Weitere ähnliche Inhalte
Mehr von etcenterrbru (20)
02life
- 10. ธมมชาเตน ชีวตีติ = ชีวิต
แปลวา สิ่งใดยอม (เปน, อยู, คือ)
ตามธรรมชาติสิ่งนั้นเรียกวาชีวิต
- 13. ทฤษฎี 99
1 มาจากอะไร
มาจาก 0
0 คืออะไร
0 คือ ไมมี และไมมีคือวาง และวางก็คือ 0
- 14. สมศักดิ์ = (พอ , แม) - ปูยา - ทวด - โครต -โครต ๆ
โครตของโครต ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
1,000,000 (หนึ่งลาน) ก็มาจากหนึ่ง
1 ก็มาจาก 0
- 17. อับเบ จอรจ ลือมาเทรจ
(Abbe George Lemaitre 1894-1966)
นักวิทยาศาสตรชาวเบลเยี่ยม
เสนอทฤษฎี (Big Bang Theory)
(การระเบิดครั้งใหญย่ิงหรือทฤษฎีฟองไข)
เซลลเดียวหลายเซลล (complex cells)
- 18. ชาลล ดารวิน
Charles Darwin
นักวิทยาศาสตรชาวอังกฤษ
กําเนิดจากเซลลเดียวและ
หลายเซลล (complex cells)
- 19. ธาเลส Thales = มาจาก น้ํา
อาแนกซิมิเนส Anaximenes =มาจาก อากาศ
เซโนพาเนส Zenophanes = มาจากดิน
เดโมคริตุส Democritus = มาจากรวมตัวของธาตุ 4
- 23. พระตรีเอกนุภาพ
ผูสรางพระยะโฮวา
พระบิดา
ผู ไถ บ าป (พระเย ซู )
ผูเสด็จเพื่อนําทาง
พระบุตร พระจิต
ชวยเหลือมนุษยสู หรือพระ
พระเจา วิณญาณ
อันบริสุทธิ์
รวมกันเปนพระเจาองคเดียว
- 29. โครงสรางจิตมี 3 ระดับ
1. จิตฝายต่ํา ID ควบคุมไมได
2. จิตระดับกลาง Ego ควบคุมได
3. จิตที่สงสุด Supergo จิตทีพฒนาแลว
ู ่ ั
- 32. สวรรค 7 ชั้น
1. ชั้นจาตุมหาราชิกา
2. ชั้นดาวดึงส
3. ชั้นยามา
4. ชั้นดุสิต
5. ชั้นนิมมานรดี
6. ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
- 34. 1
วิชาจริยศึกษาเพือการพัฒนาตน
่
เรียบเรียงโดย อ.ปราโมทย สุวรรณา (M.A Philosophy)
----------------------------------------------------------------------------------------------
ชีวตในคําสอนของพระพุทธศาสนาและศาสนาตางๆ
ิ
๑. ลักษณะของชีวิต
“ชีวิต” ราชบัณฑิตยสถาน(๒๕๔๖: ๓๖๖) ไดใหความหมายไววา “หมายถึง ความ
เปนอยู” ตรงกันขามกับคําวา “อชีวิต” หรือ “อชีวะ คือ ความไมมีชีวิตหรือความตายเพราะกาย
สิ้นไออุนและวิญญาณ รากศัพทเดิมมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตมาจากคําวา “ชีว ธาตุ” ซึ่ง
ประกอบดวย “ ต ” ในกิรยากิตก ลง อิ อาคม สําเร็จรูปเปน “ชีวิต”
ิ
ในคัมภีรบาลี อภิธานนัปปทีปกาสูจิ ไดใหนิยาม ชีวิต ไววา ชีว : ชีวนฺติ สตฺตา เนนาติ
ชี โ ว. ที่ ช่ื อ ว า ชี ว ะ เพราะอรรถวิ เ คราะห ที่ ม าสั ต ว ทั้ ง หลาย ย อ มเป น อยู ด ว ยเหตุ ป จ จั ย นั้ น
(นาคะประทีป, ๒๔๖๔: ๔๕๐)
ชีวิต : ชีว ปราณธารณ, โต. ชีวนฺติ อเนนาติ ชีวิตํ. ชีวธาตุเปนไปในอรรถวา ทรงไวซึ่ง
ลมปราณ ลง ต ปจจัย จึงมีรูปเปน ชีวิต โดยมีอรรถวิเคราะหวา สัตวทั้งหลาย ยอมเปนอยูดวยการ
ทรงไวซึ่งลมปราณนั้น
ชีว (ชีวะ) น. ความอยู, ความเปนอยู , ใจ. ดวงวิญญาณ แตมักเรียกวา ชีโว
คําวาชีวิต มีผูใหความหมายเอาไว ดังนี้
๑. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ชีวิต คือ ความเปนอยู
๒. กลุมนักชีววิทยา ชีวิต คือ กบวนการ แหงการปรับตัวเอง
๓. กลุมจิตนิยม ชีวิต คือ การปรากฏระดับหนึ่งของวิญญาณที่สมบูรณ
๔. กลุมสสารนิยม ชีวิต คือ วิวัฒนาการของสสาร
๕. หลวงวิจิตรวาทการ ชีวิต คือ การตอสู
๖. เซ็คเปยร ชีวิต คือ ละครโรงใหญ
๗. อริสโตเติล ไดแบงทัศนะของชีวิต ไว ๓ ระดับ คือ
๗.๑ ชีวิตระดับพืช ชีวิตระดับนี้จะมีเฉพาะความตองการทางชีววิทยา เชน การ
หายใจ การกินอาหาร การขับถายและการสืบพันธ
๗.๒ ชีวิตระดับสัตว ชีวิตระดับนี้มีความตองการทางชีววิทยาและมีความรูสึกทาง
ประสาทสัมผัส เชน การเห็น การฟง เปนตน
- 35. 2
๗.๓ ชีวิตระดับมนุษย ชีวิตระดับนี้มีความตองการทางชีววิทยา มีความรูสึกทาง
ประสาทสัมผั สและมีแนวความคิดทางดานการคนควาหาเหตุผล อันกอใหเ กิดวุฒิปญญา และ
คุณธรรมตาง ๆ
มนุษยเปนสัตวโลกที่แตกตางจากสัตวอื่นตรงที่มีสมองขนาดใหญ ซึ่งเปนที่เกิดของปญญา
นํามารวมสรางลักญณะเหนือธรรมชาติ ( super organic ) ในวิถีชีวิต ซึ่งพัฒนาชีวิตทางสังคมของ
มนุษยใหเจริญงอกงามมากขึ้นทุกที คริสตศตวรรษที่ 20 นี้ มนุษยสามารถดํารงชีวิตอยูบนโลกดวย
วิถีที่เหนือธรรมชาติอยางนาอัศจรรยสามารถคิดคนวิทยาการ นําเอาสิ่งแวดลอมทั้งปวงมาสราง
ปรับปรุง และดัดแปลง สรางประดิษฐกรรมใหม เพิ่มขึ้นตตลอดเวลา ชีวิตของมนุษยปจจุบัน จึง
แตกตางจากบรรพกาลอยางยิ่งเพราะเปนชีวิตที่สามารถจัดการและสรางเสริมความสุขสําราญใหแก
ชีวิตตามที่ปารถนาไดดี ในสองสามศตวรรตนี้จึงไดเห็นปรากฏการณทางสังคมที่มนุษยภูมิภาค
ตางๆ ทั่วโลกรวมกันเปนกลุมหรือองคกรรวมมือรวมใจกันเพื่อพัฒนาวิถีเศรษญกิจการเมือง สังคม
และวัฒนธรรมใหกาวหนา โดยเฉพาะในปลายคริสตศตวรรษที่ 20 กระบวนการรวมโลกเปนหนึ่ง
