SlideShare a Scribd company logo
1 of 18
เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ                        เทคนิค 9 ข้อ (ยา 9 เม็ด)



                                                                 เพื่อควบคุมป้องกันโรค บำำบัด
                                                                 บรรเทำโรคและฟื้นฟูสุขภำพ
                                                                 ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง
                                                                 สถิติพบว่ามีผป่วยจำานวน 1,397
                                                                                ู้
                                                                 คน หลังจากที่ใช้เทคนิคการดูแล
                                                                 สุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง
                                                                 ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ
                                                                 ภายใน 5 วัน ผู้ป่วยมีอาการของ
                                                                 ความเจ็บป่วยลดน้อยลงจำานวน
                                                                 1,291 คน คิดเป็น 92.41 % ซึง   ่
                                                                 ส่วนใหญ่เป็นโรคหรืออาการที่
                                                                 แพทย์แผนปัจจุบัน วินิจฉัยว่า ...
                                                                 เป็นโรคเรื้อรัง ต้องตายหรือรักษา
                                                                 ไม่หาย เช่น มะเร็ง เนื้องอก
เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้
เก๊าท์ รูมาตอยด์ ปวดตามข้อ ปวดตึงเมื่อย ตามร่างกาย โรคทางเดินกระเพาะอาหารลำาไส้เรื้อรัง
อ่อนเพลียอ่อนล้า หน้ามืด วิงเวียนปวดศรีษะเรื้อรัง
ภูมิต้านทานลด และการอักเสบ เรื้อรังตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น

ในจำานวนดังกล่าวนั้น มีผู้ป่วยเบาหวาน จำานวน 117 คน ระดับนำ้าตาลในเลือดลดลงคิดเป็น 88.03 % ผู้
ป่วยความดันโลหิตสูง จำานวน 158 คน ระดับความดันโลหิตสูงลดลง คิดเป็น 83.54 %

ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง จำานวน 78 คน ไขมันไตรกลีเซอไรด์และคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง คิดเป็น     ็
73.78 % ผูป่วยมะเร็ง 111 คน
              ้
อาการเจ็บป่วยทุเลาลว 85.59 % (ในจำานวนผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด หลังจากปฎิบัติตัวอย่างต่อเนื่อง มีผล
ตรวจร่างกายจากแพทย์แผนปัจจุบัน
ไม่พบมะเร็ง หรือสภาพร่างกายมีอาการเหมือนคนปกติต่อเนื่องกัน 6 เดือนขึ้นไป จำานวน 22.52 %
" มีชีวิตอยู่ด้วยอาการไม่สบายจากพิษของมะเร็งลดน้อยลง หรือยืดอายุออกไปได้มากกว่าการคาดการ
ของแพทย์แผนปัจจุบัน 63.07 % "
อาการไม่ทุเลาลง 14.41 % ) ผูป่วยโรคหัวใจ 12 คน อาการเจ็บป่วยทุเลาลง 75 %
                               ้

นอกจากนี้ ยังพบว่า อาการไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง ปวดเมื่อยตามเนื้อ
ตัว หรือความเจ็บป่วยเล็กน้อยอื่น ๆ
ก็สามารถบำาบัดบรรเทาให้ทุเลาเบาบางได้ ด้วยเทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลัก
การแพทย์วิถีพุทธ

ท่านอาจเลือกทำาเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือทำาหลายข้อร่วมกัน ตามแต่สภาพร่างกายหรือการทุเลาเบาบาง
ของความเจ็บป่วยในแต่ละท่าน
โดยมีตัวชี้วัด คือ ให้เกิดสภาพพลังชีวิต ได้แก่ สบาย เบากาย มีกำาลัง
เทคนิค 9 ข้อ             ของการพึ่งตนในการดูแลสุขภาพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง




1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล

2. กัวซำหรือขูดซำหรือขูดพิษหรือขูดลม

3. กำรสวนล้ำงลำำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์)

4. กำรแช่มอแช่เท้ำในนำ้ำสมุนไพร
          ื

5. กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือเมื่อใช้แล้วรู้สกสบำย
                                                                       ึ

6. กำรออกกำำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถกต้อง
                                                  ู

7. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย

8. ใช้ธรรมะ ทำำใจให้สบำย ผ่อนคลำยควำมเครียด

9. รู้เพียร รู้พักให้พอดี




1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล

กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน
ดืมนำ้ำำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือที่เรียกว่ำ นำ้ำคลอโรฟิลด์สดจำก
  ่
                       ้
ธรรมชำติ/นำ้ำเขียว/นำ้ำย่ำนำง

วิธีทำำ ใช้ สมุนไพรฤทธฺ์เย็น เช่น ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ ใบเตย
1-3 ใบ บัวบก ครึง-1 กำามือ หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น ใบอ่อมแซบ
                  ่
(เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำามือผักบุ้ง ครึง-1 กำามือ ใบเสลดพังพอน
                                    ่
ครึ่ง-1 กำามือ หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ และว่านกาบหอย 3-5 ใบ
เป็นต้น
จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้
ละเอียดหรือขยี้ ผสมกับนำ้าเปล่า 1-3 แก้ว (บางครั้งอาจผสมนำ้า
มะพร้าว นำ้าตาล นำ้ามะนาว นำ้ามะขาม ในรสไม่จัดเกินไป เพื่อทำาให้
ดื่มได้ง่ายในบางคน) กรองผ่านกระชอน เอานำ้าที่ได้มาดื่ม ครั้งละ
ประมาณ ครึ่ง-1 แก้ว วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง
หรือดื่มแทนนำ้าตอนที่รู้สึกกระหายนำ้า ปริมาณการดื่มและความเข้มข้นของสมุนไพร อาจมากหรือน้อยกว่านี้
ก็ได้ ตามความต้องการของร่างกาย ณ เวลานั้น ๆ โดยดูความพอดีได้จาก
                             ความรู้สึกที่กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืนไม่พะอืดพะอมและความสบายตัว

กรณีที่ดื่มนำ้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดแล้วรู้สกไม่สบำย ให้กดนำ้าร้อนใส่นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือนำาไปต้ม
                                          ึ
ให้เดือด ก่อนดื่ม หรืออาจนำาสมุนไพรฤทธ์ร้อนมาผสมก่อนดื่มก็ได้ เช่น นำานำ้าต้มขมิ้น/ขิง/ตะไคร้ มาผสม
                  ่
เป็นต้น หรืออาจดื่มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกสบาย

                                                                                           กลับสารบัญ

2. กัวซำหรือขูดซำหรือขูดพิษหรือขูดลม


                                  ิ
เป็นการแพทย์ดั้งเดิมของชาวไทยภูเขา ชาวจีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และประเทศในแถบ
เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการเอาพิษออกจากร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็น
พิษจากเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อนที่มาระบายพิษที่่ ผิวหนัง ทำาให้สามารถบรรเทาอาการไม่สบายได้อย่าง
      ๋
รวดเร็ว

ประโยชน์ของกำรกัวซำ
- เรียนรู้ง่าย สามารถทำาได้ด้วยตนเอง ทำาได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่มีผลแทรกซ้อนใด ๆ ทั้งสิ้น
- ช่วยลดอาการปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัด ไอเฉียบพลัน/เรื้อรัง
- ลดอาการเจ็บปวดมึนชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- เพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมคุ้มกันในร่างกาย สร้างความแข็งแรงให้เซลล์โดยการเพิ่มออกซิเจนและระบาย
                            ิ
ของเสียในเซลล์ ทั้งเซลล์ของเม็ดเลือดและเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็นพิษออกมา
พร้อมกับเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อน มาระบายพิษที่ผิวหนัง

วิธีกวซำ
     ั
- ควรทำาการกัวซาในสถานที่โล่งโปร่ง และลมไม่โกรกจัด

- ใช้ขผึ้งย่านาง ขึ้ผึ้งเสลดพังพอน ขึผึ้งแก้หวัด ยาหม่องดำา นำ้ามันเขียว นำ้ามัน
       ึ้                            ้
เหลือง นำ้ามันพืช นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือนำ้าเปล่า อย่างใดอย่างหนึ่งทาบน
ผิวหนังก่อนขูดดซา ในบริเวณที่รู้สึกไม่สบายหรือบริเวณที่ถอนพิษจากร่างกาย
ได้ดี เช่น บริเวณหลัง แขน ขา เป็นต้น แม้ไม่มีสมุนไพรทาเลย ก็สามารถขูดซา
ได้เลย โดยที่ไม่ต้องทาอะไร ก็ช่วยถอนพิษได้

ถ้ารู้สึกหนาวเย็น ควรใช้นำ้าอุ่น นำ้ามันพืช หรือขึ้ผึ้งที่ไม่เย็นเกินไป ทาก่อนขูด
ซาหรือขูดซาโดยที่ไม่ต้องทาอะไรเลยก็ได้

- ใช้อุปกรณ์ีเรียบง่าย เช่น ช้อน ชาม เหรียญ ไม้ขอบเรียบหรือวัสดุขอบเรียบต่าง ๆ ขูดได้ ทั้งที่ผิวหนังตรง
                        ็
ๆ หรือจะขูดผ่านเสื้อผ้าก็ได้

                                                                      ้
- กำรกัวซำควรเริมจำกด้ำนซ้ำยก่อนเสมอ ยกเว้น เกิดอาการไม่สบายเด่นชัดที่ด้านขวา มากกว่าด้าน
                  ่
ซ้ายก็ให้ขูดด้านขวาก่อน
กำยภำพด้ำนหลัง                                       กำยภำพด้ำนหน้ำ




                                                                                         - การขูดแต่ละ
                                                                                         ครั้งให้ลงนำ้า
                                                                                         หนักแรงพอ
                                                                                         สบาย ไม่แรง
                                                                                         เกิน ไม่เบาเกิน
                                                                                         ความแรงที่ได้
                                                                                         ผลดีนั้น ให้ลง
                                                                                         นำ้าหนักไปค่อน
                                                                                         ข้างแรงหน่อย
                                                                                         เท่าทีจะไม่
                                                                                               ่
                                                                                         เจ็บ/ไม่ทรมาร
                                                                                         มากเกินไป
                                                                                         อาจไม่รู้สึกเจ็บ
                                                                                         เลยหรือรู้สึก
                                                                                         เจ็บเล็กน้อยใน
                                                                                         ขีดที่ทนได้
                                                                                         โดยไม่ยาก ไม่
                                                                                         ลำาบากก็๋ได้ ลง
                                                                                             ้
                                                                                         นำ้าหนัก
                                                                                         สมำ่าเสมอ การ
                                                                                         ขูดที่พอดีคือ
                                                                                         ขูดให้ผิวมีสี
                                                                                         แดง จนกว่าจะ
                                                                                         ไม่แดงไปกว่า
                                                                                         นั้นหรือ ขูดจุด
                                                                                         ละประมาณ
                                                                                         10-50 ครั้ง
                                           อาจขูดมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ เท่าทีรู้สึกสบาย
                                                                               ่

- หลังทำากัวซา ควรเกิน 4-8 ชั่วโมงขึ้นไป จึงสามารถอาบนำ้าได้ ถ้าจำาเป็นที่จะต้องอาบนำ้าทันทีหลังกัวซา
ก็ควรอาบนำ้าอุ่นหรือเช็ดตัวด้วยนำ้าอุ่น หรือจำาเป็นที่จะต้องอาบนำ้า อาจอาบนำ้าธรรมดาหลังกัวซา อย่างน้อย
30 นาที เพื่อให้เลือดที่เคลื่อนมาบริเวณผิวหนังมีเวลาระบายพิษออกไปได้มาก ถ้าเรารีบอาบนำ้าเย็นเร็วเกิน
ไปเส้นเลือดจะหดตัวบีบเลือด ที่ยังระบายพิษได้ไม่มากกลับคืนไปสู่เซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในของเรา
ทำาให้ระบายพิษได้น้อย
ทิศทำงของกำรกัวซำ

ขูดศรีษะ
ขูดจากกลางศรีษะจนถึงตีนผม จนทั่วศรีษะ

ขูดใบหน้ำ
บริเวณใบหน้า ให้เอากึ่งกลางรหว่างคิ้วเป็นจุดศูนย์กลาง
แล้วขูดออกไปเป็นรัศมีวงกลมทุกทิศทุกทางหรือ
ขูดออกด้านข้างก็ได้ สำาหรับบริเวณตาให้หลับตาลง
แล้วขูดเบา ๆ จากหัวตามาหางตาและให้ทั่วบริเวณ
รอบตาทั้งหมด ลงนำ้าหนักและปริมาณการขูดแค่พอรู้สึก
สบาย




                                                              ขูดแผ่นหลัง
                                                              ส่วนที่ชิดประดูกสันหลัง ขูดตั้งแต่ต้นคอ
                                                              ยาวลงมาจนถึงเอว ฟืนที่แผ่นหลังส่วนที่
                                                                                  ้
                                                              เหลือให้ขูดออกข้าง

                                                              ขูดบริเวณลำำตัวด้ำนหน้ำ
                                                              เริ่มจากกลางหน้าอกให้ขูดลง ใต้ไหล่ด้าน
                                                              หน้าให้ขูดออกข้างหรือขูดลงก็ได้ ใต้ราว
                                                              นมขูดตามร่องซี่โครงเฉียงเข้าหาสะดือ
                                                              บริเวณท้องขูดลงหรือขูดเข้าหาสะดือก็ได้

ขูด คอ แขน มือ สะโพก ขำ เท้ำและจุดที่ไม่สบำยอื่น ๆ หรือจุดที่จำำทิศทำงกำรขูดไม่ได้
ให้ขูดลงหรือขูดตามทิศที่เราขูดแล้วรู้สึกสบาย เพระาสภาพที่เกิดการบำาบัดรักษาคือ สภาพทีรู้สึกสบาย
                                                                                     ่
ตามหลักสปฎิบัติเพื่อความแข็งแรงอายุยืน ในพระไตรปิฎก อนายุสสสูตร
ข้อที่ 1 การรู้จักทำาความสบายแก่ตนเอง

ข้อควรรู้ของกำรกัวซำ

1. กำรใช้แรงขูดควรสมำ่ำเสมอ ควรขูดจนเห็นรอย จุดแดงปรำกฎขึ้นมำจนกว่ำจะไม่แดงไปกว่ำ
นัน้
(หากขูดสักพักแล้วไม่แดงก็ย้ายจุดขูดได้) หรือขูดจนบริเวณที่ขูดนั้นรู้สึกสบายขึ้น จากนั้นจึงขูดตำาแหน่ง
อื่นต่อไป

2. บำงครั้งหลังจำกขูดแล้ว 2-3 วัน ตำำแหน่งที่ขูดอำจจะมีอำกำรระบมปรำกฎขึ้น ซึงถือว่ำเป็น
                                                                            ่
เรื่องปรกติ
หลังขูดจนเกิดรอยแดง ณ จุดนั้น ๆ ออกมาแล้ว เราสามารถแปลผลได้ดังนี้

  1. สีชมพูหรือสีแดงเรื่อ ๆ                  แสดงว่า ดี
  2. เป็นปืน้                                แสดงว่า พิษเริ่มสะสม
  3. เป็นจำ้ำเหมือนไข้เลือดออก               แสดงว่า พิษสะสมนานแล้ว ในทางแพทย์ทางเลือก เรียกว่า

