Weitere ähnliche Inhalte Ähnlich wie สัปดาห์ที่ 4แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน (8) Mehr von ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ (20) สัปดาห์ที่ 4แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน 8. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
การสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building)
สิ่งสาคัญต่อองค์กรที่ไม่แสวงหากาไร คือ การสร้างขีดความสามารถเพื่อทาให้เกิด
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลเชิงเป้าหมาย ทั้งขีดความสามารถในการดาเนินงานและขีด
ความสามารถในการที่จะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรทางการเงิน เพื่อนาไปใช้ให้ก่อ
ประโยชน์ต่อสาธารณะและต่อองค์กรภาคีอื่น ๆ
รูปแบบขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือองค์กรที่ไม่หวังผลกาไรอาจจะขอความสนับสนุนจาก
องค์กรภาคีซึ่งอยู่ในรูปแบบของ สมาคม ศูนย์ฝึกอบรม องค์กรที่ปรึกษา ฯลฯ ซึ่งให้บริการ
โดยไม่หวังผลกาไรเช่นกัน ดังนั้น จึงมีคาจากัดความของคาว่า การสร้างขีดความสามารถที่
หลากหลาย ความหมายของคาว่าการสร้างความสามารถ บนพื้นฐานแนวคิดข้างต้นก็คือ "
การกระทาที่ไม่แสวงหาผลกาไร และการปรับปรุงประสิทธิภาพของการดาเนินงานให้ประสบ
ผลสาเร็จ " ในแนวคิดอื่น ๆ เสนอว่า การสร้างขีดความสามารถหมายถึง แนวความคิดการ
กระทาที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทางานขององค์กรที่ไม่หวังผลกาไร และเพื่อสร้างขีด
ความสามารถที่มีต่อการปฏิบัติภารกิจของตน
9. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
แนวคิดของการสร้างขีดความสามารถขององค์กรที่ไม่หวังผลกาไร ในบางรูปแบบจะมีลักษณะคล้ายกับ
แนวคิดการสร้างขีดความสามารถ หรือการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรและ / หรือการจัดการ
ประสิทธิภาพในองค์กรที่หวังผลกาไรหรือองค์กรธุรกิจ นอกจากนั้น ยังหมายถึงความพยายามในการสร้าง
ขีดความสามารถในการรวบรวมความหลากหลายของวิธีการจัดการเข้าไว้ด้วยกัน เช่น การสร้างขีด
ความสามารถในการจัดการเงินทุนเพื่อการดาเนินงานกองทุนพัฒนาไปพร้อม ๆ กับความขีดสามารถในการ
จัดการให้การฝึกอบรมและการพัฒนาการประชุม การฝึกอบรมเพื่อให้การสนับสนุนการทางานร่วมกันกับ
องค์กรที่ไม่หวังผลกาไรอื่น ๆ
ลักษณะเด่นของวิธีการของการจัดการประสิทธิภาพในองค์กรที่หวังผลกาไรหรือองค์กรธุรกิจ สามารถ
นามาใช้กับการสร้างขีดความสามารถต่อองค์กรพัฒนาเอกชนได้เป็นอย่างดี เช่น การรักษาดุลยภาพของ
องค์กรด้วยวิธีการจากแนวคิดและหลักการการเปลี่ยนแปลงองค์กร การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการ
เรียนรู้ขององค์กร ฯลฯ ดังนั้น แนวคิดของการสร้างขีดความสามารถขององค์กรที่ไม่หวังผลกาไรจึงได้นา
แนวคิดการจัดองค์การและการบริหารองค์การมาใช้ในการดาเนินงาน เช่น แนวคิด POSDCoRB
แนวคิดด้านบทบาทของผู้บริหาร (CEO) ในการวางแผนและการบริหารแผนและโครงการ แนวคิดด้าน
การตลาด การเงินและการประเมินผล เป็นต้น นอกจากนั้น แนวคิดที่จะต้องสร้างให้เกิดความสามารถอีก
ประการหนึ่งคือ ความสามารถในการระดมทุน แนวคิดที่จะนาไปสู่ความมีประสิทธิภาพในการดาเนินงานอีก
ประการหนึ่งคือ แนวคิดใน การจัดการประสิทธิภาพในการดาเนินงาน ซึ่งจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ
