ยคลำน (reptiles) และ เฟิร ์น ในบ B iogeography) Ly strosa urusไดโน เสำร์ ขนำดเล็ก Cyanogna Glossopt thus eris เฟิร ์น ไดโนเสำร์ Mesosaurus ไดโนเสำร์ ที่
  • 100. กำรเคลื่อ นตัว ของเปลือ กโลก (continental drift) Pang 200- 250 aea ล้ำ นปี Laurasia 180 ล้ำ น Gondwana ปี land ทวีป ปัจ จุบ ั ต่ำ งๆ
  • 101. 3. Comparative Anatomy (หลัก ฐำนทำงกำยวิภ ำค เปรีย บเทีย บ) เป็น กำรศึก ษำเปรีย บเทีย บ จุด กำำ เนิด หน้ำ ที่ และ กำร ทำำ งำน ของ โครงสร้ำ งต่ำ งๆ ในตัว เต็ม วัย ได้แ ก่ H omologous structure และ Analogous structure
  • 102. H omologous structure โครงสร้ำ งมำจำก จุด กำำ เนิด เดีย วกัน แต่ท ำำ หน้ำ ที่ต ่ำ งกัน ฒนำกำรของโครงสร้ำ งนี้เ รีย กว่ำ H omol กำรมำจำกจุด กำำ เนิด เดีย วกัน แสดงว่ำ สิง มีช ว ิต กลุม นี้ ่ ี ่ มีค วำมสัม พัน ธ์ใ กล้ช ิด กัน ในเชิง วิว ัฒ นำกำร (มีบ รรพบุร ุษ ร่ว มกัน )
  • 103. ย่ำ งเช่น ระยำงค์ค ห น้ำ ของสัต ว์เ ลี้ย งลูก ด้ว ยนม ได ู่ ของคน ขำหน้ำ ของเสือ ครีบ ปลำวำฬ และ ปีก ค้ำ ง สัง เกต ลัก ษณะ กระดูก ชิ้น ต่ำ งๆ ที่ม ีส เ ดีย วกัน ี นิ้ ว H omologous มำจำกจุด structures กำำ เนิด
  • 104. Analogous structure โครงสร้ำ งของสิ่ง มีช ีว ิต ำจำกจุด กำำ เนิด ต่ำ งกัน แต่ท ำำ หน้ำ ทีเ หมือ น ่ ยกวิว ัฒ นำกำรของโครงสร้ำ ง นีว ่ำ Anal ้ ในเชิง วิว ัฒ นำกำร สิง มีช ว ิต กลุม นี้ ่ ี ่ ไม่ม ีค วำมสัม พัน ธ์ก ัน ทำงบรรพบุร ุษ ตัว อย่ำ งเช่น ปีก นก ปีก แมลง
  • 105. ตัว อย่ำ ง ปีก นก ปีก แมลง โครงสร้ำ งมำจำก จุด กำำ เนิด ต่ำ งกัน นำำ ไปใช้ป ระโยชน์ ในกำรบิน เช่น เดีย ว กำรศึก ษำ ส่ว น ประกอบ ของ โครงสร้ำ ง Analogous structure ที่ป ระกอบ เป็น ปีก จะ
  • 106. 4. Comparative Embryology กำรศึก ษำกำรเจริญ ของเอมบริโ อในสิง ่ มีช ีว ิต พบว่ำ สิ่ง มีช ีว ิต ที่ม ีค วำมสัม พัน ธ์ก ัน ในสำย วิว ัฒ นำกำร มีแ งเช่น กลุ่ม สัต ว์ของเอมบริโหลัง ได อย่ำ บบแผนกำรเจริญ ม ีก ระดูก สัน อ ระยะ แรกคล้ำ ยคลึว์กัน ยคลำน ไก ว์ส ะเทิน นำ้ำ สะเทิน บก สัต ง เ ลือ ้ ริญ ของเอมบริโ อระยะแรกมีล ก ษณะเหมือ ั ต่อ จำกนั้น ทิศ ทำง ในกำรเจริญ ที่เ ป็น ลัก ษณะเฉพำ