เดียวอยางที่เรียกวาโลกาภิวัตน ( Globalization ) เพื่อเพรกระจายความคิดวิทยาการ เทคโนโลยีและ
ประดิษฐกรรม อยางกวางขวางแกชาวโลกทุกพื้นที่ ในศตวรรษใหมนอกจากมนุษยจะเปนกลุมชีวิต
ที่สุขสบายบนโลกนี้ มนุษยปรารถนาแสวงหาพื้นที่และกลุมพันธมิตรใหมในดวงดาวอื่นตอไป
๑.๑ การเกื้อกูลจิตวิญญาณของกลุมพวกและมนุษยดวยกัน
ความปรารถนาทางสังคมหรือจิตใจนั้นมีอยูในมนุษยทั่วไป มนุษยตองการทําตนใหเกิด
ประโยชน มีคุณคา และเปนที่ชื่นชมในหมูของตน ในการดําเนินชีวิตทางสังคม มนุษยตองการ
กําลังใจ เกียรติยศ และความสําเร็จตามเปาหมายแหงชีวิต ซึ่งจะแสวงหาไดจากจิตที่มีคุณธรรมและ
สุนทรียภาพรวมกัน มนุษยใชปญญารวมกันสรางสมนําชีวิตของปจเจกบุคคลและเผาพันธุใหดําเนิน
และดํารงตอมาหลายชั่วรุน มนุษยสรางขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎระเบียบตางๆเพื่อจัดระบบ
และควบคุมมนุษยใหสามารถติดตอแลกเปลี่ยนและเกื้อกูลชีวิตทางสังคมแกกัน จนเกิดความมั่นคง
และความมีภราดรภาพภายในกลกลุม แมยามทุกขยากและเกิดปญหามนุษยพยายามรวมมือกันฝา
ฟนอุปสรรคและแกปญหาจนลุลวงไป ดังนี้ มนุษยจึงตางเปนขวัญและกําลังใจตอกัน แสดงการ
ยอมรับความชื่นชมยินดี และสรรเสริญคุณงามความดีของกัน จนเกิดความอบอุน ความประทับใจ
ซึ่งสงเสริมจิตวิญญาณมนุษย ใหสูงยิ่งขึ้นไปมนุษยจึงสามารถรักษาเผาพันธุใหดําเนินชีวิตรวมกับ
มนุษยดวยกันและธรรมชาติแวดลอมดวยดีตลอดมา
๑.๒ ความเปนสัตวประเสริฐเหนือสรรพชีวิตอื่นบนโลก
วิวัฒนาการของมนุษย รวมกับชีวิตอื่นบนโลกนานหลายหมื่นปไดประจักษชัดวา มนุษย
นั้นมีววฒนาการแตกตางและพิเศษเหนือสัตวอื่นในโลก จนสามารถเรียกตนวาสัตวประเสริฐ
ิั
( wisdom animal ) หลายชั่วอายุขัยมนุษยที่มนุษยยังดํารงชีพอยูไดท้งมีการดําเนินชีวิตที่รุงเรืองอยาง
ั
ไมมีส้นสุด มนุษยมพลังสรางสรรคที่จะจัดการกับชีวิตมนุษยและธรรมชาติอื่นๆ ดวยวิถีแหงปญญา
ิ ี
- 36. 3
วิทยาการ และเทคนิคใหม ที่เติบโตเร็วมาก ในสองสามศตวรรษนี้ ไดสรางชีวิตใหมที่ดีที่สุดใหแก
มนุษย วิทยาการจักรกล อาทิ คอมพิวเตอร หุนยนต ตลอดจรชนการควบคุมเครื่องกลไรสายอื่น ทํา
ใหมนุษยมีอิทธิพลมากขึ้นบนโลกและกาวไปมีอํานาจเหนือดาวอื่น
อย า งไรก็ ต าม ธรรมชาติ บ างประการในตั ว มนุ ษ ย ไ ด ทํ า ลายมนุ ษ ย ด ว ยกั น และทํ า ลาย
ธรรมชาติอื่นดวยความปรารถนาที่เกินกําลังจนเกิดกําลังจนเกิดเปนความโลภโกรธและหลงซึ่งเปน
เหตุผลผลักดันใหมนุษยสวนหนึ่งตองเกิดความทุกขยากทางกาย หรือทางจิตใจชวงเวลาหนึ่งหรือ
ตลอดชีวิตเพราะการแขงขัน แยงชิง กอบโกยผลประโยชน ใหแกตนเองหรือกลุมพวกตน จนละเลย
ตอมนุษยธรรมอยางสัตยประเสริฐไปได ดังนี้ปรากฏการณการทําลายลางมนุษยทั้งในระดับจุลภาค
และภาคจึงพบในสังคมเสมอ เชน ปญหาสังคมปรากฏเสมอในทั่วไป โดยเฉพาะสงครามระหวาง
ประเทศหรือสงครามโลกที่เกิดขึ้น ทั้งในประวัติศาสตรและปจจุบัน
๓. พลังสรางสรรคและทําลายสภาพแวดลอมบนโลก
พลั ง มนุ ษ ย ช าติ ทั้ ง ในเชิ ง ปริ ม าณและเชิ ง คุ ณ ภาพตั้ ง แต บ รรรพกาลมี อิ ท ธิ พ ลต อ การ
เปลี่ ย นแปลงสภาวะแวดล อ มของโลก จํ า นวนพลโลกเพิ่ ม ขึ้ น เสมอมาโดยเฉพาะในปลาย
คริสตศตวรรษที่ 19 และ 20 นี้ประชากรโลกเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว จนกลาววาเปนการระเบิดทาง
ประชากร( population explosion ) สถาบันขอมูลประชากรสหรัฐอเมริกา (1999) แสดงสถิติ
ประชากร เมื่อเริ่มคริสตกาลประชากรโลกมีประมาณ 225 ลานคน ค.ศ.2025 คาดวาประชากรโลกมี
กวา 7,800 ลานคนแรงกดดันดังนี้ มนุษยชาติตางเรงคิดคนประดิษฐกรรม เพื่อดูแลมนุษยจํานวน
มหาศาลใหมีวิถีชีวิตที่อยูรวดจนถึงมีชีวิตที่ดีที่สุด จนทําใหมนุษยเปนผูพัฒนาและผูทําลายสรรพ
สิ่งแวดลอมบนโลกทั้งเจตนาและไมเจตนา ปญหายิ่งใหญที่มนุษยเผชิญหนาอยู คือ การเสื่อมเสีย
ของสภาวะแวดลอมธรรมชาติการเผชิญหนากันของมนุษยตางกลุมตางรัฐเพื่อตอสูชวงชิงทรัพยากร
ทั้งในกลุมผูพัฒนาและผูดอยพัฒนากลุมนายทุนกับกลุมผูไรทุน และสงครามระหวางประเทศทั้ง
สงครามเย็นและสงครามรอน
วิวฒนาการของมนุษย
ั
มีผูอธิบายถึงวิวัฒนาการของมนุษยหลายทานดวยกัน แนวคิดที่สนใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ของมนุษยมีดังนี้
วราคม ทีสุกะ กลาวถึงวิวัฒนาการของมนุษย จากการศึกษาคนคาวของนักวิทยาศาสตรได
สืบคนประวัติความเปนมาของมนุษยไดตามลําดับดังนี้
1. มนุษยมีบรรพบุรุษที่วิวัฒนาการจากสัตวเลี้ยงลูกดวยนมชนิดหนึ่งในอันดับไพรเมตส
(Primates ) คือ ลิงเอปส ( Apes ) ลิงชนิดนี้มีชีวิตอยูเมื่อประมาณ 25 ลานปมาแลว ไดมีการคนพบ
ซากลิงเอปสบนเกาะเล็กๆ บริเวณทะเลสาบวิคเตอเรีย ในประเทศคีนยา ทวีปแอฟริกา เมื่อปค.ศ.