บริหารงานด้านคนซึ่งหลักการบริหารประสิทธิภาพได้แก่
10. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
1) บุคลากรหรือสมาชิกขององค์กรจาเป็นต้องมีความรู้ในการปฏิบัติงาน ภายในองค์กร
ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน จนระดับของประยุกต์ความรู้ดังกล่าวไปใช้งานที่ตนเองรับผิดชอบ
2) ผู้บริหารต้องมอบหมายงานหรือหน้าที่ความรับผิดชอบแก่บุคลากรหรือสมาชิก
องค์กรให้สอดคล้อง ต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายขององค์กร
3) ผู้บริหารและบุคลากรหรือสมาชิกองค์กรมีความรู้ถึงกลวิธีใด ๆ ที่จะช่วยให้งานเกิด
ความสาเร็จได้เป็นอย่างดีและเป็นรูปธรรม
4) ผู้บริหารและบุคลากรหรือสมาชิกองค์กรมีความรู้ความเข้าใจถึงวิธีการทางาน
ร่วมกันอย่างยั่งยืน ตลอดจนมีการพัฒนาประสิทธิภาพในการทางานของตนเองให้สูงขึ้น
5) มีระบบวัดประสิทธิภาพในการทางานของบุคลากรหรือสมาชิกรวมถึงคณะผู้บริหาร
องค์กรทุกคน
6) ผู้บริหารมีความสามารถในการระบุถึงอุปสรรคที่ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทางาน
ลดลง และสามารถร่วมกับสมาชิกองค์กรแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
12. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
1) ผู้จัดการโครงการและเจ้าหน้าที่ภาคสนาม ได้แก่ เจ้าหน้าที่โครงการที่ปฏิบัติงานในโครงการพัฒนาอาชีพ
หรือโครงการชุมชนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จะพบว่าคู่มือส่งเสริมนี้มีแนวทางการทางานที่มี
ประโยชน์ด้านวิธีเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากมุมมองของชุมชน ของหน่วยงานรัฐ และในมุมมองเชิง
วิทยาศาสตร์ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนาไปใช้ในการออกแบบกิจกรรมชุมชนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
ภูมิอากาศที่เหมาะสมกับท้องถิ่น
2) องค์กรภาคีในท้องถิ่น ทั้งหน่วยงานรัฐและองค์กรพัฒนาอกชน ทั้งนี้ เครื่องมือและกระบวนการต่าง ๆ ใน
คู่มือส่งเสริมจะถูกออกแบบมาให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย นาไปประยุกต์ใช้และขยายผล หน่วยงานรัฐ
องค์กรพัฒนาเอกชนในท้องถิ่น สามารถนาวิธีการ CVCA (ClimateVulnerability and
Capacity Analysis) ไปประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการบูรณาการประเด็นความเปราะบาง และ การ
ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เข้าไว้ในการวางแผนและในโครงการต่างๆ ของหน่วยงานและองค์กร
นั้น ๆ
3) ชุมชนสามารถประยุกต์ใช้เครื่องมือต่างๆ ในคู่มือส่งเสริมนี้ เพื่อสนับสนุนกระบวนการศึกษาและการ
เรียนรู้ของชุมชน และนาผลลัพธ์ที่ได้ไปใช้ในการวางแผนการทากิจกรรมร่วมกันด้านการปรับตัวต่อการ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือ กิจกรรมรณรงค์กับหน่วยราชการในท้องถิ่นหรือองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อ
กระตุ้นให้เกิดการดาเนินการที่เหมะสมที่สนับสนุนความพยายามของพวกเขาในการปรับตัวต่อการ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ การกาหนดกรอบของ CVCA เพื่อการเพื่อสร้างขีดความสามารถดังกล่าว ถือเป็น
นวัตกรรมของวิธีการดาเนินงานหรือกระบวนการในการบริหารจัดการขององค์กรพัฒนาเอกชน ซึ่งสามารถ