  • 107. 1 2 3 ปลำ สัต ว์ส ะเทิน นำ้ำ สะเทิบ นบก สัต ว์เ ลื้อ นยคลำน สัต ว์ป ีก หมู วัว คน ไก่ คน embryo มี gill slits อยู่บ ริเ วณคอ
  • 108. สัต ว์ก ลุ่ม ไม่ม ีก ระดูก สัน หลัง T rochophore larva สัต ว์ กลุ่ม ใส้เ ดือ นดิน มีร ูป ร่ำ งคล้ำ ยกับ Veliger larva สัต ว์ใ น กลุ่ม หอย แสดงว่ำ สัต ว์ท ั้ง 2 Trochoph Veliger Phylum larva ore มีค วำมสัม พัน ธ์ larva กัน
  • 109. 5. กำรศึก ษำทำงสรีร วิท ยำและชีว โมเลกุล โครงสร้ำ งพืน ฐำนของสิ่ง มีช ีว ิต ที่ ้ ควบคุม กำรถ่ำ ยทอดลัก ษณะพัน ธุก รรม คือ DNA หรือ Genes ซึ่ง จะทำำ หน้ำ ที่ เกี่ย วข้อ ง กับ กำรสัง เครำะห์โ ปรตีน โปรตีน เกิด จำกกรดอมิโ นหลำย (protein) ตัว มำต่อ กัน มีค วำมสำำ คัญ ต่อ กระบวนกำร
  • 110. โมเลกุล ของ โมเลกุล ของ ดีเ อน โปรตีน เอ
  • 111. กำรศึก ษำพบว่ำ สิ่ง มีช ว ิต ที่ม ีค วำมสัม พัน ธ์ใ กล้ช ิด ในเชิง ี วิว ัฒ นำกำร มีค วำมเหมือ นกัน ของ ย วกันมำกกว่ำ สิ่ง ทำำ นองเดี DNA มีช ีว ิต กลุม อื่น ๆ ่ ในสิ่ง มีช ีว ิต ชนิด เดีย วกัน ในสมำชิก ที่เ ป็น กลุ่ม พี่น ้อ ง จะมีค วำมเหมือ นกัน ของลำำ ดับ เบส บนสำย DNA และ protein มำกกว่ำ สมำชิก กลุ่ม อื่น ๆ
  • 112. ตัว อย่ำ ง กำรศึก ษำควำมสัม พัน ธ์ ของสิง มีช ีว ิต ่ จำก จำำ นวน amino acid ที่พ บ บนสำย polypeptide ของ hemoglobin olecular data and the evolutionary relationships of vertebr แกนตั้ง คือ จำำ นวนของ amino
  • 113. 6. กำรศึก ษำทำงพัน ธุ ศำสตร์ จำกควำมรู้ท ำงพัน ธุศ ำสตร์ สำมำรถนำำ มำประยุก ต์ใ ช้ ในกำร เปลี่ย นแปลงลัก ษณะของ ประชำกรสิ่ง มีช ีว ิต ได้ เช่น กำรคัด เลือ กพัน ธุ์ และ กำร ที่ม นุษ ย์เ ป็น ผู้ก ระทำำ เรีย ก ปรับ ปรุง พัน ธุ์ กำรคัด เลือ กแบบนี้ว ่ำ พืช และ สัต ว์ Artificial selection
  • 114. กำรคัด เลือ กและกำรปรับ ปรุง พัอย่ำพ ช น ตัว น ธุ์ งเช่ ื มำจำกส่ว นต่ำ งๆของ ต้น มัส ตำดป่ำ กระหลำ่ำ ชนิด ต่ำ งๆ
  • 115. กำรคัด เลือ กพัน ธุแ ละกำร ์ ปรับ ปรุง พัน ธุส ต ว์ ์ ั สุน ั ข
  • 116. กำรคัด เลือ ก โดยวิธ ีต ัด ต่อ ยีน (Genetic engineering) GM Os (Genetically M odified Organisms) คือ สิง มีช ว ิต ทีไ ด้ม ำจำกกำรคัด ่ ี ่ เลือ ก และกำรปรับ ปรุง พัน ธุ์
