More Related Content
More from Dinhin Rakpong-Asoke
More from Dinhin Rakpong-Asoke (6)
เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง
- 1. เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ (ยา 9 เม็ด)
เพื่อควบคุมป้องกันโรค บำำบัด
บรรเทำโรคและฟื้นฟูสุขภำพ
ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง
สถิติพบว่ามีผป่วยจำานวน 1,397
ู้
คน หลังจากที่ใช้เทคนิคการดูแล
สุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ
ภายใน 5 วัน ผู้ป่วยมีอาการของ
ความเจ็บป่วยลดน้อยลงจำานวน
1,291 คน คิดเป็น 92.41 % ซึง ่
ส่วนใหญ่เป็นโรคหรืออาการที่
แพทย์แผนปัจจุบัน วินิจฉัยว่า ...
เป็นโรคเรื้อรัง ต้องตายหรือรักษา
ไม่หาย เช่น มะเร็ง เนื้องอก
เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้
เก๊าท์ รูมาตอยด์ ปวดตามข้อ ปวดตึงเมื่อย ตามร่างกาย โรคทางเดินกระเพาะอาหารลำาไส้เรื้อรัง
อ่อนเพลียอ่อนล้า หน้ามืด วิงเวียนปวดศรีษะเรื้อรัง
ภูมิต้านทานลด และการอักเสบ เรื้อรังตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น
ในจำานวนดังกล่าวนั้น มีผู้ป่วยเบาหวาน จำานวน 117 คน ระดับนำ้าตาลในเลือดลดลงคิดเป็น 88.03 % ผู้
ป่วยความดันโลหิตสูง จำานวน 158 คน ระดับความดันโลหิตสูงลดลง คิดเป็น 83.54 %
ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง จำานวน 78 คน ไขมันไตรกลีเซอไรด์และคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง คิดเป็น ็
73.78 % ผูป่วยมะเร็ง 111 คน
้
อาการเจ็บป่วยทุเลาลว 85.59 % (ในจำานวนผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด หลังจากปฎิบัติตัวอย่างต่อเนื่อง มีผล
ตรวจร่างกายจากแพทย์แผนปัจจุบัน
ไม่พบมะเร็ง หรือสภาพร่างกายมีอาการเหมือนคนปกติต่อเนื่องกัน 6 เดือนขึ้นไป จำานวน 22.52 %
" มีชีวิตอยู่ด้วยอาการไม่สบายจากพิษของมะเร็งลดน้อยลง หรือยืดอายุออกไปได้มากกว่าการคาดการ
ของแพทย์แผนปัจจุบัน 63.07 % "
อาการไม่ทุเลาลง 14.41 % ) ผูป่วยโรคหัวใจ 12 คน อาการเจ็บป่วยทุเลาลง 75 %
้
นอกจากนี้ ยังพบว่า อาการไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง ปวดเมื่อยตามเนื้อ
ตัว หรือความเจ็บป่วยเล็กน้อยอื่น ๆ
ก็สามารถบำาบัดบรรเทาให้ทุเลาเบาบางได้ ด้วยเทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลัก
การแพทย์วิถีพุทธ
ท่านอาจเลือกทำาเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือทำาหลายข้อร่วมกัน ตามแต่สภาพร่างกายหรือการทุเลาเบาบาง
ของความเจ็บป่วยในแต่ละท่าน
โดยมีตัวชี้วัด คือ ให้เกิดสภาพพลังชีวิต ได้แก่ สบาย เบากาย มีกำาลัง
- 2. เทคนิค 9 ข้อ ของการพึ่งตนในการดูแลสุขภาพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล
2. กัวซำหรือขูดซำหรือขูดพิษหรือขูดลม
3. กำรสวนล้ำงลำำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์)
4. กำรแช่มอแช่เท้ำในนำ้ำสมุนไพร
ื
5. กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือเมื่อใช้แล้วรู้สกสบำย
ึ
6. กำรออกกำำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถกต้อง
ู
7. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย
8. ใช้ธรรมะ ทำำใจให้สบำย ผ่อนคลำยควำมเครียด
9. รู้เพียร รู้พักให้พอดี
1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล
กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน
ดืมนำ้ำำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือที่เรียกว่ำ นำ้ำคลอโรฟิลด์สดจำก
่
้
ธรรมชำติ/นำ้ำเขียว/นำ้ำย่ำนำง
วิธีทำำ ใช้ สมุนไพรฤทธฺ์เย็น เช่น ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ ใบเตย
1-3 ใบ บัวบก ครึง-1 กำามือ หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น ใบอ่อมแซบ
่
(เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำามือผักบุ้ง ครึง-1 กำามือ ใบเสลดพังพอน
่
ครึ่ง-1 กำามือ หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ และว่านกาบหอย 3-5 ใบ
เป็นต้น
จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้
ละเอียดหรือขยี้ ผสมกับนำ้าเปล่า 1-3 แก้ว (บางครั้งอาจผสมนำ้า
มะพร้าว นำ้าตาล นำ้ามะนาว นำ้ามะขาม ในรสไม่จัดเกินไป เพื่อทำาให้
ดื่มได้ง่ายในบางคน) กรองผ่านกระชอน เอานำ้าที่ได้มาดื่ม ครั้งละ
ประมาณ ครึ่ง-1 แก้ว วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง
หรือดื่มแทนนำ้าตอนที่รู้สึกกระหายนำ้า ปริมาณการดื่มและความเข้มข้นของสมุนไพร อาจมากหรือน้อยกว่านี้
- 3. ก็ได้ ตามความต้องการของร่างกาย ณ เวลานั้น ๆ โดยดูความพอดีได้จาก
ความรู้สึกที่กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืนไม่พะอืดพะอมและความสบายตัว
กรณีที่ดื่มนำ้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดแล้วรู้สกไม่สบำย ให้กดนำ้าร้อนใส่นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือนำาไปต้ม
ึ
ให้เดือด ก่อนดื่ม หรืออาจนำาสมุนไพรฤทธ์ร้อนมาผสมก่อนดื่มก็ได้ เช่น นำานำ้าต้มขมิ้น/ขิง/ตะไคร้ มาผสม
่
เป็นต้น หรืออาจดื่มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกสบาย
กลับสารบัญ
2. กัวซำหรือขูดซำหรือขูดพิษหรือขูดลม
ิ
เป็นการแพทย์ดั้งเดิมของชาวไทยภูเขา ชาวจีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และประเทศในแถบ
เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการเอาพิษออกจากร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็น
พิษจากเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อนที่มาระบายพิษที่่ ผิวหนัง ทำาให้สามารถบรรเทาอาการไม่สบายได้อย่าง
๋
รวดเร็ว
ประโยชน์ของกำรกัวซำ
- เรียนรู้ง่าย สามารถทำาได้ด้วยตนเอง ทำาได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่มีผลแทรกซ้อนใด ๆ ทั้งสิ้น
- ช่วยลดอาการปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัด ไอเฉียบพลัน/เรื้อรัง
- ลดอาการเจ็บปวดมึนชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- เพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมคุ้มกันในร่างกาย สร้างความแข็งแรงให้เซลล์โดยการเพิ่มออกซิเจนและระบาย
ิ
ของเสียในเซลล์ ทั้งเซลล์ของเม็ดเลือดและเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็นพิษออกมา
พร้อมกับเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อน มาระบายพิษที่ผิวหนัง
วิธีกวซำ
ั
- ควรทำาการกัวซาในสถานที่โล่งโปร่ง และลมไม่โกรกจัด
- ใช้ขผึ้งย่านาง ขึ้ผึ้งเสลดพังพอน ขึผึ้งแก้หวัด ยาหม่องดำา นำ้ามันเขียว นำ้ามัน
ึ้ ้
เหลือง นำ้ามันพืช นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือนำ้าเปล่า อย่างใดอย่างหนึ่งทาบน
ผิวหนังก่อนขูดดซา ในบริเวณที่รู้สึกไม่สบายหรือบริเวณที่ถอนพิษจากร่างกาย
ได้ดี เช่น บริเวณหลัง แขน ขา เป็นต้น แม้ไม่มีสมุนไพรทาเลย ก็สามารถขูดซา
ได้เลย โดยที่ไม่ต้องทาอะไร ก็ช่วยถอนพิษได้
ถ้ารู้สึกหนาวเย็น ควรใช้นำ้าอุ่น นำ้ามันพืช หรือขึ้ผึ้งที่ไม่เย็นเกินไป ทาก่อนขูด
ซาหรือขูดซาโดยที่ไม่ต้องทาอะไรเลยก็ได้
- ใช้อุปกรณ์ีเรียบง่าย เช่น ช้อน ชาม เหรียญ ไม้ขอบเรียบหรือวัสดุขอบเรียบต่าง ๆ ขูดได้ ทั้งที่ผิวหนังตรง
็
ๆ หรือจะขูดผ่านเสื้อผ้าก็ได้
้
- กำรกัวซำควรเริมจำกด้ำนซ้ำยก่อนเสมอ ยกเว้น เกิดอาการไม่สบายเด่นชัดที่ด้านขวา มากกว่าด้าน
่
ซ้ายก็ให้ขูดด้านขวาก่อน
- 4. กำยภำพด้ำนหลัง กำยภำพด้ำนหน้ำ
- การขูดแต่ละ
ครั้งให้ลงนำ้า
หนักแรงพอ
สบาย ไม่แรง
เกิน ไม่เบาเกิน
ความแรงที่ได้
ผลดีนั้น ให้ลง
นำ้าหนักไปค่อน
ข้างแรงหน่อย
เท่าทีจะไม่
่
เจ็บ/ไม่ทรมาร
มากเกินไป
อาจไม่รู้สึกเจ็บ
เลยหรือรู้สึก
เจ็บเล็กน้อยใน
ขีดที่ทนได้
โดยไม่ยาก ไม่
ลำาบากก็๋ได้ ลง
้
นำ้าหนัก
สมำ่าเสมอ การ
ขูดที่พอดีคือ
ขูดให้ผิวมีสี
แดง จนกว่าจะ
ไม่แดงไปกว่า
นั้นหรือ ขูดจุด
ละประมาณ
10-50 ครั้ง
อาจขูดมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ เท่าทีรู้สึกสบาย
่
- หลังทำากัวซา ควรเกิน 4-8 ชั่วโมงขึ้นไป จึงสามารถอาบนำ้าได้ ถ้าจำาเป็นที่จะต้องอาบนำ้าทันทีหลังกัวซา
ก็ควรอาบนำ้าอุ่นหรือเช็ดตัวด้วยนำ้าอุ่น หรือจำาเป็นที่จะต้องอาบนำ้า อาจอาบนำ้าธรรมดาหลังกัวซา อย่างน้อย
30 นาที เพื่อให้เลือดที่เคลื่อนมาบริเวณผิวหนังมีเวลาระบายพิษออกไปได้มาก ถ้าเรารีบอาบนำ้าเย็นเร็วเกิน
ไปเส้นเลือดจะหดตัวบีบเลือด ที่ยังระบายพิษได้ไม่มากกลับคืนไปสู่เซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในของเรา
ทำาให้ระบายพิษได้น้อย
- 5. ทิศทำงของกำรกัวซำ
ขูดศรีษะ
ขูดจากกลางศรีษะจนถึงตีนผม จนทั่วศรีษะ
ขูดใบหน้ำ
บริเวณใบหน้า ให้เอากึ่งกลางรหว่างคิ้วเป็นจุดศูนย์กลาง
แล้วขูดออกไปเป็นรัศมีวงกลมทุกทิศทุกทางหรือ
ขูดออกด้านข้างก็ได้ สำาหรับบริเวณตาให้หลับตาลง
แล้วขูดเบา ๆ จากหัวตามาหางตาและให้ทั่วบริเวณ
รอบตาทั้งหมด ลงนำ้าหนักและปริมาณการขูดแค่พอรู้สึก
สบาย
ขูดแผ่นหลัง
ส่วนที่ชิดประดูกสันหลัง ขูดตั้งแต่ต้นคอ
ยาวลงมาจนถึงเอว ฟืนที่แผ่นหลังส่วนที่
้
เหลือให้ขูดออกข้าง
ขูดบริเวณลำำตัวด้ำนหน้ำ
เริ่มจากกลางหน้าอกให้ขูดลง ใต้ไหล่ด้าน
หน้าให้ขูดออกข้างหรือขูดลงก็ได้ ใต้ราว
นมขูดตามร่องซี่โครงเฉียงเข้าหาสะดือ
บริเวณท้องขูดลงหรือขูดเข้าหาสะดือก็ได้
ขูด คอ แขน มือ สะโพก ขำ เท้ำและจุดที่ไม่สบำยอื่น ๆ หรือจุดที่จำำทิศทำงกำรขูดไม่ได้
ให้ขูดลงหรือขูดตามทิศที่เราขูดแล้วรู้สึกสบาย เพระาสภาพที่เกิดการบำาบัดรักษาคือ สภาพทีรู้สึกสบาย
่
ตามหลักสปฎิบัติเพื่อความแข็งแรงอายุยืน ในพระไตรปิฎก อนายุสสสูตร
ข้อที่ 1 การรู้จักทำาความสบายแก่ตนเอง
ข้อควรรู้ของกำรกัวซำ
1. กำรใช้แรงขูดควรสมำ่ำเสมอ ควรขูดจนเห็นรอย จุดแดงปรำกฎขึ้นมำจนกว่ำจะไม่แดงไปกว่ำ
นัน้
(หากขูดสักพักแล้วไม่แดงก็ย้ายจุดขูดได้) หรือขูดจนบริเวณที่ขูดนั้นรู้สึกสบายขึ้น จากนั้นจึงขูดตำาแหน่ง
อื่นต่อไป
2. บำงครั้งหลังจำกขูดแล้ว 2-3 วัน ตำำแหน่งที่ขูดอำจจะมีอำกำรระบมปรำกฎขึ้น ซึงถือว่ำเป็น
่
- 6. เรื่องปรกติ
หลังขูดจนเกิดรอยแดง ณ จุดนั้น ๆ ออกมาแล้ว เราสามารถแปลผลได้ดังนี้
1. สีชมพูหรือสีแดงเรื่อ ๆ แสดงว่า ดี
2. เป็นปืน้ แสดงว่า พิษเริ่มสะสม
3. เป็นจำ้ำเหมือนไข้เลือดออก แสดงว่า พิษสะสมนานแล้ว ในทางแพทย์ทางเลือก เรียกว่า
ลมแตก
4. ถ้ำเป็นลักษณะชำ้ำ แสดงว่า มีพิษสะสมมาก
ยิ่งถ้ำชำ้ำจนถึงขันสีม่วงหรือสีดำำ
้ ในทางแพทย์ทางเลือกถือว่า มีพิษมากถึงขั้นมะเร็ง
ซึงการตรวจในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอาจพบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เรียบ
่
เรียงพบว่า ผู้ป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง มากกว่า ร้อยละ 80 มักขูดซาพบสีม่วงหรือสีดำา
ี
การกัวซาจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค ไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 7 วัน รอยแดงนั้นมักจะ
ยุบหายไป
มักจะมีคำาถามว่าเมื่อกัวซาแล้วจะกัวซาอีกครั้งเมื่อไหร่ คำาตอบก็คือ เมื่อรู้สึกไม่สบายอีกครั้ง ถ้าเป็นผูป่วย