1930
- 37. 4
2. แรมพิทคุส ( Rampathecus ) เปนไพรเมตสอีกชนิดหนึ่งที่คนพบในประเทศอินเดียเมื่อป
ิ
ค.ศ.1939 ตอมาคนพบอีกในทวีปแอฟริกาและยุโรป ไพรเมตสชนิดนี้มีขากรรไกรและฟนใกลเคียง
กับมนุษยมาก เชื่อกันวามีอายุอยูเมื่อประมาณ 14 ลานปที่แลว
3. ออสตราโลพิทิคุส ( Australopithecus ) คนพบที่แทนซาเนีย ทวีปแอฟริกาใต ตอมามีการ
คนพบอีกหลายแหง จากรูปรางของกระดูกสะโพก สันนิษฐานวายืดตัวตรงคลายมนุษย และเชื่อกัน
วามีการใชเครื่องมือในยุคนี้ คือ เครื่องมือที่เปนหิน สันนิษฐานวามนุษยออสตรา โลพิทิคุส มีความจุ
ของสมองประมาณ 860 ซีซี และมีชีวิตอยูประมาณ 2 ลานปถง 5 แสนปที่แลว
ึ
4. โฮโมอีเรคตุส ( Homoerectus ) Homo ในภาษาละติน แปลวา คน Erectus แปลวายืนตัว
ตรง จึงหมายถึงวา คนที่ยืนตัวตรง ซากมนุษยเผาพันธุนี้คนพบซากที่ชวา เรียกวา มนุษยชวา ที่
คนพบในประเทศจีน เรียกวา มนุษยปกกิ่ง สันนิษฐานวามีชีวิตอยูประมาณ 7 – 4 แสนลานปมาแลว
เชื่อกันวา โฮโมรอีเรคตุสเปนมนุษยที่อยูในระหวางออสตราโลพิทิคุสกับมนุษยปจจุบันสามารถยืน
ตัวตรงกวามนษยออสตราโลพิทิคุสมีความจุของสมองประมาณ 1,075 ซีซี ( นอยกวามนุษยใน
ปจจุบัน ) เครื่องมือที่ใชเปนหินแตฝมือขอนขางหยาบแตก็ดีกวามนุษยออสตราโลพิคุศอีกอยางหนึ่ง
ที่สําคัญเพิ่มขึ้นมา คือ รูจักใชไฟแลว
5. มนุษยนีแอนเดอรทัล ( Neanderthal Man ) ตั้งชื่อตามสถานที่คนพบแหงแรก คือ
สถานที่ที่พบตรั้งแรกในหุบเขาแหงหนึ่งในประเทศเยอรมนี ตอมามีคนพบตามถ้ําหลายแหงใน
ยุโรป จากหลักฐานตางๆ ที่พบทําใหเชื่อวา มนุษยนีแอนเดอรทัล รูปรางใหญ เปนนักลาสัตว และ
รูจักใชไฟเปนอยางดี นอกจากนี้เชื่อวามนุษยพวกนี้มีมันสมองใหญเทากับมนุษยปจจุบัน และรูจัก
ทําพิธีฝงศพ เพราะมักจะมีเครื่องมือตางๆ ฝงรวมกับศพที่คนพบ มีชีวิตอยูเมื่อประมาณ 1.5 แสน
ลานปแลว
6. โฮโม เซเปยนส ( Homo Sapjens ) มีความจุมันสมอง 1,300 ซีซี นักมนุษยวิทยาเชื่อวา
แอนเดอรเดอรทัล ไดวิวัฒนาการมาเปนมนุษยปจจุบันที่เรียกวา โฮโม เซเปยนส (แปลวา มนุษยผู
ฉลาด )โฮโฒม เซเปยนส ยุคแรกที่สุด คือ มนุษยโครมาญอง ( Cro-Magnon Man ) คนพบที่ประเทศ
ฝรั่งเศส มีอายุอยูระหวาง 4-3.5 หมื่นป ซากมนุษยโฮโม เซเปยนส คนพบในที่หลายแหงทั้งในเอเชีย
แอฟริกา ยุโรป และออสเตรเลีย สันนิษฐานวาเปนนักลาสัตวเพราะพบอาวุธหลายอยาง เชน มีด ธนู
บางพวกเปนศิลปนเขียนภาพตามผนังถ้ํา เชน ในประเทศฝรั่งเศสและสเปน นักมนุษวิทยาเชื่อวา
มนุษยโครมาญองนี้เปนพวกแรกที่ออกจากถ้ํา อันเปนการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญของมนุษยชาติ
ยุทธ ศักดิ์เดชยนต ไดกลาวถึงขั้นตอนของวิวัฒนาการของมนุษยไวดังนี้
๑. เอปส ( Apes ) ที่มีลักษณะเหมือนคน ไดแก Australopiticus และ Zinijanthropus
๒. คนที่มีลักษณะเหมือนเอปส ( Ape likke Man ) ไดแก Pithecanthropus และ
Sinanthropus
๓. มนุษยโบราณ ( Primitive Species of Man ) ไดแก Neanderthal Man
- 38. 5
๔. มนุษยโบราณ Cro – Magnon
มนุษยยุคปจจุบัน ( Modern men )
มนุษยปจจุบันที่ชื่อวา Homo sapiens sapiens ไดกระจายอยูบนโลกที่มีลักษณะทาง
ภูมิศาสตรที่แตกตางกัน จึงทําใหเกิดเผาพันธุแตกตางกัน คอรครัมและแมคคอลเลย ( Corkrum and
Mc Cauley 1965 อางถึงใน บพิธ จารุพันธ และนันทพร จารุพันธุ 2538 : 573 – 576 ) อธิบาย
เผาพันธุมนุษยปจจุบันดังนี้
๑. ออสเตรลอยด ( Australoids ) โดยทั่วไปมีลักษณศรีษะยาว จมูกแบน หนาผากต่ํา ผม
เป น ลอน ขนตามตั ว มาก ผิ ว ดํ า เช น คนเมื อ งในทวี ป ออสเตรเลี ย เกาะทั ส มาเนี ย และชนเผ า
ตอนกลางทวีปเอเชียใต ( พวกบิลและเวดดา : Bhils and Vaddahs ประเทศศรีลังกา ) และทวีปแอฟ
ริกา ( คนปาในทะเลทรายคาลาฮาร ของทวีปแอฟริกาใต )
๒. คอเคซอย ( Caucasoids ) ดํารงชีวิตอยูในขอบเขตอบอุน ลักษณะของศรีษะมีรูปราง
ตางๆกัน แตที่เหมือนกันก็คือ มีจมูกโดง และผมเปนลอน ผิวสีน้ําตาล หรือสีออน เปนกลุมเมดิเตอร
เรเนียน ( Mediteraneans ) ในทวีปยุโรปตอนใตบริเวณชายฝงทะเลเมดิเตอรเรเดียนทางตะวันออก
ของเอเชียใตจนถึงอินเดีย ศรีษะยาวผิวน้ําตาล ผมสีน้ําตาลหรือดํา กลุมนอรคิด (Nordics ) ในยุโรป
เหนือ ศรีษะยาว ผิวสีบรอนซ ผิวขาว และกลุมอัลไพน ( Alpines ) อาศัยอยูบริเวณฝรั่งเศสตอนกลาง
ไปจนถึงรัสเซีย และปอรเซีย
๓. มองโกลอยด ( Mongolids ) ดํารงชีวิตในเขตอากาศหนาว ศรีษะกวางกระดูกแก็มเปน
โหนก จมูกไมโดงมาก ผมแข็งเหยียดตรง ผิวเหลืองหรือแดง ขนบนหนามีนอยอาศัยอยูบิเวณทวีป
เอเชียตะสันออกและทวีปอเมริกา แบงเปนกลุมอินเดียอเมริกา ( American Indians ) ซึ่งอพยพจาก
ทวีปเอเชียตะวันออกและทวีปอเมริกา แบงเปนกลุมอินเดียในทวีปอเมริกาใต กลุมเอสกิโม
( Eskimos ) ลักษณะทั่วไปคลายมาองโกลอยดทวีปเอเชียมากกวาอินเดียในทวีปอเมริกา อยูตาม
เมืองทางตอนเหนือของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และกลุมมองโกลอยด เอเชีย ( Asiatic
