Weitere ähnliche Inhalte
Ähnlich wie โลกและการเปลี่ยนแปลง
Ähnlich wie โลกและการเปลี่ยนแปลง (20)
โลกและการเปลี่ยนแปลง
- 1. โลกและการเปลียนแปลง
่
โลกในยุคแรกเป็ นของเหลวหนืดร้ อน ถูกกระหน่าชนด้ วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ ประกอบ
ซึ่งเป็ นธาตุหนัก เช่ น เหล็ก และนิเกิล จมตัวลงสู่ แก่ นกลางของโลก ขณะทีองค์ ประกอบซึ่งเป็ นธาตุ
่
เบา เช่ น ซิลกอน ลอยตัวขึนสู่ เปลือกนอก ก๊ าซต่ างๆ เช่ น ไฮโดรเจนและคาร์ บอนไดออกไซด์
ิ ้
พยายามแทรกตัวออกจากพืนผิว ก๊ าซไฮโดรเจนถูกลมสุ ริยะจากดวงอาทิตย์ ทาลายให้ แตกเป็ นประจุ
้
ส่ วนหนึ่งหลุดหนีออกสู่ อวกาศ อีกส่ วนหนึ่งรวมตัวกับออกซิเจนกลายเป็ นไอนา เมื่อโลกเย็นลง
้
เปลือกนอกตกผลึกเป็ นของแข็ง ไอนาในอากาศควบแน่ นเกิดฝน นาฝนได้ ละลาย
้ ้
คาร์ บอนไดออกไซด์ ลงมาสะสมบนพืนผิว เกิดทะเลและมหาสมุทร สองพันล้านปี ต่ อมาการ
้
วิวฒนาการของสิ่ งมีชีวต ได้นาคาร์ บอนไดออกไซด์ มาผ่านการสั งเคราะห์ แสง เพือสร้ างพลังงาน
ั ิ ่
และให้ ผลผลิตเป็ นก๊ าซออกซิเจน ก๊ าซออกซิเจนทีลอยขึนสู่ ช้ ั นบรรยากาศชั้ นบน แตกตัวและ
่ ้
รวมตัวเป็ นก๊ าซโอโซน ซึ่งช่ วยปองกันอันตรายจากรั งสี อุลตราไวโอเล็ต ทาให้ สิ่งมีชีวตมากขึน และ
้ ิ ้
ปริมาณของออกซิเจนมากขึนอีก ออกซิเจนจึงมีบทบาทสาคัญต่ อการเปลี่ยนแปลงบนพืนผิวโลกใน
้ ้
เวลาต่ อมา (ภาพที่ 2)
- 2. โครงสร้ างของโลก
ก่อนทีจะอธิบายให้ เข้ าใจกันอย่างง่ าย เราต้ องมาดูโครงสร้ างของโลกเราก่ อน โลกของเราก็คล้ ายๆไข่
่
ไก่ คือเมื่อผ่าออกมาจะเป็ นเป็ นชั้นๆ โลกของเราก็แบ่ งออกเป็ นชั้นๆ เช่ นกัน โดยมนุษย์ เราอาศัยอยู่
บนเปลือกโลก (crust) แต่ เปลือกโลกทีว่านี่มีความหนาเฉลี่ยประมาณ 10 กิโลเมตรถ้ าเป็ นเปลือกโลก
แบบภาคพืนสมุทร (เช่ นเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก) และประมาณ 40 กิโลเมตรถ้ าเป็ นเปลือกโลกแบบ
้
ภาคพืนทวีป (เช่ นเหนือทวีปเอเชีย) ใต้ เปลือกโลกลงไปเป็ นสสารทีไม่ ใช่ ของแข็ง และของเหลวเลย
้ ่
ทีเดียว แต่ คล้ ายๆกับยากมะตอยหรือยาสี ฟันแต่ อยู่ทอุณหภูมิสูงมากทีเ่ รี ยกว่าแมนเทิล (mantle)
ี่
