SC161 Lecture 6

SC161: Principles of Information Technology
Thiti Theerathean
Center for Teaching Excellence
University of the Thai Chamber of Commerce
E-mail : thiti_the@utcc.ac.th

2
• ข้อมูลและโครงสร้างข้อมูล
- ข้อมูล สารสนเทศ และองค์ความรู้
- โครงสร้างและประเภทของข้อมูล
- คุณภาพของข้อมูล
• การประมวลผลข้อมูล
- ประเภทของการประมวลผลข้อมูล
- วิธีที่ใช้การประมวลผลข้อมูล
• การประมวลผลแฟ้ มข้อมูล
- ประเภทของแฟ้มข้อมูล
- การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูล
- เทคนิคในการประมวลผลแฟ้มข้อมูล
- ปัญหาในการประมวลผลแฟ้มข้อมูล
SC161: Principlesof Information Technology

3
• ระบบฐานข้อมูล
- แนวคิดเกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล
- ระบบจัดการฐานข้อมูล
- แบบจาลองข้อมูล
• ภาษามาตรฐานที่ใช้ในการจัดการฐานข้อมูล
- คาสั่งที่ใช้ในการนิยามข้อมูล
- คาสั่งที่ใช้ในการดาเนินการข้อมูล
- ตัวอย่างการใช้งานคาสั่ง SQL
• คลังข้อมูล
- คลังข้อมูลและสถาปัตยกรรมของคลังข้อมูล
- การวิเคราะห์ข้อมูลในคลังข้อมูล

Data
Information
Knowledge
4SC161: Principlesof Information Technology
ข้อมูลและโครงสร้างข้อมูล
ข้อมูล สารสนเทศ และองค์ความรู้
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยังไม่ผ่านการ
ประมวลผล
ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลและจัดการให้มีความถูกต้อง ทันสมัย และ
สามารถนาไปใช้งานได้ตามที่ต้องการ
Understanding Relations
Understanding patterns
สารสนเทศที่ถูกคัดเลือกโดยอาศัยประสบการณ์
และสามารถใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ ตามต้องการ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โครงสร้างของข้อมูลBinary Digit
(Bit)
หน่วยของข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งแทน
ด้วยเลขฐานสอง คือ 0 และ 1
กลุ่มของบิตใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวอักษร
ตัวเลข หรือ สัญลักษณ์พิเศษ เพียง 1 ตัว
กลุ่มของไบต์ที่รวมกันแล้วมีความหมาย
กลุ่มของเขตข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน
กลุ่มระเบียนข้อมูลที่มีเขตข้อมูลเหมือนกัน
กลุ่มของแฟ้ มที่มีความสัมพันธ์กัน

ประเภทของข้อมูล
ข้อมูลข้อความ
(Text)
จานวน
(Numerical)
ข้อมูลรหัส
(Code)
วันและเวลา
(Date/Time)
เสียง
(Audio)
รูปภาพ
(Image)
ภาพเคลื่อนไหว
(Video)

Garbage in - Garbage out
• การตรวจสอบตัวอักษรหรือตัวเลข
(Alphabetic/NumericCheck)
• การตรวจสอบขอบเขตของข้อมูล
(Range Check)
• การตรวจสอบข้อมูลให้มีความสอดคล้อง
(ConsistencyCheck)
• การตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
(CompletenessCheck)
คุณภาพของข้อมูล
1. ความถูกต้อง (Accuracy)
2. ความสมบูรณ์ (Completeness)
3. ตรงประเด็น (Relevant)
4. น่าเชื่อถือ (Reliable)
5. ทันต่อความต้องการ (Timeliness)

การประมวลผลข้อมูล
(Data processing)

