Suche senden
Hochladen
9789740331049
•
1 gefällt mir
•
1,052 views
CUPress
Folgen
Melden
Teilen
Melden
Teilen
1 von 10
Empfohlen
9789740333623
9789740333623
CUPress
9789740330240
9789740330240
CUPress
9789740333395
9789740333395
CUPress
9789740333609
9789740333609
CUPress
9789740337737
9789740337737
CUPress
9789740337560
9789740337560
CUPress
9789740337478
9789740337478
CUPress
9789740337270
9789740337270
CUPress
Empfohlen
9789740333623
9789740333623
CUPress
9789740330240
9789740330240
CUPress
9789740333395
9789740333395
CUPress
9789740333609
9789740333609
CUPress
9789740337737
9789740337737
CUPress
9789740337560
9789740337560
CUPress
9789740337478
9789740337478
CUPress
9789740337270
9789740337270
CUPress
9789740337102
9789740337102
CUPress
9789740337096
9789740337096
CUPress
9789740337072
9789740337072
CUPress
9789740337027
9789740337027
CUPress
9789740336914
9789740336914
CUPress
9789740336907
9789740336907
CUPress
9789740336686
9789740336686
CUPress
9789740336457
9789740336457
CUPress
9789740336440
9789740336440
CUPress
9789740336389
9789740336389
CUPress
9789740336280
9789740336280
CUPress
9789740336365
9789740336365
CUPress
9789740336303
9789740336303
CUPress
9789740336242
9789740336242
CUPress
9789740336235
9789740336235
CUPress
9789740336099
9789740336099
CUPress
9789740336419
9789740336419
CUPress
9789740336402
9789740336402
CUPress
9789740336334
9789740336334
CUPress
9789740336327
9789740336327
CUPress
Weitere ähnliche Inhalte
Mehr von CUPress
9789740337102
9789740337102
CUPress
9789740337096
9789740337096
CUPress
9789740337072
9789740337072
CUPress
9789740337027
9789740337027
CUPress
9789740336914
9789740336914
CUPress
9789740336907
9789740336907
CUPress
9789740336686
9789740336686
CUPress
9789740336457
9789740336457
CUPress
9789740336440
9789740336440
CUPress
9789740336389
9789740336389
CUPress
9789740336280
9789740336280
CUPress
9789740336365
9789740336365
CUPress
9789740336303
9789740336303
CUPress
9789740336242
9789740336242
CUPress
9789740336235
9789740336235
CUPress
9789740336099
9789740336099
CUPress
9789740336419
9789740336419
CUPress
9789740336402
9789740336402
CUPress
9789740336334
9789740336334
CUPress
9789740336327
9789740336327
CUPress
Mehr von CUPress
(20)
9789740337102
9789740337102
9789740337096
9789740337096
9789740337072
9789740337072
9789740337027
9789740337027
9789740336914
9789740336914
9789740336907
9789740336907
9789740336686
9789740336686
9789740336457
9789740336457
9789740336440
9789740336440
9789740336389
9789740336389
9789740336280
9789740336280
9789740336365
9789740336365
9789740336303
9789740336303
9789740336242
9789740336242
9789740336235
9789740336235
9789740336099
9789740336099
9789740336419
9789740336419
9789740336402
9789740336402
9789740336334
9789740336334
9789740336327
9789740336327
9789740331049
1.
1. ผลึกสารกึ่งตัวนํา อุปกรณสารกึ่งตัวนํา (semiconductor