สร้างการมีส่วนร่วมในรูปแบบอื่น ๆ
13. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
กรณีศึกษา
1) กระบวนการ CVCA มีการวิเคราะห์ประเด็นการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างจริงจัง ทั้งนี้
เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ภาวะโลกร้อนจะมีผลต่อชีวิตและวิถีชีวิตของกลุ่ม
ประชากรเป้าหมายอย่างไร โดยพิจารณาข้อมูลทุกด้านอย่างละเอียด อาทิ ภัยพิบัติชนิดต่างๆ
จุดเปราะบางทั้งหลายที่มีความเสี่ยงต่อภาวะโลกร้อน และขีดความสามารถในการปรับตัวจาก
ภาวะโลกร้อน โดยหวังว่ากระบวนการนี้จะมีส่วนช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของชุมชนใน
การฟื้นตัว การปรับตัวสาหรับอนาคต เครื่องมือวิเคราะห์หลายชนิดที่แนะนาไว้ เป็นเครื่องมือ
สาหรับการเรียนรู้เพื่อการปฏิบัติงานแบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning
forAction หรือ PLA) ที่สามารถนาไปทดลองใช้และได้ผลจริง แต่ต้องพิจารณาด้วย
“เลนส์” ด้านภูมิอากาศ หรือ มุ่งเน้นที่ประเด็นภูมิอากาศโดยละเอียดทุกซอกทุกมุม เครื่องมือ
เหล่านี้มีไว้ใช้สาหรับดึงประเด็นปัญหาต่างๆ ออกมา จากนั้นจึงนามาพิจารณาและอภิปรายกัน
โดยละเอียดในบริบทของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยมีการกากับการอภิปรายให้อยู่ใน
กรอบที่วางไว้
14. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
กรณีศึกษา
2) รวบรวมวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดที่ได้จากการวิเคราะห์รูปแบบต่างๆ ที่ทากันสาหรับโครงการพัฒนา
หลากหลายโครงการที่ส่วนใหญ่มุ่งเน้นด้านสภาพความยากจนและจุดเปราะบางที่มีความเสี่ยงและ
นามาใช้ร่วมกับวิธีปฏิบัติที่ดีที่ได้จากการวิเคราะห์ที่ทากันภายในบริบทของการลดความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ
ซึ่งมุ่งเน้นด้านภัยอันตรายกรอบของวิธีการ CVCA จะเอื้ออานวยต่อการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารที่ได้
จากการประเมินทั้ง 2 ประเภทนั้น เป็นการวิเคราะห์ในมุมมองของภาวะโลกร้อน โดยจะศึกษา
รายละเอียดทั้งทางด้านภัยอันตรายและทางด้านเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง แล้วจึงวิเคราะห์
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภัยอันตรายและเงื่อนไขเหล่านั้น
3. การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วยเสียหลายฝ่าย การเรียนรู้ร่วมกัน และการพูดคุยกัน: ขณะที่
วัตถุประสงค์หลักของวิธีการ CVCA คือการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร กระบวนการ CVCA ก็ยังถูก
ออกแบบมาให้มีความสมดุลระหว่างกระบวนการวิจัยและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน รวมทั้งการ พูดคุย
กันในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในท้องถิ่น วิธีนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจกันภายในชุมชนมากขึ้น ในเรื่องที่
เกี่ยวกับทรัพยากรต่าง ๆ ที่พวกเขาสามารถนาไปใช้ เพื่อสนับสนุนการดาเนินงานลดผลกระทบจากภาวะ
โลกร้อน CVCA ยังช่วยส่งเสริมให้เกิดการพูดคุยกันในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลาย ๆ ฝ่าย เกี่ยวกับ
การดาเนินการต่าง ๆ ที่เหมาะสมสาหรับการปรับตัวต่อการเปลี่ยน แปลงภูมิอากาศ
15. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
กรณีศึกษา
4. เน้นชุมชนแต่พิจารณาสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออานวยอย่างละเอียดด้วย: ความเปราะบางที่
มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนนั้นจะผันแปรไป ทั้ง
ภายในประเทศ ภายในชุมชน และแม้แต่ภายในครัวเรือน เพราะฉะนั้น การดาเนินการ
ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จึงต้องมีกิจกรรมที่เหมาะสมกับบริบทนั้น ๆ
โดยเฉพาะ อีกทั้งยังต้องมียุทธศาสตร์ในการดาเนินงานที่สามารถตอบสนองความต้องการ
ของกลุ่มต่างๆ ที่มีความเปราะบางด้วย ขณะเดียวกันนโยบายและสถาบันต่างๆ ทั้งใน
ระดับชาติและระดับท้องถิ่น ก็จะมีบทบาทสาคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถของคนใน
การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ดังนั้น กระบวนการ CVCA จึงมุ่งเน้นที่ระดับ
ชุมชน ขณะเดียวกันก็ได้ผนวกการวิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ของระดับภูมิภาคและระดับชาติ
ไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยต่อการชุมชนปรับตัวต่อการ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (CBA)
18. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
นอกจากการเพิ่มขีดความสามารถของบุคคล ครัวเรือน และ ชุมชนจากปัจจัยด้านทรัพยากรแล้ว การเพิ่มขีด
ความสามารถในส่วนต่าง ๆ ทั้งภายนอกและภายในองค์กรพัฒนาเอกชน ได้แก่ (มูลนิธิรักษ์ไทย, 2554)
1) วางแผนอย่างรอบครอบ
1.1) หาข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นมาของชุมชนก่อนลงปฏิบัติการในพื้นที่ชุมชนเป้าหมาย ต้องมีความรู้เกี่ยวกับชุมชนหรือ
ประวัติความเป็นมาของกลุ่มคนในชุมชน ความขัดแย้งในอดีตและในปัจจุบัน และพลวัตของอานาจในชุมชนที่อาจมีความสาคัญ
ต่อการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายกลุ่มย่อย หรือต่อการอานวยกระบวนการพูดคุย
1.2) เตรียมวาระ/หรือหัวข้อเรื่องที่จะเข้าไปพูดคุยกับชุมชน ต้องให้แน่ใจว่าวาระที่เตรียมไปนั้น ผู้เข้าร่วมจะสามารถพูดคุย
ได้ตามสบาย ไม่ต้องถูกเร่งรัด แต่ก็ครอบคลุมทุกประเด็นภายในเวลาที่กาหนดไว้
1.3) หากเป็นไปได้หาข้อมูลไปล่วงหน้าเกี่ยวกับระดับความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อจะได้
วางแผนจัดกิจกรรมให้เหมาะสม
1.4) จัดสรรเวลา สาหรับการชี้แจงรายละเอียด การไต่ถามข้อสงสัยของผู้เข้าร่วม การตอบข้อสงสัย การอภิปรายประเด็น
ต่าง ๆ และ “ช่วงเวลาของการเรียนรู้”
1.5) ต้องคานึงอยู่ตลอดเวลาว่าประชาชนในชุมชนจะไม่มีเวลาว่าง เนื่องจากการใช้เวลาของประชาชนในชุมชนในการ
ประกอบอาชีพเลี้ยงปากท้อง ดังนั้น การเข้าพบปะจะต้องใช้เวลาสั้น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการเสียเวลาในการประกอบอาชีพ โดย
จะต้องจัดการเข้าเยี่ยมให้กระจายออกไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อการทางานตามปกติของคนในชุมชน
1.6) วางแผนเรื่องการจัดบริการ อาหาร เครื่องดื่ม ในกรณีที่เหมาะสม
1.7) ตัดสินใจเลือกกลุ่มย่อย
1.8) วิทยากรกระบวนการสามารถทาหน้าที่ได้โดยใช้ภาษาท้องถิ่น
19. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
2) แสวงหาการสนับสนุนจากผู้นาชุมชน
2.1) อธิบายจุดประสงค์ของการเข้ามาทางานในพื้นที่ และขออนุญาตผู้นาชุมชน