ประเภทของการประมวลผลข้อมูล
• การประมวลผลงานสถิติ
การประมวลผลจากการสารวจข้อมูลคิดคานวณค่าต่างๆโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
วิเคราะห์เปรียบเทียบข้อมูลที่มีอยู่
• การประมวลผลงานทะเบียน
การประมวลผลข้อมูลที่มีอยู่แล้ว เพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อมูลให้มีความเป็นปัจจุบัน
สามารถค้นหาได้สะดวก
• การประมวลผลงานคานวณ
การประมวลผลเพื่อการคานวณทางคณิตศาสตร์หรือทางวิศวกรรมศาสตร์ที่ต้อง
ใช้ฟังก์ชันต่างๆ ทางคณิตศาสตร์

การประมวลผลด้วยมือ (Manual Processing)
การประมวลผลโดยใช้แรงงานคนเป็นส่วนใหญ่อาจใช้
เครื่องคิดเลข กระดาษเข้ามาช่วยได้การประมวลผล เหมาะสาหรับ
งานที่มีปริมาณไม่มากและมีงบประมาณในการประมวลผลที่จากัด
การประมวลผลด้วยเครื่องกล (Mechanical Data Processing)
การประมวลผลที่ใช้เครื่องจักรกลปนไฟฟ้ า (Electro
mechanical) ซึ่งอาจจะอาศัยแรงคนช่วยในการประมวลผล
ข้อมูลบ้าง เหมาะกับงานที่มีปริมาณมาก วิธีนี้จะมีความถูก
ต้องของข้อมูลและความรวดเร็วในการประมวลผลมากกว่า
วิธีการประมวลผลด้วยมือ

การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ (Electronic Data Processing)
การประมวลผลที่ใช้แรงคนน้อยที่สุด โดย
ใช้คอมพิวเตอร์ให้ทางานตามที่เราเตรียมคาสั่งไว้
ก่อนแล้วอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น
งาน ทาให้มีความถูกต้องสูง รวดเร็ว คานวณได้
ถูกต้องแม่นยา

12
การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ (Electronic Data Processing)
• การจาแนกหมวดหมู่ของข้อมูล (Classifying)
• การเรียงลาดับข้อมูล (Sorting)
• การคานวณ (Calculating)
• การสรุป (Summarizing)
• การเก็บรักษาข้อมูล (Storing)
• การดึงข้อมูลที่ต้องการออกมา (Retrieving)
• การปรับปรุงข้อมูล (Updating)
• การทาสาเนาข้อมูล (Reproducing)
• การออกรายงาน ( Reporting )
• การเก็บรวบรวมข้อมูล
(Data Collection)
• การแปลงสภาพข้อมูล
(Data Conversion)
• การตรวจสอบความถูกต้อง
(Data Validation)
• การตรวจสอบผลลัพธ์
(Verification)

การประมวลผลแฟ้ มข้อมูล
(File Processing Systems)

14
การจัดการข้อมูลเริ่มจากการบันทึกข้อมูลลงกระดาษหรือสมุด เพื่อช่วยในการจดจา
แต่เมื่อมีข้อมูลเพิ่มขึ้น รูปแบบของการจัดเก็บข้อมูลก็เปลี่ยนไปให้มีระบบระเบียบมากขึ้น
โดยมีการบันทึกข้อมูลลงในแฟ้มข้อมูลต่างๆ ที่จัดไว้เป็นหมวดหมู่
เขตข้อมูล (Fields)
ระเบียน (Records)
แฟ้ ม (Files)
เขตข้อมูลคีย์ (Key Field)
1
01001010
Judy
Judy Green
Thiti Theera
Tom Blue
Judy Green
Iris Orange
Randy Red
File
Record
Field
Byte (ASCII character J)
Bit
52002011
52002011
52001001
52002001
52002012
52004011

15
ประเภทของแฟ้ มข้อมูล
• แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File)
• แฟ้มข้อมูลดัชนี (Index File)
• แฟ้มข้อมูลอ้างอิง (Reference File)
• แฟ้มข้อมูลปรับเปลี่ยน (Transaction File)
• แฟ้มข้อมูลทางาน (Work File)
• แฟ้มข้อมูลรายงาน (Report File)
• แฟ้มข้อมูลสารอง (Backup File)
Transaction FileWork File
Backup File
Report File
Index File Reference File
Master File