ทีนีให้ เรานึกว่าเปลือกโลกของเราไม่ ได้ เป็ นแผ่ นเดียวกันตลอด แต่ แตกแยกออกเป็ นแผ่ นๆ
้
คล้ายๆ กับเกมจิกซอ ซึ่งเราเรียกว่าแผ่นเปลือกโลกหรือแผ่ นธรณีภาค หรือเพลท (plate) ซึ่งรวมเอา
เปลือกโลกและแมนเทิลชั้นบนเข้ าไว้ด้วยกัน เนื่องจากเปลือกโลกของเราไม่ ได้ เป็ นแผ่นเดียวกันและ
วางตัวอยู่บนสสารคล้ ายของเหลว มันจึงสามารถเคลือนตัวไปมาได้ แต่ ด้วยอันตราทีช้ามาก เช่ น
่ ่
ประมาณ 1-6 เซนติเมตรต่ อปี ดังนั้นเมื่อมันมีการเคลือนทีกจะทาให้ แต่ ละแผ่นสามารถเกิดการชน
่ ่็
กัน การเสี ยดสี กัน การแยกห่ างออกจากกันท่บริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกได้ ซึ่งถือว่าเป็ นบริเวณ
ทีเ่ กิดแผ่ นดินไหวและมีภูเขาไฟมากทีสุด และมีอยู่หลายบริเวณบนโลก เช่ นบริเวณรอบๆมหาสมุทร
่
แปซิฟิก ทีเ่ รียกกันว่า Ring of Fire ซึ่งรวมญีปุ่น อินโดนีเซีย และฟิ ลิปปิ นส์ เข้ าไว้ด้วย
่
ภายในโลกแบ่ งเป็ น 3 ส่ วน ได้ แก่
1. เปลือกโลก คือผิวชั้ นนอกทีประกอบด้ วยหินแข็งใต้ สมุทรมีความหนาราว 7 กม. ส่ วนใต้ พนทวีป
่ ื้
มีความหนา 34-40 กม.
2. เนือโลก มีความหนา 2,900 กม. และคิดเป็ นเนือในของโลกมากกว่าร้ อยละ 82 ประกอบด้ วยหิน
้ ้
เหลวทีเ่ รียกว่า แมกมา
3.แก่นโลก แบ่ งออกเป็ นสองชั้น คือชั้นนอกทีเ่ ติมไปด้ วยเหล็กร้ อน หลอมเหลว และแกนแข็งภายใน
เปลือกโลกและชั้ นบนสุ ดของโลกก่ อตัวเป็ นชั้ นทีเ่ ย็นและแข็งแน่ น เรียกว่า ส่ วนธรณีภาคชั้นนอก
หรือแผ่นเปลือกโลก ใต้ ธรณีภาคชั้นนอกเป็ นฐานธรณีภาค คือเนือโลกส่ วนบนๆทีอ่อนตัว หยุ่น และ
้ ่
ร้ อน
/
- 3. ภาพที่ 1 กาเนิดระบบสุ ริยะ
ปารากฏการณ์ ทางธรณีวิทยาโครงสร้ างภายในของโลก
โลกมีขนาดเส้ นผ่ านศู นย์ กลางยาว 12,756 กิโลเมตร (รัศมี 6,378 กิโลเมตร) มีมวลสาร 6 x
1024 กิโลกรัม และมีความหนาแน่ นเฉลีย 5.5 กิโลกรัมต่ อลูกบาศก์ เมตร (หนาแน่ นกว่านา 5.5 เท่า)
่ ้
นักธรณีวิทยาทาการศึกษาโครงสร้ างภายในของโลก โดยศึกษาการเดินทางของ “คลืนซิสมิค” ่
(Seismic waves) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
ภาพที่ 3 คลืนปฐมภูมิ (P wave) และคลืนทุติยภูมิ (S wave)
่ ่