  • 118. มนุษ ย์เ ป็น สัต ว์เ ลี้ย งลูก ด้ว ยนม มีช ื่อ วิท ยำศำสตร์ Hom sapien sapien o มีก ำรดำำ รงชีว ิต มำ ประมำณ 3 หมื่น -1 แสนปี มำแล้ว นัก มนุษ ยวิท ยำส่ว นใหญ่ ลงควำมเห็น ว่ำ นุษ ย์ และ ลิง ไร้ห ำง (ape) มีบ รรพบุร ุษ ร่ว มก
  • 119. ข้อ แตกต่ำ ง ระหว่ำ ง มนุษ ย์แ ละลิง 1. กำรเดิน มนุษ ย์เ ดิน 2 ขำ ลำำ ตัว ตั้ง ตรง ลิง เดิน 4 ขำ 2. กระดูก เชิง กรำน มนุษ ย์ม ีช ิ้น ถัด ไปเรีย ง ตัว ในแนวตั้ง กระดูก เชิง กรำนลิง มีล ัก ษณะลำดเอีย ง ดึง โน้ม ให้ก ระดูก คอ เปรีย บเทีย บ และกระโหลกศรีษ ะเรีย งตัว ในแนวนอน ลัก ษณะกำรเดิน และ กระดูก เชิง กรำน ระหว่ำ งลิง ไร้ห ำง กับ คน
  • 120. ริม ำตรของสมอง มนุษ ย์ม ีม ำก วนของหน้ำ และขำกรรไกร มนุษ ย์ล ดขน เปรีย บเทีย บขนำดของสมอง ระหว่ำ ง ชิม แพนซี มนุษ ย์โ บรำณ มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน ขำกรรไกรมนุษ ย ลดขนำดลง
  • 121. ษณะมือ มนุษ ย์แ ละลิง คล้ำ ยกัน แต่ก ำรใช้ง ำนต่ำ งก องจำก ขนำดของนิว หัว แม่ม อ ยำวไม่เ ท่ำ กัน ้ ื หัว แม่ม อ ของลิง ชิม แพนซี สัน กว่ำ ฐำนข้อ ที่ 1 ของน ื ้ นนิว หัว แม่ม อ ของมนุษ ย์ ยำวเกือ บกึ่ง กลำงของข้อ ้ ื ชิม มนุษ แพนซี ย์
  • 122. สำยวิว ัฒ นำกำรของ มนุษ ย์ o Hom sps. Cromay on Neanderthal Australopitheci man nes
  • 123. T Australopithecines (มนุษ ย์ว ำนร) he บรรพบุร ษ ของมนุษ ย์ช นิด นี้ ุ ปรำกฏขึ้น ครั้ง แรก สมัย ไมโอซีน พบว่ำ มีค วำมสัม พัน ธ์ใ กล้ช ิด กับ African ape ละ เชือ ว่ำ วิว ัฒ นำกำรมำจำกบรรพบุร ุษ เดีย วก ่ เมื่อ ประมำณ 4-8 ล้ำ นปีม ำแล้ว มีก ำรค้น พบฟอสซิล Australopithecines 4 สปีช ีส ์ คือ Australopithecus afarensis, A. africanus , A. robustus , A. bosei
  • 124. Australopithecine สปีช ีส แ รก คือ ์ Australopithecus afarensis ษณะสำำ คัญ มีข นำดใหญ่ก ว่ำ ชิม แพนซีเ ล็ก น 1-1.5 เมตร (3-5 ฟุต ) นำ้ำ หนัก ตัว 25-50 กิโ ล สมองมีข นำดเล็ก ประมำณ 380-450 ลบ.ซม ช่ว งแขนยำวกว่ำ ช่ว งขำ มีก ำรค้น พบฟอสซิล ของ A. afarensis ในอัฟ ริก ำ มีล ัก ษณะเป็น ผู้ห ญิง ตั้ง ชื่อ ว่ำ “L ucy”
  • 125. “Lucy” โครงกระดูก รอยเท้ำ Australopithecus afarensis ชื่อ ลูซ ี “Lucy” ทีพ บจำำ นวน 13 ฟ ่ เหนือ ของทะเลทรำยในเอธิโ อเปีย น ปี 1974 โดย Donald J มีอ ำยุม ำกกว่ำ 3 ล้ำ นปี โครงกระดูก เป็น ลัก ษณะผู้ห ญิง เด