16
การจัดโครงสร้างแฟ้ มข้อมูล (File Organization)
• การจัดแฟ้ มข้อมูลแบบตามลาดับ (Sequential File Organization)
• ระเบียนข้อมูลถูกจัดเก็บเรียงลาดับกันไปตามค่า
เขตข้อมูลคีย์อย่างเป็นระเบียบ
• การเข้าถึงข้อมูลที่ Record N จะต้องผ่าน Record
1, 2, 3, ..., N-1 ตามลาดับ
• ไม่มี Record ว่างบนสื่อที่ใช้จัดเก็บข้อมูล
• มีลักษณะการจัดเก็บและเรียกใช้เหมือนเพลงที่
บันทึกบนเทปคาสเซต

17
• การจัดแฟ้ มข้อมูลแบบโดยตรง (Direct File Organization)
• ใช้เขตข้อมูลคีย์และฟังก์ชันสุ่ม (Hash function) ในการอ้างตาแหน่งของข้อมูล
• ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในสื่อบันทึกข้อมูลที่เข้าถึงข้อมูลแบบ Direct Access Storage
• มีความรวดเร็วในการดาเนินการข้อมูลมากกว่าการจัดระเบียบแฟ้มแบบตามลาดับ
Record N

18
• การจัดแฟ้ มข้อมูลแบบดัชนี (Indexed File Organization)
ใช้ดัชนีในการเก็บค่าของเขตข้อมูลคีย์พร้อมบอกตาแหน่งของระเบียนที่มีค่าเขต
ข้อมูลคีย์นั้นบันทึกไว้

19
• การจัดแฟ้ มข้อมูลแบบลาดับเชิงดัชนี (Indexed-Sequential File Organization)

20
เทคนิคในการประมวลผลแฟ้ มข้อมูล (File Processing Technique)
• การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing)
การประมวลผลแบบกลุ่มเป็นวิธีการประมวลผลที่ทาการเก็บรวบรวมข้อมูลในแต่ละช่วงเวลาไว้
จนกว่าจะมีข้อมูลที่ประมวลผลจานวนหนึ่ง จึงทาการประมวลผลพร้อมกัน หรืออาจรอจนกว่าครบ
ตามเวลาที่กาหนด จึงทาการประมวลผลไม่ว่าจะมีจานวนเท่าใดก็ตาม
ข้อมูลพนักงาน
ข้อมูลเงินเดือน
ข้อมูลสวัสดิการ
บันทึกการทางาน รวบรวมข้อมูล แฟ้ มข้อมูลประมวลผลข้อมูล
จ่ายค่าตอบแทนรายเดือน

21
เทคนิคในการประมวลผลแฟ้ มข้อมูล (File Processing Technique)
• การประมวลผลแบบโต้ตอบ (Interactive Processing)
การประมวลผลแบบโต้ตอบเป็นวิธีการประมวลผลที่กระทาการปรับปรุงข้อมูลในแฟ้ มข้อมูล
และแสดงผลลัพธ์ที่ได้ทันทีเมื่อมีการป้ อนข้อมูลเข้ามา การประมวลผลแบบนี้มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
การประมวลผลแบบกลุ่ม เหมาะสาหรับงานที่ต้องการความเร่งด่วนในการใช้สารสนเทศ
แสดงยอดเงินในบัญชี แฟ้ มข้อมูลประมวลผลข้อมูลเบิกถอนเงิน
ข้อมูลลูกค้า
ข้อมูลบัญชีเงินฝาก