Mongoloids ) อยูทางฝงตะวันออกทวีปเอซีย ประชากรทางตอนใตมีการผสมผสานระหวางลักษณะ
มองโกลอยดกับคอเคซอยจึงเชื่อวาเปนมองโกลอยดที่แยกสายมาจากคออคซอย
๔. นิกรอย ( Negroids ) ดํารงชีวิตในเขตอากาศรอน ศรีษะยาว จมูกกวาง ริมฝปากหนา
หนาผากสูง ผมนุม ผิวดํา แบงเปนกลุมนิโกรแอหริกา ( African Negros ) อยูในเขตรอนทองทวีป
แอฟริกา เชนพวกไนล ( Nile Negros ) พวกอยูในปาตอนกลางทวีป ( negros )พวกบันตู ( Bantus )
ทางตะวันออกเฉียงใตของทวีป ดพวกคนปาซูลู ( zulu ) และพวกคนปาเผาแคฟเฟอร ( Kuffir ) กลุม
นิโกรตามชายฝงทะเล ( Oceanic Negros ) คนผิวดําตามเกาะในมหาสมุทรแปซิฟก และทาง
ตะวันออกของเกาะนิวกินี
- 39. 6
๕. ปกมี่ ( Pygmies , Negritoes ) รูปรางแคระ มีความสูงไมเกิน 145 เซนติเมตร จมูกกวาง
ศรัษะกวาง อาศัยอยูตามปาเขตรอนในคองโก หมูเกาะอันดามัน ในอาวเบงกอลคาบสมุทรมาเลย
เกาะนิวกินี และเกาะฟลิปนส
มนุษยแตกตางจากสัตวในดานการรูจักใชเครื่องมือมากกวาอยูที่ความแตกตางของรางกาย
เครื่องมือนั้นเทากับการยืดแขนมนุษยออกไป สัตวทั้งหลายมีเครื่องมือตามธรรมชาติเฉพาะที่เปน
สวนประกอบของรางกาย เชน มามีฟนสําหรับกินหญา และมีขาไวสําหรับวิ่งบนที่ราบ แตรางกาย
นของมนุษยไมจําเปนตองมีวิวัฒนาการถึงเพียงนั้น เพราะมนุษยสามารถปรับตัวไดโดยการสราง
เครื่องมือเพื่อปรับสภาพแวดลอม และความสามารถในการปรับตัวของมนุษยเชนนี้เองทําใหมนุษย
สามารถสรางเครื่องมือใชเพื่อปรับตัวใหอยุไดในที่อยุตางๆบนโลก มนุษยจึงสามารถอยูไดแทบทุก
หนทุกแหงบนโลก และการที่มนุษยมีถิ่นที่อยูอาศัยแตกตางกันนี้เองทําใหเกิดเชื้อชาติที่แตกตางกัน
ออกไปอยูในสวนตางๆ ของพื้นโลก ( ดูภาพคนเชื้อชาติตางๆซึ่งมีแหลงกําเนิดแตกตางกันไป )
ลักษณะสําคัญของวิวัฒนาการมนุษย
วิวัฒนาการทางชีวภาพของมนุษย มีลักษณะที่สําคัญอยู 3 ประการ คือ ประการแรกมนุษย
สามารถยืดตัวตรงตั้งฉากกับพื้นและเดินดวยเทาเพียง 2 ขาง ทําใหมอทั้งสองวางอยุอะไรทําตางๆได
ื
สะดวก ประการที่สอง การเปลี่ยนลักษณะของกะโหลกศรีษะและฟน ซึ่งทําใหเกิดลักษณะประการ
ที่สาม คือ ขนาดของมันสมองโตขึ้นและกลไกสวนตางๆก็ซับซอนขึ้นโดยเฉพาะสวนที่เกี่ยวกับการ
พุด
นักวิทยาศาสตรประมาณวามนุษยมีวิวัฒนาการอยางเต็มที่ประมาณ 50,000 ปที่แลวมานี่เอง
และมนุษยพวกนี้สามารถใชเครื่องมือตางๆ กอนการพัฒนาขนาดของสมองไดเทากัน
กลุมเมดิเตอรเรเนียน ( Mediteraneans ) ในทวีปยุโรปตอนใต บริเวณชายฝงทะเลเมดิเตอร
เรเดียนทางตะวันออกของเอเชียใตจนถึงอินเดีย ศรีษะยาว ผิวสีน้ําตาล ผมสีน้ําตาลหรือดํากลุมนอร
คิด ( Nordics ) ในยุโรปเหนือศรีษะยาว ผิวสีบรอนซ ผิวขาว และกลุมอัลไพน ( Alpines ) อาศัยอยู
บริเวณฝรั่งเศสตอนกลางไปจนถึงรัสเซีย และปอรเซีย
มนุษยแตกตางจากสัตวในดานการรูจักใชเครื่องมือมากกวาอยูที่ความแตกตางของรางกาย
เครื่องมือนั้นเทากับการยืดแขนมนุษยออกไป สัตวทั้งหลายมีเครื่องมือตามธรรมชาติเฉพาะที่เปน
สวนประกอบของรางกาย เชน มามีฟนสําหรับกินหญา และมีขาไวสําหรับวิ่งบนที่ราบ แตรางกาย
นของมนุษยไมจําเปนตองมีวิวัฒนาการถึงเพียงนั้น เพราะมนุษยสามารถปรับตัวไดโดยการสราง
เครื่องมือเพื่อปรับสภาพแวดลอม และความสามารถในการปรับตัวของมนุษยเชนนี้เองทําใหมนุษย
สามารถสรางเครื่องมือใชเพื่อปรับตัวใหอยุไดในที่อยุตางๆบนโลก มนุษยจึงสามารถอยูไดแทบทุก
- 40. 7
หนทุกแหงบนโลก และการที่มนุษยมีถิ่นที่อยูอาศัยแตกตางกันนี้เองทําใหเกิดเชื้อชาติที่แตกตางกัน
ออกไปอยูในสวนตางๆ ของพื้นโลก ( ดูภาพคนเชื้อชาติตางๆซึ่งมีแหลงกําเนิดแตกตางกันไป )
ลักษณะทางกายภาพของมนุษย กําเนินใหมนุษย กําเนินใหมนุษยตองปรับตนอยางยิ่งยวด
เพื่อดํารงชีวิตอยูไดทามกลางชีวิตและสภาพแวดลอมอื่นๆ ทั่งโดยวิธีอยูรวมกัน ตอสูแยงชิงและการ
ถอยหนีจากสิ่งแวดลอมในธรรมชาติรอบๆตัว จนถึงบัดนี้ มนุษยสามารถดํารงรักษาเผาพันธุ ตลอด
ทั้งแสดงพลังอํานาจเหนือธรรมชาติแวดลอมบางสวนไดดีอันเปนผลใหสามารถเลือกสรรและ
พัฒนาชีวิตทางกายภาพและทางสังคมเขาสูระบบชีวิตที่ดีที่สุด เมื่อพิจรณาเปรียบเทียบลักษณะทาง
กายภาพของมนุษยกับสิ่งมีชีวิตอื่น ตลอดทั้งผลที่นําไปสูการปรับตนเพื่อการดํารงอยูบนโลกพบ
โลกพบวา มนุษยมีทั้งลักษณะเดนที่สงเสริมใหเกิดพลังอํานาจและลักษณะดอยอันออนแอของ
มนุษย
๑. ลักษณะเดนทางกายภาพที่สงเสริมใหเกิดพลังอํานาจสรางสรรคมหลายประการ
ี
๑.๑ มนุษยนับวาเปนสัตวที่มีสมองขนาดใหญตามสัดสวนของรางกาย น้ําหนักสมอง
มนุษยปจจุบันประมาณ 1,600 มิลลิลิตร มนุษยจึงเปนสัตวที่คิดเปนและใชปญญาใหเกิดประโยชน
ในการดํารงชีวิตธํารงรักษาเผาพันธุของตน และมีอานาจเหนือสิ่งมีชีวิตอื่นบนโลกสิ่งประดิษฐตางๆ
ํ
เปนผลผลิตของปญญาที่นํามาสรางเสริมใหการดํารงชีวิตของมนุษยสะดวกสบายขึ้น หรือในทาง
ตรงกันขามอาจนําไปสูความเสื่อมโทรมของธรรมชาติแวดลอมและหรือมนุษยเองก็ได