  • 126. สปีช ีส ์ท ี่ 2 คือ Australopithecus africa นัก มนุษ ย์ว ิท ยำเชื่อ ว่ำ A. africanus วิว ัฒ นำกำรมำจำก A. afarensis ขนำดสมองอยูร ะหว่ำ ง 494-600 ลบ.ซม. ่ มีค วำมสูง ประมำณ 1.4 เมตร นหน้ำ มีล ัก ษณะแบน ฟัน หน้ำ (incisor) มีข นำด พบฟอสซิล ของ A. africanus ในประเทศแทนซำเนีย และเอธิโ อเปีย
  • 127. สปีช ีส ท ี่ 3 คือ Australopithecus robustus ์ กำรดำำ รงชีว ิต เมื่อ ประมำณ 2.3-1.3 ล้ำ นปีม ำแ ลัก ษณะแตกต่ำ งไปจำก 2 สปีช ีส แ รก ์ อ สมองมีข นำดประมำณ 500-600 ลบ.ซม. ควำมสูง ประมำณ 1.5 เมตร ำหนัก ตัว ประมำณ 45 กิโ ลกรัม มีห ลัก ฐำนพบว่ำ A. robustus มีก ำรวิว ัฒ นำกำรแตก สำยออกไป
  • 128. สปีช ีส ์ส ุด ท้ำ ย คือ Australopithecus boi นัก มนุษ ย์ว ิท ยำมีห ลัก ฐำนพบว่ำ มนุษ ย์ว ำนร สปีช ีส น ี้ ์ วัฒ นำกำรแตกสำยแยกออกมำจำก A. afarens สมองมีล ัก ษณะคล้ำ ย A. robustus J ขนำดใหญ่ และมีค วำมกว้ำ งของฟัน มำก aw มีก ำรดำำ รงชีว ิต อยูท ำงตะวัน ออกของ ่ ทวีป อัฟ ริก ำ ในช่ว งระหว่ำ ง 2.5-1.2 ล้ำ นปีม ำแล้ว
  • 129. H uman species สกุล Homo มนุษ ย์ มี 1 สกุล คือ ประกอบด้ว ย 3 สปีช ีส ์ ได้แ ก่ Hom habilis, Hom erectus , Hom sapien o o o H. habilis และ H. erectus จัด เป็น มนุษ ย์โ บรำณ ที่ส ูญ พัน ธุ์ไ ปหมดแล้ว
  • 130. (1) Hom habilis o มนุษ ย์โ บรำณ ที่ม ีก ำร ดำำ รงชีพ เมื่อ ประมำณ 3-2 ล้ำ นปี มีค วำมสูง ประมำณ 1.5 เมตร มำแล้ว สมองมีข นำดใหญ่ป ระมำณ 700 ลบ.ซม. ส่ง ผลทำำ ให้ส ว นหน้ำ มีข นำด ่ ใหญ่ข ึ้น ด้ว ย รถสร้ำ ข นำดของฟัน หน้ำ และำ หรับ ใช้ล ่ำ สัต ว์เ แต่งเครื่อ งมือ หำอำหำรสำ เขี้ย วกลับำรดำำ รงชีว ิต แบบเร่ร ่อ น มีก เล็ก ลง
  • 131. ในปี 1960 นัก มนุษ ย์ว ิท ยำชือ L ่ eaky ค้น พบฟอสซิล ของ H. habilis ที่เ มือ ง Olduvai Gorge อยูท ำงตอนใต้ข องทวีป อัฟ ริก ำ ่ ฟอสซิล มีอ ำยุป ระมำณ1.75 ล้ำ นปี ลัก ษณะเป็น ผู้ห ญิง ตั้ง ชื่อ ฟอสซิล ว่ำ “Twiggy ยัง มีก ำรค้น พบฟอสซิล ของ H. habilis อีก เป็น จำำ นวนมำกในทะเลสำบ Turkana ที่อ ยูท ำงตอนเหนือ ของทวีป อัฟ ริก ำ ่