22
ปัญหาในการประมวลผลแฟ้ มข้อมูล
Student Master File Book Master File Transaction File
ระบบยืมคืนหนังสือ
บรรณารักษ์
Student Master File Course Master File Transaction File
ระบบงานทะเบียน
นายทะเบียน
• ความซ้าซ้อนของข้อมูล
(data redundancy)
• ความไม่สอดคล้องกันของข้อมูล
(data inconsistency)
• การแยกอิสระต่อกันของข้อมูล
(data isolation)
• ความไม่ปลอดภัยของข้อมูล
(poor security)
• ขาดบูรณภาพของข้อมูล
(lack of data integrity)
• ความขึ้นต่อกันระหว่างโปรแกรมประยุกต์กับโครงสร้างของแฟ้ มข้อมูล
(application / data dependence)

ระบบฐานข้อมูล
(Database System)

24
ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง กลุ่มของแฟ้ มข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและถูกนามารวมกัน.
เนื่องจากในฐานข้อมูลมีระเบียนถูกจัดเก็บอยู่ป็นจานวนมาก จึงจาเป็นต้องมีการจัดการข้อมูลที่ดีเพื่อให้
ผู้ใช้สามารถค้นหาและปรับปรุงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
Student Master File
Book Master File
Course Master File
DBMS
Database
บรรณารักษ์
นายทะเบียน
USER
Metadata

25
องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล
DatabaseDBMS
Application
Programs
Manual
Database
Administration
ProgrammersEnd-users
Use/Develops
access
manages
Hardware
Operating System Data
Software
PeopleProcedures

26
ข้อดีของการใช้ระบบฐานข้อมูล
• ลดความซ้าซ้อนของข้อมูล : data redundancy
• เพิ่มความถูกต้องและสอดคล้องของข้อมูล : dataintegrity
• งานต่อการแก้ไขปรับปรุงข้อมูล : data modification and updating
• ความเป็นอิสระระหว่างข้อมูลและโปรแกรม : data-application independence
• สะดวกในการเข้าถึงข้อมูล : access to data
• มาตรฐานในการจัดเก็บและจัดการข้อมูล : standardization
• สนับสนุนการใช้ข้อมูลร่วมกัน : shared resource

27
ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database Management System)
ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือมักเรียกสั้น ๆ ว่า DBMS คือ โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้เป็น
เครื่องมือในการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งจะประกอบด้วยฟังก์ชันการทางานต่างๆ ในการจัดการกับ
ข้อมูล รวมทั้งภาษาที่ใช้ทางานกับข้อมูล

28
หน้าที่ของระบบจัดการฐานข้อมูล
• การกาหนดโครงสร้างของข้อมูล
• บรรจุข้อมูลข้อมูลลงในฐานข้อมูล
• ควบคุมความถูกต้องและสอดคล้องในการปรับปรุงข้อมูล
• ประสานงานกับผู้ใช้และระบบปฏิบัติการ
• ความคุมความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล
• ช่วยในการสารองและกู้คืนข้อมูล
• จัดทาพจณานุกรมข้อมูล (Data Dictionary)

29
ประเภทของระบบจัดการฐานข้อมูล
• ระบบจัดการข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized DBMS)
• ระบบจัดการข้อมูลแบบกระจาย (Distributed DBMS)
― Homogeneous DDBMS
― Heterogeneous DDBMS
• การแยกประเภทตามจานวนผู้ใช้
• ระบบจัดการข้อมูลที่สนับสนุนผู้ใช้คนเดียว (Single-user DBMS)
• ระบบจัดการข้อมูลที่สนับสนุนผู้ใช้หลายคน (Multi-user DBMS)
• การแยกประเภทตามจานวนแหล่งจัดเก็บข้อมูล