๑.๒ มนุษยมีนิ้วมือหานิ้วที่มีความคลองตัวในการหยิบจับสิ่งตางๆ แมสิ่งของขนาดเล็ก
จิ๋วอยางเข็มซึ่งเข็มสงเสริมใหสามารถประดิษฐผลงานที่มีความประณีตละเอียดออนทั้งใหญเล็ก
โดยเฉพาะผลงานเชิงศิลปะมนุ ษยใ ชศักยภาพทั้งสองประการนี้พัฒนาสิ่งประดิษ ฐสําหรับการ
ดํารงชีวิตไดอยางมีคุณภาพ จึงสรางความภูมิใจและแสดงความสามารถ จากคํากลาว “ มนุษยทํา” (
man made )
๑.๓ ตําแหนงดวงตาทั้งสองขางของมนุษยอยูดานหนา สามารถมองเห็นชัดเจนเปนสาม
มิติและเห็นไดกวางไกล เมื่อมีการทรงตัวขึ้นในแนวตั้ง ลักษณะการมองเห็นดังนี้ มนุษยไดปรับ
สายตาเพื่อมองและสรางสุนทรียภาพทางสายตา โดยอาศัยลักษณะทางชีวภาพสองประการขางตน
มารวมสรางสรรคจนเกิดเปนผลงานอารยธรรมของมนุษยชาติขึ้นมา
๑.๔ มนุษยมีการทรงตัวแนวตั้งจึงเกิดความคลองแคลวในการเคลื่อนที่รอบตัวเมื่อเทาทั้ง
สองวางเวาจากการทําหนาที่ในการทรงตัว จึงกลายเปนมือที่มีคุณภาพในการสรางผลงานหรือ
สิ่งประดิษฐทั้งปวง
๑.๕ มนุษยมีความตองการทางเพศเมื่อยางเขาสุวัยหนุมสาวและความตองการทางเพศนี้
เกิดขึ้นไดตลอดเวลาจนถึงวัยชรา ในขณะที่สัตวอื่นมีความตองการทางเพศในชวงเวลาเจริญพันธที่
ยาวนานตอเนื่อง แมวามนุษยสามารถมีลุกออนไดคราวละหนึ่งก็ตาม
- 41. 8
๑.๖ มนุษยเปนสัตวสังคม มนุษยนั้นมีความออนแอทางชีวภาพหลายประการดังจะกลาว
ตอไปจึงจําเปนและปรารถนาที่อยูรวมกันเปนกลุมเหลามากกวาอยูโดดเดี่ยวซึ่งจะสามารถผดุงรักษา
ชีวิตของตนและเผาพันธุไวใหไดทามกลางธรรมชาติแวดลอมที่มีอันตรายและไมปลอดภัยนักผล
ของการรวมตัวทางกายภาพไดนําไปสูการระดมปญญาภายในกลุมสรางแบบแผนและระเบียบชีวิต
รวมกัน จนเกิดระบบชีวิตใหมที่เหนือกวาเปนธรรมชาติ อิทิ สัญลักษณ เชน ภาษา ขนบธรรมเนียม
ประเพณี และประดิษฐกรรมสําหรับการดํารงชีวิตทางสังคมของมนุษย
๑.๗ มนุษยมีชวงชีวิตที่ยาวนาน อายุขัยเฉลี่ยของมนุษยประมาณ 58 ป มนุษยจึงมีชวง
โอกาสดีที่มีระยะเวลามากพอที่จะสรางสมภูมิปญญา และกระบวนการเรียนรูทางสังคม เพื่อใหเกิด
การสืบทอดและสานสรางวิถีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของมนุษยรุนลูกหลานตอๆมา ความสามารถในการ
ปรับตัวดานการเรียนรูของมนุษยเชนนี้ สัตวอื่นไมอาจปรับตัวไดเชนมนุษย
๒. ลักษณะออนแอทางกายของมนุษย มีหลายประการจนอาจทําใหชีวิตและเผาพันธุของ
มนุษยชาติสูญสิ้นโลกนี้ไดในทามกลางธรรมชาติที่แกรงและโหดราย แตอยางไรก็ตาม มนุษยไดใช
คุณลักษณะทางกายภาพที่ดีทั้งปวงมาลบเลือนและขจัดลักษณะดอยกวาจนแทบจะหมดสิ้น กลาวคือ
๒.๑ ขนาดสรีระที่ไมใหญโตนัก และการมีสรีระภายนอกที่ออนนุมเปราะบางดังเชน
ผิวหนังออนบาง เสนผม และเสนขนไมเหนียวและหนา เล็บเปราะ ฟนไมแข็งแรงและคมมากพอ
ลักษณะของสรีระเชนนี้เปนจุดออนของรางกายในการอยูรอดเนื่องจากไมสามารถทนทานตอเขี้ยว
เล็บและวัตถุแข็งคมทั้งปวง แมสภาวะที่รอนหรือหนาวเกินไป อีกทั้งพละกําลังที่ไมแข็งแรงพอจะ
ตอสุกบสัตวใหญไดโดยลําพัง
ั
๒.๒ การเปลงเสียงตามสุญชาตญาณจณะมีความรูสึกตางๆ แมยามโกรธเกรี้ยวก็ไม
โกญจนาทความไวตอกลิ่นต่ํา การไดยินเสียงไมสมบรูณสูงสุด การเครื่อนไหวดวยการเดิน และการ
วิ่งไมรวดเร็วเชนสัตวอื่นคุณลักษณะทางชีวภาพที่ออนแอเหลานี้เปนจุดออนในการดํารงอยูของ
ชีวตมากทีเดียว
ิ
๒.๓ สภาวะการเจริญพันธุของมนุษยเปนอุปสรรค
๒. ชีวิตและกําเนิดชีวิตในทัศนะของศาสนาพุทธ
ชีวิต คือความเปนอยูขององคประกอบที่เรียกวา ขันธ ๕ อันประกอบดวย รูป เวทนา
สัญญา สังขาร และวิญญาณ ที่มาประกอบกันเขาเปนสิ่งที่บัญญัติเรียกวา สัตว บุคคล เรา เขา และการ
มีชีวิตนั้นเริ่มนับตั้งแตปฏิสนธิในครรภมารดา และอาจจะสิ้นสุดลงขณะใดขณะหนึ่ง ในชวงเวลาที่
แตกตางกัน เช น มีชีวิ ตอยูในครรภห ลังจากปฏิสนธิไ มกี่วัน หรือหลั งคลอด ๑ วัน ๑ เดื อน ๑ ป
หรือ…๒๐ ป…๑๐๐ ป(บุญมี แทนแก็ว, ๒๕๔๑: ๒๗ - ๒๘)และในชวงที่ยังมีชีวิตอยูยอมตองการมี
ชีวตที่ดีที่สด ซึ่งในทัศนะของพระพุทธศาสนา ชีวิตที่ดีท่ีสุดคือ ชีวิตที่แสวงหาความจริงที่ทําใหหลุด
ิ ุ
พนจากการเวียนวายตายเกิด แตในความเปนจริงจะมีมนุษยสักกี่คนที่พยายามแสวงหาความจริงนั้น
- 42. 9
สวนมากยังตองการแสวงหาความสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ มากกวา และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความ
เสื่อมทั้งหลาย มีความเลื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา อันเปนทางมาแหงทุกข ทั้งนี้เพราะ ไมเขาใจวาคุณ
คาที่แทจริงของชีวิตนั้นคืออะไรนั่นเอง
การกําเนิดของชีวิต ทางพุทธปรัชญาเรียกวา โยนิ คือกําเนิดหรือที่ที่ปฏิสนธิวิญญาณ
อาศัยเกิด ชาติ คือการเกิด ทั้ง ๒ คํานี้มีความหมายตางกันวา โยนิ หมายถึงการกําเนิด, แบบ หรือ
ชนิดของการเกิดของสัตว สวนคําวา ชาติ นั้น มีความหมายกวางออกไปอีกคือ หมายถึงการเกิด
ชนิด เหลาและปวงชนแหงประเทศเดียวกัน ในมหาสีหนาทสูตร พระพุทธองคไดตรัสกับพระสารี
บุตรเกี่ยวกับโยนิ ไวดังนี้