                                             ลมแตก
  4. ถ้ำเป็นลักษณะชำ้ำ                       แสดงว่า มีพิษสะสมมาก
     ยิ่งถ้ำชำ้ำจนถึงขันสีม่วงหรือสีดำำ
                       ้                     ในทางแพทย์ทางเลือกถือว่า มีพิษมากถึงขั้นมะเร็ง



ซึงการตรวจในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอาจพบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เรียบ
  ่
เรียงพบว่า ผู้ป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง มากกว่า ร้อยละ 80 มักขูดซาพบสีม่วงหรือสีดำา
                                                                                    ี
การกัวซาจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค ไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 7 วัน รอยแดงนั้นมักจะ
ยุบหายไป

มักจะมีคำาถามว่าเมื่อกัวซาแล้วจะกัวซาอีกครั้งเมื่อไหร่ คำาตอบก็คือ เมื่อรู้สึกไม่สบายอีกครั้ง ถ้าเป็นผูป่วย
                                                                                                       ้
หนักอาจจะกัวซาทุกวันหรือกัวซาวันละหลายครั้งก็ได้ ถ้าการกัวซานั้นทำาให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้น

3. ไม่ควรขูดในจุดที่เป็นแผลฝีหนองหรือจุดที่เมื่อถูกขูดแล้วรู้สึกไม่สบายเจ็บปวดแสบร้อน ทรมานมากเกิน
ไป แต่สามารถขูดตรงข้ามกับจุดที่ไม่สบายนั้น ๆ ก็สามารถรักษาจุดที่ไม่สบายนั้นได้

3. กำรสวนล้ำงลำำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์)


เป็นการปรับสมดุลด้วยการล้างพิษ 3 อย่าง
ออกจากลำาไส้ใหญ่ ได้แก่
   1. พิษของเนื้ออุจจาระที่หมักหมม
   2. นำ้าที่เป็นพิษอันเกิดจากทุกอวัยวะใน
ร่างกายส่งสิ่งที่เป็นพิษมากำาจัดที่ตับ ตับก็
ระบายส่งไปที่ลำาไส้เล็ก แล้วก็ส่งต่อไป
ลำาไส้ใหญ่
   3. พิษของพลังงานความร้อนที่เป็นของเสีย    ี
จากทุกอวัยวะในร่างกาย ซึ่งส่งมาระบายที่
ลำาไส้ใหญ่มากกว่าที่อื่น ๆ จะเห็นได้ว่าหมอ
แผนปัจจุบัน ถ้าวัดไข้ทางทวาร เมื่อวัด
อุณหภูมิได้เท่าไหร่จะต้องลบออก 0.5 องศา
เซลเซียส ในขณะที่การวัดไข้ในที่อื่น ๆ ไม่ลบ
ออก เพราะที่ลำาไส้ใหญ่มีความร้อนมากกว่าที่
อื่นในร่างกายถึง 0.5 องศาเซลเซียส แม้หมอ
จีนไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นโรคอะไร ก็นิยมฝังเข็มหรือกดจุดที่จุดเหอกู่ ตรงบริเวณกึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
ของมือ วัดเข้ามาด้านหลังมือจากง่ามมือหนึ่งข้อนิ้วโป้ง เป็นจุดระบายพิษจากลำาไส้ใหญ่ที่ดีมาก ซึงมักจะ
                                                                                                ่
ทำาให้อาการไม่สบายในร่างกายไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดก็ตามลดลงอย่างรวดเร็ว
ผูป่วยที่อาการหนัก ทำาวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนคนทั่วไปทำาสัปดาห์ละ 1-3 ครั้งหรือเท่าทีร่างกายรู้สึกสบาย
  ้                                                                               ่

                                      พิษทั้งสามประการนั้น จะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของร่างกายทุกวัน ถ้า
                                      ไม่รีบระบายออกหรือมี การหมักหมมสะสมมากเกินไป ก็จะถูกดูดซึม
                                      กลับหรือแพร่กระจายกลับไปทำาลายทุกอวัยวะในร่างกาย ทำาให้
                                      ร่างกายทรุดโทรมและเจ็บป่วย ในทางตรงกันข้ามการสวนล้างสำาไส้
                                      ใหญ่(ดีทอกซ์) นั้นจะสามารถขับและระบายพิษทั้งสามประการออก
                                      จากร่างกายได้ อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และพลังงานของ
                                      สมุนไพรที่ถูกกันที่เราใส่เข้าไปนลำาไส้ใหญ่ ก็จะเคลื่อนไปดับพิษ
                                      ปรับสมดุลทุกอวัยวะในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ำ
                                      ทำาให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

                                       วิธีทำำ เลือกสมุนไพรที่เหมาะสม คือ เมื่อใช้ทำาดีท๊อกซ์แล้วรู้สึก
สดชื่นโปร่งโล่งสบาย ตัวอย่างสมุนไพร เช่น ใบเตย 1 ใบ อ่อมแซบครึ่งกำามือ ย่านาง 1-3 ใบ นำ้ามะนาว
ครึ่ง-1 ช้อนโต๊ะ นำ้ามะขามครึ่งกำามือ มะขามเปียก 1-3 ฝัก ใบส้มป่อยครึ่งกำามือ กาแฟ 1 ช้อนชา บอระเพ็ด
1 ข้อนิ้วมือ ลูกใต้ใบ 1 ต้น ฟ้าทะลายโจร 1 ยอด(ยาวครึ่ง-1 คืบ) เป็นต้น ให้เลือกใช้สมุนไพรอย่างใด
อย่างหนึ่งที่ถูกกับร่างกายเรา คือ พอทำาดีทอกซ์แล้วรู้สึกสดชื่น โปร่ง โล่ง เบา สบายตัว ถ้าใช้แล้วไม่
สบายก็แสดงว่าไม่ถูกกับคนนั้น ณ เวลานั้น ควรงดเสีย

นำาสมุนไพรต้มในนำ้าเปล่า เดือดประมาณ 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่น หรือใช้ใบสมุนไพรสด ขยี้
กับนำ้าเปล่า กรองผ่านกระชอน นำานำ้าที่ได้ ไปใส่ขวดหรือถุง ทีเป็นชุดสวนล้างลำาไส้ โดยทั่วไปใช้น้
                                                            ่
สมุนไพร 500-1,500 ซี.ซี. เปิดนำ้าให้วิ่งตามสายเพื่อไล่อากาศออกจากสายแล้วล็อคไว้

จากนั้น นำาเจลหรือวาสลีนหรือนำ้ามันพืชหรือว่านหางจระเข้ทาที่ปลายสายสวน ประมาณ 1 ซม. เพื่อหล่อ
ลื่น หรืออาจใช้ปลายสายสวนจุ่มในนำ้าก็ได้ ต่อจากนั้น ค่อย ๆ สอดปลายสายสวนเข้าไปทีรูทวารหนัก สอด
                                                                                ่
                          ่
ให้ลึกเข้าไป ประมาณเท่านิ้วมือเรา (ประมาณ 3-5 นิ้วฟุต) ยกหรือแขวนขวดสมุนไพรสูงจากทวารประมาณ
2 ศอก ค่อย ๆ ปล่อยนำ้าสมุนไพรให้ไหลเข้าไปในลำาไส้ใหญ่ของเรา โดยใส่ปริมาณนำ้าเท่าที่ร่างกายเรารู้สึก
สบายที่ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบากเกินไป แล้วใช้มือนวดคลึงที่ท้อง พอปวดอุจจาระก็ไปถ่ายระบายออก
ในขณะที่ทำาดีทอกซ์เราสามารถนอน(ส่วนใหญ่นิยมนอนทำา) นั่งหรือยืนทำาก็ได้ ตามความเหมาะสมของ
สภาพร่างกายและสถานที่

ในกรณีที่คนกลั้นได้เก่ง เมื่อรู้สึกปวดถ่ายครั้งแรกให้กลั้นไว้ก่อน เพื่อให้ลำาไส้บีบตัว สิ่งสกปรกที่ติดบริเวณ
ผนังลำาไส้จะได้หลุดออกมาที่นำ้าดีทอกซ์ ซึงส่วนใหญ่มักไม่เกินครึ่งนาทีก็จะหายปวด พอปวดอีกครั้งก็ไป
                                           ่
ถ่ายออก จะทำาให้พิษถูกระบายออกได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่มีกำาลังกลั้น พอปวดครั้งแรกก็ให้ไปถ่ายระบายออกเลย
โดยไม่ต้องคำานึงถึงระยะเวลาการกลั้น เฉลี่ยไม่ควรเกิน 20 นาที

สำาหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก อาจทำาดีทอกซ์ วันละ 1-2 ครั้ง อาจมากหรือน้อยกว่า ตามสภาพของร่างกาย
คือ ทำาเท่าที่รู้สึกสบาย ส่วนคนทั่วไป ทำาดีทอกซ์เฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง หรือตามสภาพร่างกาย คือ ทำา
เท่าทีรู้สึกสบาย
      ่
สำำหรับกรณีที่มีกำรผ่ำตัดสำำไส้่ ควรรอให้แผลหายดีอย่างน้่อยหลัีงผ่าตัด 3 เดือนขึ้นไป จึงค่อยทำาดี
ทอกซ์ โดยครั้งแรก ๆ ให้ใช้นำ้าดีทอกซ์น้อย ๆ แค่พอรู่้สึกปวดระบายถ่ายท้องก่อน พอลำาไส้ปรับสภาพ
ดีแล้วจึงค่อยเพิ่มนำ้าดีทอกซ์ในปริมาณที่รู่้สึกสบาย (ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบาก)

ถ้ำทำำดีทอกซ์แล้วรู้สึกไม่สบำยมักเกิดจำก
    1. สมุนไพรนั้นไม่ถูกกับร่างกายเรา เช่น บางคนเวลาใช้กาแฟทำาดีทอกซ์แล้วจะรู้สึกใจสั่นอ่อนเพลีย ก็
แสดงว่าคนนั้นไม่ถูกกับกาแฟ ถ้าใช้กาแฟทำาดีทอกซ์แล้วรูึ้สึกสบาย ก็แสดงว่าคนนั้นถูกับกาแฟ
    2. ใช้สมุนไพรเข้มข้นเกินไป ทำาให้สมุนไพรเคลื่อนเข้าร่างกายเร็วและมากเกินไป เพราะช่องทางของ
ลำาไส้ใหญ่นั้นเป็นเส้นทางลมปราณที่สำาคัญมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่พลังานจะเคลื่อนเข้า-ออกเร็วมาก
ดังนั้นช่องทางนี้ควรใช้สมุนไพรเจือจางแค่พอดีสบายจะดีที่สุด
    3. เลือกใช้นำ้าไม่ถูกกัน ณ เวลานั้น บางคนถูกกับนำ้าอุ่น บางคนถูกกับนำ้าอุณหภูมิธรรมดา ให้ดูที่ความ
รูสึกสบายเป็นหลัก
  ้
    4. ปริมาณนำ้ามากเกินไป ให้ใส่นำ้าในปริมาณที่รู้สึกสบายหรือทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบาก
    5. แขวนขวดสูงเกินไป ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ แรงและเร็วเกินไป มักจะทำาให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน
หรือเวียนศรีษะได้ง่าย ดังนั้น ควรค่อย ๆ ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ช้า ๆ เท่าทีรู้สึกสบาย กรณีที่แขวนขวดสูง
                                                                             ่
ควรใช้เทคนิคการบีบหรือหักสายดีทอกซ์ แล้วค่อย ๆ ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ช้า ๆ ในปริมาณที่เรารู้สึก
สบาย
    6. กลั้นอุจจาระนานจนรู้สึกทรมานเกินไป ให้กลั้นในจุดที่เรารู้สึกทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบากเกินไป

                                                                                           กลับสารบัญ

4. กำรแช่มอแช่เท้ำในนำ้ำสมุมไพร
          ื


ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น ประมาณ ครึ่ง- 1
กำามือ เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ)
ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด ใบมะขาม ใบ
ส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย
เป็นต้น จะใช้สมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ ต้มกับนำ้า 1
ขัน (ประมาณ 1 ลิตร) เดือดประมาณ
5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่นแค่
     ึ
พอรู้สึกสบาย ถ้าไม่มีสมุนไพรเลยก็ใช้นำ้า
เปล่าต้มให้เดือดแล้วผสมนำ้าธรรมดา ให้
อุ่นก็ได้ จากนั้นแช่มือแช่เท้่า แค่พอท่วม
ข้อมือข้อเท้่า 3 นาที แล้วยกขึ้นจากนำ้าอุ่น
1 นาที ทำาซำ้าจนครบ 3 รอบ โดยทำาวันละ
                                     ็
ประมาณ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ค่อยมีเวลาทำาเฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นต้มแล้วรู้สึกไม่
สบายก็ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนต้ม ถ้ารูสึกสบายกว่า ในกรณีที่ แช่นำ้ำต้มสมุนไพรแล้วมีอำกำรไม่
                                         ้
สบำย ก็ให้งดเสีย แสดงว่าสภาพร่างกายตอนนั้นไม่ถูกกับนำ้าอุ่น นำ้าร้อน อาจแช่นำ้าธรรมดาหรือนำ้าสมุนไพร
สดที่ไม่ผ่านความร้อนแทน ถ้าทำาแล้วรู้สึกสบาย โดยแช่นาน เท่าที่รู้สึกสบาย
กลไกการถอนพิษก็คือ ร่างกายมีธรรมชาติของการระบายพลังงานที่เป็นพิษจำานวนมากออกทางมือเท้าอยู่
                                                                                    ่
แล้ว จะเห็นได้ว่าแพทย์โบราณหลายประเทศมีการกดจุดหรือขูดระบายพิษจากมือและเท้า เมื่อคนเราใช้มือ
                                                           ี
และเท้าในกิจวัตรประจำาวัน กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่มือและเท้ามักก็จะเกิดสภาพแข็งแรงเกร็งค้าง ทำาให้ขวาง
เส้นทางการระบายพิษจากร่างกาย การแช่ในนำ้าอุ่นจะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่แข็งแกร็งค้างคลายตัว
    ั
พลังานที่เป็นพิษในร่างกายจึงจะระบายออกได้ดี ทำาให้สุขภาพดีขึ้น

                                                                  ี
จากการเก็บสถิติ ณ ปัจจุบัน พบว่า เมื่อแช่ในนำ้าอุ่นพลังงานพิษที่อัดอยู่ในร่างกายจะเคลื่อนออกภายใน 3
                                                                       ื
นาที หลังจากนั้น พิษของนำ้าอุ่นนำ้าร้อนจะเคลื่อนเข้าไปทำาร้ายร่างกาย เมื่อแช่นำ้าอุ่นนานเกิน 3 นาที จึงมัก
จะพบว่า มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายในร่างกาย หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ไปแช่นำ้าดโป่ง เดือดหรือ
นำ้าพุร้อน ถ้าแช่นานเกิน 3 นาที พอขึ้นมาจากการแช่ ก็มักจะมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายต่าง ๆ เพราะ
พิษจะเคลื่อนออกได้แค่ประมาณ 3 นาที จากนั้นพิษของนำ้าอุ่นจะเคลื่อนเข้าทำาร้ายร่างกาย