้
หนักอาจจะกัวซาทุกวันหรือกัวซาวันละหลายครั้งก็ได้ ถ้าการกัวซานั้นทำาให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้น
3. ไม่ควรขูดในจุดที่เป็นแผลฝีหนองหรือจุดที่เมื่อถูกขูดแล้วรู้สึกไม่สบายเจ็บปวดแสบร้อน ทรมานมากเกิน
ไป แต่สามารถขูดตรงข้ามกับจุดที่ไม่สบายนั้น ๆ ก็สามารถรักษาจุดที่ไม่สบายนั้นได้
3. กำรสวนล้ำงลำำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์)
เป็นการปรับสมดุลด้วยการล้างพิษ 3 อย่าง
ออกจากลำาไส้ใหญ่ ได้แก่
1. พิษของเนื้ออุจจาระที่หมักหมม
2. นำ้าที่เป็นพิษอันเกิดจากทุกอวัยวะใน
ร่างกายส่งสิ่งที่เป็นพิษมากำาจัดที่ตับ ตับก็
ระบายส่งไปที่ลำาไส้เล็ก แล้วก็ส่งต่อไป
ลำาไส้ใหญ่
3. พิษของพลังงานความร้อนที่เป็นของเสีย ี
จากทุกอวัยวะในร่างกาย ซึ่งส่งมาระบายที่
ลำาไส้ใหญ่มากกว่าที่อื่น ๆ จะเห็นได้ว่าหมอ
แผนปัจจุบัน ถ้าวัดไข้ทางทวาร เมื่อวัด
อุณหภูมิได้เท่าไหร่จะต้องลบออก 0.5 องศา
เซลเซียส ในขณะที่การวัดไข้ในที่อื่น ๆ ไม่ลบ
ออก เพราะที่ลำาไส้ใหญ่มีความร้อนมากกว่าที่
อื่นในร่างกายถึง 0.5 องศาเซลเซียส แม้หมอ
- 7. จีนไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นโรคอะไร ก็นิยมฝังเข็มหรือกดจุดที่จุดเหอกู่ ตรงบริเวณกึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
ของมือ วัดเข้ามาด้านหลังมือจากง่ามมือหนึ่งข้อนิ้วโป้ง เป็นจุดระบายพิษจากลำาไส้ใหญ่ที่ดีมาก ซึงมักจะ
่
ทำาให้อาการไม่สบายในร่างกายไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดก็ตามลดลงอย่างรวดเร็ว
ผูป่วยที่อาการหนัก ทำาวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนคนทั่วไปทำาสัปดาห์ละ 1-3 ครั้งหรือเท่าทีร่างกายรู้สึกสบาย
้ ่
พิษทั้งสามประการนั้น จะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของร่างกายทุกวัน ถ้า
ไม่รีบระบายออกหรือมี การหมักหมมสะสมมากเกินไป ก็จะถูกดูดซึม
กลับหรือแพร่กระจายกลับไปทำาลายทุกอวัยวะในร่างกาย ทำาให้
ร่างกายทรุดโทรมและเจ็บป่วย ในทางตรงกันข้ามการสวนล้างสำาไส้
ใหญ่(ดีทอกซ์) นั้นจะสามารถขับและระบายพิษทั้งสามประการออก
จากร่างกายได้ อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และพลังงานของ
สมุนไพรที่ถูกกันที่เราใส่เข้าไปนลำาไส้ใหญ่ ก็จะเคลื่อนไปดับพิษ
ปรับสมดุลทุกอวัยวะในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ำ
ทำาให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
วิธีทำำ เลือกสมุนไพรที่เหมาะสม คือ เมื่อใช้ทำาดีท๊อกซ์แล้วรู้สึก
สดชื่นโปร่งโล่งสบาย ตัวอย่างสมุนไพร เช่น ใบเตย 1 ใบ อ่อมแซบครึ่งกำามือ ย่านาง 1-3 ใบ นำ้ามะนาว
ครึ่ง-1 ช้อนโต๊ะ นำ้ามะขามครึ่งกำามือ มะขามเปียก 1-3 ฝัก ใบส้มป่อยครึ่งกำามือ กาแฟ 1 ช้อนชา บอระเพ็ด
1 ข้อนิ้วมือ ลูกใต้ใบ 1 ต้น ฟ้าทะลายโจร 1 ยอด(ยาวครึ่ง-1 คืบ) เป็นต้น ให้เลือกใช้สมุนไพรอย่างใด
อย่างหนึ่งที่ถูกกับร่างกายเรา คือ พอทำาดีทอกซ์แล้วรู้สึกสดชื่น โปร่ง โล่ง เบา สบายตัว ถ้าใช้แล้วไม่
สบายก็แสดงว่าไม่ถูกกับคนนั้น ณ เวลานั้น ควรงดเสีย
นำาสมุนไพรต้มในนำ้าเปล่า เดือดประมาณ 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่น หรือใช้ใบสมุนไพรสด ขยี้
กับนำ้าเปล่า กรองผ่านกระชอน นำานำ้าที่ได้ ไปใส่ขวดหรือถุง ทีเป็นชุดสวนล้างลำาไส้ โดยทั่วไปใช้น้
่
สมุนไพร 500-1,500 ซี.ซี. เปิดนำ้าให้วิ่งตามสายเพื่อไล่อากาศออกจากสายแล้วล็อคไว้
จากนั้น นำาเจลหรือวาสลีนหรือนำ้ามันพืชหรือว่านหางจระเข้ทาที่ปลายสายสวน ประมาณ 1 ซม. เพื่อหล่อ
ลื่น หรืออาจใช้ปลายสายสวนจุ่มในนำ้าก็ได้ ต่อจากนั้น ค่อย ๆ สอดปลายสายสวนเข้าไปทีรูทวารหนัก สอด
่
่
ให้ลึกเข้าไป ประมาณเท่านิ้วมือเรา (ประมาณ 3-5 นิ้วฟุต) ยกหรือแขวนขวดสมุนไพรสูงจากทวารประมาณ
2 ศอก ค่อย ๆ ปล่อยนำ้าสมุนไพรให้ไหลเข้าไปในลำาไส้ใหญ่ของเรา โดยใส่ปริมาณนำ้าเท่าที่ร่างกายเรารู้สึก
สบายที่ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบากเกินไป แล้วใช้มือนวดคลึงที่ท้อง พอปวดอุจจาระก็ไปถ่ายระบายออก
ในขณะที่ทำาดีทอกซ์เราสามารถนอน(ส่วนใหญ่นิยมนอนทำา) นั่งหรือยืนทำาก็ได้ ตามความเหมาะสมของ
สภาพร่างกายและสถานที่
ในกรณีที่คนกลั้นได้เก่ง เมื่อรู้สึกปวดถ่ายครั้งแรกให้กลั้นไว้ก่อน เพื่อให้ลำาไส้บีบตัว สิ่งสกปรกที่ติดบริเวณ
ผนังลำาไส้จะได้หลุดออกมาที่นำ้าดีทอกซ์ ซึงส่วนใหญ่มักไม่เกินครึ่งนาทีก็จะหายปวด พอปวดอีกครั้งก็ไป
่
ถ่ายออก จะทำาให้พิษถูกระบายออกได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่มีกำาลังกลั้น พอปวดครั้งแรกก็ให้ไปถ่ายระบายออกเลย
โดยไม่ต้องคำานึงถึงระยะเวลาการกลั้น เฉลี่ยไม่ควรเกิน 20 นาที
สำาหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก อาจทำาดีทอกซ์ วันละ 1-2 ครั้ง อาจมากหรือน้อยกว่า ตามสภาพของร่างกาย
คือ ทำาเท่าที่รู้สึกสบาย ส่วนคนทั่วไป ทำาดีทอกซ์เฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง หรือตามสภาพร่างกาย คือ ทำา
เท่าทีรู้สึกสบาย
่
- 8. สำำหรับกรณีที่มีกำรผ่ำตัดสำำไส้่ ควรรอให้แผลหายดีอย่างน้่อยหลัีงผ่าตัด 3 เดือนขึ้นไป จึงค่อยทำาดี
ทอกซ์ โดยครั้งแรก ๆ ให้ใช้นำ้าดีทอกซ์น้อย ๆ แค่พอรู่้สึกปวดระบายถ่ายท้องก่อน พอลำาไส้ปรับสภาพ
ดีแล้วจึงค่อยเพิ่มนำ้าดีทอกซ์ในปริมาณที่รู่้สึกสบาย (ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบาก)
ถ้ำทำำดีทอกซ์แล้วรู้สึกไม่สบำยมักเกิดจำก