30
แบบจาลองข้อมูล (Data Model)
แบบจาลองข้อมูล คือ สิ่งที่ใช้เพื่ออธิบายลักษณะและโครงสร้างของฐานข้อมูล โดยจะ
แสดงให้ทราบถึงชนิดของข้อมูล ความสัมพันธ์ของข้อมูล และเงื่อนไขต่างๆ ที่ใช้ในการจัดการ
ข้อมูล แบบจาลองข้อมูลแบ่งออกเป็น3 ระดับ ได้แก่
แบบจาลองเชิงแนวคิด
(Conceptual Model)
แบบจาลองเชิงทาให้เกิดผล
(Implementation Model)
แบบจาลองเชิงกายภาพ
(Physical Model)
เป็นแบบจาลองที่ถูกนาเสนอผ่านทางแผนภาพ ER Diagram ซึ่งแสดงโครงสร้างของ
ข้อมูลและเงื่อนไขในเชิงความสัมพันธ์ของข้อมูลเหล่านั้น
เป็นแบบจาลองที่อธิบายถึงโครงสร้างของข้อมูลในฐานข้อมูล
เป็นแบบจาลองที่อธิบายถึงลักษณะของสื่อที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล โดยจะแสดงถึง
รูปแบบของระเบียน การจัดเรียงระเบียน และวีธีในการเข้าถึงข้อมูล

31
• แบบจาลองเชิงแนวคิด (Conceptual Model)
Entity Relation Diagram
• Entity: วัตถุหรือสิ่งของที่เราสนใจ
• Attribute: คุณลักษณะของ Entity
• Relationship: ความสัมพันธ์ของ Entity

32
BIRTHDAYStudent
STUDENTCODE
STUDENTNAME
ADDRESS
STREET
DISTRICT
PROVINCE
ZIPCODE
BIRTHDAY
AGE
Tel_No
• Simple/Atomic Attribute
• Composite Attribute
• Single-Valued Attribute
• Multi-Valued Attribute
• Stored Attribute
• Derived Attribute
• Key Attribute
Attribute

33
Relationship
Dean manage1 1 Faculty
Teacher Advise
1 m Student
ความสัมพันธ์จาก Entity Set A ไปยัง B โดยสมาชิก
ของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ตัวเดียวเท่านั้น และ B หนึ่ง
ตัวจับคู่กับ A เพียงตัวเดียว
Set A Set B
ของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ได้มากกว่าหนึ่ง แต่ B หนึ่ง
ตัวจับคู่กับ A เพียงตัวเดียวและอาจซ้ากันได้
Student Learn
m n Subject
ของ A แต่ละตัวจับคู่กับ B ได้มากกว่าหนึ่ง และ B หนึ่ง
ตัวจับคู่กับ A ได้มากกว่าหนึ่งเช่นกัน

• แบบจาลองเชิงทาให้เกิดผล (Implementation Model)
34
Ratchada
Customer
Product
Customer A
Product 1
Product 2
Product 3
Customer B
Product 2
Product 3
Product 4
Branch
20 Units
10 Units
5 Units
60 Units
35 Units
10 Units
แบบจาลองข้อมูลแบบลาดับชั้น (Hierarchical Database Model)

35
Ratchada
Customer
Product
Customer A
Product 1 Product 2 Product 3
Customer B
Product 4
Branch
20 Units 70 Units 40 Units 10 Units
แบบจาลองข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database Model)

36
แบบจาลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database Model)
Cust_ID Cust_Name
001 Customer A
002 Customer B
Prod_ID Prod_Name
A1 Product 1
A2 Product 2
A3 Product 3
A4 Product 4
Cust_ID Prod_ID Quantity
001 A1 20
001 A2 10
001 A3 5
002 A2 60
002 A3 35
002 A4 10
Customer
Product
Order
Attribute
Tuple

37
• แบบจาลองเชิงกายภาพ (Physical Model)
Struct CUSTOMER {
char Cust_ID;
char Fname[15];
char Lname[15]
struct date Date_of_Birth;
struct CUSTOMER *next;
/* pointer to next CUSTOMER record*/
};
Index Staff_No;
/* define indexes for staff*/