devices) ทุกชนิดถูกสรางบนซับสเตรต (substrate) หรือ แวนผลึก (wafer) สารกึ่งตัวนําที่สวนใหญเปนผลึกเดี่ยว อะตอมหลักภายในจัดเรียงตัวเปนระเบียบในทุก ทิศทาง และอะตอมรองกระจัดกระจายตัวแบบสุมปะปนกับอะตอมหลัก อะตอมรองในผลึกอาจมาจาก สารปนเปอน (contamination) ที่ติดมากับวัตถุดิบที่ใชสังเคราะหแวนผลึกตั้งแตตน หรืออาจถูกเจือเขาไป ภายหลังเพื่อปรับสมบัติเชิงไฟฟาของแวนผลึกใหเปนไปตามตองการ บอยครั้งแวนผลึกถูกนํามาเปนซับ- สเตรตตั้งตนในการปลูกชั้นฟลมทับลงบนพื้นผิวของแวนผลึกอีกตอหนึ่ง ฟลมที่ปลูกขึ้นอาจมีหลายชั้น มีสมบัติทางกายภาพตางจากแวนผลึกหรือตางกันระหวางชั้นขึ้นอยูกับวาสุดทายแลวโครงสรางที่สังเคราะห ขึ้นจะถูกนําไปผลิตเปนอุปกรณสารกึ่งตัวนําใด เนื้อหาในบทจําแนกออกเปนหัวขอยอย4หัวขอ 1.1 อธิบายความสําคัญและชนิดของสารกึ่งตัวนํา 1.2 อธิบายโครงสรางชนิดและสมบัติของระนาบและทิศทางของผลึกสารกึ่งตัวนํา 1.3อธิบายวิธีสังเคราะห และเจือผลึกสารกึ่งตัวนํา สุดทาย 1.4 อธิบายเทคนิคการปลูกฟลมบางบนแวนผลึก 1.1 สารกึ่งตัวนํา 1.1.1 ความสําคัญของสารกึ่งตัวนํา สารกึ่งตัวนํา (semiconductor) นําไฟฟาไดดอยกวาตัวนํา (conductor) แตดีกวาฉนวน (insulator) สภาพนํา (conductivity, ) และสภาพตานทาน (resistivity, ) ของตัวนําสารกึ่งตัวนําและฉนวนสําคัญที่ อุณหภูมิหองถูกแสดงในรูปที่ 1.1 เงิน(silver,Ag)เปนตัวนําที่ดีที่สุดมีสภาพตานทาน1.63-cm ควอตซ (quartz) เปนฉนวนที่ดีที่สุด มีสภาพตานทาน 1014 -1016 -cm สวนซิลิคอน (silicon, Si) เปนสารกึ่งตัวนํา ที่ถูกนําไปใชงานมากที่สุดมีสภาพตานทาน10–4 -102 -cmโดยประมาณขึ้นอยูกับความเขมขนของสารเจือ ในวัสดุ โดยทั่วไปสารกึ่งตัวนํามีสภาพนําที่ครอบคลุมชวงกวางเนื่องจากมันเปนวัสดุที่ไวตอการเปลี่ยนแปลง ของปจจัยภายใน เชน ความเขมขนของสารเจือ และปจจัยภายนอก เชน แสงที่ตกกระทบ สงผลใหสารกึ่ง ตัวนําถูกนําไปสรางเปนสิ่งประดิษฐหรืออุปกรณ(devices)อิเล็กทรอนิกสที่มีบทประยุกตครอบคลุมหลาย อุตสาหกรรม มีอิทธิพลตอชีวิตประจําวันเปนอยางยิ่ง อุปกรณสารกึ่งตัวนําเหลานี้นอกจากจะมีสารกึ่ง ตัวนําเปนแกนในการทํางานดังชื่อแลวก็มักจะมีฉนวนและโลหะเปนสวนประกอบรวมอยูดวยแตสมบัติของ
2.
2 อุปกรณ์สารกึ่งตัวนํา รูปที่ 1.1
สภาพนําและสภาพตานทานของฉนวน ตัวนํา และสารกึ่งตัวนําสําคัญ (ขอมูลจาก [1, หนา 18] และ [2]) อุปกรณสารกึ่งตัวนําจะถูกกําหนดโดยสารกึ่งตัวนําเสมอ สารกึ่งตัวนํามีมากมายหลายชนิด เจอรเมเนียม (germanium, Ge) เปนสารกึ่งตัวนําชนิดแรกที่ถูก ใชงานอยางแพรหลาย วิทยุรุนแรก ๆ มีภาคขยายสัญญาณที่ประกอบดวยทรานซิสเตอรหัวตอไบโพลารที่ ถูกสรางจาก Ge 4 ตัว [3] จึงเปนที่มาของชื่อ “วิทยุทรานซิสเตอร” ตอมา Si ไดเขามาแทนที่ Ge เนื่องจาก ทรานซิสเตอรที่ถูกสรางจาก Si สามารถทํางานที่อุณหภูมิสูงกวา เสถียรกวา ใชพลังงานต่ํากวา ในปจจุบัน วงจรรวมสวนใหญและไมโครโพรเซสเซอรในคอมพิวเตอรสวนบุคคลทั้งหมดถูกสรางจากแวนผลึก Si สงผลให Si มีสวนแบงการตลาดสูงสุดในบรรดาวัสดุอิเล็กทรอนิกสทั้งหมด สารกึ่งตัวนําที่สําคัญรองจาก Si คือ GaAs และ InP ซึ่งสามารถเปลงและตรวจจับแสงได ในขณะที่ Si สามารถตรวจจับแสงได แตไม อาจเปลงแสงอยางมีประสิทธิภาพได บทประยุกตของสารกึ่งตัวนําจะถูกกําหนดโดยสมบัติทางกายภาพของมัน ทุกครั้งที่สมบัติของ สารกึ่งตัวนําหนึ่ง ๆ ถูกปรับปรุง อุปกรณหรือระบบที่เกี่ยวของก็จะมีสมรรถนะและขีดจํากัดที่สูงขึ้น แต การปรับปรุงในลักษณะดังกลาวเปนการเปลี่ยนแปลงแบบคอยเปนคอยไป บอยครั้งอุตสาหกรรมอิเล็ก- ทรอนิกสมีการเปลี่ยนแปลงแบบกาวกระโดดจากการสังเคราะหสารกึ่งตัวนําชนิดใหม การวิจัยและพัฒนา วัสดุและอุปกรณสารกึ่งตัวนําตางไดรับแรงผลักดันจากผูบริโภคที่ตองการคอมพิวเตอร แท็บเล็ตพีซี โทรศัพทเคลื่อนที่ และอุปกรณสื่อสารที่เล็ก พกพาติดตัวไดสะดวก แตมีสมรรถนะสูง ประมวลผลไดเร็ว 10 -6 10 -4 10 -2 10 0 10 2 10 4 10 6 10 8 10 10 10 12 10 14 10 16 10 18 10 -18 10 -16 10 -14 10 -12 10 -10 10 -8 10 -6 10 -4 10 -2 10 0 10 2 10 4 10 6 Cu Ag 10 6 10 5 10 -5 10 -6 (-cm) -1 (-cm) 20C quartz Conductivity(-cm) -1 Resistivity (-cm) Ge Si GaAs diamond Au W
3.