2.2) สิ่งหนึ่งที่อาจเป็นประโยชน์คือ การจัดการประชุมเตรียมการที่เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฝ่ายต่าง ๆ
ในท้องถิ่น ได้แก่ ผู้นาชุมชน ผู้แทนหน่วยราชการในท้องถิ่น องค์กรชุมชนและองค์กรท้องถิ่นอื่น ๆ มารับฟัง
การชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางของโครงการ ที่จะเข้ามาดาเนินการในพื้นที่และประโยชน์ของโครงการนี้ แล้ว
ร่วมกันกาหนดเวลาการเข้าเยี่ยมชุมชน
2.3) พิจารณาทบทวนวาระการเข้าเยี่ยมชุมชนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฝ่ายต่าง ๆ เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับ
จุดประสงค์ เวลาที่ต้องใช้ สถานที่สาหรับการพูดคุย (โดยจะต้องดูให้แน่ใจว่า เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่เข้าถึง
ได้ง่าย ที่ผู้หญิงสบายใจที่จะพูดคุย หรือที่สมาชิกชุมชนคนอื่นๆ ที่เป็นบุคคลทุพลภาพบางส่วน ไม่สามารถ
เคลื่อนไหวได้สมบูรณ์ตามปกติ สามารถเข้าถึงได้สะดวก)
2.4) ทาความตกลงกันเรื่องกลุ่มย่อย ถ้ามีวิทยากรกระบวนการ/ผู้ดาเนินระบวนการจานวนมากพอ ควร
จัดทาการสัมภาษณ์/การพูดคุยกลุ่มย่อยที่อยู่ในชุมชนเดียวกันในเวลาเดียวกัน จะช่วยได้มาก ทั้งนี้ เพื่อให้
ผู้เข้าร่วมพูดคุยในกลุ่มต่างๆ พูดได้อย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกังวลว่ากลุ่มอื่นจะได้ยิน
2.5) กาหนดวิธีการสื่อสารข้อมูลที่ได้จากการอภิปราย/พูดคุยในกลุ่มย่อยกับผู้เข้าร่วม
2.6) แนะนาวิทยากรกระบวนการกับชุมชน
20. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
3. การเตรียมความพร้อม
3.1) ทาให้แน่ใจว่าทุกคนที่อยู่ในทีมวิเคราะห์ เห็นชอบกับวัตถุประสงค์ของการเข้าเยี่ยมชุมชน
3.2) วิทยากรกระบวนการทุกคนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับวิธีการและวิธีใช้
เครื่อง
ต่าง ๆ ก่อนเข้าไปปฏิบัติงานในชุมชน อ
3.3) หากการทางานของวิทยากรกรกระบวนการมีลักษณะการทางานเป็นทีม จะต้องกาหนดหน้าที่
ให้ชัดเจนว่า ใครจะเป็นคนดาเนินกระบวนการในส่วนไหนของวาระและใครเป็นคนจดบันทึก
3.4) ทีมวิทยากรกระบวนการควรมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และควรได้รับการฝึกอบรมด้านการเป็น
วิทยากรกระบวนการที่คานึงถึงความอ่อนไหวของประเด็นบทบาทหญิง – ชาย ในบางกรณี การให้
วิทยากรหญิงเป็นผู้ดาเนินกระบวนการพูดคุยกับกลุ่มผู้หญิงก็เป็นเรื่องสาคัญที่ต้องพิจารณา เพื่อให้
สมาชิกกลุ่มรู้สึกสบายใจขึ้น
3.5) ทาความตกลงกับวิทยากรที่จะเป็นผู้ดาเนินกระบวนการร่วมกันว่า จะอธิบายแนวคิดต่าง ๆ
อย่างไรในภาษาท้องถิ่น เช่น ภัยอันตราย ทรัพยากรสาหรับการดาเนินวิถีชีวิต/การประกอบอาชีพ ฯลฯ
ควรระลึกไว้ว่า แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศนั้น อาจเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ คนใน
ชุมชนอาจจะสามารถพูดคุยเกี่ยวกับฤดูกาล อากาศ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ได้ง่ายกว่า
21. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
4) ความพร้อมที่จะรับมือกับความขัดแย้ง
4.1) กระบวนการพูดคุยอาจดึงให้ประเด็นปัญหาความไม่เสมอภาคขึ้นมา ซึ่งอาจมีความ
จาเป็นต้องแก้ไขเพื่อลดความเปราะบางประเด็นดังกล่าว วิทยากรจะต้องนากระบวนการ