- 4. คลืนปฐมภูมิ (P wave) เป็ นคลืนตามยาวทีเ่ กิดจากความไหวสะเทือนในตัวกลาง โดยอนุภาคของ
่ ่
ตัวกลางนั้นเกิดการเคลือนไหวแบบอัดขยายในแนวเดียวกับทีคลืนส่ งผ่านไป คลืนนีสามารถ
่ ่ ่ ่ ้
เคลือนทีผ่านตัวกลางทีเ่ ป็ นของแข็ง ของเหลว และก๊าซ เป็ นคลืนทีสถานีวดแรงสั่ นสะเทือนสามารถ
่ ่ ่ ่ ั
รับได้ ก่อนชนิดอืน โดยมีความเร็วประมาณ 6 – 8 กิโลเมตร/วินาที คลืนปฐมภูมิทาให้ เกิดการอัด
่ ่
หรือขยายตัวของชั้นหิน ดังภาพที่ 3
คลืนทุติยภูมิ (S wave) เป็ นคลืนตามขวางทีเ่ กิดจากความไหวสะเทือนในตัวกลางโดยอนุภาคของ
่ ่
ตัวกลางเคลือนไหวตั้งฉากกับทิศทางทีคลื่นผ่าน มีท้งแนวตั้งและแนวนอน คลืนชนิดนีผ่านได้
่ ่ ั ่ ้
เฉพาะตัวกลางทีเ่ ป็ นของแข็งเท่ านั้น ไม่ สามารถเดินทางผ่ านของเหลว คลืนทุตยภูมิมีความเร็ว
่ ิ
ประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร/วินาที คลืนทุติยภูมิทาให้ ช้ ั นหินเกิดการคดโค้ ง
่
ภาพที่ 4 การเดินทางของ P wave และ S wave ขณะเกิดแผ่นดินไหว
ขณะทีเ่ กิดแผ่นดินไหว (Earthquake) จะเกิดแรงสั่ นสะเทือนหรือคลื่นซิสมิคขยายแผ่จาก
ศูนย์ เกิดแผ่ นดินไหวออกไปโดยรอบทุกทิศทุกทาง เนื่องจากวัสดุภายในของโลกมีความหนาแน่ นไม่
เท่ากัน และมีสถานะต่ างกัน คลืนทั้งสองจึงมีความเร็วและทิศทางทีเ่ ปลียนแปลงไปดังภาพที่ 4 คลืน
่ ่ ่
ปฐมภูมิหรือ P wave สามารถเดินทางผ่ านศูนย์ กลางของโลกไปยังซีกโลกตรงข้ ามโดยมีเขตอับ
(Shadow zone) อยู่ระหว่ างมุม 100 – 140 องศา แต่ คลืนทุติยภูมิ หรือ S wave ไม่ สามารถเดิน
่
ทางผ่ านชั้ นของเหลวได้ จึงปรากฏแต่ บนซีกโลกเดียวกับจุดเกิดแผ่ นดินไหว โดยมีเขตอับอยู่ทมุมี่
120 องศาเป็ นต้ นไป
- 5. โครงสร้ างภายในของโลกแบ่ งตามองค์ ประกอบทางเคมี
นักธรณีวิทยา แบ่ งโครงสร้ างภายในของโลกออกเป็ น 3 ส่ วน โดยพิจารณาจากองค์ ประกอบทางเคมี
ดังนี้ (ภาพที่ 5)
เปลือกโลก (Crust) เป็ นผิวโลกชั้นนอก มีองค์ ประกอบส่ วนใหญ่เป็ นซิลกอนออกไซด์ และ
ิ
อะลูมิเนียมออกไซด์
แมนเทิล (Mantle) คือส่ วนซึ่งอยู่อยู่ใต้ เปลือกโลกลงไปจนถึงระดับความลึก 2,900 กิโลเมตร มี
องค์ ประกอบหลักเป็ นซิลคอนออกไซด์ แมกนีเซียมออกไซด์ และเหล็กออกไซด์
ิ