ผลึกสารกึ่งตัวนํา 3 รับ-สงขอมูลไดเร็ว แสดงภาพไดละเอียด
ฯลฯ วัสดุสารกึ่งตัวนําในปจจุบันจึงมีมากมายหลายชนิด และ จะมีมากชนิดขึ้นอีกตอไปในอนาคต 1.1.2 ชนิดของสารกึ่งตัวนํา สารกึ่งตัวนําสามารถจําแนกกวาง ๆ ออกเปน 2ชนิด ไดแก สารกึ่งตัวนํามูลฐาน (elemental semi- conductors) และสารประกอบกึ่งตัวนํา (compound semiconductors) สารกึ่งตัวนํามูลฐานมีองคประกอบ เปนธาตุเพียงธาตุเดียวจากหมู IV ของตารางธาตุ ไดแก Si และ Ge สวนสารประกอบกึ่งตัวนําเกิดจากการ ผสมธาตุในหมู IIถึงVIในตารางที่ 1.1ตั้งแต 2 ธาตุขึ้นไป ตารางที่ 1.2 แสดงสารกึ่งตัวนํามูลฐานและสาร ประกอบกึ่งตัวนําชนิดตางๆตามจํานวนธาตุ สารประกอบธาตุคู(binarycompound)ประกอบดวยธาตุ 2ธาตุ เชน แกลเลียมอารเซไนด (gallium arsenide, GaAs), สารประกอบสามธาตุ (ternary compound) ประกอบ ดวยธาตุ 3ธาตุ เชนอะลูมิเนียมแกลเลียมอารเซไนด (aluminiumgalliumarsenide,AlGaAs), สารประกอบ สี่ธาตุ (quarternarycompound)ประกอบดวยธาตุ 4 ธาตุ เชนแกลเลียมอินเดียมอารเซนิกฟอสไฟด (gallium indium arsenic phosphide, GaInAsP), และสารประกอบหาธาตุ (quinternary compound) ประกอบดวย ธาตุ 5 ธาตุ เชนอะลูมิเนียมแกลเลียมอินเดียมอารเซนิกแอนติมอไนด (aluminium gallium indium arsenic antimonide, AlGaInAsSb) ตารางที่ 1.1 ตารางธาตุเฉพาะสวนที่เกี่ยวของกับสารกึ่งตัวนํามูลฐานหรือสารประกอบกึ่งตัวนํา II(A) II(B) III(A) IV(A) V(A) VI(A) B C N O Mg Al Si P S Zn Ga Ge As Se Cd In Sn Sb Te Hg Pb ตารางที่ 1.2 สารกึ่งตัวนํามูลฐานและสารประกอบกึ่งตัวนําชนิดตาง ๆ IV-IV III-V II-VI IV-VI elemental Si, Ge - - - binary SiC, SiGe AlP, GaP, InP AlAs, GaAs, InAs AlSb, GaSb, InSb AlN, GaN, InN ZnO ZnS, CdS, HgS ZnSe, CdSe ZnTe, CdTe PbS PbSe PbTe ternary SiGeC AlGaAs, AlInAs, GaAsP, GaInAs, GaInP, GaInN HgCdTe - quarternary - AlGaAsSb, GaInAsP - - quinternary - AlInGaAsSb - -
4.