ดังนั้น คนที่มีความรู้ก็จะแช่นำ้าอุ่นแค่ 3 นาที แล้วขึ้นจากนำ้าอุ่น 1 นาที เมื่อร่างกายเย็นดีแล้ว พลังงานพิษ
ร้อนในร่างกายก็จะเคลื่อนสวนทางกับความเย็น เมื่อเราแช่ในนำ้าอุ่นอีกครั้ง กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว พลังงาน
พิษร้อนก็จะเคลื่อนออกจากร่างกายได้มาก ผู้เขียนพบว่า พิษสามารถเคลื่อนออกได้มากเพียง 3 รอบ หลัง
จากนั้น ถ้าเรายังแช่นำ้าอุ่นต่ออีก พิษนำ้าอุ่นก็จะเคลื่อนเข้าไปทำาร้ายร่างกาย

                                                                                               กลับสารบัญ

5. กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือเมื่อใช้แล้วรู้สกสบำย
                                                                       ึ


เช่น พอกด้วยกากสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือพอกทาด้วยผงถ่านที่ใช้ก่อไฟทั่วไป
ผสมกับนำ้าสมุนไพรฤทธ์เย็น (อาจผสมดินสอพองหรือนำ้าปัสสาวะด้วยก็ได้
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถอนพิษได้ดียิ่งขึ้น) โดยพอกทาทุก 4-6 ชั่วโมง
                     ้
หรืออาจพอกทาทิ้งไว้ทั้งคืนก็ได้ ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นแล้วรู้สึกไม่สบาย ก็
ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน ถ้ารู้สึกสบายกว่า

กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน
การถอนพิษด้วยการพอก/ทาด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น โดยนำาสมุนไพรฤทธิ์เย็น
เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด วุ้นนว่านหาง
จระเข้ ใบมะขาม ใบส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย เป็นต้น จะใช้อย่าง
ใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ มาหั่นหรือโขลกให้แตกพอประมาณ
       อาจใช้กากสมุนไพรที่เหลือจากการทำานำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นก็ได้
                                    ์
       อาจใช้ผ้าชุบนำ้าสมุนไพรฤทธฺเย็นก็ได้
       อาจใช้ดินคลุกกับนำ้าให้เหลวเหมือนตมก็ได้
       อาจใช้นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด คลุกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากหรือ
แป้งฝุ่นที่ใช้ทาหน้าทาผิว ให้พอเหลวก็ได้
                  ้                           ์                  ้
       อาจใช้ นำาสกัดด้วยการกลั่นสมุนไพรฤทธฺเย็น นำ้ามันเขียว นำามันเหลือง นำ้ามันพิมเสนการบูร เมนทอล
ขึผึ้งย่านาง-เบญจรงค์
  ้
       ขึผึ้งเสลดพังพอน ขึผึ้งแก้หวัด ยาหม่องดำา ก็ได้
         ้                 ้
กรณีที่มีภำวะร้อนเกินและเย็นเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน
                                                      ้
ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นผ่านไฟ หรือสมุนไพรทั้งร้อนและเย็นผ่านไฟ เช่น นำาสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพร
ทั้งร้อนและเย็น ต้มให้เืดือด 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่น ใช้อาบหรือนำาผ้าชุบบิดให้หมาด วาง
ประคบบริเวณที่ไม่สบาย หรืออาจนำาสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพรทั้งร้อนและเย็น หั่นให้เล็กหรือโขลก
                                                                                       ่
พอแตก ห่อเป็นลูกประคบ นึ่งให้ร้อน วางประคบบริเวณที่ไม่สบาย ถ้ารู้สึกร้อนเกินไปก็ใช้ผ้ารองที่ผิวหนัง
ก่อนประคบก็ได้

กรณีที่มีภำวะเย็นเกินอย่ำงเดียว
                                                 ์
ให้พอก ทา ประคบหรืออบด้วยสมุนไพรฤทธฺร้อน เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้ ไพล ใบมะกรูด เกลือ นำ้ามัน
พืช/นำ้ามันสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขึผึ้งขมิ้น ขึ้ผึ้งไพล ขึผึ้งนำ้ามันงา ขึผึ้งนำ้ามันระกำา เป็นต้น
                             ้                      ้               ้




                                                                                         กลับสารบัญ



6. กำรออกกำำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถกต้อง
                                                  ู




การบริหารกายที่ถูกต้องสมดุล เป็นประโยชน์สูงสุดกับร่างกาย เมื่อทำาเสร็จ ต้องได้คุณสมบัติ 3 อย่าง
    1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
    2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
    3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ

การจะได้คุณสมบัติทั้ง 3 อย่างดังกล่าว ต้องมีการบริหารกาย 2 ลักษณะ
1. กำรออกกำำลังกำยที่มีกำรใช้กำำลังแรงกำย
ถ้าไม่ออกกำาลังกายที่ใช้่แรงกำาลัง กล้ามเนื้อก็จะไม่มีกำาลังที่จะบีบเอาของดีไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ
                                     ี
ร่างกาย ไม่มีกำาลังที่จะบีบเอาของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายก็จะเสื่อมเร็วและเกิดคววมเจ็บป่วยตามมา
การออกกำาลังกายที่ดี ต้องใช้กำาลังเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันนานพอประมาณ (เฉลียโดยทั่วไป ใช้เวลา
                                                                               ่
ประมาณ 15-45 นาที อาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ตามสภาพร่างกายของบุคคลนั้น ๆ ณ เวลานั้น อาจทำา
ทุกวันหรือวันเว้นวันก็ได้) โดยออกกำาลังกายจนถึงขั้นหอบเหนื่อยแต่ไม่มากเกินไปถึงขั้นหอบเหนื่อยจน
รูสึกใจสั่นหวิวหรือพูดกบคนอื่นไม่ชัดถ้อยไม่ชัดคำา พอพักไม่เกิน 10-20 นาที ก็สามารถหายเหนื่อยและ
  ้
ทำางานตามปกติได้ จึงจะทำาให้กล้ามแข็งแรงมีกำาลังสามารถบีบของดีไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
สามารถบีบของเสียออกจากร่างกายได้ ทำาให้เลือดลมไหลเวียนดี เช่น เดินเร็ว(เหมาะสำาหรับทุกวัย โดย
เฉพาะวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป) วิ่งจ๊อกกิ้ง (มักเหมาะสำาหรับเด็กหรือวัยรุ่น) กระโดดเชือก ว่ายนำ้า ปันจักรยาน
                                                                                            ่
เป็นต้น

2. กำรกำยบริหำรที่สร้ำงควำมยืดหยุนให้กล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น สร้ำงกำรเข้ำที่เข้ำทำงของ
                                     ่
                      ้
กระดูก กล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น
                                        ้
แพทย์แผนปัจจุบันพบว่า ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ยืดหยุ่น หรือกระดูกเส้นเอ็นและกล้าม
เนื้อเคลื่อนออกจากตำาแหน่งปกติ ก็จะกดรัดเส้นเลือดเส้นประสาท เลือดลมจะไหลเวียนไม่สะดวก ทำาให้
เกิดความเจ็บปวดมึนชา และความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย

                                            ี
แพทย์ทางเลือกพบว่า พลังงานลมปราณ คือ พลังงานที่หล่อเลี้ยงร่างกาย อันเกิดจากการสันดาปเผา
ผลาญอาหาร ตั้งแต่ระดับหยาบจนถึงระดับละเอียด และพลัีงงา
นที่เป็นพิษเป็นของเสียอันเกิดจากการสันดาปอาหาร ตั้งแต่
ระดับหยาบจนถึงระดับละเอียด รวมถึงพลังานที่เป็นพิษอื่น ๆ ที่
ร่างกายรับเข้าไป

และแพทย์ทางเลือกก็พบว่า พลังงานที่ดีจะขับเคลื่อนไปหล่อ
เลียงร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุด ทางเส้นลมปราณ ส่วนพลังงาน
   ้
                                                    ้
ที่ไม่ดีจะถูกขับออกจากร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุดทางเส้น
ลมปราณเช่นเดียวกัน ซึ่งการเคลื่อนของพลังงานทั้งที่ดีและไม่
ดีดังกล่าว จะเคลื่อนตามข้างกระดูก ข้างเส้นเอ็น ข้างเส้น
ประสาทและตามร่องของกล้ามเนื้อ ซึงตรงกับเส้นลมปราณ
                                     ่
หลัก 12 เส้นของแพทย์แผนจีนและเส้นลมปราณหลัก 10 เส้น
ของแพทย์แผนไทย(เส้นสิบ)

ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ืยืดหยุ่น หรือกระดูก
เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเคลื่อนออกจากตำาแหน่งปกติ จะทำาให้
การเคลื่อนของพลัีงงานดังกล่าวติดขัด เกิดอาการกำาลังตกและ
เกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ ทันที เรียกว่าลมปราณติดขัด/
ลมปราณล็อค แต่ถ้าแก้ไขให้เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
และเส้นเอ็น ให้เกิดการเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและ
กล้ามเนื้อ อาการกำาลังตกและอาการไม่สบายต่าง ๆ จะทุเลา
                               ๋
เบาบางหรือหายไปอย่างรวดเร็ว จนน่าประหลาดใจ
หลายครั้งที่ผู้เขียนพบผูป่วยที่อาการ หนักจวนเจียนจะเสียชีวิต บางคนแพทย์แผนปัจจุบันถึงกับต้องให้
                        ้
                                                                                              ่ั
ออกซิเจนให้ยาแผนปัจจุบันต่าง ๆ เพื่อช่วยชีวิตฉุกเฉิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยเรื้อรังทีรับประทาน
ยาอย่างไรก็ไม่หาย แต่พอปรับสมดุลให้เส้นลมปราณเข้าที่(เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น    ้
                                  ้
เกิดการเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ) อาการกลับทุเลาเบาบางหรือหายไปอย่างรวดเร็ว
                                                                 ื
เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง วิชาดังกล่าวนั้น อยู่ในแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญ
การจัดกระดูกและการกดจุดลมปราณ

                          ี
และแต่ละท่านก็สามารถปฎิบัติได้เอง หรือช่วยเหลือญาติที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ ด้วยการฝึกกดจุดลมปราณ
โยคะ กายบริหาร ซึ่งเป็นสวนที่สำาคัญอีกอย่างหนึ่งของการบำาบัดรักษา ควบคุมป้องกันโรค ฟื้นฟูสขภาพ  ุ
และสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง เพราะจะทำาให้เกิดการไหลเวียนเลือดลมที่ดี สสารและพลังทีดีสามารถ ่
เคลื่อนไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ สสารและพลังงานที่ไม่ดีที่เ่ป็นพิษไม่ว่าจะเป็น
พิษร้อนหรือพิษเย็นสามารถถูเคลื่อนขับออกจากร่างกายได้อย่างมีประสทธิภาพ

การกดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร ถ้าเราทำาได้ถูกต้องหลังทำาเสร็จก็จะทำาให้เกิดสภาพเบาสบายและมี
กำาลังในตัวเราทันที

                                                                                                 กลับสารบัญ

7. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย

พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า " อาหารเป็นหนึ่งในโลก " อาหารที่สมดุล ก็จะได้สุขภาพดีที่หนึ่ง อาหารไม่สมดุล
ก็จะได้สขภาพเสียที่หนึ่ง
        ุ

ตัวอย่ำงอำหำรที่มผลต่อสุขภำพ
                 ี

มีผป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ท่านหนึ่งอยู่ภาคเหนือ มีอาการ
     ู้
ปัสสาวะเป็นเลือด ได้ไปจี้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เสียค่า
รักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เลือดก็ออกมาอีก
ในขณะที่ผป่วยกำาลังเดินทางมาเข้าค่ายทีผู่้เขียนจัด ผูป่วยได้
              ู่้                          ่             ้
ปรึกษามา ทีมงานสุขภาพ จึงได้แนะนำาว่าเป็นภาวะร้อนเกิน ให้หาิ
สิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทาน ผูป่วยได้เฉาก๊วยซึ่งมีฤทธฺ์เย็นมารับ
                              ้
ประทาน ปรากฏว่า จากปัสสาวะเป็นเลือดสีนำ้าล้างเนื้อ ก็ค่อย ๆ ใส
ขึนเรื่อย ๆ จนเป็นปกติ (เลือดหยุดไหล) ภายใน 4 ชั่วโมง จะเห็น
   ้
ได้ว่า การไปจีที่โรงพยาบาล เสียค่ารักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท แต่
                  ้
        ่                                         ่
การรู้อาหารร้อน-เย็นแล้วปรับสมดุลตัว เสียค่าใช้จ่ายซื้อเฉาก๊วยแค่ 5 บาท

ลูกศิษย์ของผู้เขียนท่านหนึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ มีอาการปวดศรีษะ เมื่อรู้ว่าเกิดจากภาวะร้อนเกิด แต่ไม่
                                 ู                    ๋
อยากรักประทานยาแก้ปวดเพราะรู้ว่ายาแก้ปวดทุกชนิดที่เป็นเคมีพิษต่อร่างกาย จึงไปเอามังคุด ซึ่งมีฤทธิ์
เย็นมารับประทาน ประมาณ 6 ลูก อาการปวดศรีษะก็หายไป

ผูป่วยเอดส์คนหนึ่ง มีตุ่มหนองเริมงูสวัดขึ้นทั้งตัว หมอท่านหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยอยู่ ได้โทรมาปรึกษาผู่้เขียน ผู่้
  ้
เขียนจึงบอกว่า เป็นภาวะร้อนเกิน ให้ถอนพิษร้อน ช่วงเวลาต่อมา หมอท่านนั้นได้มากล่าวคำาขอบคุณผู้่
เขียน และบอกว่าหลังจากที่ปฎิบัติแค่ 2 วัน อาการดังกล่าวก็ุยุบลง ผูเขียนจึงถามว่าทำาอย่างไร หมอท่าน
                                                                   ้
                                                                 ์
นั้นตอบว่า ต้มฟัก ต้มถั่วเขียวให้รบประทาน (ฟักและถั่วเขียว มีฤทธฺเย็น)
                                  ั

อีกกรณี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนไปรับประทานจับฉ่าย (ซึ่งมีฤทธิร้อนมาก จากนำ้ามันและการอุ่นซำ้า ๆ) เกิด
                                                               ์
อาหารหูอื้อ (หูดับตับไหม้/ตับร้อน) ผูเขียนจึงแก้ไขด้วยการเอาส้มตำารสไม่จัด(มีฤทธิ์เย็น) มารับประทาน
                                        ้
อาการทุเลาและหายภายใน 5 นาที จากนั้นผู้เขียนก็รับประทานจับฉ่ายอีก อาการหูอื้อก็กับมาอีก พอรับ
ประทานส้มตำาแก้ อาการหูอื้อก็หายไปอีก

ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผู้เขียนไม่สามารถนำาเสนอได้หมดในที่นี้ จะเห็นได้ว่า อาหารมีผลต่อสุขภาพ
                                               ้
อย่างมาก อาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ถ้าเรารีบแก้ด้วยการปรับสมดุลด้วยอาหาร อาการก็มักจะทุเลาหรือหาย
ไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยก็มักจะทุเลาหรือหายไปอย่าง
                                    ่
รวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยอาหาร จึงเป็นสิ่งจำาเป็นที่สำาคัญมากอีก
อย่างหนึ่งที่น่าฝึกฝนเรีบนรู้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้




  7.1 เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา (สำาหรับผู้ที่ไม่สามารถงด
เนื้อสัตว์)

                                                                        ้
    7.2 ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ควรปรุงรสอยู่ในระดับ
ประมาณ 10-30 % ของที่เคยปรุง อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านี้ตามความสมดุลพอดีของร่างกาย ณ ปัจจุบัน
นั้น ๆ ซึงตัวชี้วัดของความสมดุลพอดี คือ ความรู้สุึกสบาย เบากาย มีกำาลัง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อย
         ่
                                      ้่
ๆ ลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำาบากนัก

   7.3 งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน นำ้าหวาน นำ้าอัดลม เครื่องบำารุงกำาลัง ผล
ไม้หรือนำ้าผลไม้ที่หวานจัด อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมาก และ
                                                                                          ื
อาหารที่มีผงชูรสมาก (มีการวิจยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิน เค็มจัดหรือมี
                                 ั
ผงชูรสมาก ทำาให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโตนำ้าหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมต้านทานลด และรหัสพันธุกรรม
                                                                        ิ
                               ่
ผิดปกติ) อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ
อาหารทะเล เป็นต้น และอาหารที่ปรุงรสอื่น ๆ จัดเกินไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว ขม ฝาด เป็นต้น
  ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ นำ้าอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่ม
                      ้
บำารุงกำาลังต่าง ๆ นำาหมัก ข้าวหมาก รวมถึงอาหารที่มีวิตามินน้อย แต่มีโซเดียมหรือไขมันสูงเกิน ได่แก่
อาหารแปรรูปหรือสำาเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำาเร็จรูป ขนมอม ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง
                                                                          ้
ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค้ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียม
สูง)เป็นต้น
   7.4 หลักปฎิบัติ 4 อย่าง ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี
1. ฝึกรับประทานอาหารตามลำาดับ
      2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
      3. รับประทานในปริมาณที่พอดีรู้สึกสบาย
      4. กลืนลงคอให้ได้ เพราะอาหารสุขภาพมักจะไม่อร่อย ยกเว้น ผู้ที่มบุญบารมีมากหรือผู้ที่ฝึกรับ
                                                                     ี
ประทานบ่อย ๆ จะรูสึกอร่อยไปเอง
                  ้
เทคนิคที่สำาคัญในการรับประทานอาหารให้อร่อย คือ รอให้รู้สึกหิวมาก ๆ ก่อนแล้วค่อยลงมือรับประทาน
พร้อม ๆ กับหมั่นระลึกถึงประโยชน์ของอาหารสุขภาพให้มาก และหมั่นระลึกถึงผลเสียของอาหารที่ไม่
สมดุลหรือเป็นพิษให้มาก




กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน ในมื้อหลัก 1 มื้อ ใน 1 วัน อาจเป็นช่วงเช้าหรือเที่ยงก็ได้ มีเทคนิคการรับประทาน
อาหารตามลำาดับ คือ

    ลำาดับที่ 1 ดื่มนำ้าสมุนไพรปรับสมดุล เช่น นำ้าย่านาง ฯลฯ
    ลำาดับที่ 2 รับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น กล้วยนำ้าว้า แก้วมังกร กระท้อน สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ มังคุด
แตงโม แตงไทย ฯลฯ
    ลำาดับที่ 3 รับประทานผักฤทธิ์เย็นสด เช่น อ่อมแซบ(เบญจรงค์) ผักบุ้ง แตง กว้างตุ้ง สายบัว ผักกาด
ฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักสลัด
    ลำาดับที่ 4 รับประทานข้าวจ้าวพร้อมกับข้าว โดยรับประทานข้าวกล้องหรือข้าวซ๋อมมือ ควรงดหรือลด
คาร์โบไฮเดรท ที่มีฤทธิร้อนมาก
                          ์
                    เช่น ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำา(ข้าวกำ่า ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าบาเลย์ เผือก
  ี
มัน กลอย
    ลำาดับที่ 5 รับประทานต้มถั่วหรือธัญพืชฤทธิ์เย็น เช่น ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์
ขาว ลูกเดือย

                                                                         ่
กรณีที่มีภำวะเย็นเกินแทรกขึนมำ ให้กดนำ้าร้อนใส่สมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือตั้งไฟให้ร้อนก่อนรับประทาน
                                ้
                                                                                 ์
ลดหรืองดสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทานผักหรืออาหารผ่านไฟให้มากขึ้น เพิ่มสิ่งที่มีฤทธฺร้อนเข้าไป ตามสภาพ
ร่างกายที่รับประทานแล้วรู้สึกสบาย

                                                                                                กลับสารบัญ
8. ใช้ธรรมะ ทำำใจให้สบำย ผ่อนคลำยควำมเครียด

ลด ละ เลิกและหลีกเลี่ยง อารมณ์ทำทำาลายสุขภาพ/อารมณ์ที่เป็นพิษ ได้แก่ ความเครียด ความเร่งรีบ/
                                    ี่
                                                                                    ่
เร่งรัด/เร่งร้อน ความวิตกกังวล ความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ ความมุ่งร้าย อาฆาต
พยาบาท ความโลภ โกรธ หลง ยึดเกิน เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น เพราะผู้ที่มีอารมณ์ดังกล่าว จะทำาให้
ร่างกายหลั่งสารแอดดรีนาลีนออกมาจากต่อมหมวกไต สารดังกล่าวจะกระตุ้นเซลล์เยื้อเยื่อทุกส่วนของ
ร่างกายผลิตพลังงานอย่างมากมายจนเกินความสมดุลพอดีของร่างกาย พลังงานส่วนเกินที่ไม่สมดุลดัง
กล่าว จะเผาทำาร้ายเซลล์เนื้อเยื่อทุกส่วนในร่างกาย อวัยวะใดที่อ่อนแอก็จะแสดงอาการไม่สบายก่อน
อวัยวะอื่น ถ้าอารมณ์ดังกล่าวยังอยู่อวัยวะอื่น ๆ ก็จะเสื่อมและแสดงอาการไม่สบายตามกันไป

         ่
ตรงกันข้ามถ้าเราสามารถสลายอารมณ์ดังกล่าวได้ จิตใจก็จะรู้สึกสบาย เบิกบานแจ่มใส มีความสุข สารเอ็น
โดรฟินก็จะหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองที่่ ืชื่อต่อมพิทูอิทารี่ สารดังกล่าวมีฤทธิระงับปวดแรงกว่าฝิ่น 200
                                                                             ์
เท่า (แต่ไม่มีพิษเหมือนฝิ่น) จึงช่วยบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดีิ และสารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการช่วยส่ง
พลังชีวิต / พลังงานที่เป็นประโยชน์ไปยังเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย จึงช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายแข็ง
แรง ช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง เม็ดเลือดขาวจึงสามารถกำาจัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมและสิ่งที่เป็นพิษ
ออกจากร่างกายได้ดี ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้นเหตุที่ทำาให้เกิดทุกข์ก็คือ การยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในสิ่งนั้น ๆ จึงทำาให้เกิดพลังงาน
อารมณ์ทุกข์ในใจ เกิดอารมณ์ทำทำาลายสุขภาพหรืออารมณ์ที่เป็นพิษ เทคนิคที่สำาคัญในการสลายล้าง
                                 ี่
พลังงานยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในสิ่งนั้น ๆ เพื่อดับต้นเหตุของทุกข์ ดับอารมณ์ที่ทำาลายสุขภาพ/อารมณ์ที่เป็น
พิษ ได้แก่ การหมั่นไตร่ตรองผลเสียของการเสพ/การติด/การยึดมั่นถือมั่นปักมั่น/การเอา สิ่งนั้น ๆ และ
          ี
หมั่นไตร่ตรองผลดีของการไม่เสพ/ไม่ติด/ไม่ยดมั่นถือมั่น/ไม่ปักมั่น/ไม่เอา/ให้/ปล่อย/วาง สิ่งนั้น ๆ ให้เป็น
                                                 ึ
ของโลก ให้หมุนวนเกิดดับ ๆ อยู่ในโลก พร้อม ๆ กับการไตร่ตรองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารับอยู่เป็นอยู่ไม่ว่า
จะดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจาก สิ่งทีเราทำามาทั้งชาตินี้และชาติก่อน เมื่อให้ผลของการกระทำาแล้วก็จบดับไป
        ่
โดยไตร่ตรองซำ้าแล้วซำ้าอีกหลาย ๆ ครัง ในขณะที่มีอารมณ์ทุกข์หรืออารมณ์ ที่เป็นพิษนั้น จนพลังงานหรือ
                                         ้
อารมณ์ที่ทุกข์นั้นลดน้อยลงหรือหายไป ถ้ามีอารมณ์ทุกข์ดังกล่าวอีก เราก็ปัสสนาอีก ทำาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าอารมณ์ที่เป็นทุกข์นั้น จะหมดไปจากชีวิตเรา

                                                                                                  ั
ยิงถ้าเราทำาควบคู่พร้อมกับสมถะก็ยิ่งดี (สมถะไม่ใช่ตัวล้างพลังงานทุกข์ แต่เป็นตัวที่เสริมพลังของวิปัส
  ่
สนาให้มีประสิทธิภาพในการล้างสลายพลังงานที่เป็นทุกข์ให้ดียิ่งขึ้น) สมถะ คือ การอดทนฝึนข่มที่จะไม่
ทำาตามกิเลส/ซาตาน การหลบเลี่ยงพรากห่าง เมื่อรู้สึกว่า มีความเครียดมากเกินไป ทนฝึนได้ยากทนฝืนได้
ลำาบาก ถ้าอยู่ในจุดที่มีกิเลสนั้น ๆ การฝึกจิตให้สงบด้วยการเอาจิตไปกำาหนดไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจุดใดจุด
                                     ี
หนึ่ง และการใช้ปัญญาสมถะ เช่น มัน/เขาก็เป็นธรรมดาของมัน/เขาอย่างนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น
ตั้งอยู่่และดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เป็นต้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมสโกมหิ กรรมทายาโท กรรมโยนิ กรรมพันธุึ กรรมปฏิสรโน แปลว่า เรามีกรรมเป็น
ของ ๆ ตน เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นผู้ให้ผล สิ่ง
ที่ตนเองและผู้อื่นได้รับ ล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำาของแต่ละคนแต่ละคนเองทั้งนั้น

นับว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผลรู้ที่ไปที่มาของการเกิดดับของทุกสิ่งทุกอย่างโดยแท้ ซึง
                                                                                                     ่
คำาตรัสทุกคำาของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสว่าเชื้อเชิญหรือท้าทายให้มาพิสูจน์กันได้(เอหิปัสสิโก)
เป็นจริงตลอดกาล(อะกาลิโก) ผูศึกษาและปฏิับัติพึงรู้เห็นได้ด้วยตนเอง(สันทิฏฐิโก) พระพุทธเจ้าและ
                               ้                                                      ุ
ครูบาอาจารย์สอนว่า ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก(การกระทำาและผลของการกระทำา) ย่อมเป็นผู้งมงายอย่าง
แท้จริง มืดดำามืดบอด(ไสยศาตร์) อย่างแท้จริง ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ที่ไปที่มาของสิ่งใด ๆ ในโลก

                                                                                         ั
การจะล้างหรือดับพลังงานที่เป็นทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราต้องปฎิบัติสมถะธุระ และวิปัสสานะธุระ
ควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัตซำ้า ๆๆๆๆๆๆ จนเกิดผลำาเร็จคือ อาการทุกข์ในใจลดน้อยลงหรือหมดไป
                                  ิ
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "วิริเยนะทุกขมเจติ" แปลว่า คนล่วงทุกข์ได้เพรำะควำมเพียร

                                                                   ุ
กำรฝึกพรหมวิหำร 4 ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำาให้เกิดสุขภาพดี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฏก " อนา
ยุสสสูตร " ว่า การปฏิบัติพรหมวิหาร 4 (พรหม 4 หน้า) ได้แก่
1. เมตตำ (ปรารถนาให้ผู้อื่นผาสุก/พ้นทุกข์/ได้ประโยชน์/ได้สิ่งที่ด)    ี
2. กรุณำ (ลงมือกระทำาตามที่เราปรารถนาให้เกิดสิ่งที่ดีนั้น ๆ)
3. มุทิตำ (ยินดีที่เขาได้ดีหรือเมื่อเกิดสิ่งที่ดี)
4. อุเบกขำ จิตอยู่ในสภาพปล่อยวาง/สงบสบาย (เมื่อได้พากเพียรพยายามทำาดีเต็มที่แล้ว ไม่ว่าดีจะเกิด
ขึนมาก เกิดขึ้นน้อยหรือดีไม่เกิดขึ้น ก็ปล่อยวางสิ่งนั้นให้โลก เป็นผู้ไม่ติดไม่หลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นใน
  ้
การกระทำาและผลของการกระทำา ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นผู้ไม่อยากได้ไม่อยากเป็นไม่อยากมีอะไร
ตอบแทน จึงสงบสบายไม่มีทุกข์ในใจใด ๆ) เป็นเหตุให้แข็งแรงอายุยืน

แต่บางคนที่หลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในดีมาก ๆ (หลงดี) ก็จะใจร้อนเร่งรัดเร่งรีบ ไปกดดัน/บีบคั้น/บีบบังคับ/
ยัดเยียดสิ่งที่ตนเห็นว่าดีให้กับตนเองและผู้อื่น จนเกิดทุกข์โทษภัยผลเสียต่อตัวเองและผู้อื่น เรียกว่า
พรหม 3 หน้ำ หลงติดหลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในหน้าที่ 3 ของพรหม หลงติดยินดีที่เขาได้ดี หลงติดยินดีที่
ดีเกิด แต่ถ้าเขาไม่ได้ดีหรือดีไม่เกิดก็จะยินร้าย ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใจ แล้วทำา
อุเบกขาวางวางดีวางทุกข์ไม่เป็น ความจริงแล้ว การมีมุทิตา(ยินดีที่เขาได้ดีหรือเกิดดี) เป็นสิ่งที่ดี แต่การ
หลงติดหลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในมุทิตานั้นไม่ดี

                                                     ุ
                         เทคนิคดับโลก(โรค) ร้อนด้วยวิถีแห่งพรหม
             โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง พรหม 3 หน้ำ และ พรหม 4 หน้ำ
เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง
เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง

More Related Content

What's hot

ความเครียดและการจัดการความเครียด
ความเครียดและการจัดการความเครียดความเครียดและการจัดการความเครียด
ความเครียดและการจัดการความเครียดDr.Krisada [Hua] RMUTT
 
ชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียด
ชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียดชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียด
ชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียดtassanee chaicharoen
 
คู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
คู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชคู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
คู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชUtai Sukviwatsirikul
 
เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้Phairot Odthon
 
คู่มือยาจิตเวชชุมชน
คู่มือยาจิตเวชชุมชนคู่มือยาจิตเวชชุมชน
คู่มือยาจิตเวชชุมชนUtai Sukviwatsirikul
 
Schizophrenia รัชฎาพร 29 ก.ย. 54
Schizophrenia  รัชฎาพร 29 ก.ย. 54Schizophrenia  รัชฎาพร 29 ก.ย. 54
Schizophrenia รัชฎาพร 29 ก.ย. 54Watcharapong Rintara
 
ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์
ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์
ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์Utai Sukviwatsirikul
 
Teachingnurseinpainmanagement
TeachingnurseinpainmanagementTeachingnurseinpainmanagement
TeachingnurseinpainmanagementPain clinic pnk
 

What's hot (9)

ความเครียดและการจัดการความเครียด
ความเครียดและการจัดการความเครียดความเครียดและการจัดการความเครียด
ความเครียดและการจัดการความเครียด
 
ชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียด
ชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียดชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียด
ชุดส่งเสริมความรู้ด้วยตนเองเรื่องอารมณ์และความเครียด
 