ภาษามาตรฐานที่ใช้ในการจัดการฐานข้อมูล
(Standard Query Language)

39
ภาษา SQL
ในช่วงปี ค.ศ. 1970 ณ ศูนย์พัฒนาคอมพิวเตอร์ซานโฮเซของ IBM ได้วิจัยและพัฒนาระบบ
ฐานข้อมูลที่เรียกว่า ซิสเต็ม อาร์ (System R) ขึ้นตามแนวคิดของเทคโนโลยีฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ของ
ดร.เอ็ดการ์ เอฟ. คอดด์ โดยใช้ระบบภายในภายใต้ชื่อว่า ภาษาสอบถามเชิงโครงสร้างภาษาอังกฤษ
หรือ ซีเควล (Structured English Query Language : SEQUEL) ซึ่งภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น ว่า
ภาษาสอบถามเชิงโครงสร้าง หรือ เอสคิวแอล (Structured Query Language : SQL)
วัตถุประสงค์ในการใช้งานภาษา SQL
• ใช้ในการกาหนดโครงสร้างข้อมูลในฐานข้อมูล
• ใช้ในการดาเนินการกับข้อมูลในฐานข้อมูล ซึ่ง
ประกอบด้วยการเพิ่ม ลบ และแก้ไขข้อมูล
• ใช้ในการสอบถามข้อมูล
• ควบคุมสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้Users Database
SQL language
Results

40
กลุ่มคาสั่งที่ใช้ในการนิยามหรือกาหนดโครงสร้างข้อมูล
(Data Definition Language : DDL)
DDL เป็นคาสั่งที่ใช้ในการสร้างและกาหนดโครงสร้างของฐานข้อมูลว่าในแต่ละตาราง
ประกอบด้วยแอตติบิวต์อะไร ชนิดของข้อมูลเป็นประเภทใด การเพิ่ม ลบ แก้ไขแอตติบิวต์ในแต่ละ
ตาราง รวมทั้งการสร้างดัชนี คาสั่งประเภท DDL ได้แก่ คาสั่ง CREATE , ALTER และ DROP
CREATE TABLE Author (
Author_ID Integer NOT NULL UNIQUE,
Author_UserName Text (15) NOT NULL ,
Author_PassWord Text (20) NOT NULL ,
Author_Email Text (35) NOT NULL,
Author_JoinDate DateTime NOT NULL ,
Publisher_ID Text (15) NOT NULL ,
Primary Key (Auther_ID),
Foreign Key (Publisher_ID) references Publisher(Publisher_ID)
) ;

41
Column name Description Type Size Null Key
Product_ID รหัสสินค ้า char 7 N PK
ProductName ชื่อสินค ้า varchar 30 Y
UnitPrice ราคาสินค ้า money Y
QTY จานวนสินค ้าคงเหลือ int Y
Cate_ID รหัสประเภทสินค ้า char 3 Y FK(Category)
Products
Products is1 m Category
Product_ID
ProductName UnitPrice
QTY
Cate_ID CategoryName
UTCC_SHOP
ตัวอย่างการใช้งานคาสั่งกลุ่ม DDL

42
• การสร้างฐานข้อมูล CREATE DATABASE UTCC_SHOP ;
• การลบฐานข้อมูล DROP DATABASE UTCC_SHOP ;
CREATE TABLE Products (
Product_ID char(7) NOT NULL UNIQUE,
ProductName varchar(30),
UnitPrice Money,
QTY Int,
Cate_ID char(3),
PRIMARY KEY (Product_ID),
FOREIGN KEY (Cate_ID) REFERENCES Category(Cate_ID)
ON DELETE RESTRICT
ON UPDATE CASCADE );
• การสร้างตารางข้อมูล
• การลบตารางข้อมูล DROP TABLE Products ;