4 อุปกรณ์สารกึ่งตัวนํา การจําแนกตระกูลของสารประกอบกึ่งตัวนํามักใชหมูของธาตุเปนเกณฑ เชน
GaAs ประกอบ ดวย Ga จากหมู III และ As จากหมู V จึงถูกจัดเปนสารประกอบกึ่งตัวนําหมู III-V หรือ SiGe จัดเปน สารประกอบกึ่งตัวนําหมู IV-IV และ ZnO เปนหมู II-VI นอกจากนี้สารประกอบกึ่งตัวนําแตละตระกูลยัง อาจถูกแบงออกเปนกลุมยอยไดอีกโดยใชแอนไอออน (anion) เปนเกณฑ เชน สารประกอบกึ่งตัวนําหมู III-V สามารถจําแนกยอยออกเปนจําพวกอารเซไนด (arsenides) เชน InAs, ฟอสไฟด (phosphides) เชน GaP, แอนติมอไนด (antimonides) เชน GaSb และไนไทรด (nitrides) เชน GaN สารกึ่งตัวนําที่ถูกนําไปใชงานจริงจะอยูในรูปของผลึก แวนผลึกหรือซับสเตรตสารกึ่งตัวนํา เปนวัตถุดิบในการผลิตวงจรรวมและอุปกรณดิสครีตทุกชนิด อุปกรณอิเล็กทรอนิกส เชน ไดโอดและ ทรานซิสเตอร รวมถึงตัวตานทานและตัวเก็บประจุ ตางถูกสรางบนผิวของซับสเตรตและบริเวณใกลเคียง การจัดเรียงอะตอมในผลึก โดยเฉพาะที่พื้นผิวของแวนผลึก จึงกระทบตอสมบัติของอุปกรณสารกึ่งตัวนํา และสมรรถนะของวงจรโดยตรง ความเขาใจในสมบัติพื้นฐานของผลึกจะทําใหผูอานเขาใจหลักการ ทํางาน และขีดจํากัดการทํางานของอุปกรณสารกึ่งตัวนําที่จะพบในบทตอ ๆ ไป 1.2 ผลึก วัสดุสามารถถูกจําแนกตามสัณฐานออกเปน 3 ชนิด ไดแก ผลึกเดี่ยว (single crystal) พหุผลึก (poly-crystal) และอสัณฐาน (amorphous) ซึ่งอะตอมภายในจัดเรียงตัวกันอยางเปนระเบียบ หรือไมเปน ระเบียบในระดับที่แตกตางกัน ผลึกเดี่ยวมีอะตอมภายในที่จัดเรียงตัวเปนคาบในทั้งสามมิติดังรูปที่1.2(ก) อสัณฐานมีอะตอมภายในที่ไมมีการจัดเรียงตัวแบบเปนคาบเลย อยางมากอาจเปนระเบียบในระดับอะตอม เพียงไมกี่อะตอมเทานั้นดังรูปที่ 1.2(ข)สวนพหุผลึกมีอะตอมภายในที่จัดเรียงตัวแบบเปนคาบเชนเดียวกับ ผลึกเดี่ยวเฉพาะในระดับจุลภาค แตในระดับมหภาคจะไมเปนคาบ พหุผลึกอาจถูกพิจารณาไดวาเกิดจาก ผลึกเดี่ยวหลายผลึกที่อะตอมจัดเรียงตัวในทิศทางตางกันมาเชื่อมตอกันดังรูปที่ 1.2 (ค) สัณฐานของวัสดุจะถูกกําหนดโดยเงื่อนไขการสังเคราะห สารกึ่งตัวนํา เชน Si อาจถูกสังเคราะห ใหอยูในรูปของผลึกเดี่ยว พหุผลึก หรืออสัณฐานก็ได ขึ้นอยูกับเทคโนโลยี โดยเฉพาะกับอุณหภูมิที่ใชใน การสังเคราะห โดยทั่วไปการสังเคราะหวัสดุที่อุณหภูมิสูงจะไดผลึกเดี่ยว ที่อุณหภูมิต่ําจะไดอสัณฐาน และที่อุณหภูมิปานกลางจะไดพหุผลึก อุณหภูมิสูงหรือต่ําที่วาเปนคาสัมพัทธที่เทียบกับจุดหลอมเหลว ของวัสดุ ในระหวางการสังเคราะห พลังงานความรอนจากภายนอกจะถายเทไปยังวัสดุ ทําใหอะตอม ภายในสามารถเคลื่อนที่และสรางพันธะกันในระหวางการเคลื่อนที่ได ทุกพันธะที่เกิดขึ้นสงผลให พลังงานรวมของวัสดุลดลง ในกระบวนการสังเคราะหที่ใชอุณหภูมิสูง อะตอมภายในสามารถเคลื่อนที่ และสรางพันธะไดงาย อะตอมทั้งหมดจะสรางพันธะกันโดยสมบูรณ เมื่ออุณหภูมิลดลง อะตอมภายใน
5.