คู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
คู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวชคู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
คู่มือดูแลผู้มีปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช
 
เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้เครียดได้ก็หายได้
เครียดได้ก็หายได้
 
คู่มือยาจิตเวชชุมชน
คู่มือยาจิตเวชชุมชนคู่มือยาจิตเวชชุมชน
คู่มือยาจิตเวชชุมชน
 
สาเหตุของปัญหาความเครียด
สาเหตุของปัญหาความเครียดสาเหตุของปัญหาความเครียด
สาเหตุของปัญหาความเครียด
 
Schizophrenia รัชฎาพร 29 ก.ย. 54
Schizophrenia  รัชฎาพร 29 ก.ย. 54Schizophrenia  รัชฎาพร 29 ก.ย. 54
Schizophrenia รัชฎาพร 29 ก.ย. 54
 
ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์
ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์
ยารักษาโรคจิตเวช รพ. สหัสขันธ์
 
Teachingnurseinpainmanagement
TeachingnurseinpainmanagementTeachingnurseinpainmanagement
Teachingnurseinpainmanagement
 

More from Dinhin Rakpong-Asoke

คิดบวก ชีวิตบวก
คิดบวก ชีวิตบวกคิดบวก ชีวิตบวก
คิดบวก ชีวิตบวกDinhin Rakpong-Asoke
 
ต้องทำแบบคนจน
ต้องทำแบบคนจนต้องทำแบบคนจน
ต้องทำแบบคนจนDinhin Rakpong-Asoke
 
50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิตDinhin Rakpong-Asoke
 
190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า
190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า
190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้าDinhin Rakpong-Asoke
 
18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน
18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน
18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงานDinhin Rakpong-Asoke
 

More from Dinhin Rakpong-Asoke (6)

คิดบวก ชีวิตบวก
คิดบวก ชีวิตบวกคิดบวก ชีวิตบวก
คิดบวก ชีวิตบวก
 
ต้องทำแบบคนจน
ต้องทำแบบคนจนต้องทำแบบคนจน
ต้องทำแบบคนจน
 
50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
50 ข้อคิด มุมมองเพื่อความเข้าใจในชีวิต
 
190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า
190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า
190 เมนูสุขภาพ 4 สี 39 หน้า
 
18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน
18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน
18ข้อคิด เพื่อชีวิตคนทำงาน
 