  • 132. บริเ วณที่ค ้น พบฟอสซิล H. habilis พบหลัก ฐำนกำรประดิษ ฐ์เ ครื่อ งมือ ล่ำ สัต ว์ แสดงให้เ ห็น ว่ำ มีก ำรพัฒ นำทำง ที่ท ำำ มำจำกหิน แบบง่ำ ยๆ สมอง มีค วำมสำมำรถในกำรควบคุม สภำพ มีก ำรพัฒ นำด้ำ นกำรใช้ส ำยตำ แวดล้อ ม เป็น อย่ำ งดี มีค วำมสำมำรถในกำรวำงแผนในกำร จับ สัต ว์ และกำรทดลองรูป แบบที่เ หมำะสมใน
  • 133. (2) Hom erectus o ดำำ รงชีพ เมื่อ ประมำณ 1.5 ล้ำ นปีม ำแล้ว เป็น มนุษ ย์ก ลุ่ม แรก ที่อ พยพย้ำ ยถิ่น ฐำน จำกทวีป อัฟ ริก ำ ไปยัง ทวีป เอเชีย และทวีป ยุโ สูง ประมำณ 1.6-1.8 เมตร (6 ฟุต ) นำ้ำ หนัก ตัว ประมำณ 48 กิโ ลกรัม สำมำรถสร้ำ งเครื่อ งมือ ล่ำ สัต ว์ใ หญ่ ขนำดสมองประมำณ 800- 1250 ลบ.ซม. ได้ สร้ำ งที่อ ยูอ ำศัย แต่ย ง คงดำำ รงชีว ิต ่ ั
  • 134. พบฟอสซิล กะโหลกศีร ษะ มนุษ ย์โ บรำณ Hom erectus o ในทะเลสำบ Turkana มีอ ำยุม ำกกว่ำ 1.5 ล้ำ นปี มีล ัก ษณะคล้ำ ยมนุษ ย์ช วำ และ มนุษ ย์ป ัก กิ่ง ลัก ษณะค่อ นมำทำงมนุษ ย์ ปัจ จุบ ัน
  • 135. บริเ วณ ทีค ้น พบ ่ ฟอสซิล
  • 136. มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน Homo sapiens มีเ พีย ง 1 สปีช ีส ์ แบ่ง ออกเป็น มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย แรก Hom sapiens o Neanderthal มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย สุด ท้ำ ย Hom sapiens sapiens o
  • 137. มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย แรก Hom sapiens neanderthalensis o ดำำ รงชีพ เมื่อ ประมำณ 4 แสน ปีม ำแล้ว สมองมีข นำดใหญ่ก ว่ำ มนุษ ย์ ปัจ จุบ ัน เล็ก น้อ ย ขนำดสมองประมำณ 1,400 พบฟอสซิล ที่บ ริเ วณ ลบ.ซม Neanderthal.valley
  • 138. มนุษ ย์น ีอ ัล เดอร์ท ล โครงร่ำ งมี ั ลัก ษณะเตี้ย มีก ล้ำ มเนื้อ มำกกว่ำ มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน จมูก มีล ก ษณะแบน และ รูจ มูก กว้ำ ง ั เนื่อ งจำกมีก ำรดำำ รงชีพ อยู่ใ นเขต ทำำ ให้น ัก มนุษ ย์ว ิท ยำมีข ้อ หนำว สัน นิษ ฐำนว่ำ กำรที่ม ีโ ครงร่ำ งและลัก ษณะใน แบบนี้ อำจมีผ ลเนื่อ งจำกต้อ งมีก ำรปรับ
  • 139. มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน สมัย สุด ท้ำ ย Hom sapiens sapiens o ดำำ รงชีพ เมื่อ ประมำณ 3 หมื่น ถึง 1 แสนปี มำแล้ว รค้น พบฟอสซิล ของ มนุษ ย์โ ครมัน ย สมอง มีข นำดใหญ่ก ว่ำ มนุษ ย์ป ัจ จุบ ัน เล็ก น้อ ย ประมำณ 1,350 ลบ.ซม.