43
• การเพิ่มเขตข้อมูล ALTER TABLE Products
ADD unit varchar(15) ;
ALTER TABLE Products
ALTER ProductName varchar(50) ;
• การแก้ไขเขตข้อมูล
ALTER TABLE Products
DROP unit ;
• การลบเขตข้อมูล
Column name Description Type Size Null Key
Product_ID รหัสสินค ้า char 7 N PK
ProductName ชื่อสินค ้า varchar 30 Y
UnitPrice ราคาสินค ้า money Y
QTY จานวนสินค ้าคงเหลือ int Y
Cate_ID รหัสประเภทสินค ้า char 3 Y FK(Category)
unit หน่วยนับ varchar 15 Y
Products

44
กลุ่มคาสั่งที่ใช้ในการนิยามหรือกาหนดโครงสร้างข้อมูล
(Data Manipulation Language : DML)
DML เป็นคาสั่งที่ใช้ในการเพิ่ม ปรับปรุง และสอบถาม (Query) ข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูล คาสั่ง
ประเภท DML ได้แก่ คาสั่ง SELECT, INSERT, UPDATE และDELETE
SELECT Employee_id , FirstName , Surname , Address
FROM Employees
WHERE FirstName LIKE ‘a%’
ORDER BY Employee_id DESC ;

45
Product_ID ProductName UnitPrice QTY Cate_ID
P001-25 เสื้อคอโปโล Size L 700 780 001
P002-47 DVD Player 1,540 1,250 002
P001-30 กางเกงขาสั้น Size M 990 1,085 001
P003-10 กระเป๋ าเดินทาง 1,100 800 003
P002-50 MP3 Player 580 980 002
Products
ตัวอย่างการใช้งานคาสั่งกลุ่ม DML
• การแสดงข้อมูลทุก Tuple
SELECT Product_ID, FirstName, UnitPrice
FROM Products ;
Product_ID ProductName UnitPrice
P001-25 เสื้อคอโปโล Size L 700
P002-47 DVD Player 1,540
P001-30 กางเกงขาสั้น Size M 990
P003-10 กระเป๋ าเดินทาง 1,100
P002-50 MP3 Player 580

46
• การแสดงข้อมูลโดยการกาหนดเงื่อนไข
FROM Products
WHERE QTY >= 1,000 ;
• การแสดงข้อมูลโดยมีการเรียงลาดับข้อมูล
คาสั่งในการเรียงลาดับข้อมูล
• ASC เรียงข้อมูลจากน้อยไปมาก
• DESC เรียงข้อมูลจากมากไปน้อย
FROM Products
WHERE QTY >= 1,000 ;
ORDER BY UnitPrice ASC ;

47
• การเพิ่มข้อมูลลงในตาราง
INSERT INTO Products ( Product_ID, FirstName, UnitPrice, QTY, Cate_ID )
VALUES (‘P002-80’, ‘Notebook ACER’, 23000, 150, ‘002’) ;
Products
P002-80 Notebook ACER 23,000 150 002
• การปรับปรุงข้อมูลในตาราง
UPDATE Products SET ProductName = ‘ACER 2900’ , UniitPrice = 28000
WHERE Product_ID = ‘P002-80’ ;
Products
P002-80 ACER 2900 28,000 150 002

48
• การลบข้อมูลในตาราง
P002-47 DVD Player 1,540 1,250 002
P003-10 กระเป๋ าเดินทาง 1,100 800 003
P002-50 MP3 Player 580 980 002
P003-10 กระเป๋ าเดินทาง 1,100 800 003
DELETE FROM Products
WHERE Cate_ID = ‘002’ ;

คลังข้อมูล
(Data warehouse)