3 Things In Life
3 Things In Life3 Things In Life
3 Things In Life
 

เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง

  • 1. เทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ (ยา 9 เม็ด) เพื่อควบคุมป้องกันโรค บำำบัด บรรเทำโรคและฟื้นฟูสุขภำพ ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง สถิติพบว่ามีผป่วยจำานวน 1,397 ู้ คน หลังจากที่ใช้เทคนิคการดูแล สุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลักการแพทย์วิถีพุทธ ภายใน 5 วัน ผู้ป่วยมีอาการของ ความเจ็บป่วยลดน้อยลงจำานวน 1,291 คน คิดเป็น 92.41 % ซึง ่ ส่วนใหญ่เป็นโรคหรืออาการที่ แพทย์แผนปัจจุบัน วินิจฉัยว่า ... เป็นโรคเรื้อรัง ต้องตายหรือรักษา ไม่หาย เช่น มะเร็ง เนื้องอก เบาหวาน ความดัน โลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ภูมิแพ้ เก๊าท์ รูมาตอยด์ ปวดตามข้อ ปวดตึงเมื่อย ตามร่างกาย โรคทางเดินกระเพาะอาหารลำาไส้เรื้อรัง อ่อนเพลียอ่อนล้า หน้ามืด วิงเวียนปวดศรีษะเรื้อรัง ภูมิต้านทานลด และการอักเสบ เรื้อรังตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นต้น ในจำานวนดังกล่าวนั้น มีผู้ป่วยเบาหวาน จำานวน 117 คน ระดับนำ้าตาลในเลือดลดลงคิดเป็น 88.03 % ผู้ ป่วยความดันโลหิตสูง จำานวน 158 คน ระดับความดันโลหิตสูงลดลง คิดเป็น 83.54 % ผู้ป่วยไขมันในเลือดสูง จำานวน 78 คน ไขมันไตรกลีเซอไรด์และคลอเลสเตอรอลในเลือดลดลง คิดเป็น ็ 73.78 % ผูป่วยมะเร็ง 111 คน ้ อาการเจ็บป่วยทุเลาลว 85.59 % (ในจำานวนผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด หลังจากปฎิบัติตัวอย่างต่อเนื่อง มีผล ตรวจร่างกายจากแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่พบมะเร็ง หรือสภาพร่างกายมีอาการเหมือนคนปกติต่อเนื่องกัน 6 เดือนขึ้นไป จำานวน 22.52 % " มีชีวิตอยู่ด้วยอาการไม่สบายจากพิษของมะเร็งลดน้อยลง หรือยืดอายุออกไปได้มากกว่าการคาดการ ของแพทย์แผนปัจจุบัน 63.07 % " อาการไม่ทุเลาลง 14.41 % ) ผูป่วยโรคหัวใจ 12 คน อาการเจ็บป่วยทุเลาลง 75 % ้ นอกจากนี้ ยังพบว่า อาการไข้ขึ้น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด เจ็บคอ เสียงแหบ คอแห้ง ปวดเมื่อยตามเนื้อ ตัว หรือความเจ็บป่วยเล็กน้อยอื่น ๆ ก็สามารถบำาบัดบรรเทาให้ทุเลาเบาบางได้ ด้วยเทคนิคการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามหลัก การแพทย์วิถีพุทธ ท่านอาจเลือกทำาเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือทำาหลายข้อร่วมกัน ตามแต่สภาพร่างกายหรือการทุเลาเบาบาง ของความเจ็บป่วยในแต่ละท่าน โดยมีตัวชี้วัด คือ ให้เกิดสภาพพลังชีวิต ได้แก่ สบาย เบากาย มีกำาลัง
  • 2. เทคนิค 9 ข้อ ของการพึ่งตนในการดูแลสุขภาพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง 1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล 2. กัวซำหรือขูดซำหรือขูดพิษหรือขูดลม 3. กำรสวนล้ำงลำำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์) 4. กำรแช่มอแช่เท้ำในนำ้ำสมุนไพร ื 5. กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือเมื่อใช้แล้วรู้สกสบำย ึ 6. กำรออกกำำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถกต้อง ู 7. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย 8. ใช้ธรรมะ ทำำใจให้สบำย ผ่อนคลำยควำมเครียด 9. รู้เพียร รู้พักให้พอดี 1. กำรรับประทำนสมุนไพรปรับสมดุล กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน ดืมนำ้ำำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือที่เรียกว่ำ นำ้ำคลอโรฟิลด์สดจำก ่ ้ ธรรมชำติ/นำ้ำเขียว/นำ้ำย่ำนำง วิธีทำำ ใช้ สมุนไพรฤทธฺ์เย็น เช่น ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ ใบเตย 1-3 ใบ บัวบก ครึง-1 กำามือ หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น ใบอ่อมแซบ ่ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำามือผักบุ้ง ครึง-1 กำามือ ใบเสลดพังพอน ่ ครึ่ง-1 กำามือ หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ และว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้ ละเอียดหรือขยี้ ผสมกับนำ้าเปล่า 1-3 แก้ว (บางครั้งอาจผสมนำ้า มะพร้าว นำ้าตาล นำ้ามะนาว นำ้ามะขาม ในรสไม่จัดเกินไป เพื่อทำาให้ ดื่มได้ง่ายในบางคน) กรองผ่านกระชอน เอานำ้าที่ได้มาดื่ม ครั้งละ ประมาณ ครึ่ง-1 แก้ว วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง หรือดื่มแทนนำ้าตอนที่รู้สึกกระหายนำ้า ปริมาณการดื่มและความเข้มข้นของสมุนไพร อาจมากหรือน้อยกว่านี้
  • 3. ก็ได้ ตามความต้องการของร่างกาย ณ เวลานั้น ๆ โดยดูความพอดีได้จาก ความรู้สึกที่กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืนไม่พะอืดพะอมและความสบายตัว กรณีที่ดื่มนำ้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดแล้วรู้สกไม่สบำย ให้กดนำ้าร้อนใส่นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือนำาไปต้ม ึ ให้เดือด ก่อนดื่ม หรืออาจนำาสมุนไพรฤทธ์ร้อนมาผสมก่อนดื่มก็ได้ เช่น นำานำ้าต้มขมิ้น/ขิง/ตะไคร้ มาผสม ่ เป็นต้น หรืออาจดื่มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกสบาย กลับสารบัญ 2. กัวซำหรือขูดซำหรือขูดพิษหรือขูดลม ิ เป็นการแพทย์ดั้งเดิมของชาวไทยภูเขา ชาวจีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และประเทศในแถบ เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ มีประสิทธิภาพโดดเด่นในการเอาพิษออกจากร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็น พิษจากเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อนที่มาระบายพิษที่่ ผิวหนัง ทำาให้สามารถบรรเทาอาการไม่สบายได้อย่าง ๋ รวดเร็ว ประโยชน์ของกำรกัวซำ - เรียนรู้ง่าย สามารถทำาได้ด้วยตนเอง ทำาได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ไม่มีผลแทรกซ้อนใด ๆ ทั้งสิ้น - ช่วยลดอาการปวดหัวตัวร้อน เป็นไข้ เป็นหวัด ไอเฉียบพลัน/เรื้อรัง - ลดอาการเจ็บปวดมึนชาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย - เพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมคุ้มกันในร่างกาย สร้างความแข็งแรงให้เซลล์โดยการเพิ่มออกซิเจนและระบาย ิ ของเสียในเซลล์ ทั้งเซลล์ของเม็ดเลือดและเซลล์อื่น ๆ ของร่างกาย โดยระบายพลังงานที่เป็นพิษออกมา พร้อมกับเลือดที่ถูกกระตุ้นให้เคลื่อน มาระบายพิษที่ผิวหนัง วิธีกวซำ ั - ควรทำาการกัวซาในสถานที่โล่งโปร่ง และลมไม่โกรกจัด - ใช้ขผึ้งย่านาง ขึ้ผึ้งเสลดพังพอน ขึผึ้งแก้หวัด ยาหม่องดำา นำ้ามันเขียว นำ้ามัน ึ้ ้ เหลือง นำ้ามันพืช นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือนำ้าเปล่า อย่างใดอย่างหนึ่งทาบน ผิวหนังก่อนขูดดซา ในบริเวณที่รู้สึกไม่สบายหรือบริเวณที่ถอนพิษจากร่างกาย ได้ดี เช่น บริเวณหลัง แขน ขา เป็นต้น แม้ไม่มีสมุนไพรทาเลย ก็สามารถขูดซา ได้เลย โดยที่ไม่ต้องทาอะไร ก็ช่วยถอนพิษได้ ถ้ารู้สึกหนาวเย็น ควรใช้นำ้าอุ่น นำ้ามันพืช หรือขึ้ผึ้งที่ไม่เย็นเกินไป ทาก่อนขูด ซาหรือขูดซาโดยที่ไม่ต้องทาอะไรเลยก็ได้ - ใช้อุปกรณ์ีเรียบง่าย เช่น ช้อน ชาม เหรียญ ไม้ขอบเรียบหรือวัสดุขอบเรียบต่าง ๆ ขูดได้ ทั้งที่ผิวหนังตรง ็ ๆ หรือจะขูดผ่านเสื้อผ้าก็ได้ ้ - กำรกัวซำควรเริมจำกด้ำนซ้ำยก่อนเสมอ ยกเว้น เกิดอาการไม่สบายเด่นชัดที่ด้านขวา มากกว่าด้าน ่ ซ้ายก็ให้ขูดด้านขวาก่อน
  • 4. กำยภำพด้ำนหลัง กำยภำพด้ำนหน้ำ - การขูดแต่ละ ครั้งให้ลงนำ้า หนักแรงพอ สบาย ไม่แรง เกิน ไม่เบาเกิน ความแรงที่ได้ ผลดีนั้น ให้ลง นำ้าหนักไปค่อน ข้างแรงหน่อย เท่าทีจะไม่ ่ เจ็บ/ไม่ทรมาร มากเกินไป อาจไม่รู้สึกเจ็บ เลยหรือรู้สึก เจ็บเล็กน้อยใน ขีดที่ทนได้ โดยไม่ยาก ไม่ ลำาบากก็๋ได้ ลง ้ นำ้าหนัก สมำ่าเสมอ การ ขูดที่พอดีคือ ขูดให้ผิวมีสี แดง จนกว่าจะ ไม่แดงไปกว่า นั้นหรือ ขูดจุด ละประมาณ 10-50 ครั้ง อาจขูดมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ เท่าทีรู้สึกสบาย ่ - หลังทำากัวซา ควรเกิน 4-8 ชั่วโมงขึ้นไป จึงสามารถอาบนำ้าได้ ถ้าจำาเป็นที่จะต้องอาบนำ้าทันทีหลังกัวซา ก็ควรอาบนำ้าอุ่นหรือเช็ดตัวด้วยนำ้าอุ่น หรือจำาเป็นที่จะต้องอาบนำ้า อาจอาบนำ้าธรรมดาหลังกัวซา อย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้เลือดที่เคลื่อนมาบริเวณผิวหนังมีเวลาระบายพิษออกไปได้มาก ถ้าเรารีบอาบนำ้าเย็นเร็วเกิน ไปเส้นเลือดจะหดตัวบีบเลือด ที่ยังระบายพิษได้ไม่มากกลับคืนไปสู่เซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในของเรา ทำาให้ระบายพิษได้น้อย
  • 5. ทิศทำงของกำรกัวซำ ขูดศรีษะ ขูดจากกลางศรีษะจนถึงตีนผม จนทั่วศรีษะ ขูดใบหน้ำ บริเวณใบหน้า ให้เอากึ่งกลางรหว่างคิ้วเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วขูดออกไปเป็นรัศมีวงกลมทุกทิศทุกทางหรือ ขูดออกด้านข้างก็ได้ สำาหรับบริเวณตาให้หลับตาลง แล้วขูดเบา ๆ จากหัวตามาหางตาและให้ทั่วบริเวณ รอบตาทั้งหมด ลงนำ้าหนักและปริมาณการขูดแค่พอรู้สึก สบาย ขูดแผ่นหลัง ส่วนที่ชิดประดูกสันหลัง ขูดตั้งแต่ต้นคอ ยาวลงมาจนถึงเอว ฟืนที่แผ่นหลังส่วนที่ ้ เหลือให้ขูดออกข้าง ขูดบริเวณลำำตัวด้ำนหน้ำ เริ่มจากกลางหน้าอกให้ขูดลง ใต้ไหล่ด้าน หน้าให้ขูดออกข้างหรือขูดลงก็ได้ ใต้ราว นมขูดตามร่องซี่โครงเฉียงเข้าหาสะดือ บริเวณท้องขูดลงหรือขูดเข้าหาสะดือก็ได้ ขูด คอ แขน มือ สะโพก ขำ เท้ำและจุดที่ไม่สบำยอื่น ๆ หรือจุดที่จำำทิศทำงกำรขูดไม่ได้ ให้ขูดลงหรือขูดตามทิศที่เราขูดแล้วรู้สึกสบาย เพระาสภาพที่เกิดการบำาบัดรักษาคือ สภาพทีรู้สึกสบาย ่ ตามหลักสปฎิบัติเพื่อความแข็งแรงอายุยืน ในพระไตรปิฎก อนายุสสสูตร ข้อที่ 1 การรู้จักทำาความสบายแก่ตนเอง ข้อควรรู้ของกำรกัวซำ 1. กำรใช้แรงขูดควรสมำ่ำเสมอ ควรขูดจนเห็นรอย จุดแดงปรำกฎขึ้นมำจนกว่ำจะไม่แดงไปกว่ำ นัน้ (หากขูดสักพักแล้วไม่แดงก็ย้ายจุดขูดได้) หรือขูดจนบริเวณที่ขูดนั้นรู้สึกสบายขึ้น จากนั้นจึงขูดตำาแหน่ง อื่นต่อไป 2. บำงครั้งหลังจำกขูดแล้ว 2-3 วัน ตำำแหน่งที่ขูดอำจจะมีอำกำรระบมปรำกฎขึ้น ซึงถือว่ำเป็น ่
  • 6. เรื่องปรกติ หลังขูดจนเกิดรอยแดง ณ จุดนั้น ๆ ออกมาแล้ว เราสามารถแปลผลได้ดังนี้ 1. สีชมพูหรือสีแดงเรื่อ ๆ แสดงว่า ดี 2. เป็นปืน้ แสดงว่า พิษเริ่มสะสม 3. เป็นจำ้ำเหมือนไข้เลือดออก แสดงว่า พิษสะสมนานแล้ว ในทางแพทย์ทางเลือก เรียกว่า ลมแตก 4. ถ้ำเป็นลักษณะชำ้ำ แสดงว่า มีพิษสะสมมาก ยิ่งถ้ำชำ้ำจนถึงขันสีม่วงหรือสีดำำ ้ ในทางแพทย์ทางเลือกถือว่า มีพิษมากถึงขั้นมะเร็ง ซึงการตรวจในทางการแพทย์แผนปัจจุบันอาจพบว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เรียบ ่ เรียงพบว่า ผู้ป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง มากกว่า ร้อยละ 80 มักขูดซาพบสีม่วงหรือสีดำา ี การกัวซาจึงเป็นทั้งการวินิจฉัยโรคและการรักษาโรค ไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ไม่เกิน 7 วัน รอยแดงนั้นมักจะ ยุบหายไป มักจะมีคำาถามว่าเมื่อกัวซาแล้วจะกัวซาอีกครั้งเมื่อไหร่ คำาตอบก็คือ เมื่อรู้สึกไม่สบายอีกครั้ง ถ้าเป็นผูป่วย ้ หนักอาจจะกัวซาทุกวันหรือกัวซาวันละหลายครั้งก็ได้ ถ้าการกัวซานั้นทำาให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวขึ้น 3. ไม่ควรขูดในจุดที่เป็นแผลฝีหนองหรือจุดที่เมื่อถูกขูดแล้วรู้สึกไม่สบายเจ็บปวดแสบร้อน ทรมานมากเกิน ไป แต่สามารถขูดตรงข้ามกับจุดที่ไม่สบายนั้น ๆ ก็สามารถรักษาจุดที่ไม่สบายนั้นได้ 3. กำรสวนล้ำงลำำไส้ใหญ่ (ดีทอกซ์) เป็นการปรับสมดุลด้วยการล้างพิษ 3 อย่าง ออกจากลำาไส้ใหญ่ ได้แก่ 1. พิษของเนื้ออุจจาระที่หมักหมม 2. นำ้าที่เป็นพิษอันเกิดจากทุกอวัยวะใน ร่างกายส่งสิ่งที่เป็นพิษมากำาจัดที่ตับ ตับก็ ระบายส่งไปที่ลำาไส้เล็ก แล้วก็ส่งต่อไป ลำาไส้ใหญ่ 3. พิษของพลังงานความร้อนที่เป็นของเสีย ี จากทุกอวัยวะในร่างกาย ซึ่งส่งมาระบายที่ ลำาไส้ใหญ่มากกว่าที่อื่น ๆ จะเห็นได้ว่าหมอ แผนปัจจุบัน ถ้าวัดไข้ทางทวาร เมื่อวัด อุณหภูมิได้เท่าไหร่จะต้องลบออก 0.5 องศา เซลเซียส ในขณะที่การวัดไข้ในที่อื่น ๆ ไม่ลบ ออก เพราะที่ลำาไส้ใหญ่มีความร้อนมากกว่าที่ อื่นในร่างกายถึง 0.5 องศาเซลเซียส แม้หมอ
  • 7. จีนไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นโรคอะไร ก็นิยมฝังเข็มหรือกดจุดที่จุดเหอกู่ ตรงบริเวณกึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ของมือ วัดเข้ามาด้านหลังมือจากง่ามมือหนึ่งข้อนิ้วโป้ง เป็นจุดระบายพิษจากลำาไส้ใหญ่ที่ดีมาก ซึงมักจะ ่ ทำาให้อาการไม่สบายในร่างกายไม่ว่าจะเป็นอวัยวะใดก็ตามลดลงอย่างรวดเร็ว ผูป่วยที่อาการหนัก ทำาวันละ 1-2 ครั้ง ส่วนคนทั่วไปทำาสัปดาห์ละ 1-3 ครั้งหรือเท่าทีร่างกายรู้สึกสบาย ้ ่ พิษทั้งสามประการนั้น จะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติของร่างกายทุกวัน ถ้า ไม่รีบระบายออกหรือมี การหมักหมมสะสมมากเกินไป ก็จะถูกดูดซึม กลับหรือแพร่กระจายกลับไปทำาลายทุกอวัยวะในร่างกาย ทำาให้ ร่างกายทรุดโทรมและเจ็บป่วย ในทางตรงกันข้ามการสวนล้างสำาไส้ ใหญ่(ดีทอกซ์) นั้นจะสามารถขับและระบายพิษทั้งสามประการออก จากร่างกายได้ อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว และพลังงานของ สมุนไพรที่ถูกกันที่เราใส่เข้าไปนลำาไส้ใหญ่ ก็จะเคลื่อนไปดับพิษ ปรับสมดุลทุกอวัยวะในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ำ ทำาให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีทำำ เลือกสมุนไพรที่เหมาะสม คือ เมื่อใช้ทำาดีท๊อกซ์แล้วรู้สึก สดชื่นโปร่งโล่งสบาย ตัวอย่างสมุนไพร เช่น ใบเตย 1 ใบ อ่อมแซบครึ่งกำามือ ย่านาง 1-3 ใบ นำ้ามะนาว ครึ่ง-1 ช้อนโต๊ะ นำ้ามะขามครึ่งกำามือ มะขามเปียก 1-3 ฝัก ใบส้มป่อยครึ่งกำามือ กาแฟ 1 ช้อนชา บอระเพ็ด 1 ข้อนิ้วมือ ลูกใต้ใบ 1 ต้น ฟ้าทะลายโจร 1 ยอด(ยาวครึ่ง-1 คืบ) เป็นต้น ให้เลือกใช้สมุนไพรอย่างใด อย่างหนึ่งที่ถูกกับร่างกายเรา คือ พอทำาดีทอกซ์แล้วรู้สึกสดชื่น โปร่ง โล่ง เบา สบายตัว ถ้าใช้แล้วไม่ สบายก็แสดงว่าไม่ถูกกับคนนั้น ณ เวลานั้น ควรงดเสีย นำาสมุนไพรต้มในนำ้าเปล่า เดือดประมาณ 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่น หรือใช้ใบสมุนไพรสด ขยี้ กับนำ้าเปล่า กรองผ่านกระชอน นำานำ้าที่ได้ ไปใส่ขวดหรือถุง ทีเป็นชุดสวนล้างลำาไส้ โดยทั่วไปใช้น้ ่ สมุนไพร 500-1,500 ซี.ซี. เปิดนำ้าให้วิ่งตามสายเพื่อไล่อากาศออกจากสายแล้วล็อคไว้ จากนั้น นำาเจลหรือวาสลีนหรือนำ้ามันพืชหรือว่านหางจระเข้ทาที่ปลายสายสวน ประมาณ 1 ซม. เพื่อหล่อ ลื่น หรืออาจใช้ปลายสายสวนจุ่มในนำ้าก็ได้ ต่อจากนั้น ค่อย ๆ สอดปลายสายสวนเข้าไปทีรูทวารหนัก สอด ่ ่ ให้ลึกเข้าไป ประมาณเท่านิ้วมือเรา (ประมาณ 3-5 นิ้วฟุต) ยกหรือแขวนขวดสมุนไพรสูงจากทวารประมาณ 2 ศอก ค่อย ๆ ปล่อยนำ้าสมุนไพรให้ไหลเข้าไปในลำาไส้ใหญ่ของเรา โดยใส่ปริมาณนำ้าเท่าที่ร่างกายเรารู้สึก สบายที่ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบากเกินไป แล้วใช้มือนวดคลึงที่ท้อง พอปวดอุจจาระก็ไปถ่ายระบายออก ในขณะที่ทำาดีทอกซ์เราสามารถนอน(ส่วนใหญ่นิยมนอนทำา) นั่งหรือยืนทำาก็ได้ ตามความเหมาะสมของ สภาพร่างกายและสถานที่ ในกรณีที่คนกลั้นได้เก่ง เมื่อรู้สึกปวดถ่ายครั้งแรกให้กลั้นไว้ก่อน เพื่อให้ลำาไส้บีบตัว สิ่งสกปรกที่ติดบริเวณ ผนังลำาไส้จะได้หลุดออกมาที่นำ้าดีทอกซ์ ซึงส่วนใหญ่มักไม่เกินครึ่งนาทีก็จะหายปวด พอปวดอีกครั้งก็ไป ่ ถ่ายออก จะทำาให้พิษถูกระบายออกได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่มีกำาลังกลั้น พอปวดครั้งแรกก็ให้ไปถ่ายระบายออกเลย โดยไม่ต้องคำานึงถึงระยะเวลาการกลั้น เฉลี่ยไม่ควรเกิน 20 นาที สำาหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก อาจทำาดีทอกซ์ วันละ 1-2 ครั้ง อาจมากหรือน้อยกว่า ตามสภาพของร่างกาย คือ ทำาเท่าที่รู้สึกสบาย ส่วนคนทั่วไป ทำาดีทอกซ์เฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง หรือตามสภาพร่างกาย คือ ทำา เท่าทีรู้สึกสบาย ่