1. สมุนไพรนั้นไม่ถูกกับร่างกายเรา เช่น บางคนเวลาใช้กาแฟทำาดีทอกซ์แล้วจะรู้สึกใจสั่นอ่อนเพลีย ก็
แสดงว่าคนนั้นไม่ถูกกับกาแฟ ถ้าใช้กาแฟทำาดีทอกซ์แล้วรูึ้สึกสบาย ก็แสดงว่าคนนั้นถูกับกาแฟ
2. ใช้สมุนไพรเข้มข้นเกินไป ทำาให้สมุนไพรเคลื่อนเข้าร่างกายเร็วและมากเกินไป เพราะช่องทางของ
ลำาไส้ใหญ่นั้นเป็นเส้นทางลมปราณที่สำาคัญมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่พลังานจะเคลื่อนเข้า-ออกเร็วมาก
ดังนั้นช่องทางนี้ควรใช้สมุนไพรเจือจางแค่พอดีสบายจะดีที่สุด
3. เลือกใช้นำ้าไม่ถูกกัน ณ เวลานั้น บางคนถูกกับนำ้าอุ่น บางคนถูกกับนำ้าอุณหภูมิธรรมดา ให้ดูที่ความ
รูสึกสบายเป็นหลัก
้
4. ปริมาณนำ้ามากเกินไป ให้ใส่นำ้าในปริมาณที่รู้สึกสบายหรือทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบาก
5. แขวนขวดสูงเกินไป ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ แรงและเร็วเกินไป มักจะทำาให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน
หรือเวียนศรีษะได้ง่าย ดังนั้น ควรค่อย ๆ ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ช้า ๆ เท่าทีรู้สึกสบาย กรณีที่แขวนขวดสูง
่
ควรใช้เทคนิคการบีบหรือหักสายดีทอกซ์ แล้วค่อย ๆ ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ช้า ๆ ในปริมาณที่เรารู้สึก
สบาย
6. กลั้นอุจจาระนานจนรู้สึกทรมานเกินไป ให้กลั้นในจุดที่เรารู้สึกทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบากเกินไป
กลับสารบัญ
4. กำรแช่มอแช่เท้ำในนำ้ำสมุมไพร
ื
ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น ประมาณ ครึ่ง- 1
กำามือ เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ)
ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด ใบมะขาม ใบ
ส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย
เป็นต้น จะใช้สมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ ต้มกับนำ้า 1
ขัน (ประมาณ 1 ลิตร) เดือดประมาณ
5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่นแค่
ึ
พอรู้สึกสบาย ถ้าไม่มีสมุนไพรเลยก็ใช้นำ้า
เปล่าต้มให้เดือดแล้วผสมนำ้าธรรมดา ให้
อุ่นก็ได้ จากนั้นแช่มือแช่เท้่า แค่พอท่วม
ข้อมือข้อเท้่า 3 นาที แล้วยกขึ้นจากนำ้าอุ่น
1 นาที ทำาซำ้าจนครบ 3 รอบ โดยทำาวันละ
็
ประมาณ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ค่อยมีเวลาทำาเฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นต้มแล้วรู้สึกไม่
สบายก็ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนต้ม ถ้ารูสึกสบายกว่า ในกรณีที่ แช่นำ้ำต้มสมุนไพรแล้วมีอำกำรไม่
้
สบำย ก็ให้งดเสีย แสดงว่าสภาพร่างกายตอนนั้นไม่ถูกกับนำ้าอุ่น นำ้าร้อน อาจแช่นำ้าธรรมดาหรือนำ้าสมุนไพร
สดที่ไม่ผ่านความร้อนแทน ถ้าทำาแล้วรู้สึกสบาย โดยแช่นาน เท่าที่รู้สึกสบาย
- 9. กลไกการถอนพิษก็คือ ร่างกายมีธรรมชาติของการระบายพลังงานที่เป็นพิษจำานวนมากออกทางมือเท้าอยู่
่
แล้ว จะเห็นได้ว่าแพทย์โบราณหลายประเทศมีการกดจุดหรือขูดระบายพิษจากมือและเท้า เมื่อคนเราใช้มือ
ี
และเท้าในกิจวัตรประจำาวัน กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่มือและเท้ามักก็จะเกิดสภาพแข็งแรงเกร็งค้าง ทำาให้ขวาง
เส้นทางการระบายพิษจากร่างกาย การแช่ในนำ้าอุ่นจะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่แข็งแกร็งค้างคลายตัว
ั
พลังานที่เป็นพิษในร่างกายจึงจะระบายออกได้ดี ทำาให้สุขภาพดีขึ้น
ี
จากการเก็บสถิติ ณ ปัจจุบัน พบว่า เมื่อแช่ในนำ้าอุ่นพลังงานพิษที่อัดอยู่ในร่างกายจะเคลื่อนออกภายใน 3
ื
นาที หลังจากนั้น พิษของนำ้าอุ่นนำ้าร้อนจะเคลื่อนเข้าไปทำาร้ายร่างกาย เมื่อแช่นำ้าอุ่นนานเกิน 3 นาที จึงมัก
จะพบว่า มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายในร่างกาย หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ไปแช่นำ้าดโป่ง เดือดหรือ
นำ้าพุร้อน ถ้าแช่นานเกิน 3 นาที พอขึ้นมาจากการแช่ ก็มักจะมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายต่าง ๆ เพราะ
พิษจะเคลื่อนออกได้แค่ประมาณ 3 นาที จากนั้นพิษของนำ้าอุ่นจะเคลื่อนเข้าทำาร้ายร่างกาย
ดังนั้น คนที่มีความรู้ก็จะแช่นำ้าอุ่นแค่ 3 นาที แล้วขึ้นจากนำ้าอุ่น 1 นาที เมื่อร่างกายเย็นดีแล้ว พลังงานพิษ
ร้อนในร่างกายก็จะเคลื่อนสวนทางกับความเย็น เมื่อเราแช่ในนำ้าอุ่นอีกครั้ง กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว พลังงาน
พิษร้อนก็จะเคลื่อนออกจากร่างกายได้มาก ผู้เขียนพบว่า พิษสามารถเคลื่อนออกได้มากเพียง 3 รอบ หลัง
จากนั้น ถ้าเรายังแช่นำ้าอุ่นต่ออีก พิษนำ้าอุ่นก็จะเคลื่อนเข้าไปทำาร้ายร่างกาย
กลับสารบัญ
5. กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือเมื่อใช้แล้วรู้สกสบำย
ึ
เช่น พอกด้วยกากสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือพอกทาด้วยผงถ่านที่ใช้ก่อไฟทั่วไป
ผสมกับนำ้าสมุนไพรฤทธ์เย็น (อาจผสมดินสอพองหรือนำ้าปัสสาวะด้วยก็ได้
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถอนพิษได้ดียิ่งขึ้น) โดยพอกทาทุก 4-6 ชั่วโมง
้
หรืออาจพอกทาทิ้งไว้ทั้งคืนก็ได้ ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นแล้วรู้สึกไม่สบาย ก็
ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน ถ้ารู้สึกสบายกว่า
กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน
การถอนพิษด้วยการพอก/ทาด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น โดยนำาสมุนไพรฤทธิ์เย็น
เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด วุ้นนว่านหาง
จระเข้ ใบมะขาม ใบส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย เป็นต้น จะใช้อย่าง
ใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ มาหั่นหรือโขลกให้แตกพอประมาณ
อาจใช้กากสมุนไพรที่เหลือจากการทำานำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นก็ได้
์
อาจใช้ผ้าชุบนำ้าสมุนไพรฤทธฺเย็นก็ได้
อาจใช้ดินคลุกกับนำ้าให้เหลวเหมือนตมก็ได้
อาจใช้นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด คลุกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากหรือ
แป้งฝุ่นที่ใช้ทาหน้าทาผิว ให้พอเหลวก็ได้
้ ์ ้
อาจใช้ นำาสกัดด้วยการกลั่นสมุนไพรฤทธฺเย็น นำ้ามันเขียว นำามันเหลือง นำ้ามันพิมเสนการบูร เมนทอล
ขึผึ้งย่านาง-เบญจรงค์
้
ขึผึ้งเสลดพังพอน ขึผึ้งแก้หวัด ยาหม่องดำา ก็ได้
้ ้
- 10. กรณีที่มีภำวะร้อนเกินและเย็นเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน
้
ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นผ่านไฟ หรือสมุนไพรทั้งร้อนและเย็นผ่านไฟ เช่น นำาสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพร
ทั้งร้อนและเย็น ต้มให้เืดือด 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่น ใช้อาบหรือนำาผ้าชุบบิดให้หมาด วาง
ประคบบริเวณที่ไม่สบาย หรืออาจนำาสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพรทั้งร้อนและเย็น หั่นให้เล็กหรือโขลก
่
พอแตก ห่อเป็นลูกประคบ นึ่งให้ร้อน วางประคบบริเวณที่ไม่สบาย ถ้ารู้สึกร้อนเกินไปก็ใช้ผ้ารองที่ผิวหนัง
ก่อนประคบก็ได้
กรณีที่มีภำวะเย็นเกินอย่ำงเดียว
์
ให้พอก ทา ประคบหรืออบด้วยสมุนไพรฤทธฺร้อน เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้ ไพล ใบมะกรูด เกลือ นำ้ามัน
พืช/นำ้ามันสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขึผึ้งขมิ้น ขึ้ผึ้งไพล ขึผึ้งนำ้ามันงา ขึผึ้งนำ้ามันระกำา เป็นต้น
้ ้ ้
กลับสารบัญ
6. กำรออกกำำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถกต้อง
ู
การบริหารกายที่ถูกต้องสมดุล เป็นประโยชน์สูงสุดกับร่างกาย เมื่อทำาเสร็จ ต้องได้คุณสมบัติ 3 อย่าง
1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ
การจะได้คุณสมบัติทั้ง 3 อย่างดังกล่าว ต้องมีการบริหารกาย 2 ลักษณะ
- 11. 1. กำรออกกำำลังกำยที่มีกำรใช้กำำลังแรงกำย
ถ้าไม่ออกกำาลังกายที่ใช้่แรงกำาลัง กล้ามเนื้อก็จะไม่มีกำาลังที่จะบีบเอาของดีไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ
ี
ร่างกาย ไม่มีกำาลังที่จะบีบเอาของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายก็จะเสื่อมเร็วและเกิดคววมเจ็บป่วยตามมา
การออกกำาลังกายที่ดี ต้องใช้กำาลังเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันนานพอประมาณ (เฉลียโดยทั่วไป ใช้เวลา
่
ประมาณ 15-45 นาที อาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ตามสภาพร่างกายของบุคคลนั้น ๆ ณ เวลานั้น อาจทำา
ทุกวันหรือวันเว้นวันก็ได้) โดยออกกำาลังกายจนถึงขั้นหอบเหนื่อยแต่ไม่มากเกินไปถึงขั้นหอบเหนื่อยจน
รูสึกใจสั่นหวิวหรือพูดกบคนอื่นไม่ชัดถ้อยไม่ชัดคำา พอพักไม่เกิน 10-20 นาที ก็สามารถหายเหนื่อยและ
้
ทำางานตามปกติได้ จึงจะทำาให้กล้ามแข็งแรงมีกำาลังสามารถบีบของดีไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
สามารถบีบของเสียออกจากร่างกายได้ ทำาให้เลือดลมไหลเวียนดี เช่น เดินเร็ว(เหมาะสำาหรับทุกวัย โดย
เฉพาะวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป) วิ่งจ๊อกกิ้ง (มักเหมาะสำาหรับเด็กหรือวัยรุ่น) กระโดดเชือก ว่ายนำ้า ปันจักรยาน
่
เป็นต้น
2. กำรกำยบริหำรที่สร้ำงควำมยืดหยุนให้กล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น สร้ำงกำรเข้ำที่เข้ำทำงของ
่
้
กระดูก กล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น
้
แพทย์แผนปัจจุบันพบว่า ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ยืดหยุ่น หรือกระดูกเส้นเอ็นและกล้าม
เนื้อเคลื่อนออกจากตำาแหน่งปกติ ก็จะกดรัดเส้นเลือดเส้นประสาท เลือดลมจะไหลเวียนไม่สะดวก ทำาให้
เกิดความเจ็บปวดมึนชา และความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
ี
แพทย์ทางเลือกพบว่า พลังงานลมปราณ คือ พลังงานที่หล่อเลี้ยงร่างกาย อันเกิดจากการสันดาปเผา
ผลาญอาหาร ตั้งแต่ระดับหยาบจนถึงระดับละเอียด และพลัีงงา
นที่เป็นพิษเป็นของเสียอันเกิดจากการสันดาปอาหาร ตั้งแต่
ระดับหยาบจนถึงระดับละเอียด รวมถึงพลังานที่เป็นพิษอื่น ๆ ที่
ร่างกายรับเข้าไป
และแพทย์ทางเลือกก็พบว่า พลังงานที่ดีจะขับเคลื่อนไปหล่อ
เลียงร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุด ทางเส้นลมปราณ ส่วนพลังงาน
้
้
ที่ไม่ดีจะถูกขับออกจากร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุดทางเส้น
ลมปราณเช่นเดียวกัน ซึ่งการเคลื่อนของพลังงานทั้งที่ดีและไม่
ดีดังกล่าว จะเคลื่อนตามข้างกระดูก ข้างเส้นเอ็น ข้างเส้น
ประสาทและตามร่องของกล้ามเนื้อ ซึงตรงกับเส้นลมปราณ
่
หลัก 12 เส้นของแพทย์แผนจีนและเส้นลมปราณหลัก 10 เส้น
ของแพทย์แผนไทย(เส้นสิบ)
ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ืยืดหยุ่น หรือกระดูก
เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเคลื่อนออกจากตำาแหน่งปกติ จะทำาให้
การเคลื่อนของพลัีงงานดังกล่าวติดขัด เกิดอาการกำาลังตกและ
เกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ ทันที เรียกว่าลมปราณติดขัด/
ลมปราณล็อค แต่ถ้าแก้ไขให้เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
และเส้นเอ็น ให้เกิดการเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและ
กล้ามเนื้อ อาการกำาลังตกและอาการไม่สบายต่าง ๆ จะทุเลา
๋
เบาบางหรือหายไปอย่างรวดเร็ว จนน่าประหลาดใจ
- 12. หลายครั้งที่ผู้เขียนพบผูป่วยที่อาการ หนักจวนเจียนจะเสียชีวิต บางคนแพทย์แผนปัจจุบันถึงกับต้องให้
้
่ั
ออกซิเจนให้ยาแผนปัจจุบันต่าง ๆ เพื่อช่วยชีวิตฉุกเฉิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยเรื้อรังทีรับประทาน
ยาอย่างไรก็ไม่หาย แต่พอปรับสมดุลให้เส้นลมปราณเข้าที่(เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ้
้
เกิดการเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ) อาการกลับทุเลาเบาบางหรือหายไปอย่างรวดเร็ว
ื
เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง วิชาดังกล่าวนั้น อยู่ในแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญ
การจัดกระดูกและการกดจุดลมปราณ
ี
และแต่ละท่านก็สามารถปฎิบัติได้เอง หรือช่วยเหลือญาติที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ ด้วยการฝึกกดจุดลมปราณ
โยคะ กายบริหาร ซึ่งเป็นสวนที่สำาคัญอีกอย่างหนึ่งของการบำาบัดรักษา ควบคุมป้องกันโรค ฟื้นฟูสขภาพ ุ
และสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง เพราะจะทำาให้เกิดการไหลเวียนเลือดลมที่ดี สสารและพลังทีดีสามารถ ่
เคลื่อนไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ สสารและพลังงานที่ไม่ดีที่เ่ป็นพิษไม่ว่าจะเป็น
พิษร้อนหรือพิษเย็นสามารถถูเคลื่อนขับออกจากร่างกายได้อย่างมีประสทธิภาพ
การกดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร ถ้าเราทำาได้ถูกต้องหลังทำาเสร็จก็จะทำาให้เกิดสภาพเบาสบายและมี
กำาลังในตัวเราทันที
กลับสารบัญ
7. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย
พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า " อาหารเป็นหนึ่งในโลก " อาหารที่สมดุล ก็จะได้สุขภาพดีที่หนึ่ง อาหารไม่สมดุล
ก็จะได้สขภาพเสียที่หนึ่ง
ุ
ตัวอย่ำงอำหำรที่มผลต่อสุขภำพ
ี
มีผป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ท่านหนึ่งอยู่ภาคเหนือ มีอาการ
ู้
ปัสสาวะเป็นเลือด ได้ไปจี้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เสียค่า
รักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เลือดก็ออกมาอีก
ในขณะที่ผป่วยกำาลังเดินทางมาเข้าค่ายทีผู่้เขียนจัด ผูป่วยได้
ู่้ ่ ้
ปรึกษามา ทีมงานสุขภาพ จึงได้แนะนำาว่าเป็นภาวะร้อนเกิน ให้หาิ
สิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทาน ผูป่วยได้เฉาก๊วยซึ่งมีฤทธฺ์เย็นมารับ
้
ประทาน ปรากฏว่า จากปัสสาวะเป็นเลือดสีนำ้าล้างเนื้อ ก็ค่อย ๆ ใส
ขึนเรื่อย ๆ จนเป็นปกติ (เลือดหยุดไหล) ภายใน 4 ชั่วโมง จะเห็น
้
ได้ว่า การไปจีที่โรงพยาบาล เสียค่ารักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท แต่
้
่ ่
การรู้อาหารร้อน-เย็นแล้วปรับสมดุลตัว เสียค่าใช้จ่ายซื้อเฉาก๊วยแค่ 5 บาท
ลูกศิษย์ของผู้เขียนท่านหนึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ มีอาการปวดศรีษะ เมื่อรู้ว่าเกิดจากภาวะร้อนเกิด แต่ไม่
ู ๋
อยากรักประทานยาแก้ปวดเพราะรู้ว่ายาแก้ปวดทุกชนิดที่เป็นเคมีพิษต่อร่างกาย จึงไปเอามังคุด ซึ่งมีฤทธิ์
เย็นมารับประทาน ประมาณ 6 ลูก อาการปวดศรีษะก็หายไป
ผูป่วยเอดส์คนหนึ่ง มีตุ่มหนองเริมงูสวัดขึ้นทั้งตัว หมอท่านหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยอยู่ ได้โทรมาปรึกษาผู่้เขียน ผู่้
้
เขียนจึงบอกว่า เป็นภาวะร้อนเกิน ให้ถอนพิษร้อน ช่วงเวลาต่อมา หมอท่านนั้นได้มากล่าวคำาขอบคุณผู้่
- 13. เขียน และบอกว่าหลังจากที่ปฎิบัติแค่ 2 วัน อาการดังกล่าวก็ุยุบลง ผูเขียนจึงถามว่าทำาอย่างไร หมอท่าน
้
์
นั้นตอบว่า ต้มฟัก ต้มถั่วเขียวให้รบประทาน (ฟักและถั่วเขียว มีฤทธฺเย็น)
ั
อีกกรณี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนไปรับประทานจับฉ่าย (ซึ่งมีฤทธิร้อนมาก จากนำ้ามันและการอุ่นซำ้า ๆ) เกิด
์
อาหารหูอื้อ (หูดับตับไหม้/ตับร้อน) ผูเขียนจึงแก้ไขด้วยการเอาส้มตำารสไม่จัด(มีฤทธิ์เย็น) มารับประทาน
้
อาการทุเลาและหายภายใน 5 นาที จากนั้นผู้เขียนก็รับประทานจับฉ่ายอีก อาการหูอื้อก็กับมาอีก พอรับ
ประทานส้มตำาแก้ อาการหูอื้อก็หายไปอีก
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผู้เขียนไม่สามารถนำาเสนอได้หมดในที่นี้ จะเห็นได้ว่า อาหารมีผลต่อสุขภาพ
้
อย่างมาก อาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ถ้าเรารีบแก้ด้วยการปรับสมดุลด้วยอาหาร อาการก็มักจะทุเลาหรือหาย
ไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยก็มักจะทุเลาหรือหายไปอย่าง
่
รวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยอาหาร จึงเป็นสิ่งจำาเป็นที่สำาคัญมากอีก
อย่างหนึ่งที่น่าฝึกฝนเรีบนรู้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
7.1 เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา (สำาหรับผู้ที่ไม่สามารถงด
เนื้อสัตว์)
้
7.2 ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ควรปรุงรสอยู่ในระดับ
ประมาณ 10-30 % ของที่เคยปรุง อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านี้ตามความสมดุลพอดีของร่างกาย ณ ปัจจุบัน