สารีบุตร กําเนิด ๔ ชนิดนี้ กําเนิด ๔ ชนิดไหนบาง คือ กําเนิดอัณฑชะ กําเนิดชลาพุชะ
กําเนิดสังเสทชะ และกําเนิดโอปปาติกะกําเนิด กําเนิดอัณฑชะคืออะไร คือเหลาสัตวผูเจาะทําลาย
เปลือกไขแลวเกิด นี้เราเรียกวา กําเนิดอัณฑชะ กําเนิดชลาพุชะคืออะไร คือเหลาสัตวผูเกิดในครรภ
นี้เราเรียกวา กําเนิดชลาพุชะ กําเนิดสังเสทชะคืออะไร คือเหลาสัตวผูเกิดในปลาเนา ซากศพเนา
ขนมบูด น้ําครําหรือเถาไคล นี้เราเรียกวา กําเนิดสังเสทชะ กําเนิดโอปปาติกะ คืออะไร คือเทวดา
สัตวนรก มนุษยบางจําพวกและเปรตบางจําพวก นี้เราเรียกวา กําเนิดโอปปาติกะ
พระพุทธดํารัสขางตนนั้น บงชัดวา กําเนิดของสัตวหรือสิ่งมีชวตนั้นมี ๔ ทางคือ
ีิ
๑. ชลาพุชะ หมายถึง การเกิดของสิ่งมีชีวิตแบบคลอดออกมาเปนตัวแลวคอยๆ โตขึ้น
ไดแก มนุษย เทวดาชั้นต่ํา (หมายถึง เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาที่เปนภุมมัฏฐเทวดาคือ เทวดาที่อยูบน
พื้นดิน ไมมีวิมานที่ลอยอยูในอากาศเปนที่อยู ซึ่งมีชื่อวา วินิปาติกอสุรา และเวมานิกเปรต) สัตว
เดรัจฉานบางพวก เปรต (เวนนิชฌามตัณหิกเปรต คือเปรตจําพวกที่ถูกไฟเผาอยูเสมอ) และอสุรกาย
๒. อัณฑชะ หมายถึง การเกิดของสิ่งมีชีวิตที่ตองอาศัยเกิดจากทองมารดา แตมีฟอง
หอหุม คลอดออกมาเปนไขกอนแลวจึงฟกออกมาเปนตัวในภายหลัง ไดแก มนุษย เทวดาชั้นต่ํา
สัตวเดียรัจฉาน เปรต (เวนนิชฌามตัณหิกเปรต) และอสุรกาย
ในรูปสังคหวิภาค กลาววา ชลาพุชกําเนิดและอัณฑชกําเนิด ทั้ง ๒ รวมเรียกวา คัพภเสย
ยก-กําเนิด เพราะตองอาศัยเกิดในครรภมารดาเหมือนกัน ตางกันเพียงวา ออกมาเปนตัวหรือออกมา
เปนฟองกอนแลวจึงแตกเปนตัวภายหลัง ซึ่งเกิดไดเฉพาะในกามภูมิเทานั้น๑๑
๓. สังเสทชะ หมายถึง การเกิดของสิ่งมีชีวิตแบบอาศัยที่เย็น ชื้นหรือแฉะ สิ่งบูดเนา เกิด
เชน หนอน (กิมิชาติ) แมพวกราและเชื้อโรคก็รวมอยูในสังเสทชะกําเนิด ไดแก มนุษย เทวดาชั้นต่ํา
สัตวเดียรัจฉาน เปรต (เวนนิชฌามตัณหิกเปรต) และอสุรกาย
๑. โอปปาติก ะ หมายถึ ง การเกิ ด ของสิ่งมี ชีวิตแบบไม ตองอาศัยมารดาบิ ดาเป นผู ใ ห
กําเนิด ไดแก มนุษยตนกัปป (มนุษยยุคแรก) เทวดา ๖ ชั้น (ยกเวนเทวดาชั้นต่ํา) สัตวเดียรัจฉาน
เปรต (รวมทั้งนิชฌามตัณหิกเปรต) และอสุรกาย
- 43. 10
วิวัฒนาการของชีวิตใหมในครรภมารดาในมุมมองทางพระพุทธศาสนา
เมื่อเราทราบกันแลววาสัตวที่มาเกิดในครรภมารดาในลักษณะเปนวิญญาณ วิญญาณ
เขาถือปฏิสนธิในครรภมารดา ครรภมารดาสวนที่เล็ก ก็คือมดลูก (ชลาพุ) ในมดลูกมีไข
(OvumX ) ของมารดา ผสมกับน้ําเชื้อ (Spem) ของบิดาไดแลว
ปปญจสูทนี อธิบายวา เมื่อบิดามารดามีเพศสัมพันธกันแลงครั้งหนึ่ง ภายใน ๗ วัน
นั้นเอง จะเปนชวงที่มีวิญญาณเขามาถือปฏิสนธิ หากเลย ๗ วันนั้นไป ไขที่ผสมเชื้อหาไมมี
วิญญาณ ถือปฏิสนธิ ก็หมดสภาพ
เมื่อวิญญาณปฏิสนธิแลว ก็จะมีรูป ๓ อยางเกิดขึ้นพรอมกัน คือ เคาโครงรางกาย
(กาย) , สมอง (วัตถุ) และเพศ (เพศหญิงและเพศชาย) วิญญาณที่มาปฏิสนธินี้เรียกวา
ปฏิสนธิวิญญาณ (วิญญาณที่ทําหนาที่ใหกําเนิดชีวิต) เมื่อทําหนาที่ใหปฏิสนธิและดับไปเปน
ป จ จั ย ให เ กิ ด ภวั ง ควิ ญ ญาณสื บต อภวัง ควิญ ญาณนี้จ ะทํา หน า ที่ ห ลอเลี้ย งสร า งสรรชีวิ ต ใหมใ ห
วิวัฒนาการขึ้นตามลําดับ
ในอินทกสูตร พระพุทธเจาไดตรัสถึงวิวัฒนาการของชีวิตในครรภมารดาไว ดังนี้
“รูปนี้เปนกลละกอน จากกลละเปนอัมพุทะ จากอัมพุทะเกิดเปนเปสิ จากเปสิเกิดเปน
ฆนะ จากฆนะเกิดเปน ๕ ปุม ตอจากนั้นก็มีผม ขนและเล็บ (เปนตน) เกิดขึ้น มารดาของสัตว
ในครรภบริโภคขาวน้ําโภชนาหารอยางใด สัตวที่อยูในครรภมารดาก็เลี้ยงอัตตภาพอยูดวยอาหาร
อยางนั้นในครรภนั้น”
พระสูตรอีกสูตรหนึ่ง ที่พระพุทธเจาไดตรัสไววาดวยลําดับของชีวิตในครรภมารดา
ซึ่งเราไปพบคําบาลีเปนคาถาวา
ปมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ
อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิตฺตตฺตตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เกสา โลมา นขาป
นี้คือคําอธิบายดวยลําดับการเกิดเปนระยะ ๆ ทีละชวงสัปดาห หรือชวงละเจ็ดวัน ๆ
ลําดับแรกที่สุดก็คือ เปน ปมํ กลลํ เปนกลละกอน
อรรถกถาสารั ต ถปกาสิ นี ไ ด ข ยายความพระพุ ท ธพจน นี้ ว า ระยะแรกเป น กลละนั้ น
หมายความวา สัตวที่เกิดในครรภมารดาอวัยวะทุกสวนมิใชเกิดพรอมกันทีเดียว แทจริงแลวคอย ๆ
วิวัฒนาการขึ้นทีละนอยตามลําดับโดยระยะแรกอยูในสภาพเปน “กลละ” กอน กลละคือน้ําใส มี
สีคลายเนยใส ขนานเทาหยาดน้ํามันงา ซึ่งติดอยูที่ปลายดายที่ทําจากขนแกะแรกเกิด ๓ เสน ฎีกา
อภิธัมมัตถวิภาวินี อธิบายเสริมวา “กลละนั้น มีเคาโครงของกายภาพอยูดวยแลว ๓ อยาง คือ
กายทสกะ (โครงสรางทางรางกาย) วัตถุทสกะ (โครงสรางทางสมอง) และภาวะทสกะ
- 44. 11
(โครงสรางกําหนดเพศ) โครงสรางทั้ง ๓ นี้ ปรากฏรวมอยูแลวในกลละ สวนกลละจะมี
ลักษณะเปนก็อนกลมใส มีขนานเทาหยดน้ํามันงาซึ่งอยูติดที่ขนแกะแรกเกิด ๑ เสน”