  • 8. สำำหรับกรณีที่มีกำรผ่ำตัดสำำไส้่ ควรรอให้แผลหายดีอย่างน้่อยหลัีงผ่าตัด 3 เดือนขึ้นไป จึงค่อยทำาดี ทอกซ์ โดยครั้งแรก ๆ ให้ใช้นำ้าดีทอกซ์น้อย ๆ แค่พอรู่้สึกปวดระบายถ่ายท้องก่อน พอลำาไส้ปรับสภาพ ดีแล้วจึงค่อยเพิ่มนำ้าดีทอกซ์ในปริมาณที่รู่้สึกสบาย (ทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบาก) ถ้ำทำำดีทอกซ์แล้วรู้สึกไม่สบำยมักเกิดจำก 1. สมุนไพรนั้นไม่ถูกกับร่างกายเรา เช่น บางคนเวลาใช้กาแฟทำาดีทอกซ์แล้วจะรู้สึกใจสั่นอ่อนเพลีย ก็ แสดงว่าคนนั้นไม่ถูกกับกาแฟ ถ้าใช้กาแฟทำาดีทอกซ์แล้วรูึ้สึกสบาย ก็แสดงว่าคนนั้นถูกับกาแฟ 2. ใช้สมุนไพรเข้มข้นเกินไป ทำาให้สมุนไพรเคลื่อนเข้าร่างกายเร็วและมากเกินไป เพราะช่องทางของ ลำาไส้ใหญ่นั้นเป็นเส้นทางลมปราณที่สำาคัญมาก เนื่องจากเป็นช่องทางที่พลังานจะเคลื่อนเข้า-ออกเร็วมาก ดังนั้นช่องทางนี้ควรใช้สมุนไพรเจือจางแค่พอดีสบายจะดีที่สุด 3. เลือกใช้นำ้าไม่ถูกกัน ณ เวลานั้น บางคนถูกกับนำ้าอุ่น บางคนถูกกับนำ้าอุณหภูมิธรรมดา ให้ดูที่ความ รูสึกสบายเป็นหลัก ้ 4. ปริมาณนำ้ามากเกินไป ให้ใส่นำ้าในปริมาณที่รู้สึกสบายหรือทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบาก 5. แขวนขวดสูงเกินไป ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ แรงและเร็วเกินไป มักจะทำาให้ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือเวียนศรีษะได้ง่าย ดังนั้น ควรค่อย ๆ ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ช้า ๆ เท่าทีรู้สึกสบาย กรณีที่แขวนขวดสูง ่ ควรใช้เทคนิคการบีบหรือหักสายดีทอกซ์ แล้วค่อย ๆ ปล่อยนำ้าเข้าไปในลำาไส้ช้า ๆ ในปริมาณที่เรารู้สึก สบาย 6. กลั้นอุจจาระนานจนรู้สึกทรมานเกินไป ให้กลั้นในจุดที่เรารู้สึกทนได้โดยไม่ยากไม่ลำาบากเกินไป กลับสารบัญ 4. กำรแช่มอแช่เท้ำในนำ้ำสมุมไพร ื ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็น ประมาณ ครึ่ง- 1 กำามือ เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด ใบมะขาม ใบ ส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย เป็นต้น จะใช้สมุนไพรอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ ต้มกับนำ้า 1 ขัน (ประมาณ 1 ลิตร) เดือดประมาณ 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่นแค่ ึ พอรู้สึกสบาย ถ้าไม่มีสมุนไพรเลยก็ใช้นำ้า เปล่าต้มให้เดือดแล้วผสมนำ้าธรรมดา ให้ อุ่นก็ได้ จากนั้นแช่มือแช่เท้่า แค่พอท่วม ข้อมือข้อเท้่า 3 นาที แล้วยกขึ้นจากนำ้าอุ่น 1 นาที ทำาซำ้าจนครบ 3 รอบ โดยทำาวันละ ็ ประมาณ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ค่อยมีเวลาทำาเฉลี่ย สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นต้มแล้วรู้สึกไม่ สบายก็ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนต้ม ถ้ารูสึกสบายกว่า ในกรณีที่ แช่นำ้ำต้มสมุนไพรแล้วมีอำกำรไม่ ้ สบำย ก็ให้งดเสีย แสดงว่าสภาพร่างกายตอนนั้นไม่ถูกกับนำ้าอุ่น นำ้าร้อน อาจแช่นำ้าธรรมดาหรือนำ้าสมุนไพร สดที่ไม่ผ่านความร้อนแทน ถ้าทำาแล้วรู้สึกสบาย โดยแช่นาน เท่าที่รู้สึกสบาย
  • 9. กลไกการถอนพิษก็คือ ร่างกายมีธรรมชาติของการระบายพลังงานที่เป็นพิษจำานวนมากออกทางมือเท้าอยู่ ่ แล้ว จะเห็นได้ว่าแพทย์โบราณหลายประเทศมีการกดจุดหรือขูดระบายพิษจากมือและเท้า เมื่อคนเราใช้มือ ี และเท้าในกิจวัตรประจำาวัน กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่มือและเท้ามักก็จะเกิดสภาพแข็งแรงเกร็งค้าง ทำาให้ขวาง เส้นทางการระบายพิษจากร่างกาย การแช่ในนำ้าอุ่นจะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่แข็งแกร็งค้างคลายตัว ั พลังานที่เป็นพิษในร่างกายจึงจะระบายออกได้ดี ทำาให้สุขภาพดีขึ้น ี จากการเก็บสถิติ ณ ปัจจุบัน พบว่า เมื่อแช่ในนำ้าอุ่นพลังงานพิษที่อัดอยู่ในร่างกายจะเคลื่อนออกภายใน 3 ื นาที หลังจากนั้น พิษของนำ้าอุ่นนำ้าร้อนจะเคลื่อนเข้าไปทำาร้ายร่างกาย เมื่อแช่นำ้าอุ่นนานเกิน 3 นาที จึงมัก จะพบว่า มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายในร่างกาย หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ไปแช่นำ้าดโป่ง เดือดหรือ นำ้าพุร้อน ถ้าแช่นานเกิน 3 นาที พอขึ้นมาจากการแช่ ก็มักจะมีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบายต่าง ๆ เพราะ พิษจะเคลื่อนออกได้แค่ประมาณ 3 นาที จากนั้นพิษของนำ้าอุ่นจะเคลื่อนเข้าทำาร้ายร่างกาย ดังนั้น คนที่มีความรู้ก็จะแช่นำ้าอุ่นแค่ 3 นาที แล้วขึ้นจากนำ้าอุ่น 1 นาที เมื่อร่างกายเย็นดีแล้ว พลังงานพิษ ร้อนในร่างกายก็จะเคลื่อนสวนทางกับความเย็น เมื่อเราแช่ในนำ้าอุ่นอีกครั้ง กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว พลังงาน พิษร้อนก็จะเคลื่อนออกจากร่างกายได้มาก ผู้เขียนพบว่า พิษสามารถเคลื่อนออกได้มากเพียง 3 รอบ หลัง จากนั้น ถ้าเรายังแช่นำ้าอุ่นต่ออีก พิษนำ้าอุ่นก็จะเคลื่อนเข้าไปทำาร้ายร่างกาย กลับสารบัญ 5. กำรพอก ทำ หยอด ประคบ อบ อำบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน คือเมื่อใช้แล้วรู้สกสบำย ึ เช่น พอกด้วยกากสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือพอกทาด้วยผงถ่านที่ใช้ก่อไฟทั่วไป ผสมกับนำ้าสมุนไพรฤทธ์เย็น (อาจผสมดินสอพองหรือนำ้าปัสสาวะด้วยก็ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถอนพิษได้ดียิ่งขึ้น) โดยพอกทาทุก 4-6 ชั่วโมง ้ หรืออาจพอกทาทิ้งไว้ทั้งคืนก็ได้ ถ้าใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นแล้วรู้สึกไม่สบาย ก็ ปรับใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน ถ้ารู้สึกสบายกว่า กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน การถอนพิษด้วยการพอก/ทาด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น โดยนำาสมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ใบเตย เบญจรงค์(อ่อมแซบ) ผักบุ้ง บัวบก ย่านาง รางจืด วุ้นนว่านหาง จระเข้ ใบมะขาม ใบส้มป่อย กาบหรือใบหรือหยวกกล้วย เป็นต้น จะใช้อย่าง ใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ มาหั่นหรือโขลกให้แตกพอประมาณ อาจใช้กากสมุนไพรที่เหลือจากการทำานำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นก็ได้ ์ อาจใช้ผ้าชุบนำ้าสมุนไพรฤทธฺเย็นก็ได้ อาจใช้ดินคลุกกับนำ้าให้เหลวเหมือนตมก็ได้ อาจใช้นำ้าสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด คลุกับดินสอพองหรือปูนเคี้ยวหมากหรือ แป้งฝุ่นที่ใช้ทาหน้าทาผิว ให้พอเหลวก็ได้ ้ ์ ้ อาจใช้ นำาสกัดด้วยการกลั่นสมุนไพรฤทธฺเย็น นำ้ามันเขียว นำามันเหลือง นำ้ามันพิมเสนการบูร เมนทอล ขึผึ้งย่านาง-เบญจรงค์ ้ ขึผึ้งเสลดพังพอน ขึผึ้งแก้หวัด ยาหม่องดำา ก็ได้ ้ ้
  • 10. กรณีที่มีภำวะร้อนเกินและเย็นเกินเกิดขึ้นพร้อมกัน ้ ให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นผ่านไฟ หรือสมุนไพรทั้งร้อนและเย็นผ่านไฟ เช่น นำาสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพร ทั้งร้อนและเย็น ต้มให้เืดือด 5-10 นาที แล้วผสมนำ้าธรรมดาให้อุ่น ใช้อาบหรือนำาผ้าชุบบิดให้หมาด วาง ประคบบริเวณที่ไม่สบาย หรืออาจนำาสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือสมุนไพรทั้งร้อนและเย็น หั่นให้เล็กหรือโขลก ่ พอแตก ห่อเป็นลูกประคบ นึ่งให้ร้อน วางประคบบริเวณที่ไม่สบาย ถ้ารู้สึกร้อนเกินไปก็ใช้ผ้ารองที่ผิวหนัง ก่อนประคบก็ได้ กรณีที่มีภำวะเย็นเกินอย่ำงเดียว ์ ให้พอก ทา ประคบหรืออบด้วยสมุนไพรฤทธฺร้อน เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้ ไพล ใบมะกรูด เกลือ นำ้ามัน พืช/นำ้ามันสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขึผึ้งขมิ้น ขึ้ผึ้งไพล ขึผึ้งนำ้ามันงา ขึผึ้งนำ้ามันระกำา เป็นต้น ้ ้ ้ กลับสารบัญ 6. กำรออกกำำลังกำย กดจุดลมปรำณ โยคะ กำยบริหำร ที่ถกต้อง ู การบริหารกายที่ถูกต้องสมดุล เป็นประโยชน์สูงสุดกับร่างกาย เมื่อทำาเสร็จ ต้องได้คุณสมบัติ 3 อย่าง 1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ 2. ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น 3. การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ การจะได้คุณสมบัติทั้ง 3 อย่างดังกล่าว ต้องมีการบริหารกาย 2 ลักษณะ
  • 11. 1. กำรออกกำำลังกำยที่มีกำรใช้กำำลังแรงกำย ถ้าไม่ออกกำาลังกายที่ใช้่แรงกำาลัง กล้ามเนื้อก็จะไม่มีกำาลังที่จะบีบเอาของดีไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของ ี ร่างกาย ไม่มีกำาลังที่จะบีบเอาของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายก็จะเสื่อมเร็วและเกิดคววมเจ็บป่วยตามมา การออกกำาลังกายที่ดี ต้องใช้กำาลังเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันนานพอประมาณ (เฉลียโดยทั่วไป ใช้เวลา ่ ประมาณ 15-45 นาที อาจมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ตามสภาพร่างกายของบุคคลนั้น ๆ ณ เวลานั้น อาจทำา ทุกวันหรือวันเว้นวันก็ได้) โดยออกกำาลังกายจนถึงขั้นหอบเหนื่อยแต่ไม่มากเกินไปถึงขั้นหอบเหนื่อยจน รูสึกใจสั่นหวิวหรือพูดกบคนอื่นไม่ชัดถ้อยไม่ชัดคำา พอพักไม่เกิน 10-20 นาที ก็สามารถหายเหนื่อยและ ้ ทำางานตามปกติได้ จึงจะทำาให้กล้ามแข็งแรงมีกำาลังสามารถบีบของดีไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ สามารถบีบของเสียออกจากร่างกายได้ ทำาให้เลือดลมไหลเวียนดี เช่น เดินเร็ว(เหมาะสำาหรับทุกวัย โดย เฉพาะวัยผู้ใหญ่ขึ้นไป) วิ่งจ๊อกกิ้ง (มักเหมาะสำาหรับเด็กหรือวัยรุ่น) กระโดดเชือก ว่ายนำ้า ปันจักรยาน ่ เป็นต้น 2. กำรกำยบริหำรที่สร้ำงควำมยืดหยุนให้กล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น สร้ำงกำรเข้ำที่เข้ำทำงของ ่ ้ กระดูก กล้ำมเนื้อและเส้นเอ็น ้ แพทย์แผนปัจจุบันพบว่า ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ยืดหยุ่น หรือกระดูกเส้นเอ็นและกล้าม เนื้อเคลื่อนออกจากตำาแหน่งปกติ ก็จะกดรัดเส้นเลือดเส้นประสาท เลือดลมจะไหลเวียนไม่สะดวก ทำาให้ เกิดความเจ็บปวดมึนชา และความเสื่อมของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ี แพทย์ทางเลือกพบว่า พลังงานลมปราณ คือ พลังงานที่หล่อเลี้ยงร่างกาย อันเกิดจากการสันดาปเผา ผลาญอาหาร ตั้งแต่ระดับหยาบจนถึงระดับละเอียด และพลัีงงา นที่เป็นพิษเป็นของเสียอันเกิดจากการสันดาปอาหาร ตั้งแต่ ระดับหยาบจนถึงระดับละเอียด รวมถึงพลังานที่เป็นพิษอื่น ๆ ที่ ร่างกายรับเข้าไป และแพทย์ทางเลือกก็พบว่า พลังงานที่ดีจะขับเคลื่อนไปหล่อ เลียงร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุด ทางเส้นลมปราณ ส่วนพลังงาน ้ ้ ที่ไม่ดีจะถูกขับออกจากร่างกายมากที่สุดเร็วที่สุดทางเส้น ลมปราณเช่นเดียวกัน ซึ่งการเคลื่อนของพลังงานทั้งที่ดีและไม่ ดีดังกล่าว จะเคลื่อนตามข้างกระดูก ข้างเส้นเอ็น ข้างเส้น ประสาทและตามร่องของกล้ามเนื้อ ซึงตรงกับเส้นลมปราณ ่ หลัก 12 เส้นของแพทย์แผนจีนและเส้นลมปราณหลัก 10 เส้น ของแพทย์แผนไทย(เส้นสิบ) ถ้ากล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตึงแข็งเกร็งค้างไม่ืยืดหยุ่น หรือกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อเคลื่อนออกจากตำาแหน่งปกติ จะทำาให้ การเคลื่อนของพลัีงงานดังกล่าวติดขัด เกิดอาการกำาลังตกและ เกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ ทันที เรียกว่าลมปราณติดขัด/ ลมปราณล็อค แต่ถ้าแก้ไขให้เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น ให้เกิดการเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและ กล้ามเนื้อ อาการกำาลังตกและอาการไม่สบายต่าง ๆ จะทุเลา ๋ เบาบางหรือหายไปอย่างรวดเร็ว จนน่าประหลาดใจ