พูดคุยให้ก้าวต่อไปอย่างระมัดระวัง เพราะโดยทั่วไปแล้ว จะมีกลุ่มคนที่มีภาวะผู้นาและสา
มารครอบงาทางความคิดในระดับต่าง ๆ อยู่ภายในชุมชน หรือระหว่างชุมชนและกลุ่มอื่น ๆ
4.2) การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคการคลี่คลายความขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยให้
วิทยากรสามารถจัดการกระบวนการอภิปรายพูดคุยให้ผ่านไปได้อย่างสร้างสรรค์ หากเกิด
ความขัดแย้งใด ๆ ในระหว่างการพูดคุย
4.3) การดึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลาย ๆ ฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการเก็บรวบรวม
และวิเคราะห์ข้อมูลจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งลงได้
22. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
5) สื่อและอุปกรณ์ที่จาเป็นต้องมี ได้แก่ กระดาษนิวส์พรินต์ ปากกาเมจิก เส้น
หนา-ใหญ่ สีต่างๆ กระดาษสี เทปกระดาษกาว วัสดุในท้องถิ่น เช่น ก้อนหิน
แท่งไม้เมล็ดพันธุ์พืช ฯลฯ อุปกรณ์บันทึกข้อมูล (อุปกรณ์บันทึกเสียง) กล้อง
ถ่ายรูปเพื่อบันทึกภาพกระบวนการดาเนินการและการพูดคุย (ต้องพูดคุยให้
แน่ใจว่าไม่ขัดต่อวัฒนธรรมท้องถิ่น) สมุดบันทึก และคลิปบอร์ดสาหรับจด
บันทึก อาหารว่าง/อาหารเที่ยง/น้าและเครื่องดื่ม (ขึ้นอยู่กับการประชุมใช้เวลา
และสถานที่)
23. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
6) บริหารจัดการความคาดหวัง
6.1) การบริหารจัดการความคาดหวังของชุมชนระหว่างที่เข้ามาทางานในพื้นที่นั้น
เป็นเรื่องสาคัญ ชุมชนต่าง ๆ มักถูก “ประเมิน” มาหลายครั้งแล้วสาหรับโครงการต่างๆ
จึงอาจคาดหวังว่า การดาเนินการในพื้นที่ครั้งนี้จะทาให้เกิดโครงงานหรือโครงการใด
โครงการหนึ่งสาหรับชุมชน
6.2 วิทยากรกระบวนการควรจะต้องตระหนักให้ดีในเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่
อาจจะมีอิทธิพลต่อประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาระหว่างอภิปราย เพื่อที่จะได้จัดการให้
แน่ใจว่าจะไม่ไปสร้างความหวังให้แก่ชุมชนว่าจะมีโครงการต่าง ๆ ตามมา
24. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
7) สร้างความรู้สึก “ปลอดภัย” และเชื่อใจกัน และการดารงรักษาสิ่งดังกล่าวไว้
7.1) ทาให้สมาชิกชุมชนหรือผู้แทนในท้องถิ่นที่คนในชุมชนให้ความเชื่อใจเป็นผู้แนะนาทีม
วิเคราะห์
7.2) แสดงมารยาทที่ดีและต้อนรับทุกคนด้วยความยินดี
7.3) ให้โอกาสทุกคนแนะนาตนเอง
7.4) ขออนุญาตเมื่อต้องการจะถ่ายรูปหรือถ่ายวีดีโอ และหลีกเลี่ยงการบันทึกภาพ ถ้าผู้เข้าร่วม
กิจกรรมรู้สึกอึดอัด
7.6) จัดเครื่องดื่ม น้าชา - กาแฟไว้บริการ ถ้าเหมาะสม
7.7) เห็นคุณค่าของความรู้และประสบการณของผู้เข้าร่วม
7.8) ขัดจังหวะทันทีเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กาลังอภิปรายนั้น เป็นการ “โจมตีกันและกัน”
7.9) ยอมรับความผิดพลาดของตนและแก้ไขให้ถูกต้อง
7.10) ทาตัวเป็นกลาง
7.11) ให้เวลาผู้เข้าร่วมได้ซักถามข้อสงสัย
25. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
8) สร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดขึ้นอย่างมีชีวิตชีวาและสมดุล
8.1) ทาให้แน่ใจว่าสถานที่ที่ใช้สาหรับการพูดคุยกลุ่มย่อยนั้น เหมาะสมกับการเข้ามาร่วม
กิจกรรม
8.2) วางกฏกติการ่วมกับผู้เข้าร่วมการอภิปรายกลุ่มย่อย