จากกลละมาเปนอัพพุทะ (จากน้ําใสมาเปนน้ําขุนขน) อรรถกถาอธิบายวา ครั้นเปน
กลละได ๗ วัน อัพพุทะนั้นจะวิวัฒนาการเปนน้ําขุนขน มีสีคลายน้ําลางเนื้อ เรียกวา “อัพพุทะ”
จากอัพพุทะมาเปนเปสิ (จากน้ําขุนขนมาเปนชิ้นเนื้อ) อรรถกถาอธิบายวา ครั้นเปนอัพ
พุทะได ๗ วันแลว อัพพุทะนั้นก็วิวัฒนาการแข็งตัวเปนชิ้นเนื้อสีแดง มีลักษณะคลายเนื้อแตงโม
บด
จากเปสิมาเปนฆนะ (จากชิ้นเนื้อมาเปนก็อน) อรรถกถาอธิบายวา ครั้นเปนชิ้นเนื้อได
๗ วัน ชิ้นเนื้อก็วิวัฒนาการแข็งตัวขึ้นอีกเปนก็อนเนื้อ ทรงกลมรีคลายไขไก
จากก็อนเนื้อก็เกิดเปนสาขา อรรถกถาอธิบายวา ในสัปดาหที่ ๕ ก็อนเนื้อขึ้นก็เกิดเปน
ปุม ๕ ปุม เรียกวา “ปญจสาขา” ปุม ๕ ปุมนี้ภายใน ๗ วันนั้น ก็วิวัฒนาการขึ้นเปนมือ ๒ ขาง
เทา ๒ ขาง และศีรษะ ในสัปดาหที่ ๖ เคาโครงตา (จักขุทสกะ) ก็เกิด จากนนั้นสัปดาหที่ ๗
เคาโครงลิ้น (ชิวหาทสกะ) ก็เกิด รวมเวลาตั้งแตแรกถือปฏิสนธิจนกระทั้งถึงเวลาเกิดอวัยวะ คือ
ตา หู จมูก ลิ้น ทั้งสิ้น ๙ สัปดาห (๖๓ วัน)
จากสัปดาหที่ ๙ ไปถึงสัปดาหที่ ๔๒ องคาพยพตาง ๆ เกิดขึ้น คือ ผม ขน เล็บ
หนัง เนื้อ เอ็ น กระดูก เยื่ อในกระดูก มาม หัวใจ ตับ พังพืด ไต ปอด ไสใหญ ไสนอย
(อาหารใหม อาหารเกา)
ในขณะที่องคาพยพตาง ๆ เกิดขึ้นอยูนั้น สวนตาง ๆ ของรางกายก็เกิดขึ้นดวยพรอม
กันดังนี้
สวนที่เกิดเปนของเหลว (อาโปธาตุ) ไดแก น้ําดี เสลด น้ําเหลือง เหงื่อ มันขน เปลว
มัน น้ําลาย น้ํามูก ไขขอ ปสสาวะ
สวนที่เปนพลังงาน (เตโชธาตุ) ไดแก ไฟธาตุทํารางกายใหอบอุน ซึ่งตอไปจะแปร
สภาพเปนไฟยอยอาหาร ไฟทํารางกายใหทรุดโทรม ไฟที่ทํารางกายใหกระวนกระวาย (เชน รอน
ใน เปนตน)
สวนที่เปนกาซ (วาโยธาตุ) ไดแก ลมพัดซานไป ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ํา
ลมในทอง ลมพัดในไส ลมพัดไปมาตามตัว ซึ่งตอไปจะแปรสภาพเปนลมหายใจ
๔. ความเปนอยูในครรภของมารดา ตามที่ปรากฏในอินทกสูตร วา มารดาของสัตวใน
ครรภบริโภคขาวน้ําโภชนาการอยางใด สัตวผูอยูในครรภมารดาก็เลี้ยงดวยอัตภาพอยางนั้นใน
ครรภ อรรถาธิบายเพิ่มเติมวา สัตวที่อยูในครรภมารดาบริโภคอาหารทางก็านสะดือ (นาภิโต
อฏฐิตนาโฬ) กลาวคือ ก็านสะดือจะติดเปนอันเดียวกันกับแผนทองของมารดา ก็านสะดือนั้นมี
ลักษณะเปนรูปพรุนขางในเหมือนก็าน รสอาหารที่มารดากินเขาไปแลวแผซานไปทางกานสะดือ
สัตวในครรภก็เลี้ยงตนเองดวยรสอาหารนั้น
- 45. 12
สรุปแลวคนเราอยูในครรภมารดา ๔๒ สัปดาห คิดเปนเดือนได ๑๐ เดือน คิดเปนวัน
ได ๒๙๔ วัน ซึ่งตลอดระยะเวลาเทานี้ ชีวิตเราเกิดและวิวัฒนาการสมบูรณเต็มที่พรอมที่จะ
ออกมาลืมตาดูโลกไดกลาวถึงการเกิด วิวัฒนาการของชีวิตใหมในครรภมารดาและความเปนอยูใน
ครรภมารดาในทัศนะของพระพุทธศาสนามาแลว
การเกิด ในวันที่ ๑๔ ของแตละเดือน ในรางกายของหญิงที่ยังมีประจําเดือนจะมีไขสุก
พรอมที่จะผสมกับสเปอรมหลุดออกมาจากรังไข ไขนี้เล็กมากมีขนาด ๐. ๑๓๕ มิลลิเมตร ตัวไข
มีเยื่อบาง ๆ ซึ่งเปนเซลลรูปกรวยคลุมอยู ภายในไขมีโครโมโซมบอกเพศทารกและยีนอยู ยีนนี้มี
ขนาดเล็กมากประมาณ ๐.๐๐๐๐๒ มิลลิเมตร และมีความสําคัญมากเพราะจําทําหนาที่สืบลักษณะ
ของบรรพบุรุษมายังลูกหลานตอไป ลักษณะดังกลาวนั้น ก็คือสีผมลักษณะของหนาตา ศรีษะ จมูก
รวมทั้งนิสัยใจคอเปนตน ยีนนี้มีอยูในโครโมโซม
โครโมโซมมีจํานวนจํากัด คือ มี ๒๓ คู รวมทั้งโครโมโซม X หรือโครโมโซม Y สําหรับบอก
เพศดวย
กอนที่ไขกับสเปอรมจะผสมกัน ตางก็ลดจํานวนโครโมโซมเหลือครึ่งหนึ่งภายหลังผสม
กันแลวจึงรวมกลับเปน ๒๓ คูเทาเกา ถารวมเปน ๒๒ คู + XY จะเปนชาย ถาเปน ๒๒ คู
+XX ลูกจะเปนหญิง
เมื่อสเปอรมเขาไปในชองคลอดแลว จะวายทวนขึ้นไปในโพรงมดลูก ไปที่หลอดมดลูก
ดานนอก ทั้งนี้กินเวลาประมาณ ๖๕-๗๕ นาที การผสมไขจะเกิดขึ้นที่นั่นโดยสเปอรม ๑ ตัว
จะใชหัวไซทะลุเยื่อหุมเซลลของไขเขาไปไดและทิ้งหางไวภายในนอกไข
จากนั้นไขที่ผสมแลว (Ferltillzed Ovum = Zygote) จะลอยกลับไปโพรงมดลูก
ระหวางนี้ไขจะเปลี่ยนแปลงรูปรางและเซลลภายในจากสภาพที่ผสมแลวเปนสภาพมีผิวขรุขระ
คลายนอยหนา (Morula) ประมาณวันที่ ๖ จะแปรสภาพเปนตัวออน (Embeyo) ซึ่งจะวิวฒนาการ ั
ตอไป ตัวออนขั้นนี้ จะมีสภาพเนื้อเยื่อของเซลลตรงกลางเปนรูกลวงซึ่งพรอมแลวที่จะฝงตัวลงใน
เยื่อบุมดลูกที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อการตั้งครรภ ตัวออนจะพัฒนาตัวเองอยู ๖ สัปดาห และสิ้นสุด
เมื่ออายุ ๒ เดือน เนื้อเยื่อเซลลของตัวออนแบงออกไดเปน ๓ ชั้น คือ
๑. ชั้นในที่สุด (Endoderm) ชั้นนี้จะเจริญเติบโตตอไปเปนเยื่อบุลําไส เยื่อบุทางเดิน
ของระบบหายใจ กระเพาะปสสาวะ ทอปสสาวะ ตอมไทรอยด และตอมไทมัส
๒. ชั้นกลาง (Mesoderm) ชั้นนี้จะเจริญเติบโตเปนกลามเนื้อ กระดูก เสนเลือด
กระดูกออน เอ็นตาง ๆ แกนกลางของฟน ไต ทอไต รังไข (เพศหญิง) ลูกอัณฑะ (เพศชาย)
หัวใจ หลอดโลหิต ทอน้ําเหลือง เยื่อหุมหัวใจและเยื่อหุมปอด
๓. ชั้นนอกสุด (Ectoderm) ชั้นนี้จะเจริญเติบโตเปนผิวหนัง ผม ขน เล็บ ตอมน้ํามัน