แก่นโลก (Core) คือส่ วนทีอยู่ใจกลางของโลก มีองค์ ประกอบหลักเป็ นเหล็ก และนิเกิล
่
ภาพที่ 5 องค์ ประกอบทางเคมีของโครงสร้ างภายในของโลก
- 6. ภาพที่ 6 โครงสร้ างภายในของโลก
โครงสร้ างภายในของโลกแบ่ งตามคุณสมบัติทางกายภาพ
นักธรณีวทยา แบ่ งโครงสร้ างภายในของโลกออกเป็ น 5 ส่ วน โดยพิจารณาจากคุณสมบัติทาง
ิ
กายภาพ ดังนี้ (ภาพที่ 6)
ลิโทสเฟี ยร์ (Lithosphere) คือ ส่ วนชั้ นนอกสุ ดของโลก ประกอบด้ วย เปลือกโลกและแมน
เทิลชั้ นบนสุ ด ดังนี้
o เปลือกทวีป (Continental crust) ส่ วนใหญ่เป็ นหินแกรนิตมีความหนาเฉลีย 35 ่
กิโลเมตร ความหนาแน่ น 2.7 กรัม/ลูกบาศก์ เซนติเมตร
o เปลือกสมุทร (Oceanic crust) เป็ นหินบะซอลต์ ความหนาเฉลีย 5 กิโลเมตร ความ
่
หนาแน่ น 3 กรัม/ลูกบาศก์ เซนติเมตร (มากกว่าเปลือกทวีป)
o แมนเทิลชั้ นบนสุ ด (Uppermost mantle) เป็ นวัตถุแข็งซึ่งรองรับเปลือกทวีปและ
เปลือกสมุทรอยู่ลกลงมาถึงระดับลึก 100 กิโลเมตร
ึ
แอสทีโนสเฟี ยร์ (Asthenosphere) เป็ นแมนเทิลชั้ นบนซึ่งอยู่ใต้ ลโทสเฟี ยร์ ลงมาจนถึงระดับ
ิ
700 กิโลเมตร เป็ นวัสดุเนืออ่ อนอุณหภูมิประมาณ 600 – 1,000ฐC เคลือนทีด้วยกลไกการพาความ
้ ่ ่
ร้ อน (Convection) มีความหนาแน่ นประมาณ 3.3 กรัม/เซนติเมตร
เมโซสเฟี ยร์ (Mesosphere) เป็ นแมนเทิลชั้ นล่ างซึ่งอยู่ลกลงไปจนถึงระดับ 2,900 กิโลเมตร
ึ
มีสถานะเป็ นของแข็งอุณหภูมิประมาณ 1,000 – 3,500ฐC มีความหนาแน่ นประมาณ 5.5 กรัม/
เซนติเมตร
แก่นชั้นนอก (Outer core) อยู่ลกลงไปถึงระดับ 5,150 กิโลเมตร เป็ นเหล็กหลอมละลายมี
ึ
- 7. อุณหภูมิสูง 1,000 – 3,500ฐC เคลือนตัวด้ วยกลไกการพาความร้ อนทาให้ เกิดสนามแม่ เหล็กโลก มี
่
ความหนาแน่ น 10 กรัม/ลูกบาศก์ เซนติเมตร
แก่นชั้นใน (Inner core) เป็ นเหล็กและนิเกิลในสถานะของแข็งซึ่งมีอุณหภูมิสูงถึง 5,000 ?C
ความหนาแน่ น 12 กรัมต่ อลูกบาศก์ เซนติเมตร จุดศูนย์ กลางของโลกอยู่ที่ระดับลึก 6,370 กิโลเมตร
สนามแม่ เหล็กโลก
แก่นโลกมีองค์ ประกอบหลักเป็ นเหล็ก แก่นโลกชั้นใน (Inner core) มีความกดดันสู งจึงมี
สถานะเป็ นของแข็ง ส่ วนแก่ นชั้นนอก (Outer core) มีความกดดันน้ อยกว่าจึงมีสถานะเป็ น