ผลึกสารกึ่งตัวนํา 5 จะเรียงตัวกันอยางเปนระเบียบในทุกทิศทาง เกิดเปนผลึกเดี่ยว
ในทางตรงกันขาม ในกระบวนการ สังเคราะหที่ใชอุณหภูมิต่ํา อะตอมภายในจะเคลื่อนที่และสรางพันธะไดยาก อะตอมแทบทุกอะตอมจะมี พันธะที่ไมสมบูรณ เต็มไปดวยจุดบกพรอง (defects) เมื่ออุณหภูมิลดลง อะตอมจะกระจัดกระจายกันอยู แบบสุมดังรูปที่ 1.2 (ข) การที่อะตอมภายในไรระเบียบในการจัดเรียงตัว ทําใหมันถูกเรียกวาอสัณฐาน สวนกระบวนการสังเคราะหที่ใชอุณหภูมิปานกลาง อะตอมภายในจะสามารถเคลื่อนที่และสรางพันธะ กันในระหวางการเคลื่อนที่ไดเพียงบางสวน สวนจะเปนสวนนอยหรือสวนมากก็ขึ้นอยูกับอุณหภูมิวาอยู ในระดับปานกลางที่คอนไปในทางต่ําหรือสูงตามลําดับ เมื่ออุณหภูมิลดลง อะตอมที่ไดสรางพันธะกัน จะจับกลุมและตกผลึกในบริเวณตาง ๆ ทั่วทั้งวัสดุ แตละบริเวณจะมีสัณฐานในระดับจุลภาคเชนเดียวกับ ผลึกเดี่ยว เรียกวา เมล็ดผลึก (grain) เมล็ดจะมีขนาดเล็กหรือใหญก็ขึ้นกับวาอุณหภูมิที่ใชสังเคราะหนั้น คอนขางต่ําหรือสูงตามลําดับ เมล็ดที่ติดกันจะมีความเปนคาบในทิศที่ตางกัน ขอบเขตระหวางเมล็ด (grain boundary) เปนบริเวณที่อะตอมมีพันธะไมสมบูรณดังรูปที่ 1.2 (ค) ผลึกเดี่ยวเปนสัณฐานที่สําคัญที่สุดสําหรับอุปกรณสารกึ่งตัวนํา แตพหุผลึกและอสัณฐานก็อาจ ถูกนํามาใชงานรวมกับผลึกเดี่ยวดวยก็เปนได เชนในมอสเฟตซึ่งเปนอุปกรณสารกึ่งตัวนําที่สําคัญที่สุด ชนิดหนึ่ง (บทที่ 6) ภาพตัดขวางของมอสเฟตถูกแสดงดังรูปที่ 1.2 (ง) สวนบนของรูปคือชั้นที่ทําหนาที่ เปนขั้วเกตซึ่งเปนพหุผลึก สวนกลางเปนชั้นฉนวนซึ่งเปนอสัณฐาน และสวนลางเปนชั้นสารกึ่งตัวนํา ซึ่งเปนผลึกเดี่ยว แมมอสเฟตและอุปกรณสารกึ่งตัวนําอื่นอีกหลายชนิดจําเปนตองใชผลึกเดี่ยว พหุผลึก และอสัณฐานในการทํางาน แตสมบัติเชิงไฟฟาของอุปกรณสารกึ่งตัวนําเหลานี้จะถูกกําหนดโดยบริเวณ ไวงานซึ่งเปนผลึกเดี่ยวเสมอ รูปที่ 1.2 การเรียงตัวของอะตอมใน (ก) ผลึกเดี่ยว (ข) พหุผลึก และ (ค) อสัณฐาน (ง) ภาพจากกลองจุลทรรศน อิเล็กตรอนแสดงภาพตัดขวางของมอสเฟต ณ หนาตัด พหุผลึก-อสัณฐาน-ผลึกเดี่ยว [4] (ก) (ข) (ค) (ง) 2.2 nm 2.6 nm 2.4 nm SiO2 Poly-Si Si Polycrystalline silicon (100) silicon substrate 27 Å oxide 3.13 Å
6.
6 อุปกรณ์สารกึ่งตัวนํา 1.2.1 โครงสรางผลึก โครงสรางผลึก
(crystal structure) ของผลึกเดี่ยวอุดมคติประกอบดวยอะตอมที่เรียงตัวกันแบบ เปนคาบในสามมิติอยางไรขอบเขต อะตอมจะสั่นรอบจุดสมดุล เมื่อพิจารณาอะตอมทั้งหมดในผลึกเดี่ยว ตําแหนงสมดุลของทุกอะตอมจะสามารถถูกแทนที่ไดโดยพิกัดในปริภูมิอวกาศ เรียกวา แลตทิซ (lattice) ดังรูปที่ 1.3 (ก) หากแตละจุดแลตทิซถูกแทนที่ดวยอะตอมมูลฐาน (basis) ดังรูปที่ 1.3 (ข) ผลที่ไดคือ โครงสรางผลึกในรูปที่ 1.3 (ค) สารกึ่งตัวนํามูลฐานมีอะตอมมูลฐาน1ชนิดสารประกอบกึ่งตัวนํามีอะตอม มูลฐานมากกวา 1 ชนิด ผลึกจริงตางจากผลึกอุดมคติ ความเปนคาบของผลึกจริงจะสิ้นสุด ณ พื้นผิว สมบัติตาง ๆ ที่ พื้นผิวจึงตางจากในกอนผลึก ลักษณะสมบัติเชิงไฟฟาของอุปกรณสารกึ่งตัวนําอาจถูกกําหนดโดยสมบัติ พื้นผิว สมบัติภายในกอนผลึก หรือสมบัติของทั้ง 2 บริเวณ ขึ้นอยูกับโครงสรางของอุปกรณ แมผลึกจริง จะมีขนาดจํากัด และอุปกรณอิเล็กทรอนิกสจะมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับวัตถุทั่วไป แตเมื่อเทียบกับ อะตอมแลว ผลึกจริงนับวามีขนาดใหญมาก การพิจารณาผลึกทั้งกอน ไมวาจะเปนการวาดภาพเพื่อแสดง ตําแหนงอะตอม หรือการจําลองเพื่อคํานวณสมบัติพื้นฐาน จึงเปนไปไมไดและไมจําเปน ผลึกเดี่ยวมี หนวยการสราง (building block) ที่ประกอบดวยอะตอมเพียงไมกี่อะตอม เมื่อนําหนวยการสรางมาเรียง ตอกันในสามมิติจะไดโครงสรางผลึกที่สมบูรณ สมบัติทางกายภาพของผลึกสามารถพิจารณาไดจาก สมบัติพื้นฐานของหนวยการสราง รูปที่ 1.3 (ก) แลตทิซ (ข) อะตอมมูลฐาน และ (ค) โครงสรางผลึก [5] (ก) (ค) (ข)
7.