ตอมน้ําลาย ตอมน้ํามูก เคลือบฟน ระบบประสาท รวมทั้งเนื้อสมอง
- 46. 13
หลังจาก ๒ เดือนนี้แลว ขณะยางเขาเดือนที่ ๓ เซลลอวัยวะจะเจริญเติบโตและมี
รูปรางพอที่จะมองเห็นคราว ๆ ไดวา เปนรางกายมนุษย (Fetus)
นับจากเดือนที่ ๓ ถึงคลอด (คือสัปดาหที่ ๘ หลังจากมีสภาพเปนตัวออนแลว) ทารกก็
จะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อวัยวะตาง ๆ จะมีวิวัฒนาการไปตามลําดับจนครบ ๙ เดือน หรือ ๔๐
สัปดาห หรือ ๒๘๐ วัน จึงจะคลอด
๒. วิวัฒนาการของชีวิตใหมในครรภมารดา ไขตั้งแตผสมกับสเปอรมจนอายุได ๒
สัปดาห เรียกวา ไข (Ovum)
ระหวาง ๓-๘ สัปดาห เรียกวา ตัวออน (Embryo)
ระหวาง ๘ สัปดาห ถึงคลอด เรียกวา ทารก (Fetus)
ที่กลาวมาทั้งหมดนี้ คือ วิวัฒนาการอยางคราว ๆ ที่เปลี่ยนสภาพมาตามลําดับคือ จาก
ไข เปนตัวออน และจากตัวออนเปนทารก นักชีววิทยาไดศึกษาและใหรายละเอียดเกี่ยวกับอวัยวะ
และน้ําหนักตัวของทารกอีกดังตอไปนี้
สัปดาหที่ ๓ เริ่มมีทางเดินอาหาร ตอไปมีหัวใจเกิดขึ้น และมีตุมแขนขา และระบบ
ประสาท เริ่มพัฒนาขึ้น โดยชั้นเซลลกอพันธดานอก หรือผิวหนังของตัวออนจะหนาขึ้นตามลําดับ
มีเสนกลางและกลายเปนกลีบยาว ๒ กลีบ กลีบยาว ๒ กลีบนี้แหละจะทําใหเกิดมีรองขึ้น ๑ รอง
จากดานหัวไปดานทาย รองนี้จะปดกลายเปนหลอดขึ้นมา ๑ หลอด เมื่อกลีบทั้ง ๒ แตะกัน
และผสมผสานเปนเนื้อเดียวกันโดยเริ่มจากเอวเรื่อยไปจนถึงปลายทั้ง ๒ ขาง ยอดหลอดจะโตขึ้น
เปนสมอง และใยประสาทเริ่มเติบโตออกจากสมองและไขสันหลังที่เพิ่งจะมีขึ้นมา
สัปดาหที่ ๔ ตัวยาว ๑ เซ็นติเมตร มีตุมตา หู จมูก แก็ม เริ่มเปนรูปรางขึ้นมา
สัปดาหที่ ๕-๖ ตัวยาว ๑ เซ็นติเมตรเศษ ศรีษะและรางกายมีขนาดเทา ๆ กัน กาน
สมองเติบโตขึ้นมาก มือทั้ง ๒ ขาง มีนิ้วมือใหเห็นราง ๆ แตเทายังมีลักษณเหมือนใบพาย
สัปดาหที่ ๖-๗ ตัวยาว ๒-๓ เซนติเมตร นิ้วมือกําลังพัฒนาขึ้นมา แตแขนยังสั้น
สัปดาหที่ ๘ ตัวยาว ๔ เซนติเมตร ตัวงอ มองดูศรีษะใหญกวาตัว เพราะสมองเริ่ม
เจริญ อวัยวะสืบพันธุภายนอกเจริญขึ้น แตยังแยกเพศไมได
สัปดาหที่ ๙ ตัวยาว ๕ เซนติเมตร อวัยวะเพศเริ่มวิวัฒนาการขึ้น
สัปดาหที่ ๑๐-๑๑ ตัวยาว ๖ เซนติเมตร หัวใจเปนรูปรางสมบูรณแลว เซลล เลือดขาวที่ทํา
หนาที่ตอตานเชื้อโรคกําลังกอตัวขึ้นในปุมน้ําเหลือง ตายังปดอยู หนาผากใหญและกลม จมูกเล็ก
และบี้ กลามเนื้อทํางานแลวที่ใตผิวหนัง ริมฝปากเปดและปด หนาผากยน คิ้วเลิกและศรีษะสั่นได
สัปดาหที่ ๑๒ ตัวยาว ๙ เซนติเมตร หนัก ๑๕ กรัม มีนิ้วมือ นิ้วเทามองเห็นชัดเจน
และมีเล็บออน ๆ เริ่มแยกเพศได
- 47. 14
สัปดาหที่ ๑๖ ตัวยาว ๑๖ เซนติเมตร หนัก ๑๑๐ กรัม แยกเพศไดชัดเจน มีการ
เคลื่อนไหวของระบบการหายใจและการกลืนเริ่มมีขนออนขึ้น ผิวหนังแดง ดิ้นไดจนมารดารูสึก
ทันที (ถาฟงจะไดยินเสียงหัวใจเด็กเตน)
สัปดาหที่ ๒๐ ตัวยาว ๒๕ เซนติเมตร หนัก ๓๐๐ กรัม ศรีษะยังใหญอยู ทองเล็กลง
มีผมเพิ่มขึ้น
สัปดาหที่ ๒๔ ตัวยาว ๓๐ เซนติเมตร หนัก ๖๓๐ กรัม มีขนออนขึ้นทั่วตัว มีขนตา
และขนคิ้ว หนังตาแยกจากกัน ผิวหนังยนเหี่ยวรูปรางดีขึ้น
สัปดาหที่ ๒๘ ตัวยาว ๓๕ เซนติเมตร หนัก ๑.๐๔๕ กรัม (สามารถเลี้ยงรอดได ถา
คลอดออกมา แตมีจํานวนนอยมาก) ผิวหนังมีสีแดง ยน และมีไขปกคลุมอยูเต็ม ลืมตาได
(อัณฑะลงมาอยูในถุง- เพศชาย) รองเสียงคอย
สัปดาหที่ ๓๒ ตัวยาว ๔๐ เซนติเมตร หนัก ๒,๐๐๐ กรัม ลักษณะคลายคนแก และ
คลายเด็กปลายสัปดาหที่ ๒๘
สัปดาหที่ ๓๖ ตัวยาว ๔๕ เซนติเมตร หนัก ๒,๕๐๐ กรัมขึ้นไป ผิวหนังมีสีชมพู ถือ
วาครบกําหนดคลอดแลว รองทันทีเมื่อคลอด และลืมตายกมือยกเทาปดไปปดมา สวนมากถาย
ปสสาวะขณะที่รอง ทําปากดูดได และถาใหน้ํารับประทานจะดูดได มีขนเล็กนอยบริเวณไหล มี
ไขติ ด ตามตั ว โดยเฉพาะตามข อ พั บ เล็ บ ยาวพั น นิ้ ว เด็ ก ผู ช ายอั ณ ฑะจะลงมาอยู ใ นถุ ง อั ณ ฑะ
เด็กผูหญิงแคมอวัยวะเพศทั้ง ๒ ขางจะติดกัน
๓. องคประกอบของชีวิต
ชีวิตที่สามารถดํารงอยูไดดวยสวนประกอบที่สําคัญ ๒ สวนคือ กายกับใจ หรือจิต ถา
หากปราศจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งแลว ไมสามารถที่จะดํารงอยูไดดวยตัวของมันเอง แตเปนการอาศัยซึ่ง
กันและกันจึงดํารงอยูได จึงใครที่จะเสนอแนวคิดเหลานี้
สมพร สุขเกษม (๒๕๔๒: ๔๕ - ๕๑) ไดกลาวถึงองคประกอบของชีวตไวสรุปไดดังนี้
ิ
๑. องคประกอบของชีวิตทางกายภาพ
รางกายมนุษยประกอบไปดวยเซลล (Cell) จํานวนนับพัน ๆ ลานเซลลขึ้นไป เซลลเปน
หนวยยอยที่เล็กที่สุดในชีวิต ซึ่งแสดงธรรมชาติของความมีชีวิต เชน ในสวนของเซลที่เปนโปโต
ปลาสซึม ( Photoplasm ) ซึ่งเรียกกันวาสารมีชวิต ( Life substance) นั้นมีการเจริญเติบโตขยายพันธ
ี
ตอบสนองตอสิ่งเรา หายใจตองการอาหารและมีการเปลี่ยนแปลงอาหารใหเปนพลังงาน ธรรมชาติ
เชนนี้ทําใหชีวิตมี “ ความตองการทางกาย ” หรือ “ความตองการทางชีววิทยา” ( Biological
Needs ) ซึ่งเปน “แรงขับ” ( Drives) พื้นฐานของพฤติกรรม