ของเหลวหนืด แก่ นชั้ นในมีอุณหภูมิสูงกว่ าแก่ นชั้ นนอก พลังงานความร้ อนจากแก่ นชั้ นใน จึงถ่ ายเท
ขึนสู่ แก่ นชั้ นนอกด้ วยการพาความร้ อน (Convection) เหล็กหลอมละลายเคลือนที่หมุนวนอย่ างช้ าๆ
้ ่
ทาให้ เกิดการเคลือนทีของกระแสไฟฟ้ า และเหนี่ยวนาให้ เกิดสนามแม่ เหล็กโลก (The Earth’s
่ ่
magnetic field)
ภาพที่ 7 แกนแม่ เหล็กโลก
อย่ างไรก็ตามแกนแม่ เหล็กโลกและแกนหมุนของโลกมิใช่ แกนเดียวกัน แกนแม่ เหล็กโลกมีข้ว ั
เหนืออยู่ทางด้ านใต้ และมีแกนใต้ อยู่ทางด้ านเหนือ แกนแม่ เหล็กโลกเอียงทามุมกับแกนเหนือ-ใต้ ทาง
ภูมิศาสตร์ (แกนหมุนของโลก) 12 องศา ดังภาพที่ 7
- 8. ภาพที่ 8 สนามแม่ เหล็กโลก
สนามแม่ เหล็กโลกก็มิใช่ เป็ นรู ปทรงกลม (ภาพที่ 8) อิทธิพลของลมสุ ริยะทาให้ ด้านทีอยู่ใกล้
่
ดวงอาทิตย์มีความกว้างน้ อยกว่าด้ านตรงข้ ามดวงอาทิตย์ สนามแม่ เหล็กโลกไม่ ใช่ สิ่งคงที่ แต่ มีการ
เปลียนแปลงความเข้ มและสลับขั้วเหนือ-ใต้ ทุกๆ หนึ่งหมื่นปี ในปัจจุบันสนามแม่ เหล็กโลกอยู่
่
ในช่ วงทีมีกาลังอ่อน สนามแม่ เหล็กโลกเป็ นสิ่ งทีจาเป็ นทีเ่ อืออานวยในการดารงชีวต หากปราศจาก
่ ่ ้ ิ
สนามแม่ เหล็กโลกแล้ ว อนุภาคพลังงานสู งจากดวงอาทิตย์ และอวกาศ จะพุ่งชนพืนผิวโลก ทาให้
้
สิ่ งมีชีวตไม่ สามารถดารงอยู่ได้ (ดูรายละเอียดเพิมเติมในบทที่ 3 พลังงานจากดวงอาทิตย์ )
ิ ่
- 9. แผ่นดินไหว
การเกิดแผ่ นดินไหว
แผ่นดินไหว คือ ปรากฏ การณ์ทแผ่นเปลือกโลกเกิดการสั่ นสะเทือน เนื่องมาจากการเลื่อนตัวของ
ี่
แผ่ นเปลือกโลก ซึ่งมีสาเหตุดังต่ อไปนี้
1.ชนกัน (convergent plates)
2.แยกหรือปริออกจากกัน (divergent plates)
3.เคลือนทีในลักษณะเสี ยดสี กน (transform plates)
่ ่ ั
4. การขยายตัวและหดตัวของเปลือกโลกไม่ เท่ากัน ก่ อให้ เกิดแรงดันซึ่งส่ งผลกระทบต่ อรอยแยกใน
ชั้นหิน และรอยต่ อระหว่างแผ่นเปลือกโลกทาให้ แผ่ นเปลือกโลกสั่ นสะเทือน ซึ่งบางครั้งอาจ
เคลือนทีชนกัน บางครั้งอาจทรุ ดตัวหรือยุบตัวลง แรงกระทบกระแทกนีส่งอิทธิพลไปยังบริเวณ
่ ่ ้
รอบๆ ซึ่งคือแผ่นดินไหว
5. การเคลือนทีของหินหนืดหรือแมกมา ก่อนและหลังการระเบิดของภูเขาไฟ แมกมาจะเคลือนที่
่ ่ ่