ผลึกสารกึ่งตัวนํา 7 รูปที่ 1.4
เซลลหนวยของแลตทิซลูกบาศก (ก) sc (ข) bcc และ (ค) fcc [5] 1.2.2 เซลลหนวย เซลลหนวย (unit cell) ของแลตทิซลูกบาศก (cubic lattice) เปนหนวยการสรางที่สําคัญที่สุด สําหรับสารกึ่งตัวนํา แลตทิซลูกบาศกหมายถึงแลตทิซที่มีหนวยการสรางเปนรูปลูกบาศก แลตทิซลูก- บาศกมีเซลลหนวยพื้นฐาน 3 แบบ ไดแก 1. แบบงาย (simple cubic: sc) ดังรูปที่ 1.4 (ก) ประกอบดวยอะตอมที่มุมทั้งแปดของลูกบาศก อะตอมแตละอะตอมสรางพันธะกับอะตอมรอบขาง 6 อะตอม สั่นรอบจุดสมดุลซึ่งเปนจุดรวมของเซลล หนวย 8 เซลลที่อยูติดกัน จึงใชเวลาในแตละเซลลหนวยเพียงหนึ่งในแปดของเวลาทั้งหมด เซลลหนวย แบบงายจึงบรรจุอะตอมได 1 อะตอม [จาก (1/8)×8] วัสดุในธรรมชาติที่มีเซลลหนวยแบบงายมีเพียงชนิด เดียวคือพอโลเนียม (Po) ซึ่งเปนธาตุกัมมันตรังสี 2. แบบกลางตัว (body-centred cubic: bcc) ดังรูปที่ 1.4 (ข) ประกอบดวยอะตอมที่มุมทั้งแปด และที่กลางตัวของลูกบาศก อะตอมแตละอะตอมสรางพันธะกับอะตอมรอบขาง 8 อะตอม อะตอมที่มุม จะใชเวลาในเซลลหนวยเพียงหนึ่งในแปดของเวลาทั้งหมดเชนเดียวกับขางตน ในขณะที่อะตอมที่กลาง ตัวจะใชเวลาทั้งหมดในเซลลหนวย เซลลหนวยแบบกลางตัวจึงบรรจุอะตอมได 2 อะตอม [(1/8)×8 + 1] วัสดุที่มีเซลลหนวยแบบกลางตัว เชน Na, W และ 3. แบบกลางหนา (face-centred cubic: fcc) ดังรูปที่ 1.4 (ค) ประกอบดวยอะตอมที่มุมทั้งแปด และที่กลางหนาทั้งหกของลูกบาศก อะตอมแตละอะตอมจะสรางพันธะกับอะตอมรอบขาง 12 อะตอม อะตอมที่กลางหนาจะสั่นรอบจุดสมดุลซึ่งเปนจุดรวมของเซลลหนวย 2 เซลลที่อยูติดกัน จึงใชเวลาในแต ละเซลลหนวยเพียงหนึ่งในสองของเวลาทั้งหมด เซลลหนวยแบบกลางหนาจึงบรรจุอะตอมได 4 อะตอม [(1/2)×6 + (1/8)×8] วัสดุที่มีเซลลหนวยแบบกลางหนา เชน Au, Cu, Pt, NaCl, KCl (ก) (ข) (ค) หนา ดาน มุม a
8.