นั้น ๆ ซึงตัวชี้วัดของความสมดุลพอดี คือ ความรู้สุึกสบาย เบากาย มีกำาลัง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อย
่
้่
ๆ ลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำาบากนัก
7.3 งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน นำ้าหวาน นำ้าอัดลม เครื่องบำารุงกำาลัง ผล
ไม้หรือนำ้าผลไม้ที่หวานจัด อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมาก และ
ื
อาหารที่มีผงชูรสมาก (มีการวิจยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิน เค็มจัดหรือมี
ั
ผงชูรสมาก ทำาให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโตนำ้าหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมต้านทานลด และรหัสพันธุกรรม
ิ
่
ผิดปกติ) อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ
อาหารทะเล เป็นต้น และอาหารที่ปรุงรสอื่น ๆ จัดเกินไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว ขม ฝาด เป็นต้น
ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ นำ้าอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่ม
้
บำารุงกำาลังต่าง ๆ นำาหมัก ข้าวหมาก รวมถึงอาหารที่มีวิตามินน้อย แต่มีโซเดียมหรือไขมันสูงเกิน ได่แก่
อาหารแปรรูปหรือสำาเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำาเร็จรูป ขนมอม ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง
้
ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค้ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียม
สูง)เป็นต้น
7.4 หลักปฎิบัติ 4 อย่าง ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี
- 14. 1. ฝึกรับประทานอาหารตามลำาดับ
2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
3. รับประทานในปริมาณที่พอดีรู้สึกสบาย
4. กลืนลงคอให้ได้ เพราะอาหารสุขภาพมักจะไม่อร่อย ยกเว้น ผู้ที่มบุญบารมีมากหรือผู้ที่ฝึกรับ
ี
ประทานบ่อย ๆ จะรูสึกอร่อยไปเอง
้
เทคนิคที่สำาคัญในการรับประทานอาหารให้อร่อย คือ รอให้รู้สึกหิวมาก ๆ ก่อนแล้วค่อยลงมือรับประทาน
พร้อม ๆ กับหมั่นระลึกถึงประโยชน์ของอาหารสุขภาพให้มาก และหมั่นระลึกถึงผลเสียของอาหารที่ไม่
สมดุลหรือเป็นพิษให้มาก
กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน ในมื้อหลัก 1 มื้อ ใน 1 วัน อาจเป็นช่วงเช้าหรือเที่ยงก็ได้ มีเทคนิคการรับประทาน
อาหารตามลำาดับ คือ
ลำาดับที่ 1 ดื่มนำ้าสมุนไพรปรับสมดุล เช่น นำ้าย่านาง ฯลฯ
ลำาดับที่ 2 รับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น กล้วยนำ้าว้า แก้วมังกร กระท้อน สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ มังคุด
แตงโม แตงไทย ฯลฯ
ลำาดับที่ 3 รับประทานผักฤทธิ์เย็นสด เช่น อ่อมแซบ(เบญจรงค์) ผักบุ้ง แตง กว้างตุ้ง สายบัว ผักกาด
ฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักสลัด
ลำาดับที่ 4 รับประทานข้าวจ้าวพร้อมกับข้าว โดยรับประทานข้าวกล้องหรือข้าวซ๋อมมือ ควรงดหรือลด
คาร์โบไฮเดรท ที่มีฤทธิร้อนมาก
์
เช่น ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำา(ข้าวกำ่า ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าบาเลย์ เผือก
ี
มัน กลอย
ลำาดับที่ 5 รับประทานต้มถั่วหรือธัญพืชฤทธิ์เย็น เช่น ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์
ขาว ลูกเดือย
่
กรณีที่มีภำวะเย็นเกินแทรกขึนมำ ให้กดนำ้าร้อนใส่สมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือตั้งไฟให้ร้อนก่อนรับประทาน
้
์
ลดหรืองดสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทานผักหรืออาหารผ่านไฟให้มากขึ้น เพิ่มสิ่งที่มีฤทธฺร้อนเข้าไป ตามสภาพ
ร่างกายที่รับประทานแล้วรู้สึกสบาย
กลับสารบัญ
- 15. 8. ใช้ธรรมะ ทำำใจให้สบำย ผ่อนคลำยควำมเครียด
ลด ละ เลิกและหลีกเลี่ยง อารมณ์ทำทำาลายสุขภาพ/อารมณ์ที่เป็นพิษ ได้แก่ ความเครียด ความเร่งรีบ/
ี่
่
เร่งรัด/เร่งร้อน ความวิตกกังวล ความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ ความมุ่งร้าย อาฆาต
พยาบาท ความโลภ โกรธ หลง ยึดเกิน เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น เพราะผู้ที่มีอารมณ์ดังกล่าว จะทำาให้
ร่างกายหลั่งสารแอดดรีนาลีนออกมาจากต่อมหมวกไต สารดังกล่าวจะกระตุ้นเซลล์เยื้อเยื่อทุกส่วนของ
ร่างกายผลิตพลังงานอย่างมากมายจนเกินความสมดุลพอดีของร่างกาย พลังงานส่วนเกินที่ไม่สมดุลดัง
กล่าว จะเผาทำาร้ายเซลล์เนื้อเยื่อทุกส่วนในร่างกาย อวัยวะใดที่อ่อนแอก็จะแสดงอาการไม่สบายก่อน
อวัยวะอื่น ถ้าอารมณ์ดังกล่าวยังอยู่อวัยวะอื่น ๆ ก็จะเสื่อมและแสดงอาการไม่สบายตามกันไป
่
ตรงกันข้ามถ้าเราสามารถสลายอารมณ์ดังกล่าวได้ จิตใจก็จะรู้สึกสบาย เบิกบานแจ่มใส มีความสุข สารเอ็น
โดรฟินก็จะหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองที่่ ืชื่อต่อมพิทูอิทารี่ สารดังกล่าวมีฤทธิระงับปวดแรงกว่าฝิ่น 200
์
เท่า (แต่ไม่มีพิษเหมือนฝิ่น) จึงช่วยบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดีิ และสารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการช่วยส่ง
พลังชีวิต / พลังงานที่เป็นประโยชน์ไปยังเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย จึงช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายแข็ง
แรง ช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง เม็ดเลือดขาวจึงสามารถกำาจัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมและสิ่งที่เป็นพิษ