8.3) อธิบายกระบวนการอภิปรายกลุ่มย่อยและตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนเข้าใจคาสั่งและ
คาถาม
8.4) กระตุ้นและให้กาลังใจกับผู้เข้าร่วมที่ยังไม่กล้าแสดงออก และจัดการอย่างสุภาพเพื่อหยุด
บุคคลที่แสดงความคิดและพูดคุยมากเกินไปหรือแสดงตนเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ”
8.5) หาทางให้ผู้เข้าร่วมเป็นผู้ขับเคลื่อนกระบวนการกิจกรรมกลุ่ม (เช่น สร้างจัดทาแผนที่ด้วย
ตนเอง รวมทั้งการจัดทาสัญลักษณ์ในตาราง
8.6) ให้โอกาสผู้มีส่วนร่วมได้ร่วมหยิบยกประเด็นที่พวกเขาสนใจหรือสงสัยขึ้นมาพูดคุยกัน
วิทยากรมีหน้าที่ควบคุมกระบวนการพูดคุยไม่ให้ออกนอกประเด็นและต้องจัดการให้แน่ใจว่า การ
พูดคุยคืบหน้าไปโดยเร็วพอที่จะครอบคลุมสาระที่จาเป็นภายในเวลาที่จัดสรรไว้
8.7) หากการอภิปรายคืบหน้า ต้องป้อนคาถามจานวนมากและต้องพยายามไม่ให้เป็นการชักนา
ผู้เข้าร่วมอภิปราย
26. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
9) การจบการอภิปราย
9.1) อธิบายให้เข้าใจเกี่ยวกับการดาเนินการขั้นต่อไป
9.2) กาหนดวันเวลาที่จะกลับมาเยี่ยมชุมชนเพื่อตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง
ของการวิเคราะห์
9.3) กล่าวขอบคุณทุกคนในกลุ่มที่มาร่วมพูดคุย และให้โอกาสไต่ถามข้อสงสัยแก่
ผู้เข้าร่วมอภิปราย
9.4) ถ้าผู้ร่วมอภิปรายต้องการจะเก็บผลงานจากการอภิปรายกลุ่มย่อย (เช่น แผน
ที่) วิทยากรควรทาฉบับสาเนาสาหรับตนเอง และให้ผู้เข้าร่วมเก็บต้นฉบับไว้
28. แนวทางละวิธีการแก้ไขปัญหาชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน
สรุป
ถือได้ว่า แนวทางแก้ไขปัญหาในชุมชนขององค์กรพัฒนาเอกชน คือสิ่งที่สนองตอบต่อ
วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย รวมถึง การสนองตอบความต้องการของผู้มีส่วน
ได้ส่วนเสียได้เป็นอย่างดี ซึ่งการสนองตอบดังกล่าวจะทาให้เกิดความชัดเจนของ
กิจกรรมและผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น นาไปสู่การได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย รวมทั้ง
ชุมชน โดยเฉพาะผู้สนับสนุนด้านทุนและทรัพยากร
สิ่งดังกล่าว ทาให้ต้องนาวิธีการที่หลากหลายในการบริหารจัดการ มาประยุกต์และเข้า
สู่กระบวนเรียนรู้ตลอดจนการต้องสร้างกรอบการเรียนรู้ให้ขยายวงกว้างสู่ภาค
สาธารณะ ทาให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมของกระบวนการดาเนินงานขึ้น
29. อ้างอิง
ภาษาไทย
มูลนิธิรักษ์ทย. (2554). คู่มือส่งเสริมการวิเคราะห์ขีดความสามารถและความเปราะบางที่เสี่ยงต่อการ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศการวิเคราะห์ขีดความสามารถและความเปราะบางที่เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ,
สนับสนุโดย โปรแกรมด้านสิ่งแวดล้อม และการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนรวมถึงด้านพลังงาน.
คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป องค์การแคร์นานาชาติ.
ภาษาอังกฤษ
Mostashari,A. (2005). An Introduction to Non-Governmental
Organizations (NGO) Management. On Iranian Studies Group at
MIT.
Moshman, J. (2010). How to Start an NGO.WANGO:World
Association of Non-GovernmentalOrganizations. Retrieved 10
September, 2015, from www.wango. org/NGONews/
July08/HowToStartAnNGO.pdf