  • 12. หลายครั้งที่ผู้เขียนพบผูป่วยที่อาการ หนักจวนเจียนจะเสียชีวิต บางคนแพทย์แผนปัจจุบันถึงกับต้องให้ ้ ่ั ออกซิเจนให้ยาแผนปัจจุบันต่าง ๆ เพื่อช่วยชีวิตฉุกเฉิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น หรือผู้ป่วยเรื้อรังทีรับประทาน ยาอย่างไรก็ไม่หาย แต่พอปรับสมดุลให้เส้นลมปราณเข้าที่(เกิดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ้ ้ เกิดการเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ) อาการกลับทุเลาเบาบางหรือหายไปอย่างรวดเร็ว ื เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง วิชาดังกล่าวนั้น อยู่ในแพทย์ทางเลือกและแพทย์แผนไทยที่เชี่ยวชาญ การจัดกระดูกและการกดจุดลมปราณ ี และแต่ละท่านก็สามารถปฎิบัติได้เอง หรือช่วยเหลือญาติที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ ด้วยการฝึกกดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร ซึ่งเป็นสวนที่สำาคัญอีกอย่างหนึ่งของการบำาบัดรักษา ควบคุมป้องกันโรค ฟื้นฟูสขภาพ ุ และสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง เพราะจะทำาให้เกิดการไหลเวียนเลือดลมที่ดี สสารและพลังทีดีสามารถ ่ เคลื่อนไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ สสารและพลังงานที่ไม่ดีที่เ่ป็นพิษไม่ว่าจะเป็น พิษร้อนหรือพิษเย็นสามารถถูเคลื่อนขับออกจากร่างกายได้อย่างมีประสทธิภาพ การกดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร ถ้าเราทำาได้ถูกต้องหลังทำาเสร็จก็จะทำาให้เกิดสภาพเบาสบายและมี กำาลังในตัวเราทันที กลับสารบัญ 7. กำรรับประทำนอำหำรปรับสมดุลร่ำงกำย พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า " อาหารเป็นหนึ่งในโลก " อาหารที่สมดุล ก็จะได้สุขภาพดีที่หนึ่ง อาหารไม่สมดุล ก็จะได้สขภาพเสียที่หนึ่ง ุ ตัวอย่ำงอำหำรที่มผลต่อสุขภำพ ี มีผป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ท่านหนึ่งอยู่ภาคเหนือ มีอาการ ู้ ปัสสาวะเป็นเลือด ได้ไปจี้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เสียค่า รักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง เลือดก็ออกมาอีก ในขณะที่ผป่วยกำาลังเดินทางมาเข้าค่ายทีผู่้เขียนจัด ผูป่วยได้ ู่้ ่ ้ ปรึกษามา ทีมงานสุขภาพ จึงได้แนะนำาว่าเป็นภาวะร้อนเกิน ให้หาิ สิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทาน ผูป่วยได้เฉาก๊วยซึ่งมีฤทธฺ์เย็นมารับ ้ ประทาน ปรากฏว่า จากปัสสาวะเป็นเลือดสีนำ้าล้างเนื้อ ก็ค่อย ๆ ใส ขึนเรื่อย ๆ จนเป็นปกติ (เลือดหยุดไหล) ภายใน 4 ชั่วโมง จะเห็น ้ ได้ว่า การไปจีที่โรงพยาบาล เสียค่ารักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท แต่ ้ ่ ่ การรู้อาหารร้อน-เย็นแล้วปรับสมดุลตัว เสียค่าใช้จ่ายซื้อเฉาก๊วยแค่ 5 บาท ลูกศิษย์ของผู้เขียนท่านหนึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ มีอาการปวดศรีษะ เมื่อรู้ว่าเกิดจากภาวะร้อนเกิด แต่ไม่ ู ๋ อยากรักประทานยาแก้ปวดเพราะรู้ว่ายาแก้ปวดทุกชนิดที่เป็นเคมีพิษต่อร่างกาย จึงไปเอามังคุด ซึ่งมีฤทธิ์ เย็นมารับประทาน ประมาณ 6 ลูก อาการปวดศรีษะก็หายไป ผูป่วยเอดส์คนหนึ่ง มีตุ่มหนองเริมงูสวัดขึ้นทั้งตัว หมอท่านหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยอยู่ ได้โทรมาปรึกษาผู่้เขียน ผู่้ ้ เขียนจึงบอกว่า เป็นภาวะร้อนเกิน ให้ถอนพิษร้อน ช่วงเวลาต่อมา หมอท่านนั้นได้มากล่าวคำาขอบคุณผู้่
  • 13. เขียน และบอกว่าหลังจากที่ปฎิบัติแค่ 2 วัน อาการดังกล่าวก็ุยุบลง ผูเขียนจึงถามว่าทำาอย่างไร หมอท่าน ้ ์ นั้นตอบว่า ต้มฟัก ต้มถั่วเขียวให้รบประทาน (ฟักและถั่วเขียว มีฤทธฺเย็น) ั อีกกรณี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนไปรับประทานจับฉ่าย (ซึ่งมีฤทธิร้อนมาก จากนำ้ามันและการอุ่นซำ้า ๆ) เกิด ์ อาหารหูอื้อ (หูดับตับไหม้/ตับร้อน) ผูเขียนจึงแก้ไขด้วยการเอาส้มตำารสไม่จัด(มีฤทธิ์เย็น) มารับประทาน ้ อาการทุเลาและหายภายใน 5 นาที จากนั้นผู้เขียนก็รับประทานจับฉ่ายอีก อาการหูอื้อก็กับมาอีก พอรับ ประทานส้มตำาแก้ อาการหูอื้อก็หายไปอีก ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผู้เขียนไม่สามารถนำาเสนอได้หมดในที่นี้ จะเห็นได้ว่า อาหารมีผลต่อสุขภาพ ้ อย่างมาก อาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ถ้าเรารีบแก้ด้วยการปรับสมดุลด้วยอาหาร อาการก็มักจะทุเลาหรือหาย ไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยก็มักจะทุเลาหรือหายไปอย่าง ่ รวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยอาหาร จึงเป็นสิ่งจำาเป็นที่สำาคัญมากอีก อย่างหนึ่งที่น่าฝึกฝนเรีบนรู้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 7.1 เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา (สำาหรับผู้ที่ไม่สามารถงด เนื้อสัตว์) ้ 7.2 ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ควรปรุงรสอยู่ในระดับ ประมาณ 10-30 % ของที่เคยปรุง อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านี้ตามความสมดุลพอดีของร่างกาย ณ ปัจจุบัน นั้น ๆ ซึงตัวชี้วัดของความสมดุลพอดี คือ ความรู้สุึกสบาย เบากาย มีกำาลัง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อย ่ ้่ ๆ ลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำาบากนัก 7.3 งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน นำ้าหวาน นำ้าอัดลม เครื่องบำารุงกำาลัง ผล ไม้หรือนำ้าผลไม้ที่หวานจัด อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมาก และ ื อาหารที่มีผงชูรสมาก (มีการวิจยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิน เค็มจัดหรือมี ั ผงชูรสมาก ทำาให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโตนำ้าหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมต้านทานลด และรหัสพันธุกรรม ิ ่ ผิดปกติ) อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ อาหารทะเล เป็นต้น และอาหารที่ปรุงรสอื่น ๆ จัดเกินไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว ขม ฝาด เป็นต้น ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ นำ้าอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่ม ้ บำารุงกำาลังต่าง ๆ นำาหมัก ข้าวหมาก รวมถึงอาหารที่มีวิตามินน้อย แต่มีโซเดียมหรือไขมันสูงเกิน ได่แก่ อาหารแปรรูปหรือสำาเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำาเร็จรูป ขนมอม ขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ้ ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค้ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียม สูง)เป็นต้น 7.4 หลักปฎิบัติ 4 อย่าง ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี
  • 14. 1. ฝึกรับประทานอาหารตามลำาดับ 2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน 3. รับประทานในปริมาณที่พอดีรู้สึกสบาย 4. กลืนลงคอให้ได้ เพราะอาหารสุขภาพมักจะไม่อร่อย ยกเว้น ผู้ที่มบุญบารมีมากหรือผู้ที่ฝึกรับ ี ประทานบ่อย ๆ จะรูสึกอร่อยไปเอง ้ เทคนิคที่สำาคัญในการรับประทานอาหารให้อร่อย คือ รอให้รู้สึกหิวมาก ๆ ก่อนแล้วค่อยลงมือรับประทาน พร้อม ๆ กับหมั่นระลึกถึงประโยชน์ของอาหารสุขภาพให้มาก และหมั่นระลึกถึงผลเสียของอาหารที่ไม่ สมดุลหรือเป็นพิษให้มาก กรณีที่มีภำวะร้อนเกิน ในมื้อหลัก 1 มื้อ ใน 1 วัน อาจเป็นช่วงเช้าหรือเที่ยงก็ได้ มีเทคนิคการรับประทาน อาหารตามลำาดับ คือ ลำาดับที่ 1 ดื่มนำ้าสมุนไพรปรับสมดุล เช่น นำ้าย่านาง ฯลฯ ลำาดับที่ 2 รับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น กล้วยนำ้าว้า แก้วมังกร กระท้อน สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ มังคุด แตงโม แตงไทย ฯลฯ ลำาดับที่ 3 รับประทานผักฤทธิ์เย็นสด เช่น อ่อมแซบ(เบญจรงค์) ผักบุ้ง แตง กว้างตุ้ง สายบัว ผักกาด ฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักสลัด ลำาดับที่ 4 รับประทานข้าวจ้าวพร้อมกับข้าว โดยรับประทานข้าวกล้องหรือข้าวซ๋อมมือ ควรงดหรือลด คาร์โบไฮเดรท ที่มีฤทธิร้อนมาก ์ เช่น ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำา(ข้าวกำ่า ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าบาเลย์ เผือก ี มัน กลอย ลำาดับที่ 5 รับประทานต้มถั่วหรือธัญพืชฤทธิ์เย็น เช่น ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ ขาว ลูกเดือย ่ กรณีที่มีภำวะเย็นเกินแทรกขึนมำ ให้กดนำ้าร้อนใส่สมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือตั้งไฟให้ร้อนก่อนรับประทาน ้ ์ ลดหรืองดสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทานผักหรืออาหารผ่านไฟให้มากขึ้น เพิ่มสิ่งที่มีฤทธฺร้อนเข้าไป ตามสภาพ ร่างกายที่รับประทานแล้วรู้สึกสบาย กลับสารบัญ
  • 15. 8. ใช้ธรรมะ ทำำใจให้สบำย ผ่อนคลำยควำมเครียด ลด ละ เลิกและหลีกเลี่ยง อารมณ์ทำทำาลายสุขภาพ/อารมณ์ที่เป็นพิษ ได้แก่ ความเครียด ความเร่งรีบ/ ี่ ่ เร่งรัด/เร่งร้อน ความวิตกกังวล ความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ ความมุ่งร้าย อาฆาต พยาบาท ความโลภ โกรธ หลง ยึดเกิน เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น เพราะผู้ที่มีอารมณ์ดังกล่าว จะทำาให้ ร่างกายหลั่งสารแอดดรีนาลีนออกมาจากต่อมหมวกไต สารดังกล่าวจะกระตุ้นเซลล์เยื้อเยื่อทุกส่วนของ ร่างกายผลิตพลังงานอย่างมากมายจนเกินความสมดุลพอดีของร่างกาย พลังงานส่วนเกินที่ไม่สมดุลดัง กล่าว จะเผาทำาร้ายเซลล์เนื้อเยื่อทุกส่วนในร่างกาย อวัยวะใดที่อ่อนแอก็จะแสดงอาการไม่สบายก่อน อวัยวะอื่น ถ้าอารมณ์ดังกล่าวยังอยู่อวัยวะอื่น ๆ ก็จะเสื่อมและแสดงอาการไม่สบายตามกันไป ่ ตรงกันข้ามถ้าเราสามารถสลายอารมณ์ดังกล่าวได้ จิตใจก็จะรู้สึกสบาย เบิกบานแจ่มใส มีความสุข สารเอ็น โดรฟินก็จะหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองที่่ ืชื่อต่อมพิทูอิทารี่ สารดังกล่าวมีฤทธิระงับปวดแรงกว่าฝิ่น 200 ์ เท่า (แต่ไม่มีพิษเหมือนฝิ่น) จึงช่วยบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดีิ และสารดังกล่าวมีฤทธิ์ในการช่วยส่ง พลังชีวิต / พลังงานที่เป็นประโยชน์ไปยังเซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย จึงช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายแข็ง แรง ช่วยให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง เม็ดเลือดขาวจึงสามารถกำาจัดเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมและสิ่งที่เป็นพิษ ออกจากร่างกายได้ดี ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้นเหตุที่ทำาให้เกิดทุกข์ก็คือ การยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในสิ่งนั้น ๆ จึงทำาให้เกิดพลังงาน อารมณ์ทุกข์ในใจ เกิดอารมณ์ทำทำาลายสุขภาพหรืออารมณ์ที่เป็นพิษ เทคนิคที่สำาคัญในการสลายล้าง ี่ พลังงานยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในสิ่งนั้น ๆ เพื่อดับต้นเหตุของทุกข์ ดับอารมณ์ที่ทำาลายสุขภาพ/อารมณ์ที่เป็น พิษ ได้แก่ การหมั่นไตร่ตรองผลเสียของการเสพ/การติด/การยึดมั่นถือมั่นปักมั่น/การเอา สิ่งนั้น ๆ และ ี หมั่นไตร่ตรองผลดีของการไม่เสพ/ไม่ติด/ไม่ยดมั่นถือมั่น/ไม่ปักมั่น/ไม่เอา/ให้/ปล่อย/วาง สิ่งนั้น ๆ ให้เป็น ึ ของโลก ให้หมุนวนเกิดดับ ๆ อยู่ในโลก พร้อม ๆ กับการไตร่ตรองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารับอยู่เป็นอยู่ไม่ว่า จะดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจาก สิ่งทีเราทำามาทั้งชาตินี้และชาติก่อน เมื่อให้ผลของการกระทำาแล้วก็จบดับไป ่ โดยไตร่ตรองซำ้าแล้วซำ้าอีกหลาย ๆ ครัง ในขณะที่มีอารมณ์ทุกข์หรืออารมณ์ ที่เป็นพิษนั้น จนพลังงานหรือ ้ อารมณ์ที่ทุกข์นั้นลดน้อยลงหรือหายไป ถ้ามีอารมณ์ทุกข์ดังกล่าวอีก เราก็ปัสสนาอีก ทำาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอารมณ์ที่เป็นทุกข์นั้น จะหมดไปจากชีวิตเรา ั ยิงถ้าเราทำาควบคู่พร้อมกับสมถะก็ยิ่งดี (สมถะไม่ใช่ตัวล้างพลังงานทุกข์ แต่เป็นตัวที่เสริมพลังของวิปัส ่ สนาให้มีประสิทธิภาพในการล้างสลายพลังงานที่เป็นทุกข์ให้ดียิ่งขึ้น) สมถะ คือ การอดทนฝึนข่มที่จะไม่ ทำาตามกิเลส/ซาตาน การหลบเลี่ยงพรากห่าง เมื่อรู้สึกว่า มีความเครียดมากเกินไป ทนฝึนได้ยากทนฝืนได้ ลำาบาก ถ้าอยู่ในจุดที่มีกิเลสนั้น ๆ การฝึกจิตให้สงบด้วยการเอาจิตไปกำาหนดไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจุดใดจุด ี หนึ่ง และการใช้ปัญญาสมถะ เช่น มัน/เขาก็เป็นธรรมดาของมัน/เขาอย่างนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่่และดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ตัวเราของเรา ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ เป็นต้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมสโกมหิ กรรมทายาโท กรรมโยนิ กรรมพันธุึ กรรมปฏิสรโน แปลว่า เรามีกรรมเป็น ของ ๆ ตน เรามีกรรมเป็นทายาท เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นผู้ให้ผล สิ่ง ที่ตนเองและผู้อื่นได้รับ ล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำาของแต่ละคนแต่ละคนเองทั้งนั้น นับว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผลรู้ที่ไปที่มาของการเกิดดับของทุกสิ่งทุกอย่างโดยแท้ ซึง ่ คำาตรัสทุกคำาของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสว่าเชื้อเชิญหรือท้าทายให้มาพิสูจน์กันได้(เอหิปัสสิโก) เป็นจริงตลอดกาล(อะกาลิโก) ผูศึกษาและปฏิับัติพึงรู้เห็นได้ด้วยตนเอง(สันทิฏฐิโก) พระพุทธเจ้าและ ้ ุ
  • 16. ครูบาอาจารย์สอนว่า ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบาก(การกระทำาและผลของการกระทำา) ย่อมเป็นผู้งมงายอย่าง แท้จริง มืดดำามืดบอด(ไสยศาตร์) อย่างแท้จริง ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้ที่ไปที่มาของสิ่งใด ๆ ในโลก ั การจะล้างหรือดับพลังงานที่เป็นทุกข์ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น เราต้องปฎิบัติสมถะธุระ และวิปัสสานะธุระ ควบคู่กันอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัตซำ้า ๆๆๆๆๆๆ จนเกิดผลำาเร็จคือ อาการทุกข์ในใจลดน้อยลงหรือหมดไป ิ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "วิริเยนะทุกขมเจติ" แปลว่า คนล่วงทุกข์ได้เพรำะควำมเพียร ุ กำรฝึกพรหมวิหำร 4 ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำาให้เกิดสุขภาพดี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฏก " อนา ยุสสสูตร " ว่า การปฏิบัติพรหมวิหาร 4 (พรหม 4 หน้า) ได้แก่ 1. เมตตำ (ปรารถนาให้ผู้อื่นผาสุก/พ้นทุกข์/ได้ประโยชน์/ได้สิ่งที่ด) ี 2. กรุณำ (ลงมือกระทำาตามที่เราปรารถนาให้เกิดสิ่งที่ดีนั้น ๆ) 3. มุทิตำ (ยินดีที่เขาได้ดีหรือเมื่อเกิดสิ่งที่ดี) 4. อุเบกขำ จิตอยู่ในสภาพปล่อยวาง/สงบสบาย (เมื่อได้พากเพียรพยายามทำาดีเต็มที่แล้ว ไม่ว่าดีจะเกิด ขึนมาก เกิดขึ้นน้อยหรือดีไม่เกิดขึ้น ก็ปล่อยวางสิ่งนั้นให้โลก เป็นผู้ไม่ติดไม่หลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นใน ้ การกระทำาและผลของการกระทำา ว่าเป็นตัวเราของเรา เป็นผู้ไม่อยากได้ไม่อยากเป็นไม่อยากมีอะไร ตอบแทน จึงสงบสบายไม่มีทุกข์ในใจใด ๆ) เป็นเหตุให้แข็งแรงอายุยืน แต่บางคนที่หลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในดีมาก ๆ (หลงดี) ก็จะใจร้อนเร่งรัดเร่งรีบ ไปกดดัน/บีบคั้น/บีบบังคับ/ ยัดเยียดสิ่งที่ตนเห็นว่าดีให้กับตนเองและผู้อื่น จนเกิดทุกข์โทษภัยผลเสียต่อตัวเองและผู้อื่น เรียกว่า พรหม 3 หน้ำ หลงติดหลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในหน้าที่ 3 ของพรหม หลงติดยินดีที่เขาได้ดี หลงติดยินดีที่ ดีเกิด แต่ถ้าเขาไม่ได้ดีหรือดีไม่เกิดก็จะยินร้าย ไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ เป็นทุกข์ใจ แล้วทำา อุเบกขาวางวางดีวางทุกข์ไม่เป็น ความจริงแล้ว การมีมุทิตา(ยินดีที่เขาได้ดีหรือเกิดดี) เป็นสิ่งที่ดี แต่การ หลงติดหลงยึดมั่นถือมั่นปักมั่นในมุทิตานั้นไม่ดี ุ เทคนิคดับโลก(โรค) ร้อนด้วยวิถีแห่งพรหม โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง พรหม 3 หน้ำ และ พรหม 4 หน้ำ