อย่ างรุ นแรงจึงเกิดแผ่ นดินไหว เมื่อเกิดแผ่ นดินไหวจะเกิดคลืนแผ่ นดินไหวออกไปรอบบริเวณจุด
่
กาเนิดแผ่นดินไหว คลืนนีจะเคลือนทีผ่านหินพืนดินได้ ดี การวัดความสั่ นสะเทือนของแผ่นดินไหว
่ ้ ่ ่ ้
ใช้ เครื่องมือที่เรียกว่า ไซส์ โมกราฟ (seismographs) การวัดความสั่ นสะเทือนมีมาตราวัดอยู่ 2
มาตรา คือ ริคเตอร์ และ เมอแคลลี่
ผลกระทบของการเกิดแผ่ นดินไหวอย่ างรุ นแรง คือ เปลือกโลกโค้ งงอ แผ่ นดินถล่ ม เกิดคลืนขนาด
่
ใหญ่ ในทะเล เขื่อน ถนน รางรถไฟ ท่ อประปา สายไฟฟา โทรศัพท์ สายเคเบิลถูกทาลายหมด รู ปปั้ น
้
ตึกสู งๆ อาคารบ้ านเรือนพังเสี ยหาย คน สั ตว์ ตายเป็ นจานวนมาก
แผ่ นดินไหวอาจเกิดระดับทีไม่ รุนแรงหรือรุ นแรง และพบว่ าบริเวณรอยต่ อระหว่ างแผ่ นเปลือกโลก
่
มีโอกาสได้ รับผลกระทบจากการเกิดแผ่ นดินไหวมากกว่าบริเวณอื่นๆ
- 10. การเกิดภูเขาไฟ
การเกิดภูเขาไฟ
เกิดจากหินหนืดทีอยู่ใต้ เปลือกโลกถูกแรงดันอัดให้ แทรกรอยแตกขึนสู่ ผวโลก โดยมีแรงปะทุหรือ
่ ้ ิ
แรงระเบิดเกิดขึน ้
สิ่ งทีพ่ ุงออกมาจากภูเขาไฟเมื่อภูเขาไฟระเบิดก็คือ หินหนืด ไอนา ฝุ่ นละออง เศษหินและแก๊ สต่ างๆ
่ ้
โดยจะพุ่งออกมาจากปล่ องภูเขาไฟ (หินหนืดถ้ าถูกพุ่งออกมาจากบนพืนผิวโลกเรียกว่า ลาวา แต่ ถ้า
้
ยังอยู่ใต้ ผวโลกเรี ยกว่ า แมกมา)
ิ
บริเวณทีมีโอกาสเกิดภูเขาไฟ แนวรอยต่ อระหว่ างเพลตจะเป็ นบริเวณทีมีโอกาสเกิดภูเขาไฟได้ มาก
่ ่
ทีสุด โดยเฉพาะบริเวณทีมีการมุดตัวของแผ่ นเปลือกโลก ใต้ พนมหาสมุทรลงไปสู่ บริ เวณใต้ เปลือก
่ ่ ื้
โลกทีเ่ ป็ นส่ วนของทวีป เพราะเปลือกโลกแผ่ นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปจะถูกหลอมกลายเป็ นหิน
หนืด จึงแทรกตัวขึนมาบริเวณผิวโลกได้ ง่ายกว่ าบริเวณอื่น บริเวณทีอยู่ห่างจากรอยต่ อระหว่ าง
้ ่
เปลือกโลก ก็อาจเกิดภูเขาไฟได้ เช่ นกัน ซึ่งเกิดขึนโดยกระบวนการที่หินหนืดถูกดันขึนมาตามรอย
้ ้
แยกในชั้นหิน
ประเภทของภูเขาไฟ
1. ภูเขาไฟแบบกรวยสู ง (Steep cone)
• เกิดจากลาวาทีมีความเป็ นกรด หรือ Acid lava cone
่
• รู ปกรวยควาของภูเขาไฟเกิดจากการทับถมของลาวาทีเ่ ป็ นกรด เพราะประกอบด้ วยธาตุ
่
ซิลกอนมากกว่ าธาตุอนๆ
ิ ่ื