คลังข้อมูล (Data Warehouse) คือ ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้เพื่อเก็บข้อมูลจากฐานข้อมูล
ที่ใช้งานประจาวัน (Operational Database) ที่อยู่ในแหล่งข้อมูลต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก
องค์กร โดยนาข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์เพื่อช่วยการตัดสินใจของฝ่ายบริหาร
ตลาดข้อมูล (Data Mart) คือ คลังข้อมูลขนาดเล็กที่ใช้สาหรับการทางานบางส่วนของ
องค์กร โดยข้อมูลที่ถูกจัดเก็บไว้จะเน้นเพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์บางอย่างและมักจะถูก
เก็บแยกไว้ในส่วนขององค์กรที่ต้องการใช้ข้อมูลเท่านั้น

Operational
Database
Operational
Database
External
Database
Data Mart
Data Mart
Data Mart
Data Mart
Sales & Marketing
Financials
Personal
Manufacturing
Business
Intelligence
SQL Server
MySQL
Oracle

สถาปัตยกรรมของคลังข้อมูล
Data Acquisition System
Data Staging
Area
Data Warehouse
Area
Data Provisioning
Area
Data
Metadata Repository
Metadata
Data Data
Metadata
Metadata
Metadata
Data
End-User Terminal
Data MartData WarehouseData Source
Business
IntelligenceData Integration

คุณสมบัติของคลังข้อมูล
• การแบ่งโครงสร้างตามเนื้อหา (Subject-Oriented) : ข้อมูลถูกจัดเก็บตามประเด็นที่องค์กร
สนใจ เช่น ข้อมูลลูกค้า สินค้า และยอดขาย เป็นต้น ไม่ได้เน้นไปที่การทางานหรือกระบวนการ
• การรวมกันเป็นหนึ่ง (Integrated) : รวบรวมและจัดรูปแบบข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน
และสร้างความสอดคล้องให้กับข้อมูลก่อนที่จะนาเสนอแก่ผู้ใช้
• ความสัมพันธ์กับเวลา (Time-Variant) : ข้อมูลที่จัดเก็บในคลังข้อมูลจะเป็นข้อมูลย้อนไปใน
อดีตที่ผ่านมาแล้ว โดยระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูลจะถูกกาหนดเอาไว้เช่น 5 ปี หรือ 10 ปี เพื่อ
ประโยชน์ในการวิเคราะห์แนวโน้มของข้อมูล
• ความเสถียรของข้อมูล (Non-Volatile๗ : ข้อมูลที่จัดเก็บภายในคลังข้อมูล จะไม่ถูกแก้ไข แต่
จะถูกเพิ่มข้อมูลใหม่ต่อท้าย โดยไม่ทาการแทนที่ข้อมูลเดิม

การวิเคราะห์ข้อมูลในคลังข้อมูล
แหล่งข้อมูล
เพื่อการปฏิบัติงาน
แหล่งข้อมูล
เพื่อการวิเคราะห์
OLAP
Generator
Report
Generator
Data Mining Tools
Data Mart
Data Mart
Report
Cube
End-User Terminal

การวิเคราะห์ข้อมูลในคลังข้อมูล
• Report Generator
เครื่องมือสาหรับสร้างรายงานในรูปแบบต่างๆ โดยการดึงข้อมูลจากคลังข้อมูล
เครื่องมือสาหรับการค้นหารูปแบบ แนวทาง และความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในชุดข้อมูล
โดยอาศัยหลักสถิติ การรู้จา การเรียนรู้ของเครื่อง และหลักคณิตศาสตร์
• Data Mining Tools
• Online Analytical Processing : OLAP
เครื่องมือสาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลแบบหลายมิติ (Multidimensional data analysis)
ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อมาจากฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้น ทาให้
สามารถเจาะลึก (Drill-down) และพลิกแพลง (Slice-and-Dice) ข้อมูลได้

SC161 Lecture 6

Empfohlen

Empfohlen

Weitere ähnliche Inhalte

Was ist angesagt?

Was ist angesagt? (17)

Ähnlich wie SC161 Lecture 6

Ähnlich wie SC161 Lecture 6 (12)

Mehr von Thiti Theerathean

Mehr von Thiti Theerathean (9)

SC161 Lecture 6