ออกจากร่างกายได้ดี ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้นเหตุที่ทำาให้เกิดทุกข์ก็คือ การยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในสิ่งนั้น ๆ จึงทำาให้เกิดพลังงาน
อารมณ์ทุกข์ในใจ เกิดอารมณ์ทำทำาลายสุขภาพหรืออารมณ์ที่เป็นพิษ เทคนิคที่สำาคัญในการสลายล้าง
ี่
พลังงานยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในสิ่งนั้น ๆ เพื่อดับต้นเหตุของทุกข์ ดับอารมณ์ที่ทำาลายสุขภาพ/อารมณ์ที่เป็น
พิษ ได้แก่ การหมั่นไตร่ตรองผลเสียของการเสพ/การติด/การยึดมั่นถือมั่นปักมั่น/การเอา สิ่งนั้น ๆ และ
ี
หมั่นไตร่ตรองผลดีของการไม่เสพ/ไม่ติด/ไม่ยดมั่นถือมั่น/ไม่ปักมั่น/ไม่เอา/ให้/ปล่อย/วาง สิ่งนั้น ๆ ให้เป็น
ึ
ของโลก ให้หมุนวนเกิดดับ ๆ อยู่ในโลก พร้อม ๆ กับการไตร่ตรองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารับอยู่เป็นอยู่ไม่ว่า
จะดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจาก สิ่งทีเราทำามาทั้งชาตินี้และชาติก่อน เมื่อให้ผลของการกระทำาแล้วก็จบดับไป
่
โดยไตร่ตรองซำ้าแล้วซำ้าอีกหลาย ๆ ครัง ในขณะที่มีอารมณ์ทุกข์หรืออารมณ์ ที่เป็นพิษนั้น จนพลังงานหรือ
้
อารมณ์ที่ทุกข์นั้นลดน้อยลงหรือหายไป ถ้ามีอารมณ์ทุกข์ดังกล่าวอีก เราก็ปัสสนาอีก ทำาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าอารมณ์ที่เป็นทุกข์นั้น จะหมดไปจากชีวิตเรา
ั
ยิงถ้าเราทำาควบคู่พร้อมกับสมถะก็ยิ่งดี (สมถะไม่ใช่ตัวล้างพลังงานทุกข์ แต่เป็นตัวที่เสริมพลังของวิปัส
่
สนาให้มีประสิทธิภาพในการล้างสลายพลังงานที่เป็นทุกข์ให้ดียิ่งขึ้น) สมถะ คือ การอดทนฝึนข่มที่จะไม่
ทำาตามกิเลส/ซาตาน การหลบเลี่ยงพรากห่าง เมื่อรู้สึกว่า มีความเครียดมากเกินไป ทนฝึนได้ยากทนฝืนได้
ลำาบาก ถ้าอยู่ในจุดที่มีกิเลสนั้น ๆ การฝึกจิตให้สงบด้วยการเอาจิตไปกำาหนดไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจุดใดจุด
ี
หนึ่ง และการใช้ปัญญาสมถะ เช่น มัน/เขาก็เป็นธรรมดาของมัน/เขาอย่างนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น
ตั้งอยู่่และดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมสโกมหิ กรรมทายาโท กรรมโยนิ กรรมพันธุึ กรรมปฏิสรโน แปลว่า เรามีกรรมเป็น
ของ ๆ ตน เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นผู้ให้ผล สิ่ง
ที่ตนเองและผู้อื่นได้รับ ล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำาของแต่ละคนแต่ละคนเองทั้งนั้น
นับว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผลรู้ที่ไปที่มาของการเกิดดับของทุกสิ่งทุกอย่างโดยแท้ ซึง
่
คำาตรัสทุกคำาของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสว่าเชื้อเชิญหรือท้าทายให้มาพิสูจน์กันได้(เอหิปัสสิโก)
เป็นจริงตลอดกาล(อะกาลิโก) ผูศึกษาและปฏิับัติพึงรู้เห็นได้ด้วยตนเอง(สันทิฏฐิโก) พระพุทธเจ้าและ
้ ุ
- 16. ครูบาอาจารย์สอนว่า ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก(การกระทำาและผลของการกระทำา) ย่อมเป็นผู้งมงายอย่าง
แท้จริง มืดดำามืดบอด(ไสยศาตร์) อย่างแท้จริง ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ที่ไปที่มาของสิ่งใด ๆ ในโลก
ั
การจะล้างหรือดับพลังงานที่เป็นทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราต้องปฎิบัติสมถะธุระ และวิปัสสานะธุระ
ควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัตซำ้า ๆๆๆๆๆๆ จนเกิดผลำาเร็จคือ อาการทุกข์ในใจลดน้อยลงหรือหมดไป
ิ
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "วิริเยนะทุกขมเจติ" แปลว่า คนล่วงทุกข์ได้เพรำะควำมเพียร
ุ
กำรฝึกพรหมวิหำร 4 ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำาให้เกิดสุขภาพดี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฏก " อนา
ยุสสสูตร " ว่า การปฏิบัติพรหมวิหาร 4 (พรหม 4 หน้า) ได้แก่
1. เมตตำ (ปรารถนาให้ผู้อื่นผาสุก/พ้นทุกข์/ได้ประโยชน์/ได้สิ่งที่ด) ี
2. กรุณำ (ลงมือกระทำาตามที่เราปรารถนาให้เกิดสิ่งที่ดีนั้น ๆ)
3. มุทิตำ (ยินดีที่เขาได้ดีหรือเมื่อเกิดสิ่งที่ดี)
4. อุเบกขำ จิตอยู่ในสภาพปล่อยวาง/สงบสบาย (เมื่อได้พากเพียรพยายามทำาดีเต็มที่แล้ว ไม่ว่าดีจะเกิด
ขึนมาก เกิดขึ้นน้อยหรือดีไม่เกิดขึ้น ก็ปล่อยวางสิ่งนั้นให้โลก เป็นผู้ไม่ติดไม่หลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นใน
้
การกระทำาและผลของการกระทำา ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นผู้ไม่อยากได้ไม่อยากเป็นไม่อยากมีอะไร
ตอบแทน จึงสงบสบายไม่มีทุกข์ในใจใด ๆ) เป็นเหตุให้แข็งแรงอายุยืน
แต่บางคนที่หลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในดีมาก ๆ (หลงดี) ก็จะใจร้อนเร่งรัดเร่งรีบ ไปกดดัน/บีบคั้น/บีบบังคับ/
ยัดเยียดสิ่งที่ตนเห็นว่าดีให้กับตนเองและผู้อื่น จนเกิดทุกข์โทษภัยผลเสียต่อตัวเองและผู้อื่น เรียกว่า
พรหม 3 หน้ำ หลงติดหลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในหน้าที่ 3 ของพรหม หลงติดยินดีที่เขาได้ดี หลงติดยินดีที่
ดีเกิด แต่ถ้าเขาไม่ได้ดีหรือดีไม่เกิดก็จะยินร้าย ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใจ แล้วทำา
อุเบกขาวางวางดีวางทุกข์ไม่เป็น ความจริงแล้ว การมีมุทิตา(ยินดีที่เขาได้ดีหรือเกิดดี) เป็นสิ่งที่ดี แต่การ
หลงติดหลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในมุทิตานั้นไม่ดี
ุ
เทคนิคดับโลก(โรค) ร้อนด้วยวิถีแห่งพรหม
โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง พรหม 3 หน้ำ และ พรหม 4 หน้ำ