  • 140. มนุษ ย์โ ครมัน ยอง มีค วำมสำมำรถในกำร วำดรูป ภำพวำดทีพ บในถำ้ำ ่ สำมำรถ เย็บ เสื้อ ผ้ำ ใส่ กิน เนื้อ สัต ว์
  • 141. ควำมแตกต่ำ งของกระโหลก ศีร ษะ ระหว่ำ งมนุษ ย์ป จ จุบ น และมนุษ ย์ ั ั นีอ ล เดอร์ท ัล ั ัก ษณะทั่ว ไปจะคล้ำ ยคลึง กัน มีเ พีย งบำงลัก ษณะ ทีแ ตกต่ำ งกัน เห็น ได้ช ัด คือ ่ นีอ ัล เดอร์ท ล ั หน้ำ ผำกลำดแคบ มีส น คิ้ว ใหญ่ห นำ ั คำงแคบหดไปทำงด้ำ นหลัง
  • 142. วิว ัฒ นำกำรด้ำ นอำรยธรรม (Cultural evolution) มนุษ ย์แ ตกต่ำ งไปจำกสิง มีช ีว ิต อื่น ่ โดยมีว ิว ัฒ นำกำร ด้ำ นอำรยธรรมและวัฒ นธรรม ทีอ ำศัย กำรเรีย นรู้ส ืบ ทอดกัน มำ ่
  • 143. เหตุท ี่ท ำำ ให้ม นุษ ย์ม ีว ิว ัฒ นำกำรด้ำ นอำรยธรร มำจำกกำรเปลี่ย นแปลงของมนุษ ย์ 2 ประกำร รเดิน ตัว ตรงของมนุษ ย์ ส่ง ผลให้ก ระโหลกศีร ษ รเปลี่ย นแปลง มีส มองใหญ่ข น มีค วำมคิด มำ ึ้ ห้ม นุษ ย์ม ีว ิว ัฒ นำกำรด้ำ นวัฒ นธรรมและอำรย พ่อ แม่ด แ ลลูก เป็น ระยะเวลำนำน ส่ง ผลทำำ ให้ ู ลูก มีโ อกำสได้เ รีย นรูส ิ่ง ต่ำ งๆจำกพ่อ แม่ม ำกข ้ ได้แ ก่ K nowledge, Customs, belief, Arts,
  • 144. วิว ัฒ นำกำรทำงอำรยธรรมของ มนุษ ย์ แบ่ง ออกเป็น 3 ช่ว ง Scavenging-gathering-H unting เป็น ช่ว งแรกข m habilis, H. erectus, Neanderthal (M o odern m ทำำ เกษตรกรรม (Agriculture) เป็น ช่ว งท ช่ว งอุต สำหกรรม (T machine age) เป็น ช่ว ง he
  • 145. ช่ว งต่ำ งๆ ของวิว ัฒ นำกำรด้ำ นอำรยธรรม Scavenging-gathering- Hunting Agriculture T machine age he
  • 146. Cultural evolution เป็น สิ่ง สำำ คัญ ที่ส ่ง ผลทำำ ให้ม นุษ ย์ สำมำรถเปลี่ย นแปลงสิ่ง ต่ำ งๆ โดยเฉพำะสภำพแวดล้อ มของโลก ให้ม ีก ำรเปลี่ย นแปลงไปอย่ำ งรวดเร็ว เกิน กว่ำ ปกติ
  • 147. นอกจำกนี้ มนุษ ย์ มี Cultural evolution อัน เกิด ขึ้น จำกเปรีย บเทีย บ กำรเจริญ ด้ำ นวัฒ นธรรมและ อำรยธรรม และจำกลัก ษณะทีแ ตกต่ำ งทำง ่ พัน ธุก รรม ได้แ ก่ สีผ ิว สีผ ม สีต ำ งและ พัป ร่ำ ง ส่ง ผล ให้ม ก ำรแบ่ เผ่ำ รู น ธุ์ ี ที่แ ตกต่ำ งกัน ไปตำมถิ่น ที่อ ยู่อ ำศัย (Races) ดั้ง เดิม B อัน เกิด จำกผลของ iological
  • 148. กำรแบ่ง เผ่ำ พัน ธุม นุษ ย์ (Races) ์ แบ่ง ออกเป็น คอเคซอยด์ (Caucasoid) มองโกลอยด์ (M ongoloid) นีก รอยด์ (Negroid) และ ออสเตร ลอยด์ (Australoid) คอเคซอยด์ (Caucasoid)
  • 149. สำมำรถ แสดงพฤติก รรมที่ ซับ ซ้อ น ได้แ ตกต่ำ งไปจำกสิ่ง มีช ีว ิต อืน ่ ใช้ภ ำษำพูด และภำษำเขีย น ทำำ เกษตรกรรม
  • 150. ด้ว ยควำมสำมำรถและควำม ฉลำด ทำำ ให้ม นุษ ย์ต ก ตวง ั ผลประโยชน์จ ำกธรรมชำติ ได้ม ำกกว่ำ สิ่ง มีช ีว ิต อื่น ดัง นั้น จึง อำจได้ช ื่อ ว่ำ เป็น ทัง ผู้ส ร้ำ งสรรค์ ้ และผู้ท ำำ ลำยได้ใ นเวลำ เดีย วกัน