• ลาวามีความข้ นและเหนียว จึงไหลและเคลื่อนตัวไปอย่างช้ าๆ แต่ จะแข็งตัวเร็ว ทาให้ ไหล่เขาชัน
มาก
• ภูเขาไฟแบบนีจะเกิดการระเบิดอย่ างรุ นแรง
้
2. ภูเขาไฟแบบโล่ (Shield Volcano)
• เกิดจากลาวาทีมีความเป็ นเบส (Basic lava volcano) เพราะประกอบด้ วยแร่ เหล็กและ
่
แมกนีเซียม
• ลาวามีลกษณะเหลว ไหลได้ เร็วและแข็งตัวช้ า
ั
• การระเบิดไม่ รุนแรง จะมีเถ้ าถ่ านและเศษหินก้ อนเล็ก และควันพ่ นออกมาบริเวณปากปล่ อง
- 11. 3. ภูเขาไฟแบบกรวยกรวด (Ash and cinder cone)
มีลกษณะเป็ นกรวยสู งขึน ฐานแคบ เป็ นภูเขาไฟทีมีการระเบิดรุ นแรงทีสุด
ั ้ ่ ่
4. แบบสลับชั้น (Composite cone)
- เป็ นภูเขาทีมีรูปร่ างสมมาตร (Symmetry)
่
- กรวยของภูเขาไฟมีหลายชั้ น บางชั้ นประกอบด้ วยลาวา และเถ้ าถ่ านสลับกันไป
- ถ้ ามีการระเบิดรุ นแรงจะมีลาวาไหลออกมาจากด้ สนข้ างของไหล่ เขา
- เป็ นภูเขาไฟทีมีปล่ องขนาดใหญ่ และมีแอ่ งปากปล่ อง (Crater) ขนาดใหญ่ด้วย
่
สาเหตุการระเบิดของภูเขาไฟ
การระเบิดของภูเขาไฟเกิดจากมีรอยแตกหรือโพรงใต้ ช้ ั นหิน (ภาพ ก) ซึ่งมักจะพบตาม
รอยต่ อของแผ่ นเปลือกโลกมาบรรจบกันซึ่งเป็ นจุดทีเ่ ปราะบาง หินหลอมละลายภายในโลกทีมี ่
แรงดันมหาศาล จะสามารถดันออกมาตามช่ องหรื อรอยแตกจนกระทังปะทุออกมานอกผิวโลกและ
่
เกิดการระเบิดของภูเขาไฟขึน ซึ่งอาจจะรุ นแรงหรือไม่ รุนแรงขึนอยู่กบแรงอัดและความร้ อนของ
้ ้ ั
หินหลอมละลายถ้ ามีแรงอัดและอุณหภูมิสูงจะทาให้ เกิดการระเบิดอย่ างรุ นแรง นอกจากนียงขึนอยู่
้ั ้
กับปล่ องภูเขาไฟว่ ามีขนาดแคบหรือกว้ าง เมื่อหินหลอมละลายออกมาสู่ พนผิวโลกแล้ วนั้น เรี ยกว่ า
ื้
ลาวาขณะทีลาวาเคลือนทีออกจากปล่ องภูเขาไฟจะมีอุณหภูมิสูงมาก และจะค่ อยๆ มีอุณหภูมิลดลง
่ ่ ่
จากนั้นจะแข็งตัวและทับถมกันเป็ นชั้ นๆ จนเป็ นเนินเขาหรือภูเขารู ปกรวย ซึ่งเรี ยกว่ า กรวยภูเขา
ไฟ (Cone) ภูเขาไฟทีเ่ กิดมานานอาจจะมีช่องปะทุเกิดขึนใหม่ บริเวณด้ านข้ างของภูเขาไฟก็นได้
้
(ภาพ ข) ทียอดบนสุ ดของภูเขาไฟจะมีแอ่ งลึกปรากฏอยู่ เรียกว่ า ปากปล่ องภูเขาไฟ (Crater)
่
(ภาพ ค) ซึ่งจะกลายเป็ นแอ่ งลึกทีเ่ กิดจากการระเบิดของภูเขาไฟหลายๆ ครั้ ง ทาให้ บริเวณด้ านข้ างภู