8 อุปกรณ์สารกึ่งตัวนํา ระยะหางระหวางอะตอมที่แตละดานของเซลลหนวยเชนในรูปที่ 1.4
(ข) เปนพารามิเตอรที่ สําคัญที่สุดพารามิเตอรหนึ่งของแลตทิซ เรียกวา พารามิเตอรแลตทิซ (lattice parameter) หรือคาคงตัว แลตทิซ (lattice constant, a) ซึ่งจะกําหนดไดจากการทดลองการเลี้ยวเบนรังสีเอกซ (X-ray diffraction) โลหะที่สําคัญสําหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกสมีคาคงตัวแลตทิซ a และแบบของเซลลหนวยดังนี้ W (a = 3.17 Å, แบบ bcc), Al (4.05 Å, fcc), Cu (3.61 Å, fcc), Pt (3.92 Å, fcc) และ Au (4.08 Å, fcc) สวน สารกึ่งตัวนําที่มีสวนครองตลาด (market share) สูงสุด 2อันดับคือ Si และGaAs มีคาคงตัวแลตทิซเทากับ 5.43 และ 5.65 Å ตามลําดับ โครงสรางผลึกของ Si และ GaAs มีแลตทิซแบบเพชร (diamond) และแบบซิงกเบลนด (zinc- blende) ซึ่งมีเซลลหนวยดังรูปที่ 1.5 (ก) และ (ข) ตามลําดับ พันธะระหวางอะตอมในผลึก Si เปนพันธะ โคเวเลนซ (covalent bond) แตละพันธะเกิดจากอิเล็กตรอน2ตัวโคจรรอบอะตอม2อะตอมติดกัน แตละ อะตอมสรางพันธะกับอะตอมรอบขาง 4 อะตอม อิเล็กตรอนในพันธะทั้งสี่จะผลักตัวออกจากกันใหมาก ที่สุดจึงมีมุมระหวางกันประมาณ 109.5 ดังรูปที่ 1.5 (ก) เรียกวา พันธะเททระโกนัล (tetragonal bond) ตําแหนงสมดุลของอะตอมทั้งหาในพันธะเททระโกนัลอาจพิจารณาไดจากรูปทรงสี่หนา (tetrahedron) ดังรูปที่ 1.5 (ค) หรือจากเซลลหนวยแบบกลางตัวที่มีอะตอมบางอะตอมหายไปดังรูปที่1.5(ง) ในกรณีแรก อะตอมทั้งหาจะอยูที่มุม (มี 4 มุม หรือ 4 อะตอม) และที่กลางตัว (ที่เหลืออีก 1 อะตอม) ของรูปทรงสี่หนา ในกรณีหลัง เซลลหนวยแบบกลางตัวในรูปที่ 1.4 (ข) มีอะตอม 9 อะตอม เมื่อนําอะตอมที่อยูทแยงมุมกัน ออกไป 4 อะตอมจะเหลือ 5 อะตอมดังรูปที่ 1.5 (ง) แตละหนามีอะตอม2อะตอม แตละอะตอมจะปรากฏ อยูในหนาติดกันสามหนา อะตอมในหนาตรงกันขามจะอยูในแนวเสนทแยงมุมที่ตั้งฉากกันเสมอ เมื่อนํา เซลลในรูปที่ 1.5 (ง) มาเรียงกันในสามมิติจะสามารถตอกันไดเฉพาะในแนวเสนทแยงมุมเทานั้นไมสามารถ ตอกันในทิศซาย ขวา หนา หลัง บน และลางได เซลลในรูปที่ 1.5 (ง) จึงไมจัดเปนเซลลหนวย แตหากนํา เซลลในรูปที่ 1.5 (ง) 4 เซลลมาประกอบกันแบบทแยงมุมในแนวนอนและตั้งดังรูปที่ 1.5 (ก) หรือ (ข) จะ ไดปริมาตรเล็กที่สุดที่เมื่อนํามาตอกันในสามมิติจะไดโครงสรางผลึกที่สมบูรณ จึงจัดเปนเซลลหนวย รูปที่ 1.5 เซลลหนวยของแลตทิซแบบ (ก) เพชร และ (ข) ซิงกเบลนด (ค) รูปทรงสี่หนา และ (ง) เซลลหนวย แบบกลางตัวที่อะตอมบางอะตอมหายไป [5] (ก) (ข) (ค) (ง) ~109.5° ~109.5°
9.
ผลึกสารกึ่งตัวนํา 9 ตัวอยางที่ 1.1
เซลลหนวยแบบ fcc มีคาคงตัวแลตทิซ a จะบรรจุอะตอมไดเปนสัดสวนสูงสุดเทาใด เมื่อเทียบกับปริมาตรทั้งหมด ? วิธีทํา จากโครงสรางของเซลลหนวยแบบfccในรูปที่ 1.4(ค)หากเราพยายามขยายขนาด ของอะตอมแตละอะตอมที่จุดแลตทิซใหมากที่สุด อะตอมที่จุดศูนยกลางของแตละหนา จะสัมผัสกับอะตอมที่อยูที่มุมทั้งสี่ของหนานั้น ๆ ดังรูปขางลางซึ่งดานแตละดานยาว a เสนทแยงมุมยาว 4R เมื่อ R คือรัศมีของอะตอม R กับ a สัมพันธกันดัง (4R)2 = a2 + a2 ดังนั้น R = 2 a/4 เซลลหนวย fcc สามารถบรรจุอะตอมได 4 อะตอมเนื่องจากเซลลมี 6 หนาอะตอมที่จุดศูนยกลางของแตละหนาครอบครองพื้นที่ในเซลล 2 เซลลที่ติดกัน สวน อะตอมที่แตละมุม (มี 8 มุม) ครอบครองพื้นที่ในเซลล 8 เซลลที่ติดกัน จํานวนอะตอม ทั้งหมดในเซลลหนวยจึงเปน 6×(1/2) + 8×(1/8) = 4 แตละอะตอมมีปริมาตร 4R3 /3 ในขณะที่เซลลหนวยมีปริมาตร a3 สัดสวนปริมาตรของ เซลลหนวยที่ถูกครอบครองโดยอะตอมตอปริมาตรทั้งหมดจึงเปน %74 3 )4/2(163 4 4 3 3 3 3 a a a R ที่เหลือ26%คือความวางเปลาซึ่งบงชี้ถึงความหนาแนนและความแข็งแรงของวัสดุ เซลลหนวยของแลตทิซแบบเพชรและแบบซิงกเบลนดจัดเปนเซลลหนวยแบบกลางหนา (fcc) ที่มีอะตอมมูลฐาน2อะตอมที่จุดแลตทิซปรกติ 1อะตอมและที่ระยะa/4จากจุดแลตทิซปรกติอีก1 อะตอม เชนจุดแลตทิซที่พิกัด(0, 0, 0) จะมีอะตอมมูลฐานที่ (0, 0, 0) และ(a/4, a/4, a/4) แลตทิซแบบเพชรมีอะตอม มูลฐาน 1 ชนิด เชน ผลึกเดี่ยว Si ยอมมีอะตอมมูลฐานเพียงชนิดเดียวคือ Si สวนแลตทิซแบบซิงกเบลนด มีอะตอมมูลฐานตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป เชน GaAs ซึ่งเปนสารประกอบธาตุคูมีอะตอมมูลฐาน 2 ชนิด คือ Ga และ As ขอบเขตของเซลลหนวย a 4R R
10.
10 อุปกรณ์สารกึ่งตัวนํา อุปกรณสารกึ่งตัวนํามักถูกสรางบนผิวหนาของแวนผลึกและบริเวณใกลเคียง สมบัติของผิวหนา จึงกระทบตอกระบวนการผลิตและสมบัติของอุปกรณโดยตรง
รูปที่1.5(ก)แสดงลูกศร2ตัวที่ชี้ในทิศทาง ตางกัน ระนาบที่ขนานไปกับลูกศรทั้งสองมีสมบัติพื้นฐานตางกัน เชน จํานวนอะตอมตอพื้นที่ตางกัน ความไวตอปฏิกิริยาเคมีจึงตางกันหรือความเปนคาบของอะตอมตางกัน พลังงานของอิเล็กตรอนจึงตางกัน การอางอิงทิศทางและระนาบของผลึกใหถูกตองตามหลักผลิกศาสตร (crystallography) จึงเปนสิ่งจําเปน 1.2.3 ระนาบและทิศทางของผลึก จากหลักผลิกศาสตรระนาบ(plane)ของผลึกลูกบาศกจะถูกระบุดวยจํานวนเต็ม3จํานวนในวงเล็บ เชน(hkl) จํานวนเต็มทั้งสามเรียกวาดัชนีมิลเลอร (Millerindices) ดัชนีมิลเลอรของระนาบใด ๆ ในระบบ พิกัดคารทีเซียน (Cartesian coordinate system) กําหนดไดตามขั้นตอนตอไปนี้ ก) กําหนดใหจุดจุดหนึ่งในแลตทิซเปนจุดกําเนิดแลวกําหนดเวกเตอรหนวย a1, a2 และ a3 ที่ตั้งตนที่ จุดกําเนิดและชี้ไปยังแกน x, y และ z ตามลําดับ ดานของลูกบาศกสามารถถูกกําหนดใหเปนแกน x, y หรือ z ไดโดยอิสระ ข) พิจารณาวาระนาบที่สนใจตัดแกน x, y และ z ณ จุดใดแลวเขียนจุดตัดทั้งสามในรูปของเวกเตอร หนวยคือ aa1, ba2 และ ca3 เมื่อ a, b และ c เปนจํานวนเต็ม ค) กลับเศษ-สวนจํานวนทั้งสามใหอยูในรูป (1/a, 1/b, 1/c) แลวหาจํานวนเต็ม 3 จํานวน (h, k, l) ที่มี คาต่ําที่สุดที่ทําใหเงื่อนไข h : k : l = 1/a : 1/b : 1/c เปนจริง ง) hkl คือดัชนีมิลเลอรของระนาบ และระนาบของผลึกคือ (hkl) รูปที่ 1.6 ระนาบ (142) [5] y z (0, 0, 0) x a1 a3 a2