เดขาไฟยุบตัวลง เมื่อมีฝนตกลงมานาฝนจะไหลไปขังในแอ่งนั้นจนเต็ม เรียกว่า ทะเลสาบบนปาก
้
ปล่ องภูเขาไฟ (Crater Lake) เช่ น ทะเลสาบบนปากปล่ องภูเขาไฟแทมโบลา (Tambola) ใน
ประเทศอินโดนีเซีย มีความกว้าง 6 กิโลเมตร ลึกประมาณ 1,100 เมตร เป็ นต้ น
- 12. นอกจากนีภูเขาไฟบางแห่ งที่ได้ สงบแล้ ว พบว่ าลาวาทีไหลออกมาจะเกิดการแข้ งตัวบริเวณ
้ ่
ปากปล่ องภูเขาไฟ แล้ วค่ อยๆ สะสมกันจนปิ ดปากปล่ องภูเขาไฟไว้ ซึ่งมีสาเหตุมาจากกระบวนการ
กัดเซาะพังทลาย ทั้งนี้ทาให้ ช้ ั นลาวาตอนบนทีประกอบกันเป็ นไหล่ ภูเขาไฟ พังทลายไปเหลือแต่
่
ส่ วนของลาวาที่แข็งตัว จึงดูเหมือนมีจุกปิ ดปล่ องภูเขาไฟไว้ นั่นเอง เช่ น ภูเขาไฟเดวิลทาวเวอร์ ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกา
ภูเขาไฟระเบิด
ภูเขาไฟระเบิด เป็ นปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติทเี่ กิดจากการเปลียนแปลงของเปลือกโลก
่
เนื่องจากหินหลอมละลายใต้ เปลือกโลกทีถูกอัดตัวอยู่ใต้ แผ่ นเปลือกโลกจะปะทุขึนและแทรกขึนมา
่ ้ ้
ตามรอยแยกหรือช่ องของเปลือกโลก หินหลอมละลายทีออกมา เรียกชื่อใหม่ ว่า ลาวา (Lava) ซึ่งจะ
่
ประกอบด้ วย ฝุ่ นละออง ไอนา เศษหิน และแก๊ สต่ างๆ เช่ น คาร์ บอนไดออกไซด์ (CO2) ไนโตรเจนได
้
ออกไซด์ (NO2) และซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (SO2) โดยจะกระจายอยู่ทวไปในอากาศ และตกตามพืน
ั่ ้
โลก
ประโยชน์ ของการเกิดภูเขาไฟ
1.แผ่ นดินขยายกว้ างขึนหรือสู งขึน
้ ้
2.เกิดเกาะใหม่ ภายหลังทีเ่ กิดการปะทุใต้ ทะเล
3.ดินทีเ่ กิดจากภูเขาไฟระเบิดจะอุดมสมบูรณ์ ด้วยแร่ ธาตุต่างๆ
4.เป็ นแหล่ งเกิดนาพุร้อน
้
- 13. โทษของการเกิดภูเขาไฟ
1.เมื่อภูเขาไฟระเบิดจะมีเขม่ าควันและก๊าซบางชนิดซึ่งอาจเป็ นอันตรายต่ อสิ่ งมีชีวิตได้
2.การปะทุของภูเขาไฟอาจทาให้ เกิดแผ่ นดินไหวขึนได้้
3.ชี วตและทรัพย์ สินทีอยู่ใกล้ เคียงเป็ นอันตราย
ิ ่
4.สภาพภูมิอากาศเกิดการเปลียนอย่ างเห็นได้ ชัด
่
ภูเขาไฟในประเทศไทย
- ภูเขาไฟดอยผาคอกจาป่ าแดด และปล่ องภูเขาไฟดอยผาคอกหินฟู จังหวัดลาปาง
- ภูพระอังคาร ตาบลเจริญสุ ข อาเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัด