SlideShare a Scribd company logo
1 of 26
Download to read offline
1
บทนํา!                                                          3

กฎข้อที่ 1 กฎของความตั้งใจ!                                     4

กฎข้อที่ 2 กฎว่าด้วยความตระหนักรู!
                                 ้                              5

กฎข้อที่ 3 กฎว่าด้วยการมองตัวเอง!                               7

กฎข้อที่ 4 กฎของการไตร่ตรอง!                                    9

กฎข้อที่ 5 กฎของวินัย!                                          10

กฎข้อที่ 6 กฎของการจัดสภาพแวดล้อม!                              11

กฎข้อที่ 7 กฎของการออกแบบการพัฒนาตนเอง!                         13

กฎข้อที่ 8 กฎของการเรียนรู้จากประสบการณ์เลวร้าย!                14

กฎข้อที่ 9 กฎของอุปนิสัยที่ด!
                            ี                                   15

กฎข้อที่ 10 กฎของการฝืนตัวเอง เสมือนหนึ่งการยืดหนังยางให้ตึง!   16

กฎข้อที่ 11 กฎของการแลกเปลี่ยน!                                 18

กฎข้อที่ 12 กฎของการใฝ่รู้!                                     20

กฎข้อที่ 13 กฎของการเป็นต้นแบบให้คนอื่น!                        21

กฎข้อที่ 14 กฎของการขยายศักยภาพ!                                23

กฎข้อที่ 15 กฎของการให้!                                        25

สรุป!                                                           26




                                                                 2
บทนํา
คําว่า “ศักยภาพ” คือคําพูดที่มีนัยเชิงบวกที่สําคัญ เราจะใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ได้นั้นเราต้องเติบโต
และต้องเติบโตอย่างตั้งใจ จอห์น ซี. แม๊กซ์เวลล์ผู้เขียน สอนเราให้ตั้งใจที่จะพัฒนาความสามารถของ
ตนเองให้เติบโตอย่างมีแผนงานแทนที่จะปล่อยให้โตไปตามประสบการณ์ หรือโตไปตามธรรมชาติ ซึ่ง
อาจจะไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร

เพื่อให้เราได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ตามเป้าหมายในชีวิตของเราแต่ละคน เขาแนะนํากฎของการพัฒนา
ตนเอง 15 ข้อคือ 1. กฎของความตั้งใจ 2. กฎของการตระหนักรู้ตนเอง 3. กฎของความมั่นใจใน
ตนเอง 4. กฎของการไตร่ตรอง 5. กฎของวินัย 6. กฎของการจัดสภาพแวดล้อม 7. กฎของการ
ออกแบบการพัฒนาตนเอง 8. กฎของการเรียนรู้จากประสบการณ์เลวร้าย 9. กฎของอุปนิสัยที่ดี
10. กฎของการฝืนตัวเอง 11. กฎของการแลกเปลี่ยน 12. กฎของการใฝ่รู้ 13. กฎของคนต้นแบบ
14. กฎของการขยายศักยภาพ และ 15. กฎของการให้

ผมพยายามแปลบางส่วนของแต่ละบทที่คิดว่าน่าสนใจมาแชร์ให้เพื่อนๆ การแปลนี้ไม่ใช่บทสรุป
เป็นการดึงสาระสําคัญที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์และสามารถนําไปใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตามหากใคร
อ่านภาษาอังกฤษได้แนะนําให้ซื้อหนังสือมาอ่าน หรือจะซื้อ audio file มาฟังก็ได้ครับ




                                                                                                3
กฎข้อที่ 1 กฎของความตั้งใจ

การเติบโตต้องมีเจตนาที่แน่วแน่ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม

คําถามสําคัญที่เราทุกคนต้องถามตัวเองคือ “เรามีแผนการที่เป็นรูปธรรมสําหรับพัฒนาตนเองให้เจริญ
ก้าวหน้าในชีวิตแล้วหรือยัง”

แมกซ์เวลล์เล่าว่า ตอนอายุ 24 ปีเขาเจอคําถามนี้ และทําให้เขาลงทุนซื้อ Growth Kit หรือเครื่องมือ
ในการพัฒนาตนเองราคาเท่ากับเงินเดือนหนึ่งเดือนของเขา โดยที่เขาใช้เวลาเก็บหอมรอบริบเงินถึง
หกเดือนกว่าจะมีเงินซื้อได้

เขาบอกว่าคนเรามักจะมีกับดักแปดข้อที่ทําให้ไม่อยากพัฒนาตนเอง

1. คิดว่าเราจะเก่งขึ้นไปตามอายุและประสบการณ์
2. ไม่รู้วิธีว่าจะต้องพัฒนาตนเองอย่างไร
3. ยังไม่ถึงเวลา
4. กลัวผิด
5. ยังหาวิธีที่ดีที่สุดไม่ได้
6. ขาดแรงบันดาลใจ
7. ถอดใจเมื่อเจอคนอื่นๆที่เก่งกว่าเรามาก
8. พอลงมือทําแล้วพบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด

แมกซ์เวลล์แนะนําว่าจะเริ่มอย่างไร

1. ตอบคําถามสําคัญเสียแต่ตอนนี้ “เป้าหมายในชีวิตคืออะไร” “เราจะไปในทิศทางใด” “ให้
   จินตนาการว่า เราจะไปได้ไกลสุดเพียงใด” แผนพัฒนาชีวิตเป็นแผนระยะยาวไม่มีวันจบ เพราะเรา
   พัฒนาตัวเองขึ้นไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากศักยภาพมนุษย์ไม่มีขีดจํากัด
2. ลงมือทําทันที อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง
3. ถามตัวเองว่ากลัวอะไร ท้าทายความเชื่อผิดๆเหล่านั้น แล้วลงมือทํา
4. เปลี่ยนแปลงอย่างตั้งใจแทนที่จะรอให้เกิดความจําเป็น




                                                                                                 4
กฎข้อที่ 2 กฎว่าด้วยความตระหนักรู้

จะเติบโตต้องรู้จักตัวเอง จุดแข็ง จุดอ่อน ความสนใจ และโอกาส

ในเรื่องเป้าหมายในชีวิตมีคนอยู่สามกลุ่มคือ

1. สับสนไม่รู้เป้าหมายตนเอง
2. รู้เป้าหมายแต่ไม่ทํา
3. รู้เป้าหมายและมุ่งมั่นจะไปให้ถึง

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องรู้จัก Passion หรือความฝันของตนเอง

วิธีที่จะช่วยให้รู้จักเป้าหมายในชีวิตและความฝันของตนเองคือ

1. คุณชอบสิ่งที่คุณกําลังทําอยู่หรือไม่ หากไม่ชอบเพราะอะไร

2. คุณปรารถนาจะทําอะไรจริงๆ ฟังเสียงในใจของคุณ หรือตอบคําถามนี้ว่า “ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่มีวัน
   ล้มเหลว คุณจะเลือกทําอะไร”

3. ฝันอยากจะเป็นอะไรนั้น มันเกินเอื้อม หรือเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด วอร์เร็น เบ็นนิส แนะนํา
   แนวทางว่า

   a. คุณแยกแยะออกหรือไม่ว่า สิ่งที่คุณปรารถนาและความสามารถของคุณแตกต่างกันอย่างไร
   b. คุณรู้ไหมว่าอะไรคือแรงจูงใจที่แท้จริงของคุณ อะไรทําให้คุณมีความสุข
   c. คุณตระหนักหรือไม่ว่าค่านิยมส่วนตัวของคุณ และค่านิยมขององค์กรคืออะไร

4. คุณรู้หรือไม่ว่าทําไมคุณจึงอยากทําในสิ่งที่คุณฝันจะทํา

5. คุณรู้หรือไม่ว่าจะทําให้ฝันเป็นจริงนั้น ต้องทําอย่างไรบ้าง ถ้ารู้คุณจะระบุกิจกรรมออกมาได้ คุณจะ
   รู้ว่าความรับผิดชอบอะไรที่ต้องทําบ้าง และคุณจะดึงดูดคนเก่งๆเข้ามาหาคุณ

6. คุณรูไหมว่ามีใครทําสิ่งที่คุณอยากจะทําบ้าง ใครเป็นคนต้นแบบของคุณ หากรู้แล้ว หาหนทาง
   เรียนรู้จากเขาโดย

   a. ทําอย่างไรให้เขาสอนคุณ หากจําเป็นต้องจ่ายก็ต้องทํา
   b. เสมอต้นเสมอปลาย ต้องพบกันทุกๆเดือน
   c. สร้างสรรค์ อาจจะเริ่มด้วยการอ่านหนังสือของเขาหากไม่มีโอกาสพบเขา
   d. ทําการบ้าน หากมีโอกาสพบเขาหนึ่งชั่วโมง เตรียมตัวอย่างน้อยสองชั่วโมง
   e. ทบทวน หากพบเขาหนึ่งชั่วโมง ทบทวนและไตร่ตรองอย่างน้อยสองชั่วโมง
   f. สํานึกในบุญคุณ บอกให้เขาตระหนักว่าคุณสํานึกในความเมตตาที่เขามีต่อคุณ




                                                                                                 5
7. เรื่องของพี่เลี้ยง (Mentor)

- หากคุณมีโอกาสพบใครบางคนที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้คุณ สิ่งที่คุณควรทําคือ

   a. เป็นน้ําที่ไม่ล้นแก้ว
   b. พร้อมที่จะจัดเวลาให้เขา
   c. เตรียมประเด็นที่จะไปคุยด้วยการเตรียมคําถามที่ยอดเยี่ยม
   d. เมื่อได้เรียนอะไรไป เอาไปใช้ แล้วบอกให้เขาทราบความคืบหน้าหรือผลการลองทําตามคํา
      สอน
   e. เป็นเจ้าของการเรียนรู้ สื่อสารความคืบหน้าเป็นระยะๆแทนที่จะรอให้เขาสอบถามและติดตาม

- หากคุณมีโอกาสเป็นพี่เลี้ยงใครสักคน ความรับผิดชอบคือ เพิ่มคุณค่าให้คนที่เราสอน เป้าหมายคือ
  ช่วยให้พวกเขาพัฒนาขึ้นในแบบของแต่ละคน โดยมุ่งความสนใจไปที่ จุดแข็ง อุปนิสัย ประวัติ
  ความปรารถนา การตัดสินใจ คําแนะนํา การให้การสนับสนุนเรื่องทรัพยากร/การแนะนําคน แผน
  ชีวิต ข้อมูลย้อนกลับ การให้กําลังใจ

8. คุณพร้อมที่จะทุ่มเทและลงทุนสําหรับการเตรียมตัวคุณให้ประสบความสําเร็จหรือไม่

9. จะเริ่มต้นทําในสิ่งที่คุณรักเมื่อไร คนจํานวนมากจะรอให้พร้อม แต่ประสบการณ์ที่แมกซ์เวลล์ผ่าน
   มาพบว่าความท้าทายของงานมาถึงเขาก่อนที่เขาจะมีความพร้อมเป็นส่วนใหญ่ หากเขามัวแต่รอให้
   พร้อมคงไม่กล้าเริ่มอะไร และคงไม่ประสบความสําเร็จยิ่งใหญ่เท่าทุกวันนี้

10.เมื่อสําเร็จแล้วจะเป็นอย่างไร บทเรียนที่เขาได้คือ เวลาสําเร็จแล้ว มันยากกว่าที่คิดไว้เยอะ และ
  มันก็มีความสุขมากกว่าที่คิดไว้เยอะเช่นกัน




                                                                                                   6
กฎข้อที่ 3 กฎว่าด้วยการมองตัวเอง

คนเราจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการมองตัวเอง หากมองตัวเองด้วยความมั่นใจ รักและให้เกียรติ
ตนเอง ก็มีแนวโน้มจะประสบความสําเร็จ

แต่ว่าคนจํานวนมากไม่ได้ชื่นชมตัวเองมากนัก

ซิก ซิกกล้าร์บอกว่า “พฤติกรรมที่เราแสดงออกมานั้น จะสอดคล้องกับการที่เรามองตัวเอง” เรารู้สึก
อย่างไรกับตนเองก็จะแสดงพฤติกรรมอย่างนั้นออกมา

หากเราไม่มั่นใจในตนเอง หรือไม่รู้สึกชื่นชมกับตนเอง (Low self-esteem) มันจะจํากัดศักยภาพของ
เรา เช่นเราอยากจะแสดงศักยภาพ 10 แต่เราคิดว่าเรามีศักยภาพเพียง 5 การแสดงออกของเราก็ไม่มี
วันถึง 10

คุณค่าที่เรามองตนเองนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่คนอื่นมองเรา

แมกซ์เวลล์แนะนําแนวทางที่จะพัฒนาความมั่นใจในตนเองคือ

1. ระวังคําพูดที่เราพูดกับตนเอง เขาเล่าว่ามีงานวิจัยบอกว่า เมื่อเด็กโตถึงอายุ 17 เขาได้ยินคําว่า
   “เธอทําไม่ได้” เฉลี่ย 150,000 ครั้ง ในขณะที่คําว่า “เธอทําได้” 5,000 ครั้ง มันจึงทําให้เราเกิด
   ความสงสัยในตนเองและไม่มั่นใจเวลาที่เราคิดว่า “เราจะทําได้หรือไม่” แมกซ์เวลล์แนะนําว่า เวลา
   เราทําอะไรได้ อย่าลืมชมเชยและให้กําลังใจตนเอง และหากทําพลาดก็อย่ากดดันตนเองจนเกินไป
   รู้จักวิธีพูดกับตนเอง

2. เลิกคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ให้เปรียบเทียบกับตนเองว่า วันนี้เมื่อเปรียบกับเมื่อวาน เราพัฒนา
   ตนเองขึ้นมาเพียงใด

3. ระวังความเชื่อที่คอยจํากัดศักยภาพเรา หรือ Limited belief วิธีการคือ

   a. ระบุความเชื่อที่จํากัดตนเองของเราออกมา
   b. ระบุว่ามันมีผลทําให้เราไม่ก้าวหน้าอย่างไร
   c. ระบุว่าเราปรารถนาจะ เป็น/พฤติกรรม/รู้สึก อย่างไร
   d. ระบุคําพูดที่จะพูดกับตนเองเพื่อที่เราจะได้เป็นอย่างที่เราปรารถนา

4. ทําประโยชน์ให้คนอื่น การช่วยคนอื่นๆทําให้เราเคารพตนเองมากขึ้น เพราะเราจะเริ่มตระหนักว่า
   เรามีคุณค่าบนโลกใบนี้ เราควรอุทิศเวลา 10% ของเราในการทําเพื่อคนอื่น เช่นทํางานสัปดาห์ละ
   40 ชั่วโมงควรจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงทําประโยชน์ให้คนอื่น หากทําอยู่แล้วให้ทําเพิ่มขึ้น

5. ทําในสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งยากยิ่งดี ไม่จําเป็นต้องมีคนเห็น เราจะเริ่มเคารพตนเองเพิ่มขึ้น

6. มีวินัยด้วยการเริ่มทําอะไรเล็กๆสม่ําเสมอทุกๆวัน

7. ฉลองความสําเร็จแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม

                                                                                                 7
8. รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง จินตนาการความสําเร็จจากคุณค่านั้น

9. ใช้กลยุทธ์ “หนึ่งคํา” ให้นึกถึงตนเองแล้วระบุออกมาเป็นคําพูดเพียงหนึ่งคําที่เป็นตัวแทนของเรา

10.รับผิดชอบโดยเริ่มเปลี่ยนแปลงทันที

ให้ระบุความสําเร็จ 100 ข้อของเราออกมา ใช้เวลาเป็นวันเป็นสัปดาห์ก็ได้




                                                                                                 8
กฎข้อที่ 4 กฎของการไตร่ตรอง

บทเรียนและการพัฒนาตนเองนั้นมีหลายวิธี แต่ว่การพัฒนาตนเองให้เติบโตและก้าวหน้าบางอย่างจะ
เกิดขึ้นได้เฉพาะจากการคิดและไตร่ตรอง โดยการหยุดกิจกรรมต่างๆ นั่งคิด ทบทวน ขบคิด และ
เกิดความกระจ่างเรียนรู้ขึ้นมา

พลังของการหยุดกิจกรรมต่างๆเพื่อคิด (Pause)

1. การหยุด ทําให้เราคิดวิเคราะห์และตรวจสอบประสบการณ์ จนเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาได้
   ประสบการณ์ไม่ใช่ครูที่ดี ประสบการณ์ที่ผ่านการไตร่ตรองต่างหากคือบทเรียนที่ทรงคุณค่า เราทุก
   คนผ่านประสบการณ์มากมายในแต่ละวัน มีน้อยคนนักที่สามารถเปลี่ยนประสบการณ์เป็นปัญญา
   ขึ้นมาได้เพราะไม่ได้หยุดคิด
2. ทุกคนต้องการเวลาและสถานที่ที่เหมาะสําหรับการคิด ให้เราเลือกเวลาและสถานที่ที่ถูกจริตเรา
   แต่ละคนเพื่อใช้ในการไตร่ตรอง หากเราไม่ได้จัดสรรเวลาและสถานที่สําหรับการไตร่ตรอง เราอาจ
   จะพลาดโอกาสดีๆในชีวิต เพราะอาจจะมีประสบการณ์ชีวิตที่มีนัยสําคัญสําหรับเราผ่านเข้ามาโดยที่
   เราไม่ตระหนักรู้และฉกฉวยที่จะเรียนรู้ประโยชน์จากมัน
    a. ควรใช้เวลาในการไตร่ตรอง วันละ 10-30 นาที
    b. สัปดาห์ละ 1-2 ชั่วโมง
    c. ปีละ 1-5 วันต่อปี
3. การตั้งใจ “หยุดเพื่อคิด” ทําให้กรอบความคิดและศักยภาพการคิดเติบโตขึ้น นั่นคือสาเหตุว่า
   ทําไมมหาวิทยาลัยต่างๆจึงสนับสนุนให้อาจารย์ทําวิจัย คิด เขียน แทนที่จะสอนเพื่อสร้างสม
   ประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ผู้นําอาจจะยุ่งกับการทํางานจนไม่มีเวลาในการไตร่ตรอง บางทีการ
   หยุดคิด 1 นาทีอาจจะทําให้ผู้นําเกิดปัญญามากขึ้นกว่าการพูด 1 ชั่วโมง
4. เมื่อหยุดคิด ให้ ประเมิน ให้เวลาความคิดมันบ่มเพาะ ทบทวนจนเกิดการตกผลึกแบบ “ยูเรก้า”
   ถ่ายทอดความคิดออกมา การไตร่ตรองที่ดีควรจะมีคําถามดีๆในการคิด แมกซ์เวลล์แนะนําชุด
   คําถามที่เขาใช้ในการพัฒนาความคิดของเขา เช่น
    a. อะไรคือสิ่งที่ฉันทําได้ดีที่สุด
    b. อะไรคือสิ่งที่ฉันทําได้แย่ที่สุด
    c. ฉันให้คุณค่ากับอะไรสูงสุด
    d. ฉันให้คุณค่าอะไรต่ําสุด
    e. อะไรคือความรู้สึกที่มีความหมายมากที่สุดสําหรับฉัน
    f. อะไรคือความรู้สึกที่มีความหมายน้อยที่สุดสําหรับฉัน
    g. ฉันมีอุปนิสัยที่ดีที่สุดคืออะไร
    h. ฉันมีอุปนิสัยที่แย่ที่สุดคืออะไร
    i. ฉันชอบทําอะไรมากที่สุด
    j. ฉันศรัทธาอะไรมากที่สุด




                                                                                           9
กฎข้อที่ 5 กฎของวินัย

1. คุณรู้หรือไม่ว่าหากคุณต้องการพัฒนาตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตนั้น คุณต้องพัฒนา
   เรื่องอะไรบ้าง บางคนเป้าหมายชัดเจนแต่พัฒนาแบบไม่เสมอต้นเสมอปลาย คือพวกที่
   ทะเยอทะยาน แสดงความเฉลียวฉลาดในงานของตนอย่างดี แต่กลับไม่คืบหน้า เพราะว่าเขามัว
   แต่พัฒนางานเพียงอย่างเดียวโดยมองข้ามการพัฒนาตนเอง เพราะว่าการพัฒนาตนเองนั้น จะต้อง
   ตั้งใจที่จะออกจาก comfort zone หรือสิ่งที่เราคุ้นเคยซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่อยากทําอะไรที่ยากหรือไม่
   คุ้นเคย

2. คุณรู้ไหมว่าเรื่องที่คุณต้องการพัฒนานั้น จะต้องพัฒนาอย่างไรให้เป็นระบบและถูกวิธี แมกซ์เวลล์
   แนะนําสี่ขั้นตอนคือ

   a. ปรับวิธีจูงใจของเราให้สอดคล้องกับบุคลิกและจริตของเรา
   b. เริ่มต้นด้วยขั้นตอนพื้นๆ
   c. ใจเย็นอดทน
   d. เน้นที่กระบวนการ

3. คุณรู้หรือไม่ว่าทําไมคุณต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา เพราะว่าหากแรงจูงใจไม่ชัดเจน วินัยก็ยาก
   จะเกิด

4. รู้หรือไม่ว่าจะต้องพัฒนาในเวลาใด คําตอบคือตลอดเวลา หรือเสมอต้นเสมอปลายเป็นประจํา เช่น
   John Williams นักเขียนเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังที่เขียนเพลงทุกๆวันนับสิบๆปี




                                                                                              10
กฎข้อที่ 6 กฎของการจัดสภาพแวดล้อม

หากเราต้องการใช้ศักยภาพของเราให้เต็มที่ เราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่จะพัฒนาเรา
ให้โตได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงว่าเราต้องลงมือเปลี่ยนแปลงทั้งตัวเราเอง และสภาวะ
แวดล้อม

แมกซ์เวลล์เล่าว่า หลังจากเขาเริ่มงานไม่นานเขารู้สึกว่าอิ่มตัวแล้วเพราะว่าเขาเป็นผู้บริหารที่ประสบ
ความสําเร็จในขณะที่อายุยังน้อยอยู่ เขารู้สึกว่าเขาอยู่แถวหน้าแล้ว เขาคิดว่าเขาควรจะไปอยู่ในกลุ่ม
ที่ประสบความสําเร็จมากกว่าเขา แทนที่จะเป็นที่หนึ่งในห้องธรรมดา เขาน่าจะไปเป็นที่โหล่ในห้องคิง
มากกว่า เขาจึงขอย้าย

เขาแนะนําว่าเราจะอยู่ในที่เหมาะสมหรือไม่ให้พิจารณาปัจจัยเหล่านี้

1. ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเองว่าอยู่ถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ โดยพิจารณาว่า

   a. คนอื่นๆเก่งกว่าเราเพียงใด
   b. มีงานที่ท้าทายเข้ามาเสมอหรือไม่
   c. ฉันมองเห็นอนาคตชัดเจนและตื่นเต้นกับมันเพียงใด
   d. บรรยากาศส่งเสริม สร้างสรรค์ หรือไม่
   e. ฉันออกจาก comfort zone หรือภาวะที่ฉันคุ้นเคยบ่อยเพียงใด
   f. ฉันตื่นนอนมาด้วยความกระตือรือร้นแค่ไหน
   g. ที่นี่ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ใช่หรือไม่
   h. ทุกคนพัฒนาศักยภาพของเขาได้รวดเร็วเพียงใด
   i. ที่นี่คนตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน
   j. การเติบโตเป็นความคาดหวัง และมีแบบอย่างให้เห็นหรือไม่

2. ปรับเปลี่ยนตัวเองและสิ่งแวดล้อม

   a. เปลี่ยนตัวเองแต่สิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยน โตช้าและเหนื่อย
   b. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมแต่ตัวเองไม่ โตช้าแต่เหนื่อยน้อยกว่าแบบแรก
   c. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและตัวเอง โตเร็วและสําเร็จง่ายกว่า

การเปลี่ยนแปลงตัวเองและสิ่งแวดล้อมนั้นอาจจะอุปมาอุปมัยกับการปลูกพืชได้ว่า

- ดินที่ดี จะทําให้เราเติบโต
- อากาศที่ดีจะทําให้เราสดใส อากาศคือเป้าหมายในชีวิต
- อุณหภูมิที่ดีทําให้ยั่งยืน คือคนที่รายล้อมรอบๆตัวเรา

3. เปลี่ยนแปลงคนที่อยู่รอบๆตัวคุณ

จากการศึกษาจากม.ฮาร์วาร์ด คนที่คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยเรียกว่า Reference Group จะมีผลต่อ
ความสําเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตของคุณถึง 95% (ที่จริงไม่ต้องไปฮาร์วาร์ดก็ได้ เพราะสุภาษิตไทย
สอนว่า “คบคนพาล/คบบัณฑิต”)

                                                                                               11
ชาร์ล โจนส์บอกว่า “อนาคตของคุณอีกห้าปีข้างหน้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสองอย่างคือคนที่คุณใช้เวลา
ด้วยและหนังสือที่คุณอ่าน”

จิม โรห์นบอกว่า “เราจะมีลักษณะคล้ายคนห้าคนที่เราใช้เวลาด้วยเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ
สุขภาพ ทัศนคติ รายได้ ให้ลองมองคนรอบๆตัวเรา เราจะกิน พูด อ่าน คิด ดู และแต่งกาย คล้ายๆ
พวกเขา”

เราควรเลือกใช้เวลากับคนเก่งกว่าเรา เช่นกรณีของ ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน และเฮนรี่ เดวิด ทอโร่
พวกเขาจะทักกันว่า “ตั้งแต่พบกันครั้งก่อน คุณได้เรียนรู้เรื่องอะไรใหม่ๆบ้าง แชร์ให้ฉันทราบหน่อย”

4. ท้าทายตนเอง

ตั้งเป้าหมายเพื่อยกระดับฝีมือตนเองเสมอ เขาแนะนําว่าเขาใช้วิธประกาศเป้าหมายที่ท้าทายให้คน
อื่นๆทราบ มันจะทําให้เขาต้องพยายามทําเพื่อไม่ให้เสียหน้า

นอกจากนี้ ในแต่ละอาทิตย์ เขาจะหาโอกาสพัฒนาศักยภาพตนเองเสมอ โดยหาโอกาสพบหรือเรียน
จากคนที่เก่งกว่าเขา โดยถามคําถามห้าข้อนี้คือ

- คนนี้มีจุดแข็งอะไร ฉันจะเรียนจากเขาได้อย่างไร
- คนนี้กําลังเรียนรู้เรื่องอะไรอยู่ ฉันอยากยกระดับ passion ให้ทันกับเขา
- ฉันต้องการอะไรในขณะนี้ มันจะช่วยให้ฉันประยุกต์สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเขาให้เข้ากับสถานการณ์
  ของฉันให้มากที่สุด
- พวกเขาพบกับใครบ้าง เรียนกับใคร อ่านอะไรอยู่ เขาพัฒนาตนเองอย่างไร เพื่อฉันจะได้ยกระดับ
  ตนเองอย่างรวดเร็วบ้าง
- ฉันควรจะถามอะไร แต่ยังไม่ได้ถาม นี่คือคําถามที่ฉันจะถามเขา เพื่อทําให้เขาเตือนสติฉันว่าอาจจะ
  มีคําถาม/เรื่องสําคัญที่ฉันมองข้ามไป




                                                                                                 12
กฎข้อที่ 7 กฎของการออกแบบการพัฒนาตนเอง

หากเราไม่วางแผนชีวิตให้ตนเอง แล้วใครจะมาวางแผนชีวิตให้เรา ที่น่าห่วงคือหากเราไม่มีแผนชีวิต
ของตนเอง เราอาจจะเป็นตัวประกอบในแผนชีวิตของคนอื่นก็ได้ โดยที่เราอาจจะไม่มีโอกาสตั้งตัว
หากไม่รู้จักคิดวางแผนก่อน พูดง่ายๆคือคนอื่นอาจช่วยวางแผนชีวิตให้เราซึ่งเราอาจจะไม่ชอบก็ได้

แมกซ์เวลล์จะใช้เวลาสัปดาห์สุดท้ายของปีในการทบทวนกิจกรรมทุกอย่างที่ผ่านมาในปีนั้นๆ ทั้งเรื่อง
งาน ส่วนตัว การพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะได้จัดทําแผนกลยุทธ์สําหรับตัวเองในปีหน้าให้มีประสิทธิผล
มากที่สุด

ในการออกแบบแผนชีวิตนั้น เขาแนะนําเทคนิคว่า

1. ชีวิตเป็นเรื่องของความเรียบง่าย แต่การที่จะทําให้มันเรียบง่ายนั้นเป็นเรื่องยาก เขาเรียนรู้จาก
   Neil Cole ที่เขาพบในงานสัมนาผู้นําว่า การออกแบบกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและสามารถนําไปเป็นการ
   ปฎิบัติที่ลุล่วงได้นั้น มีแนวทางคือ
    a. กลยุทธ์นั้นคุณในฐานะผู้นํา รู้สึกว่ามันสําคัญกับตัวคุณใช่หรือไม่
    b. กลยุทธ์นั้นคนอื่นๆในทีมสามารถนําไปปฎิบัติได้เพราะเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนใช่หรือไม่
    c. กลยุทธ์นั้นสามารถสื่อสารไปยังคนทุกชาติทุกภาษาได้หรือไม่
2. การออกแบบชีวิตเป็นมากกว่าการออกแบบเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพ เพราะว่ามันครอบคลุม
   ทุกแง่มุม หากออกแบบชีวิตดี การออกแบบความก้าวหน้าในงานจะดีตามไปด้วย เพราะว่าการ
   วางแผนชีวิตทําให้เราต้องทบทวนว่า ตัวตนของเราคืออะไร เราเป็นใคร จุดอ่อน จุดแข็ง และจะ
   ออกแบบการพัฒนาชีวิตตนเองได้อย่างไร
3. ชีวิตนั้นเมื่อเวลาผ่านไปแล้วมันผ่านไปเลย จะย้อนกลับมาแก้ไขใหม่เหมือนการซ้อมบทละครไม่ได้
   เขาแนะนําว่า มีงานวิจัยที่ไปถามคนอายุ 70 กลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จว่า
   “เขาจะแนะนําคนหนุ่มสาวให้วางแผนชีวิตว่าอย่างไร” ซึ่งคําแนะนําคือ
    1. ฉันน่าจะบงการชีวิตฉันเองตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งเป้าหมายก่อนเนิ่นๆ ชีวิตย้อนกลับไม่ได้
    2. ฉันน่าจะดูแลสุขภาพของฉันให้ดีกว่านี้
    3. ฉันน่าจะบริหารเงินของฉันให้ดีกว่านี้
    4. ฉันน่าจะใช้เวลากับครอบครัวฉันมากกว่านี้
    5. ฉันน่าจะใช้เวลาในการพัฒนาตนเองมากกว่านี้
    6. ฉันน่าจะหาความสนุกให้มากกว่านี้
    7. ฉันน่าจะวางแผนความก้าวหน้าในงานดีกว่านี้
    8. ฉันน่าจะตอบแทนสังคมให้มากกว่านี้
4. กฎ x2 เขาแนะนําว่าให้คูณสองทุกเรื่องหลังวางแผน เช่นงาน 1 ชั่วโมงน่าเสร็จ คิดเผื่อเป็น 2 ช.ม.
   โครงการต่อเติมบ้านใช้งบหนึ่งแสนบาทให้วางแผนเผื่อเป็นสองแสนบาท
5. วางแผนชีวิตต้องมีระบบ เช่นแมกซ์เวลล์อ่านหนังสือเดือนละสี่เล่ม ฟังเทปการพัฒนาตนเองในรถ
   อันไหนดีนํามาถอดเป็นบทความ มีระบบจัดเก็บข้อมูลทีดีสําหรับใช้ในการเขียน การพูด และแม้
   เวลาว่ายน้ําก็จะนําข้อคิดครั้งละหนึ่งเรื่องไปใคร่ครวญระหว่างว่ายน้ํา




                                                                                              13
กฎข้อที่ 8 กฎของการเรียนรู้จากประสบการณ์เลวร้าย

ประสบการณ์ที่เลวร้ายหากมีการจัดการที่ดี จะนํามาซึ่งการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่

ความเจ็บปวดทําให้เราต้องทบทวนตนเองว่าตัวตนของเราคืออะไร เราอยู่ตรงไหน การที่เราคิดจะทํา
อะไรกับประสบการณ์เลวร้ายจะเป็นสิ่งที่กําหนดตัวตนของเรา

สิ่งที่แมกซ์เวลล์เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เลวร้ายคือ

1. ทุกคนเกิดมาต้องเจอ
2. ไม่มีใครชอบมันหรอก
3. มีคนจํานวนน้อยที่ทําให้ประสบการณ์เลวร้ายกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เมื่อเราเจอเหตุการณ์ร้ายๆ
   มันทําให้เราเข้มแข็งหรือขมขื่น มันทําให้เราตกต่ําหรือเติบโต คนที่ประสบความสําเร็จมักจะบอก
   กับเราเสมอว่าประสบกาณ์ที่เลวร้ายเป็นจุดหักเหทําให้เขาเติบโตและพัฒนา หากคุณต้องการ
   เติบโตคุณต้องมุ่งมั่นที่จะจัดการกับประสบการณ์ที่ไม่ดีต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละคน
   แน่นอน

เขายกตัวอย่างประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเขา และนัยที่ทําให้เขาเติบโต
- อ่อนประสบการณ์ตอนต้นๆทําให้ล้มลุกคลุกคลานในงาน แต่ทําให้เขารู้ว่าจะทํางานร่วมกับคนอื่น
  และทําให้พวกเขายอมรับนับถือเราได้อย่างไร
- ทํางานไม่เก่ง ทําให้เขาต้องขวนขวายหาเรียนรู้จากคนเก่งๆ
- เขาหัวใจวายตอนอายุ 51 ทําให้ออกกําลังกายและเปลี่ยนพฤติกรรมการกินดีขึ้น
- ขาดทุนเกือบหมดตัวในธุรกิจ ทําให้เขากลายเป็นคนรอบคอบขึ้นมา

เราจะทําให้ความเจ็บปวดกลายเป็นผลดีได้อย่างไร

1. มองโลกในแง่บวก ชีวิตไม่ใช่เป็นอย่างที่เราปรารถนาจะให้มันเป็น มันก็เป็นไปตามครรลองของมัน
   ดีหรือเลวมีปัจจัยต่างๆมากมาย หากมันไม่ดี เราก็ต้องมองหาสิ่งดีๆจากมันให้ได้เพราะมันได้เกิด
   ขึ้นไปแล้ว
2. เมื่อเจอสิ่งร้ายๆ ให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะปล่อยให้มันทําให้จิตตก เราควรหาหนทาง
   ใหม่ๆเพื่ออกจากสถานการณ์ที่เลวร้าย
3. มองหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่ไม่ดี เคยมีคนถามประธานาธิบดีเคนเนดี้ว่า “ท่านเป็นวีระบุรุษ
   สงครามได้อย่างไร” ท่านตอบว่า “ง่ายมากเลย ข้าศึกจมเรือรบที่ผมเป็นนายทหารประจําการ”
4. เมื่อเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี มองหาสิ่งดีๆที่ตามมา เช่นแมกซ์เวลล์มองว่าการหัวใจวายของเขา
   ทําให้เขามีสุขภาพที่ดีเพราะเปลี่ยนพฤตกรรมการกินและออกกําลังกายสม่ําเสมอขึ้น
5. อย่าให้ชีวิตเป็นเหยื่อของเหตุการณ์เลวร้าย รับผิดชอบชีวิตตนเอง ดําเนินชีวิตต่อไปให้ดีกว่าเดิม
   แทนที่จะนั่งคร่ําครวญว่าทําไมต้องเป็นฉันที่โชคร้ายอย่างนี้

ให้เราลองระบุประสบการณ์ห้าอย่างที่เลวร้ายที่เราเคยเผชิญมา ในแต่ละเรื่องระบุว่าเราได้เรียนรู้อะไร
จากมันบ้าง แล้วประเมินดูว่าในแต่ละเรื่องได้ทําให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง




                                                                                              14
กฎข้อที่ 9 กฎของอุปนิสัยที่ดี

ยิ่งพัฒนาอุปนิสัยที่ดีมากเท่าไร ยิ่งช่วยให้การพัฒนาตนเองให้เติบโตขึ้นมากเท่านั้น

คนตามผู้นําที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้

คนจํานวนมากมุ่งเน้นพัฒนาที่ความเก่ง แต่ไม่ได้พัฒนาอุปนิสัยที่ดี

99% ของคนที่ล้มเหลว ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่เพราะอุปนิสัยที่ไม่ดีต่างหาก

ในการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีนั้น ไม่ใช่ทําได้ง่ายๆ ต้องทําด้วยความตั้งใจและตระหนักรู้ตนเอง

โดยมีขั้นตอนสําหรับการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีดังนี้
1. พัฒนามาจากภายในก่อน เริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่าต้องคิดดีก่อนจึงจะเกิดผลดี ผู้เขียนบอกว่าวิธีที่
   ทําให้เขาเกิดความตระหนักรู้เพราะว่า
    a. ศาสนาพุทธบอกว่า “เราคิดอะไรเราจะเป็นอย่างนั้น”
    b. ความคิดภายในชนะพฤติกรรมภายนอก เขาบอกว่ามีคนจํานวนมากที่เขาเห็นว่าฉลาดและทํา
        อะไรที่ดูดีแต่ไม่ประสบความสําเร็จ น่าจะมาจากความไม่สอดคล้องระหว่างตัวตนของเขากับสิ่ง
        ที่เขาเสแสร้งแสดงออก
    c. การพัฒนาภายในของเรานั้นอยู่ในความควบคุมของเราเอง ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ
        ความมุมานะ ความมั่นใจ ปัญญา ฯลฯ สิ่งเหล่านีไม่ได้อยู่ในกรรมพันธ์ เราสามารถพัฒนาได้
        ทุกคน เป็นทางเลือกที่เราทุกคนเลือกได้
2. พยายามเข้าใจคนอื่น คิดจากมุมมองของคนอื่น
3. ทําในสิ่งที่ตนเองเชื่อ เขาเล่าว่าตอนเริ่มต้นอาชีพใหม่ๆ เขามักจะรับบรรยายในทุกๆเรื่อง แต่ว่า
   บางเรื่องเขาก็ไม่ได้ถึงกับเข้าใจหรือเชื่อมั่นในหลักการเต็มที่ เมื่อเขาสอนเรื่องนั้นๆ มันจึงออกมา
   ได้ไม่ดี เพราะว่าเราหลอกคนอื่นได้แต่เราหลอกตัวเราเองไม่ได้
4. เขาสอนว่าเราต้องมีความถ่อมตัว เราต้องรู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่แม้ว่าเราพยายามมากเพียงใด เราก็
   อาจจะพลาดได้ ดังนั้นอย่าซีเรียสกับความผิดพลาดของเรา เพราะเรามีจุดแข็งและจุดอ่อน การคิด
   แบบนี้จะทําให้เราเริ่มพยายามเข้าใจและยอมรับจุดอ่อนและความผิดพลาดของคนอื่นๆได้ เราควร
   เป็นคนเปิดกว้างเป็นแก้วน้ําที่ไม่ล้นแก้ว และเน้นการให้บริการคนอื่น โดยเฉพาะผู้นําที่อาจจะติด
   นิสัยที่เคยได้รับบริการจนเคยชิน
5. มุ่งมั่นทําในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ และพยายามทําให้ถูกต้องและดีงามเพิ่มขึ้น
   ในทุกๆวัน

เขาแนะนําว่าให้เราลองตรวจสอบตัวเองว่า
1. เราใช้เงินกับการพัฒนาตนเองภายนอกหรือภายในมากกว่ากัน โดยคํานวณว่า 12 เดือนที่ผ่านมา
   เราใช้เงินกับเสื้อผ้า เครื่องประดับ สิ่งที่ทําให้ภายนอกเราดูดีประมาณเท่าไร และเราใช้เงินกับการ
   พัฒนาจิตใจคือค่าหนังสือ ค่าอบรมสัมนา ฯลฯ มากเท่าไร
2. ในเดือนที่แล้วเราใช้เวลาในการพัฒนาร่างกายภายนอกเท่าไร เช่นการออกกําลังกาย การดูแลขัด
   สีฉวีวรรณ และเราใช้เวลาในการพัฒนาจิตใจภายในเช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ ไตร่ตรองพินิจ
   พิเคราะห์เรื่องการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีเท่าไร
3. วางแผนอุทิศเวลาช่วยเหลือผู้อื่น อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมง

                                                                                                  15
กฎข้อที่ 10 กฎของการฝืนตัวเอง เสมือนหนึ่งการยืดหนังยางให้ตึง

แมกซ์เวลล์ยกตัวอย่างชีวิตของเขาที่เขาเลือกที่จะออกจากความสบายหรือความคุ้นเคยตลอดตั้งแต่
เริ่มทํางานครั้งแรก เช่นแทนที่จะทํางานทีเดียวกับพ่อ กับเลือกไปทํางานที่ซึ่งคนไม่รู้จักพ่อของเขา
ทําให้เขาเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับภาวะผู้นําและการให้ความรักกับคนอื่นๆ

ตอนเขาเริ่มงานใหม่ๆในฐานะพระเขาสอนเกี่ยวกับภาวะผู้นําเพราะเห็นว่าผู้นําทางศาสนาต้องทําหน้าที่
นี้อยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แรกๆคนก็ว่าเป็นเรื่องของทางโลกทําไมจึงไปทํา แต่
เขาก็ฝืนทําเพราะเข้าใจจากประสบการณ์ที่เขาลําบากมาก่อนเนื่องจากไม่มีความรู้ด้านนี้

พอมีชื่อเสียงขึ้น เขาเริ่มเดินสายไปบรรยายต่างประเทศ ใหม่ๆก็อึดอัดเพราะต้องพูดโดยมีล่ามแปล
แต่ผ่านไปสิบปีก็ดีขึ้น ทําให้ต่อมาเขาพัฒนาเครื่องมือสอนผู้นําที่นําไปเผยแพร่ใน 175 ประเทศ

เมื่อผ่านมาถึงอายุหกสิบเขาน่าจะพักผ่อนเพราะมีพร้อมทุกอย่าง เขากลับฝืนตัวเองด้วยการเปิดบริษัท
ด้านโค้ชชื่ง

อะไรคือประโยชน์ของการฝืนตัวเอง

เวลาเขาสอนเรื่องนี้ เขาจะนําหนังยาง/ยางวงมาโชว์ แล้วสอนว่า “หนังยางจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมัน
ถูกยืดออกมาแล้วไปรัดของแล้วคืนตัว” เขาคิดว่าคนก็เช่นกัน

1. คนส่วนใหญ่ไม่อยากลําบาก เขายกตัวอย่างว่าตอนเรียนหนังสือเขาไปทํางานช่วงปิดเทอมใน
   โรงงาน เขาถามซอกแซกจนรุ่นพี่คนหนึ่งรําคาญเตือนเขาว่า “อย่าถามมาก ยิ่งรู้น้อยยิ่งทํางาน
   น้อย ถามมากงานจะมากตามไปด้วย” คนส่วนใหญ่เลือกจะทํางานแบบพอผ่านๆ เอาแค่ให้ได้ตาม
   ค่าเฉลี่ยก็พอแล้ว
2. คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลง แต่เขาหารู้ไม่ว่ามันจะนํามาซึ่งความไม่พึงพอใจใน
   งาน อับราฮัม มาสโลว์บอกว่า “หากคุณคิดว่าจะทํางานที่ต่ํากว่าศักยภาพของคุณ คุณน่าจะระทม
   ทุกข์ไปทุกวันตราบที่คุณยังทํางานนั้นอยู่” เพราะว่ามันทําให้คนผู้นั้นลดความรักและเคารพนับถือใน
   ตนเองลงเรื่อยๆ
3. การฝืนตนเองนั้นเริ่มมาจากภายในก่อน เวลาเขาบรรยายเขามักถามว่า “ใครมีความฝันบ้าง” ทุก
   คนยกมือ พอถามต่อว่า “ใครที่ล่าฝันนั้นบ้าง” เริ่มเหลือน้อยลง และพอถามว่า “ใครได้บรรลุฝัน
   บ้าง” มีน้อยคนเหลือเกิน แมกซ์เวลล์ยกงานวิจัยว่าคนอเมริกันจํานวนมากไม่พึงพอใจในงานที่
   ตนเองทําอยู่ แต่แปลกที่ว่าคนเหล่านี้เลือกที่จะทนทําอยู่แบบเดิมๆ แทนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร
   บางอย่าง เขาบอกว่า จิม โรห์นบอกว่า “สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่พยายามเติบโตให้ถึงที่สุด ต้นไม้
   ต้องการสูงเท่าที่มันจะสูงได้ แต่คนเราไม่ คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทางเลือก และคนส่วนใหญ่เลือกที่จะ
   ไม่โตตามศักยภาพของเขาที่ควรจะโต ทําไมเราไม่พยายามจนถึงที่สุดกันละ” หากไม่แน่ใจว่าเรามี
   ศักยภาพเพียงใด ถามคนอื่นดู หากถามคนอื่นแล้วไม่ได้คําตอบ ออกไปหาเม็นเตอร์ดีๆซักคนหนึ่ง
   ค้นหาศักยภาพของตนเอง แ้ลวหาทางพัฒนาตนเองให้ไปถึงจุดนั้น
4. การฝืนเพื่อความสําเร็จต้องมีการเปลี่ยนแปลง การจะเติบโตต้องปล่อยวางอดีตมุ่งไปข้างหน้าโดย
   การทําปัจจุบันให้สอดคล้องกับเป้าหมายให้มากที่สุด ซึ่งหมายถึงว่าต้องกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้า
   ทําในสิ่งที่ไม่เคยทํามาก่อน

                                                                                                  16
5. การฝืนเพื่อเติบโต จะทําให้คุณแตกต่างจากคนอื่นๆ แจ๊ค เวลซ์ตอบคําถามว่าจะแตกต่างจากคน
   อื่นได้อย่างไร เขาอธิบายว่า “สมมติว่านายบอกว่าคุณไปทํารายงานวิเคราะห์มาหน่อยว่าภาพรวม
   ของผลิตภัณฑ์เราในปีหน้าจะเป็นอย่างไร ให้คิดว่านายเขาต้องมีคําตอบอยู่ในใจบ้างอยู่แล้ว ทํา
   รายงานวิเคราะห์ที่มีนัยสําคัญให้มากเกินกว่าที่นายคิด ค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกลงไป แล้ววิเคราะห์
   ออกมาให้เขาร้อง “วาว” ทําให้เขาประทับใจ โดยนําเสนอสิ่งที่สั้นกระชับแต่มีนัยสําคัญมาก ที่เขา
   ไม่เคยคิดมาก่อน เพื่อที่นายจะได้สร้างความประทับใจให้นายของเขาอีกที” จะทําอย่างนี้ได้นั้น
   ไม่ใช่ว่าจะต้องทําให้ดีเลิศเท่านั้น แต่ต้องทําดีเลิศและเกินความคาดหวังแบบคาดคิดไม่ถึงอีกด้วย
6. พยายามฝืนจนเป็นนิสัย อย่าสักแต่ว่าทําให้พอผ่าน ปีเตอร์ ดรั๊คเกอร์บอกว่า “ศัตรูของความ
   สําเร็จในวันพรุ่งนี้คือความสําเร็จในวันนี้ ผมไม่เคยเห็นคนที่ได้รางวัลโนเบลทําอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น
   อีกเลยหลังจากได้รางวัลแล้ว”

การประยุกต์ใช้ในชีวิต

1. ถามตัวเองว่า เราเองมีเรื่องใดบ้างที่เราเริ่มจะสบายๆแล้ว ให้หาเหตุผลให้กับตัวเองให้ได้ว่าเราจะ
   ยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกในเรื่องนั้นไปเพื่อะไร
2. ถามตัวเองว่า มีเรื่องใดที่เรามีศักยภาพแต่ว่ายังไม่ได้มุ่งที่จะใช้ศักยภาพนั้นให้เต็มที่ (มีเรื่องไหนที่
   เราน่าจะเก่งแต่ยังดึงๆไว้อยู่) ถามตัวเองต่อว่า “อะไรเป็นสาเหตุทําให้เราดึงมันไว้” “อาจจะมีความ
   เชื่ออะไรที่คอยรั้งตัวเราไว้ไม่ให้ปลดปล่อยศักยภาพออกมาให้เต็มที่” “มีความสําเร็จอะไรในอดีตที่
   คอยฉุดรั้งเราอยู่หรือไม่” “เราจะทําอย่างไรดีกับความคิดเหล่านี้”
3. ตั้งเป้าหมายให้เหมาะสม อย่าตั้งเป้าหมายสั้นและง่ายไป หรือยากและยาวเกินจะเอื้อมถึง ต้องให้
   ท้าทายและเป็นไปได้ยากหน่อย




                                                                                                       17
กฎข้อที่ 11 กฎของการแลกเปลี่ยน

เราต้องแลกอะไรบางอย่างเพื่อยกระดับขีดความสามารถของเรา

เขาเล่าเรื่องของ Herman Cain ที่ยอมแลกหลายอย่างในชีวิตเพื่อความก้าวหน้า เช่นตอนอายุ 36 เขา
ยอมสละตําแหน่งรองประธานฯของบริษัทหนึ่งเพื่อไปเริ่มต้นระดับหัวหน้างานในเบอร์เกอร์คิง และใช้
เวลาสีปีไต่เต้าจนเป็นเบอร์สองที่นั่น และก้าวไปสู่ตําแหน่งประธานฯในบ.พิซซ่าแห่งหนึ่ง

เรื่องเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนในชีวิต

1. ชีวิตเต็มไปด้วยทางแยกที่เราต้องเลือกว่าจะแลกอะไรกับอะไร คนที่ไม่ประสบความสําเร็จมักแลก
   เปลี่ยนไม่ดี คนทั่วๆไปแลกเปลี่ยนได้ดีบางครั้ง และคนที่สําเร็จแลกเปลี่ยนได้ดีบ่อยๆ เขาบอกว่า
   ตัวเขาแลกเปลี่ยนครั้งสําคัญในชีวิตมากกว่ายี่สิบครั้ง
2. เราต้องเรียนรู้ที่จะมองเห็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเพื่อการยกระดับความสามารถของเราให้ออก
   เขาแนะนําสองคําถามคือ
    a. ประเมินข้อดีข้อเสียของสองทางเลือกที่เราต้องเลือกเพื่อแลกเลี่ยน
    b. การเปลี่ยนแปลงหลังจากการเลือกครั้งนี้ เราจะเติบโตขึ้น หรือเราจะต้องทุลักทุเลเพื่อให้ผ่าน
        มันไปได้ อย่างไรก็ตามการแลกเลี่ยนส่วนใหญ่มักจะมีความยากลําบากในเบื้องต้นเป็นบท
        ทดสอบเสมอ อย่าเข้าใจผิดว่าความลําบากในเบื้องต้นคือข้อเสียเปรียบของการแลกเปลี่ยน
3. การแลกเปลี่ยนมักจะบังคับให้เราต้องตัดสินใจสละเรื่องส่วนตัวบางอย่างด้วยความลําบากใจ เมื่อ
   เราต้องการได้บางอย่างที่เราไม่เคยมีเราก็ต้องทําอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยทํา เราต้องพร้อมที่จะ
   ยอมรับเรื่องนี้ นอกจากนี้จังหวะเวลาว่า “เมื่อใด” ก็เป็นประเด็นที่สําคัญอีกเช่นกัน เขาเล่า
   ประสบการณ์ส่วนตัวว่า ในปีค.ศ. 1978 เขาเริ่มประสบความสําเร็จในฐานะนักพูด แต่เขามองว่ามี
   ข้อจํากัดในการช่วยเหลือคนหมู่มาก เขาต้องเลือกว่าจะเขียนหนังสือหรือไม่ ในที่สุดเขายอมแลก
   เปลี่ยนเวลาอย่างมากเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องการเขียน โดยคุยกับนักเขียนเก่งๆ เข้าอบรม ฝึกเขียน
   และถูกปฎิเสธจากสํานักพิมพ์จนถึงจุดหนึ่งที่เขาถามตัวเองว่า “มันคุ้มไหมหนอ” แต่ว่าเขาก็มุมานะ
   ต่อไปจนสําเร็จ ปัจจุบันเขามี 70 เรื่องที่วางขายทั่วโลกกว่า 21 ล้านเล่ม
4. ปกติการแลกเปลี่ยนที่มีคุณค่ามักจะใช้เวลามากจนเราคิดว่ามันจะคุ้มหรือไม่
5. การแลกเปลี่ยนอาจจะทําเมื่อใดก็ได้ มีหลายครั้งที่เรามีโอกาสเลือกผิดและแก้ตัวได้
6. บางเลือกมันมาแค่ครั้งเดียว Andy Grove อดีตซีอีโอ Intel บอกว่า ในองค์กรนั้นจะมีจุดหนึ่งที่ต้อง
   เปลี่ยนแปลงแบบรุนแรง หากเลือกที่จะไม่ทํา มักจะนํามาซึ่งความเสื่อมถอย แมกซ์เวลล์เล่าให้ฟัง
   ว่า “ครั้งหนึ่งผมนัดเจอเนลสัน แมนเดล่า ได้ แต่ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุล้มลง จึงต้องเลื่อนตารางนัด
   หมายไป ตามตารางใหม่หากแมกซ์เวลล์อยากพบเขาต้องยกเลิกการพูดที่ประเทศเคนย่า ซึ่งเขา
   เลือกที่จะไม่ยกเลิกงานพูด สําหรับเขาแล้วโอกาสที่จะเจอเนลสันคงยากแล้วเพราะสุขภาพและอายุ
   ของเนลสัน
7. ยิ่งสูง การแลกเปลี่ยนยิ่งตัดสินใจได้ลําบากใจมากขึ้น




                                                                                              18
แมกซ์เวลล์แนะนําแนวทางการชั่งใจว่าจะแลกเปลี่ยนดีีหรือไม่คือ

1. เขาเลือกที่จะเก่งขึ้นมากกว่าเลือกความมั่นคงทางการเงิน เขาเปลี่ยนงานเจ็ดครั้งในชีวิต มีห้าครั้ง
   ที่เขายอมลดเงินเดือนลงเพื่อการพัฒนาศักยภาพของเขาเองให้เก่ง

2. เขายอมแลกความสนุกและความสบายระยะสั้นกับการพัฒนาตนเอง

3. เขาเลือกชีวิตที่ดีงามมากกว่าชีวิตที่ร่ํารวยหรูหราในเวลาอันสั้น ชีวิตที่ดีงามคือ “การที่เขาอยู่ในที่ที่
   เหมาะกับเขา กับคนที่เขารัก ทําในสิ่งที่ถูกต้อง และมีจุดมุ่งหมายในชีวิต” เขาแนะนําเทคนิค
   สําหรับการทํางานว่า

   a. มอบหมายงานให้เก่งเพื่อใช้สมองตนเองมากขึ้น แทนที่จะทํางานหนักมากขึ้น
   b. ทําในสิ่งที่ทําได้ดีที่สุด เรื่องไหนที่ไม่ถนัดหาคนอื่นที่ถนัดทํา
   c. ควบคุมตารางประจําวันของตนเอง มิฉะนั้นคนอื่นจะเป็นคนควบคุมให้คุณ
   d. ทําในสิ่งที่รักเพราะมันจะสร้างพลังให้คุณ
   e. ทํางานกับคนที่คุนเข้าขากับเขาได้ดี เพราะจะทําให้คุณมีพลัง

4. เขายอมแลกความมั่นคงกับการช่วยให้โลกนี้ดีขึ้น




                                                                                                       19
กฎข้อที่ 12 กฎของการใฝ่รู้

เราจะพัฒนาความเก่งของเราด้วยการหมั่นตั้งคําถาม

แมกซ์เวลล์เล่าให้ฟังว่าเขามีธรรมชาติที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนทั่วๆไป เขาแนะนําแนวทางที่อาจ
จะช่วยให้คนอื่นๆสามารถจะมีความใฝ่รู้ได้เพิ่มขึ้นคือ

1. เชื่อว่าเราเรียนรู้ได้ไม่จบสิ้น เราต้องเชื่อว่าหากเราต้องการพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น เราต้องออกไป
   ค้นคว้าหาความรู้มาพัฒนาตนเอง ความรู้ ความเข้าใจ ปัญญา มันไม่เดินมาหาเราเอง เราต้อง
   ออกไปขวนขวายหามัน ซึ่งจะทําอย่างนั้นได้ต้องมีทัศนคติเป็นคนกระหายใคร่รู้ตลอดเวลา
2. คิดแบบมือใหม่เสมอ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นกูรูแล้ว ให้คิดว่าตนเองเป็นเด็ก เป็นมือใหม่ในทุกๆ
   เรื่อง จะทําให้เรากระหายใคร่รู้เพิ่มเติมตลอดเวลา มันจะทําให้คุณเป็นคนช่างถาม วิธีนี้อาจจะต้อง
   เป็นคนเปิดเผยกล้าถาม และไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร หากใครที่มีคําตอบเสมอแสดงว่า
   คนเหล่านั้นอาจจะสําคัญผิดคิดว่าตนเองเป็นกูรูและหมดไฟที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆเพราะคิดว่าตนเอง
   รู้แล้วทุกเรื่อง
3. มีคําถามว่า “ทําไม” เป็นคําโปรด เขาสังเกตว่าผู้นําที่พัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นนั้นชอบถามคําถาม
   ไม่ใช่ชอบตอบ ยิ่งถามเก่งพวกเขาก็ยิ่งเก่ง และคนที่ถูกถามก็ยิ่งเก่งขึ้น
4. ใช้เวลากับคนที่กระหายใคร่รู้
5. ตั้งเป้าว่าจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน ตื่นนอนมาพร้อมทัศนคติที่ว่าเราใจเปิดกว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ
   เปิดหูเปิดตาพร้อมรับตลอดเวลา ไตร่ตรองสิ่งที่รับรู้เข้ามา หากเราเอาแต่รับแต่ไม่ได้ย่อยโดยการ
   คิดทบทวนหรือไตร่ตรองแล้วเราอาจจะไม่เห็นนัยของเรื่องราวนั้นๆ
6. เห็นประโยชน์ของความล้มเหลว คนส่วนใหญ่ขยาดกับความผิดพลาดและล้มเหลว เมื่อเขาเจอเขา
   มักจะหลีกเลี่ยงมันในอนาคต คนที่กระหายใคร่รู้จะตระหนักว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ พวก
   เขาจะถามว่า “ทําไมจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น” “ฉันจะเรียนรู้อะไรจากปัญหานี้ได้บ้าง” “ฉันจะเก่งขึ้นมา
   จากการฝ่าฟันปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง”
7. หยุดมองหาคําตอบเดียว เพราะว่าปัญหาที่เราเจอนั้นมันมีโอกาสมีคําตอบได้มากกว่าหนึ่งอย่าง
   อย่าคิดหาคําตอบสําเร็จรูป หรืออย่าพึงพอใจกับคําตอบที่ได้ และอย่าพึงพอใจกับอะไรที่มันดีอยู่
   แล้ว ระวังคําพูดที่ว่า “ถ้ามันไม่เสียก็อย่าไปยุ่งกับมัน” แต่ให้ตั้งคําถามใหม่ว่า “เมื่อมันไม่เสีย แต่
   ว่าเราจะพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไรบ้าง” “มันดีตอนนี้ แต่ว่าคิดว่าเมื่อไรที่มันอาจจะเสีย
   ในอนาคต” “มันดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะดีอยู่ได้นานแค่ไหนในขณะที่โลกเลี่ยนแปลงตลอดเวลา”
8. อย่าอายที่จะถาม ทําตัวให้เป็นเด็ก กล้าถาม ไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราโง่
9. คิดนอกกรอบ อย่าเอาแต่คิดว่า “เราไม่เคยทําอย่างนี้มาก่อนนี่” “นั่นไม่ใช่งานฉัน” แมกซ์เวลล์
   บอกว่า “เวลาผมได้ยินคนพูดแบบนี้ ผมอยากจะเขย่าหมอนั่นแรงๆซักทีเพราะว่าเขาตายไปแล้ว
   เพียงแต่ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง”
10.มีความสุขกับชีวิต ทําในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทํา ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นคือการเรียนรู้




                                                                                                      20
กฎข้อที่ 13 กฎของการเป็นต้นแบบให้คนอื่น

เราอาจจะพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นได้ด้วยตนเอง แต่ว่าการมีใครบางคนที่คุณสามารถพูดคุยกับเขา
แบบตัวต่อตัว และให้เขาเป็น Mentor ให้คุณได้จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะการที่คิดและหารือกับ
ตนเองโดยลําพังนั้น คุณอาจจะคิดวนไปวนมาและหาทางออกให้ตนเองไม่ได้

แมกซ์เวลมีเมนเตอร์หลายคน เช่นซิก ซิกกล้าร์ จอห์น วูดเด้น ฯลฯ อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่าบาง
คนดูจากระยะห่างๆน่าจะเป็นเม็นเตอร์ที่ดีของเรา ปรากฎว่าพอเข้าไปสัมผัสจริงๆแล้วกลับไม่โดนใจ
เรานั้น เขาบอกว่าอย่าผิดหวัง ซึ่งการจะให้ใครเป็นเม็นตอร์เรานั้นการรู้จักเลือกจึงมีความสําคัญ

เขาแนะนําแง่คิดเกี่ยวกับการมีเม็นเตอร์ว่า

1. เม็นเตอร์ที่ดีต้องมีคุณค่าที่ดีพอจะเป็นแบบอย่างให้เรา พวกเขาควรมีคุณลักษณะ อุปนิสัยที่ดีที่เรา
   อยากเลียนแบบ
2. เม็นเตอร์มีให้เราเลือก แต่ต้องเลือกให้เป็น อย่าเลือกคนที่ประสบการณ์ห่างเรามากเกินไป เช่นเรา
   เป็นพนักงานระดับต้นหากให้ซีอีโอเป็นเม็นเตอร์เรา เขาอาจจะมีมุมมองที่ไกลตัวเกินไป ควรจะห่าง
   จากเราสองสามขั้นก็พอ แล้วค่อยๆยกระดับเม็นเตอร์เมื่อเราเติบโตในงานสูงขึ้น
3. พวกเขาควรผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอควร แม๊กซ์เวลเล่าว่าตอนที่เขาเริ่มงานบริหารใหม่ๆเขาไปขอ
   ความรู้จากคนที่มีประสบการณ์ โดยยินดีจ่ายเงิน $100 สําหรับเวลา 30 นาที จากรุ่นพี่ที่เก๋ากว่า
   เขาให้สอนเขาเรื่องภาวะผู้นําและการบริหาร
4. เม็นเตอร์มีปัญญาที่แหลมคม เขาเล่าตัวอย่างของโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งมีเครื่องจักรสําคัญเสียจึงเรียก
   ที่ปรึกษามาซ่อม ที่ปรึกษามาพร้อมกับค้อนเล็กๆหนึ่งอัน เดินดูเครื่องซักพักหนึ่ง แล้วก็เคาะค้อน
   เบาๆลงที่จุดๆหนึ่ง เครื่องก็กลับมาทํางานได้ตามปกติ เขาส่งบิลมาเรียกเก็บ $ 1,000 โดย
   แยกแยะให้เห็นว่า ค่าเคาะ $1 และค่าองค์ความรู้ที่รู้ว่าจะเคาะตรงไหนอีก $999 คนที่มีปัญญาจะ
   พูดเพียงไม่กี่คําเราก็เห็นทางสว่างแล้ว เขาช่วยให้เราฉลาดขึ้นในบางเรื่องแทนที่จะต้องเรียนรู้เป็นปี
   ค่อยทราบ
5. เม็นเตอร์ที่ดีให้กําลังใจและมีมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ เขายกตัวอย่าง จิม คอลลินส์แห่ง Good to great
   พูดถึง ปีเตอร์ ดรั๊กเกอร์เม็นเตอร์ว่า “ผมได้มิตรภาพอันยิ่งใหญ่จากเขามากกว่าปัญญาญาณของ
   เขาเสียอีก”
6. เม็นเตอร์ที่ดีเป็นโค้ชด้วย เขาช่วยปลดปล่อยศักยภาพเราออกมา โค้ชที่ดีมีคุณลักษณะคือ
   (COACH)

Care เขาใส่ใจในตัวโค้ชชี่
Observe เขาสังเกต จดจ้องใน ทัศนคติ พฤติกรรม และผลงานโค้ชชี่
Align เขาช่วยพัฒนาจุดแข็งให้เกิดผลงานยอดเยี่ยม
Communicate สื่อสารและให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับผลงาน
Help ช่วยทําให้งานและชีวิตดีขึ้น




                                                                                                 21
เราจะประยุกต์ใช้บทเรียนจากบทนี้ได้อย่างไร

1.ระบุเป้าหมายในอาชีพในอนาคต แล้วหาเม็นเตอร์ที่ช่วยคุณให้ไปให้ถึงเป้าหมายนั้น มองหาคนที่
คุณชื่นชมซึ่งนําหน้าคุณไปสองสามช่วง เมื่อเขายอมช่วยคุณแล้ว นําสิ่งที่เขาแนะนําไปใช้ แล้วกลับ
มารายงานผลไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แล้วถามคําถามใหม่ แล้วนําไปปฎิบัติ และนํากลับม รายงาน
2.ระบุจุดแข็งหรือศักยภาพที่คุณต้องการพัฒนา และระบุประเด็นที่คุณต้องการใครบางคนมาช่วย
ชี้แนะออกมา แล้วสรรหาเม็นเตอร์ที่ช่วยคุณในเรื่องราวเหล่านี้ได้
3.หาเม็นเตอร์ระยะยาว เริ่มจากศึกษาเรื่องของเขา เช่นอ่านหนังสือของเขาก่อน แล้วหาทางเข้าหา
เขา หรือหาคนแนะนําให้

สุดท้าย อย่าผิดหวังหากบางคนที่ดูดีมาก แต่พอสัมผัสจริงๆแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คาด มองหาคน
อื่นๆแทน อย่าให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีทําให้คุณขยาดการมีเม็นเตอร์




                                                                                          22
The 15 invaluable laws of growth
The 15 invaluable laws of growth
The 15 invaluable laws of growth
The 15 invaluable laws of growth

More Related Content

What's hot

How to increase your self motivation for success
How to increase your self motivation for successHow to increase your self motivation for success
How to increase your self motivation for successWake-Up Foundation
 
21 Irrefutable laws of leadership
21 Irrefutable laws of leadership21 Irrefutable laws of leadership
21 Irrefutable laws of leadershipSameer Mathur
 
Setting And Reaching Goals
Setting And Reaching GoalsSetting And Reaching Goals
Setting And Reaching Goalsssimacek
 
Five Mindset Shifts To Change Your Life
Five Mindset Shifts To Change Your LifeFive Mindset Shifts To Change Your Life
Five Mindset Shifts To Change Your LifeFabulous Courage
 
12 Step Goal Setting Process
12 Step Goal Setting Process12 Step Goal Setting Process
12 Step Goal Setting ProcessAdrianBromley
 
How To Motivate Yourseft
How To Motivate YourseftHow To Motivate Yourseft
How To Motivate YourseftNghi Huynh
 
Master Resilience Training monthly modules
Master Resilience Training monthly modulesMaster Resilience Training monthly modules
Master Resilience Training monthly modules1BCT FRSA
 
Growth Mindset
Growth Mindset Growth Mindset
Growth Mindset eckington
 
Growth Mindset vs. the Entrepreneurial Mindset
Growth Mindset vs. the  Entrepreneurial MindsetGrowth Mindset vs. the  Entrepreneurial Mindset
Growth Mindset vs. the Entrepreneurial Mindsetjane GARDNER
 

What's hot (20)

leadership skills
leadership skillsleadership skills
leadership skills
 
How to increase your self motivation for success
How to increase your self motivation for successHow to increase your self motivation for success
How to increase your self motivation for success
 
THE POWER OF PASSION
THE POWER OF PASSIONTHE POWER OF PASSION
THE POWER OF PASSION
 
21 Irrefutable laws of leadership
21 Irrefutable laws of leadership21 Irrefutable laws of leadership
21 Irrefutable laws of leadership
 
Setting And Reaching Goals
Setting And Reaching GoalsSetting And Reaching Goals
Setting And Reaching Goals
 
leadership
leadershipleadership
leadership
 
Strengths-Based Leadership Handout
Strengths-Based Leadership HandoutStrengths-Based Leadership Handout
Strengths-Based Leadership Handout
 
Five Mindset Shifts To Change Your Life
Five Mindset Shifts To Change Your LifeFive Mindset Shifts To Change Your Life
Five Mindset Shifts To Change Your Life
 
12 Step Goal Setting Process
12 Step Goal Setting Process12 Step Goal Setting Process
12 Step Goal Setting Process
 
Self motivation
Self motivationSelf motivation
Self motivation
 
How To Motivate Yourseft
How To Motivate YourseftHow To Motivate Yourseft
How To Motivate Yourseft
 
Be The Leader of Your Own Life
Be The Leader of Your Own LifeBe The Leader of Your Own Life
Be The Leader of Your Own Life
 
Leadership Training | Leadership Skills | Effective Leadership
Leadership Training | Leadership Skills | Effective LeadershipLeadership Training | Leadership Skills | Effective Leadership
Leadership Training | Leadership Skills | Effective Leadership
 
personal branding 2015
personal branding 2015personal branding 2015
personal branding 2015
 
Master Resilience Training monthly modules
Master Resilience Training monthly modulesMaster Resilience Training monthly modules
Master Resilience Training monthly modules
 
Self Leadership
Self LeadershipSelf Leadership
Self Leadership
 
Growth Mindset
Growth Mindset Growth Mindset
Growth Mindset
 
Growth Mindset vs. the Entrepreneurial Mindset
Growth Mindset vs. the  Entrepreneurial MindsetGrowth Mindset vs. the  Entrepreneurial Mindset
Growth Mindset vs. the Entrepreneurial Mindset
 
Successful in life
Successful in lifeSuccessful in life
Successful in life
 
The Power of A Success Mindset
The Power of A Success Mindset The Power of A Success Mindset
The Power of A Success Mindset
 

Viewers also liked

The 15 Invaluable Laws of Growth by John Maxwell
The 15 Invaluable Laws of Growth by John MaxwellThe 15 Invaluable Laws of Growth by John Maxwell
The 15 Invaluable Laws of Growth by John MaxwellKaterina Kalantzi
 
Talent Is Never Enough
Talent Is Never EnoughTalent Is Never Enough
Talent Is Never Enoughguest708153c
 
Talent Is Never Enough
Talent Is Never EnoughTalent Is Never Enough
Talent Is Never EnoughTeo Skylark
 
งานพรรณ
งานพรรณงานพรรณ
งานพรรณOrapan2529
 
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v22014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2Taweedham Dhamtawee
 
Executive coaching-การโค้ชผู้บริหาร
Executive coaching-การโค้ชผู้บริหารExecutive coaching-การโค้ชผู้บริหาร
Executive coaching-การโค้ชผู้บริหารUtai Sukviwatsirikul
 
e-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพ
e-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพe-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพ
e-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพKriengsak Niratpattanasai
 
หลักการพูด
หลักการพูดหลักการพูด
หลักการพูดKruBowbaro
 
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำบทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำAj.Mallika Phongphaew
 
ภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำissareening
 
การออกแบบการนำเสนอ
การออกแบบการนำเสนอการออกแบบการนำเสนอ
การออกแบบการนำเสนอKriengsak Niratpattanasai
 
Effective Christian Time Management
Effective Christian Time ManagementEffective Christian Time Management
Effective Christian Time ManagementRaymond Arhin
 

Viewers also liked (20)

The 15 Invaluable Laws of Growth by John Maxwell
The 15 Invaluable Laws of Growth by John MaxwellThe 15 Invaluable Laws of Growth by John Maxwell
The 15 Invaluable Laws of Growth by John Maxwell
 
Talent Is Never Enough
Talent Is Never EnoughTalent Is Never Enough
Talent Is Never Enough
 
3 laws of performance
3 laws of performance3 laws of performance
3 laws of performance
 
Talent Is Never Enough
Talent Is Never EnoughTalent Is Never Enough
Talent Is Never Enough
 
Listening workshop ho นปร
Listening workshop ho นปรListening workshop ho นปร
Listening workshop ho นปร
 
งานพรรณ
งานพรรณงานพรรณ
งานพรรณ
 
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v22014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
2014-01-22 พุทธศาสนา 3.0 กับ CEO ทางธรรม v2
 
Ch amp handout text
Ch amp handout textCh amp handout text
Ch amp handout text
 
Influencing other by listening
Influencing other by listeningInfluencing other by listening
Influencing other by listening
 
Prework coaching
Prework coachingPrework coaching
Prework coaching
 
Executive coaching-การโค้ชผู้บริหาร
Executive coaching-การโค้ชผู้บริหารExecutive coaching-การโค้ชผู้บริหาร
Executive coaching-การโค้ชผู้บริหาร
 
10 learning points of executive coaching
10 learning points of executive coaching 10 learning points of executive coaching
10 learning points of executive coaching
 
e-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพ
e-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพe-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพ
e-book สี่เส้นทางสู่โค้ชมืออาชีพ
 
Failing forward
Failing forwardFailing forward
Failing forward
 
หลักการพูด
หลักการพูดหลักการพูด
หลักการพูด
 
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำบทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
บทที่ 7 อำนาจและภาวะผู้นำ
 
ภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำภาวะผู้นำ
ภาวะผู้นำ
 
การออกแบบการนำเสนอ
การออกแบบการนำเสนอการออกแบบการนำเสนอ
การออกแบบการนำเสนอ
 
Effective Christian Time Management
Effective Christian Time ManagementEffective Christian Time Management
Effective Christian Time Management
 
Coaching
Coaching Coaching
Coaching
 

Similar to The 15 invaluable laws of growth

The 7 habits of highly effective people all
The 7 habits of highly effective people allThe 7 habits of highly effective people all
The 7 habits of highly effective people allKruKaiNui
 
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlifeวินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlifeYota Bhikkhu
 
4 lifeyes how to get start 1
4 lifeyes how to get start 14 lifeyes how to get start 1
4 lifeyes how to get start 14LIFEYES
 
บทความการคิดแก้ปัญหา ลงสไรแชร์
บทความการคิดแก้ปัญหา  ลงสไรแชร์บทความการคิดแก้ปัญหา  ลงสไรแชร์
บทความการคิดแก้ปัญหา ลงสไรแชร์bussaba_pupa
 
Happystudy
Happystudy  Happystudy
Happystudy sangkom
 
เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่
เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่
เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่Watchara Manisri
 
How the best leaders lead tracy
How the best leaders lead tracyHow the best leaders lead tracy
How the best leaders lead tracymaruay songtanin
 
การสอนสุขศึกษา
การสอนสุขศึกษาการสอนสุขศึกษา
การสอนสุขศึกษาan1030
 
Presentation 2013-01-11 My experience on Coaching
Presentation 2013-01-11 My experience on CoachingPresentation 2013-01-11 My experience on Coaching
Presentation 2013-01-11 My experience on CoachingNopporn Thepsithar
 
สรุปหนังสือ The compound effect.pdf
สรุปหนังสือ The compound effect.pdfสรุปหนังสือ The compound effect.pdf
สรุปหนังสือ The compound effect.pdfNavaponNoppakhun
 
ทำงานให้สำเร้จ ทีม มนุษยสัมพันธ์, พค54
ทำงานให้สำเร้จ  ทีม  มนุษยสัมพันธ์, พค54ทำงานให้สำเร้จ  ทีม  มนุษยสัมพันธ์, พค54
ทำงานให้สำเร้จ ทีม มนุษยสัมพันธ์, พค54KASETSART UNIVERSITY
 

Similar to The 15 invaluable laws of growth (20)

5 laws for nida
5 laws for nida5 laws for nida
5 laws for nida
 
การสังเกต Sn
การสังเกต Snการสังเกต Sn
การสังเกต Sn
 
The 7 habits of highly effective people all
The 7 habits of highly effective people allThe 7 habits of highly effective people all
The 7 habits of highly effective people all
 
01 dreams list
01 dreams list01 dreams list
01 dreams list
 
กระบวนการค ด
กระบวนการค ดกระบวนการค ด
กระบวนการค ด
 
7 habits (19 5-2554)
7 habits (19 5-2554)7 habits (19 5-2554)
7 habits (19 5-2554)
 
Strengths Quest Thai version
Strengths Quest Thai versionStrengths Quest Thai version
Strengths Quest Thai version
 
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlifeวินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
วินัยสำหรับชีวิตDisciplineforlife
 
4 lifeyes how to get start 1
4 lifeyes how to get start 14 lifeyes how to get start 1
4 lifeyes how to get start 1
 
แนวคิดดีๆ 15 ข้อ
แนวคิดดีๆ 15 ข้อแนวคิดดีๆ 15 ข้อ
แนวคิดดีๆ 15 ข้อ
 
บทความการคิดแก้ปัญหา ลงสไรแชร์
บทความการคิดแก้ปัญหา  ลงสไรแชร์บทความการคิดแก้ปัญหา  ลงสไรแชร์
บทความการคิดแก้ปัญหา ลงสไรแชร์
 
Happystudy
Happystudy  Happystudy
Happystudy
 
เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่
เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่
เทคนิคเริ่มต้นเขียนบทความสำหรับมือใหม่
 
How the best leaders lead tracy
How the best leaders lead tracyHow the best leaders lead tracy
How the best leaders lead tracy
 
การสอนสุขศึกษา
การสอนสุขศึกษาการสอนสุขศึกษา
การสอนสุขศึกษา
 
Eb chapter2
Eb chapter2Eb chapter2
Eb chapter2
 
Presentation 2013-01-11 My experience on Coaching
Presentation 2013-01-11 My experience on CoachingPresentation 2013-01-11 My experience on Coaching
Presentation 2013-01-11 My experience on Coaching
 
สรุปหนังสือ The compound effect.pdf
สรุปหนังสือ The compound effect.pdfสรุปหนังสือ The compound effect.pdf
สรุปหนังสือ The compound effect.pdf
 
ทำงานให้สำเร้จ ทีม มนุษยสัมพันธ์, พค54
ทำงานให้สำเร้จ  ทีม  มนุษยสัมพันธ์, พค54ทำงานให้สำเร้จ  ทีม  มนุษยสัมพันธ์, พค54
ทำงานให้สำเร้จ ทีม มนุษยสัมพันธ์, พค54
 
Slight Edge.pdf
Slight Edge.pdfSlight Edge.pdf
Slight Edge.pdf
 

More from Kriengsak Niratpattanasai

การโค้ชผู้บริหาร - นิด้า
การโค้ชผู้บริหาร - นิด้าการโค้ชผู้บริหาร - นิด้า
การโค้ชผู้บริหาร - นิด้าKriengsak Niratpattanasai
 
สรุปหนังสือ First break all the rules
สรุปหนังสือ First break all the rulesสรุปหนังสือ First break all the rules
สรุปหนังสือ First break all the rulesKriengsak Niratpattanasai
 
7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์
7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์ 7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์
7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์ Kriengsak Niratpattanasai
 

More from Kriengsak Niratpattanasai (20)

Learning how to learn
Learning how to learnLearning how to learn
Learning how to learn
 
สลได์ CEO Forum
สลได์ CEO Forum สลได์ CEO Forum
สลได์ CEO Forum
 
The first 90 days thai summary
The first 90 days thai summaryThe first 90 days thai summary
The first 90 days thai summary
 
การโค้ชผู้บริหาร - นิด้า
การโค้ชผู้บริหาร - นิด้าการโค้ชผู้บริหาร - นิด้า
การโค้ชผู้บริหาร - นิด้า
 
Better Self-areness, Better Leadership
Better Self-areness, Better LeadershipBetter Self-areness, Better Leadership
Better Self-areness, Better Leadership
 
สรุปหนังสือ First break all the rules
สรุปหนังสือ First break all the rulesสรุปหนังสือ First break all the rules
สรุปหนังสือ First break all the rules
 
Nida coaching 2014
Nida coaching 2014Nida coaching 2014
Nida coaching 2014
 
StrengthsFinder Slides for Champ 2014
StrengthsFinder Slides for Champ 2014  StrengthsFinder Slides for Champ 2014
StrengthsFinder Slides for Champ 2014
 
coaching
coachingcoaching
coaching
 
Coaching feedback form
Coaching feedback form Coaching feedback form
Coaching feedback form
 
Homeroom 4 values
Homeroom 4 valuesHomeroom 4 values
Homeroom 4 values
 
Homeroom 4 values ho
Homeroom 4 values hoHomeroom 4 values ho
Homeroom 4 values ho
 
Homeroom 3 note
Homeroom 3 noteHomeroom 3 note
Homeroom 3 note
 
Slide homeroom 2 คนต้นแบบ
Slide homeroom 2 คนต้นแบบSlide homeroom 2 คนต้นแบบ
Slide homeroom 2 คนต้นแบบ
 
Homeroom 2 คนต้นแบบ
Homeroom 2 คนต้นแบบHomeroom 2 คนต้นแบบ
Homeroom 2 คนต้นแบบ
 
Ch amp day 2 am
Ch amp day 2 amCh amp day 2 am
Ch amp day 2 am
 
Ch amp day 1 pm
Ch amp day 1 pmCh amp day 1 pm
Ch amp day 1 pm
 
Ch amp day 1 am
Ch amp day 1 amCh amp day 1 am
Ch amp day 1 am
 
7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์
7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์ 7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์
7T Show โค้ชเกรียงศักดิ์
 
รวม 20 คำคมโค้ช
รวม 20 คำคมโค้ชรวม 20 คำคมโค้ช
รวม 20 คำคมโค้ช
 

The 15 invaluable laws of growth

  • 1. 1
  • 2. บทนํา! 3 กฎข้อที่ 1 กฎของความตั้งใจ! 4 กฎข้อที่ 2 กฎว่าด้วยความตระหนักรู! ้ 5 กฎข้อที่ 3 กฎว่าด้วยการมองตัวเอง! 7 กฎข้อที่ 4 กฎของการไตร่ตรอง! 9 กฎข้อที่ 5 กฎของวินัย! 10 กฎข้อที่ 6 กฎของการจัดสภาพแวดล้อม! 11 กฎข้อที่ 7 กฎของการออกแบบการพัฒนาตนเอง! 13 กฎข้อที่ 8 กฎของการเรียนรู้จากประสบการณ์เลวร้าย! 14 กฎข้อที่ 9 กฎของอุปนิสัยที่ด! ี 15 กฎข้อที่ 10 กฎของการฝืนตัวเอง เสมือนหนึ่งการยืดหนังยางให้ตึง! 16 กฎข้อที่ 11 กฎของการแลกเปลี่ยน! 18 กฎข้อที่ 12 กฎของการใฝ่รู้! 20 กฎข้อที่ 13 กฎของการเป็นต้นแบบให้คนอื่น! 21 กฎข้อที่ 14 กฎของการขยายศักยภาพ! 23 กฎข้อที่ 15 กฎของการให้! 25 สรุป! 26 2
  • 3. บทนํา คําว่า “ศักยภาพ” คือคําพูดที่มีนัยเชิงบวกที่สําคัญ เราจะใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ได้นั้นเราต้องเติบโต และต้องเติบโตอย่างตั้งใจ จอห์น ซี. แม๊กซ์เวลล์ผู้เขียน สอนเราให้ตั้งใจที่จะพัฒนาความสามารถของ ตนเองให้เติบโตอย่างมีแผนงานแทนที่จะปล่อยให้โตไปตามประสบการณ์ หรือโตไปตามธรรมชาติ ซึ่ง อาจจะไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร เพื่อให้เราได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ตามเป้าหมายในชีวิตของเราแต่ละคน เขาแนะนํากฎของการพัฒนา ตนเอง 15 ข้อคือ 1. กฎของความตั้งใจ 2. กฎของการตระหนักรู้ตนเอง 3. กฎของความมั่นใจใน ตนเอง 4. กฎของการไตร่ตรอง 5. กฎของวินัย 6. กฎของการจัดสภาพแวดล้อม 7. กฎของการ ออกแบบการพัฒนาตนเอง 8. กฎของการเรียนรู้จากประสบการณ์เลวร้าย 9. กฎของอุปนิสัยที่ดี 10. กฎของการฝืนตัวเอง 11. กฎของการแลกเปลี่ยน 12. กฎของการใฝ่รู้ 13. กฎของคนต้นแบบ 14. กฎของการขยายศักยภาพ และ 15. กฎของการให้ ผมพยายามแปลบางส่วนของแต่ละบทที่คิดว่าน่าสนใจมาแชร์ให้เพื่อนๆ การแปลนี้ไม่ใช่บทสรุป เป็นการดึงสาระสําคัญที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์และสามารถนําไปใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตามหากใคร อ่านภาษาอังกฤษได้แนะนําให้ซื้อหนังสือมาอ่าน หรือจะซื้อ audio file มาฟังก็ได้ครับ 3
  • 4. กฎข้อที่ 1 กฎของความตั้งใจ การเติบโตต้องมีเจตนาที่แน่วแน่ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรม คําถามสําคัญที่เราทุกคนต้องถามตัวเองคือ “เรามีแผนการที่เป็นรูปธรรมสําหรับพัฒนาตนเองให้เจริญ ก้าวหน้าในชีวิตแล้วหรือยัง” แมกซ์เวลล์เล่าว่า ตอนอายุ 24 ปีเขาเจอคําถามนี้ และทําให้เขาลงทุนซื้อ Growth Kit หรือเครื่องมือ ในการพัฒนาตนเองราคาเท่ากับเงินเดือนหนึ่งเดือนของเขา โดยที่เขาใช้เวลาเก็บหอมรอบริบเงินถึง หกเดือนกว่าจะมีเงินซื้อได้ เขาบอกว่าคนเรามักจะมีกับดักแปดข้อที่ทําให้ไม่อยากพัฒนาตนเอง 1. คิดว่าเราจะเก่งขึ้นไปตามอายุและประสบการณ์ 2. ไม่รู้วิธีว่าจะต้องพัฒนาตนเองอย่างไร 3. ยังไม่ถึงเวลา 4. กลัวผิด 5. ยังหาวิธีที่ดีที่สุดไม่ได้ 6. ขาดแรงบันดาลใจ 7. ถอดใจเมื่อเจอคนอื่นๆที่เก่งกว่าเรามาก 8. พอลงมือทําแล้วพบว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด แมกซ์เวลล์แนะนําว่าจะเริ่มอย่างไร 1. ตอบคําถามสําคัญเสียแต่ตอนนี้ “เป้าหมายในชีวิตคืออะไร” “เราจะไปในทิศทางใด” “ให้ จินตนาการว่า เราจะไปได้ไกลสุดเพียงใด” แผนพัฒนาชีวิตเป็นแผนระยะยาวไม่มีวันจบ เพราะเรา พัฒนาตัวเองขึ้นไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากศักยภาพมนุษย์ไม่มีขีดจํากัด 2. ลงมือทําทันที อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง 3. ถามตัวเองว่ากลัวอะไร ท้าทายความเชื่อผิดๆเหล่านั้น แล้วลงมือทํา 4. เปลี่ยนแปลงอย่างตั้งใจแทนที่จะรอให้เกิดความจําเป็น 4
  • 5. กฎข้อที่ 2 กฎว่าด้วยความตระหนักรู้ จะเติบโตต้องรู้จักตัวเอง จุดแข็ง จุดอ่อน ความสนใจ และโอกาส ในเรื่องเป้าหมายในชีวิตมีคนอยู่สามกลุ่มคือ 1. สับสนไม่รู้เป้าหมายตนเอง 2. รู้เป้าหมายแต่ไม่ทํา 3. รู้เป้าหมายและมุ่งมั่นจะไปให้ถึง ถึงเวลาแล้วที่เราต้องรู้จัก Passion หรือความฝันของตนเอง วิธีที่จะช่วยให้รู้จักเป้าหมายในชีวิตและความฝันของตนเองคือ 1. คุณชอบสิ่งที่คุณกําลังทําอยู่หรือไม่ หากไม่ชอบเพราะอะไร 2. คุณปรารถนาจะทําอะไรจริงๆ ฟังเสียงในใจของคุณ หรือตอบคําถามนี้ว่า “ถ้าคุณรู้ว่าคุณไม่มีวัน ล้มเหลว คุณจะเลือกทําอะไร” 3. ฝันอยากจะเป็นอะไรนั้น มันเกินเอื้อม หรือเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด วอร์เร็น เบ็นนิส แนะนํา แนวทางว่า a. คุณแยกแยะออกหรือไม่ว่า สิ่งที่คุณปรารถนาและความสามารถของคุณแตกต่างกันอย่างไร b. คุณรู้ไหมว่าอะไรคือแรงจูงใจที่แท้จริงของคุณ อะไรทําให้คุณมีความสุข c. คุณตระหนักหรือไม่ว่าค่านิยมส่วนตัวของคุณ และค่านิยมขององค์กรคืออะไร 4. คุณรู้หรือไม่ว่าทําไมคุณจึงอยากทําในสิ่งที่คุณฝันจะทํา 5. คุณรู้หรือไม่ว่าจะทําให้ฝันเป็นจริงนั้น ต้องทําอย่างไรบ้าง ถ้ารู้คุณจะระบุกิจกรรมออกมาได้ คุณจะ รู้ว่าความรับผิดชอบอะไรที่ต้องทําบ้าง และคุณจะดึงดูดคนเก่งๆเข้ามาหาคุณ 6. คุณรูไหมว่ามีใครทําสิ่งที่คุณอยากจะทําบ้าง ใครเป็นคนต้นแบบของคุณ หากรู้แล้ว หาหนทาง เรียนรู้จากเขาโดย a. ทําอย่างไรให้เขาสอนคุณ หากจําเป็นต้องจ่ายก็ต้องทํา b. เสมอต้นเสมอปลาย ต้องพบกันทุกๆเดือน c. สร้างสรรค์ อาจจะเริ่มด้วยการอ่านหนังสือของเขาหากไม่มีโอกาสพบเขา d. ทําการบ้าน หากมีโอกาสพบเขาหนึ่งชั่วโมง เตรียมตัวอย่างน้อยสองชั่วโมง e. ทบทวน หากพบเขาหนึ่งชั่วโมง ทบทวนและไตร่ตรองอย่างน้อยสองชั่วโมง f. สํานึกในบุญคุณ บอกให้เขาตระหนักว่าคุณสํานึกในความเมตตาที่เขามีต่อคุณ 5
  • 6. 7. เรื่องของพี่เลี้ยง (Mentor) - หากคุณมีโอกาสพบใครบางคนที่จะเป็นพี่เลี้ยงให้คุณ สิ่งที่คุณควรทําคือ a. เป็นน้ําที่ไม่ล้นแก้ว b. พร้อมที่จะจัดเวลาให้เขา c. เตรียมประเด็นที่จะไปคุยด้วยการเตรียมคําถามที่ยอดเยี่ยม d. เมื่อได้เรียนอะไรไป เอาไปใช้ แล้วบอกให้เขาทราบความคืบหน้าหรือผลการลองทําตามคํา สอน e. เป็นเจ้าของการเรียนรู้ สื่อสารความคืบหน้าเป็นระยะๆแทนที่จะรอให้เขาสอบถามและติดตาม - หากคุณมีโอกาสเป็นพี่เลี้ยงใครสักคน ความรับผิดชอบคือ เพิ่มคุณค่าให้คนที่เราสอน เป้าหมายคือ ช่วยให้พวกเขาพัฒนาขึ้นในแบบของแต่ละคน โดยมุ่งความสนใจไปที่ จุดแข็ง อุปนิสัย ประวัติ ความปรารถนา การตัดสินใจ คําแนะนํา การให้การสนับสนุนเรื่องทรัพยากร/การแนะนําคน แผน ชีวิต ข้อมูลย้อนกลับ การให้กําลังใจ 8. คุณพร้อมที่จะทุ่มเทและลงทุนสําหรับการเตรียมตัวคุณให้ประสบความสําเร็จหรือไม่ 9. จะเริ่มต้นทําในสิ่งที่คุณรักเมื่อไร คนจํานวนมากจะรอให้พร้อม แต่ประสบการณ์ที่แมกซ์เวลล์ผ่าน มาพบว่าความท้าทายของงานมาถึงเขาก่อนที่เขาจะมีความพร้อมเป็นส่วนใหญ่ หากเขามัวแต่รอให้ พร้อมคงไม่กล้าเริ่มอะไร และคงไม่ประสบความสําเร็จยิ่งใหญ่เท่าทุกวันนี้ 10.เมื่อสําเร็จแล้วจะเป็นอย่างไร บทเรียนที่เขาได้คือ เวลาสําเร็จแล้ว มันยากกว่าที่คิดไว้เยอะ และ มันก็มีความสุขมากกว่าที่คิดไว้เยอะเช่นกัน 6
  • 7. กฎข้อที่ 3 กฎว่าด้วยการมองตัวเอง คนเราจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการมองตัวเอง หากมองตัวเองด้วยความมั่นใจ รักและให้เกียรติ ตนเอง ก็มีแนวโน้มจะประสบความสําเร็จ แต่ว่าคนจํานวนมากไม่ได้ชื่นชมตัวเองมากนัก ซิก ซิกกล้าร์บอกว่า “พฤติกรรมที่เราแสดงออกมานั้น จะสอดคล้องกับการที่เรามองตัวเอง” เรารู้สึก อย่างไรกับตนเองก็จะแสดงพฤติกรรมอย่างนั้นออกมา หากเราไม่มั่นใจในตนเอง หรือไม่รู้สึกชื่นชมกับตนเอง (Low self-esteem) มันจะจํากัดศักยภาพของ เรา เช่นเราอยากจะแสดงศักยภาพ 10 แต่เราคิดว่าเรามีศักยภาพเพียง 5 การแสดงออกของเราก็ไม่มี วันถึง 10 คุณค่าที่เรามองตนเองนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการที่คนอื่นมองเรา แมกซ์เวลล์แนะนําแนวทางที่จะพัฒนาความมั่นใจในตนเองคือ 1. ระวังคําพูดที่เราพูดกับตนเอง เขาเล่าว่ามีงานวิจัยบอกว่า เมื่อเด็กโตถึงอายุ 17 เขาได้ยินคําว่า “เธอทําไม่ได้” เฉลี่ย 150,000 ครั้ง ในขณะที่คําว่า “เธอทําได้” 5,000 ครั้ง มันจึงทําให้เราเกิด ความสงสัยในตนเองและไม่มั่นใจเวลาที่เราคิดว่า “เราจะทําได้หรือไม่” แมกซ์เวลล์แนะนําว่า เวลา เราทําอะไรได้ อย่าลืมชมเชยและให้กําลังใจตนเอง และหากทําพลาดก็อย่ากดดันตนเองจนเกินไป รู้จักวิธีพูดกับตนเอง 2. เลิกคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น ให้เปรียบเทียบกับตนเองว่า วันนี้เมื่อเปรียบกับเมื่อวาน เราพัฒนา ตนเองขึ้นมาเพียงใด 3. ระวังความเชื่อที่คอยจํากัดศักยภาพเรา หรือ Limited belief วิธีการคือ a. ระบุความเชื่อที่จํากัดตนเองของเราออกมา b. ระบุว่ามันมีผลทําให้เราไม่ก้าวหน้าอย่างไร c. ระบุว่าเราปรารถนาจะ เป็น/พฤติกรรม/รู้สึก อย่างไร d. ระบุคําพูดที่จะพูดกับตนเองเพื่อที่เราจะได้เป็นอย่างที่เราปรารถนา 4. ทําประโยชน์ให้คนอื่น การช่วยคนอื่นๆทําให้เราเคารพตนเองมากขึ้น เพราะเราจะเริ่มตระหนักว่า เรามีคุณค่าบนโลกใบนี้ เราควรอุทิศเวลา 10% ของเราในการทําเพื่อคนอื่น เช่นทํางานสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงควรจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงทําประโยชน์ให้คนอื่น หากทําอยู่แล้วให้ทําเพิ่มขึ้น 5. ทําในสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งยากยิ่งดี ไม่จําเป็นต้องมีคนเห็น เราจะเริ่มเคารพตนเองเพิ่มขึ้น 6. มีวินัยด้วยการเริ่มทําอะไรเล็กๆสม่ําเสมอทุกๆวัน 7. ฉลองความสําเร็จแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม 7
  • 8. 8. รู้จักคุณค่าที่แท้จริงของตนเอง จินตนาการความสําเร็จจากคุณค่านั้น 9. ใช้กลยุทธ์ “หนึ่งคํา” ให้นึกถึงตนเองแล้วระบุออกมาเป็นคําพูดเพียงหนึ่งคําที่เป็นตัวแทนของเรา 10.รับผิดชอบโดยเริ่มเปลี่ยนแปลงทันที ให้ระบุความสําเร็จ 100 ข้อของเราออกมา ใช้เวลาเป็นวันเป็นสัปดาห์ก็ได้ 8
  • 9. กฎข้อที่ 4 กฎของการไตร่ตรอง บทเรียนและการพัฒนาตนเองนั้นมีหลายวิธี แต่ว่การพัฒนาตนเองให้เติบโตและก้าวหน้าบางอย่างจะ เกิดขึ้นได้เฉพาะจากการคิดและไตร่ตรอง โดยการหยุดกิจกรรมต่างๆ นั่งคิด ทบทวน ขบคิด และ เกิดความกระจ่างเรียนรู้ขึ้นมา พลังของการหยุดกิจกรรมต่างๆเพื่อคิด (Pause) 1. การหยุด ทําให้เราคิดวิเคราะห์และตรวจสอบประสบการณ์ จนเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาได้ ประสบการณ์ไม่ใช่ครูที่ดี ประสบการณ์ที่ผ่านการไตร่ตรองต่างหากคือบทเรียนที่ทรงคุณค่า เราทุก คนผ่านประสบการณ์มากมายในแต่ละวัน มีน้อยคนนักที่สามารถเปลี่ยนประสบการณ์เป็นปัญญา ขึ้นมาได้เพราะไม่ได้หยุดคิด 2. ทุกคนต้องการเวลาและสถานที่ที่เหมาะสําหรับการคิด ให้เราเลือกเวลาและสถานที่ที่ถูกจริตเรา แต่ละคนเพื่อใช้ในการไตร่ตรอง หากเราไม่ได้จัดสรรเวลาและสถานที่สําหรับการไตร่ตรอง เราอาจ จะพลาดโอกาสดีๆในชีวิต เพราะอาจจะมีประสบการณ์ชีวิตที่มีนัยสําคัญสําหรับเราผ่านเข้ามาโดยที่ เราไม่ตระหนักรู้และฉกฉวยที่จะเรียนรู้ประโยชน์จากมัน a. ควรใช้เวลาในการไตร่ตรอง วันละ 10-30 นาที b. สัปดาห์ละ 1-2 ชั่วโมง c. ปีละ 1-5 วันต่อปี 3. การตั้งใจ “หยุดเพื่อคิด” ทําให้กรอบความคิดและศักยภาพการคิดเติบโตขึ้น นั่นคือสาเหตุว่า ทําไมมหาวิทยาลัยต่างๆจึงสนับสนุนให้อาจารย์ทําวิจัย คิด เขียน แทนที่จะสอนเพื่อสร้างสม ประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ผู้นําอาจจะยุ่งกับการทํางานจนไม่มีเวลาในการไตร่ตรอง บางทีการ หยุดคิด 1 นาทีอาจจะทําให้ผู้นําเกิดปัญญามากขึ้นกว่าการพูด 1 ชั่วโมง 4. เมื่อหยุดคิด ให้ ประเมิน ให้เวลาความคิดมันบ่มเพาะ ทบทวนจนเกิดการตกผลึกแบบ “ยูเรก้า” ถ่ายทอดความคิดออกมา การไตร่ตรองที่ดีควรจะมีคําถามดีๆในการคิด แมกซ์เวลล์แนะนําชุด คําถามที่เขาใช้ในการพัฒนาความคิดของเขา เช่น a. อะไรคือสิ่งที่ฉันทําได้ดีที่สุด b. อะไรคือสิ่งที่ฉันทําได้แย่ที่สุด c. ฉันให้คุณค่ากับอะไรสูงสุด d. ฉันให้คุณค่าอะไรต่ําสุด e. อะไรคือความรู้สึกที่มีความหมายมากที่สุดสําหรับฉัน f. อะไรคือความรู้สึกที่มีความหมายน้อยที่สุดสําหรับฉัน g. ฉันมีอุปนิสัยที่ดีที่สุดคืออะไร h. ฉันมีอุปนิสัยที่แย่ที่สุดคืออะไร i. ฉันชอบทําอะไรมากที่สุด j. ฉันศรัทธาอะไรมากที่สุด 9
  • 10. กฎข้อที่ 5 กฎของวินัย 1. คุณรู้หรือไม่ว่าหากคุณต้องการพัฒนาตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตนั้น คุณต้องพัฒนา เรื่องอะไรบ้าง บางคนเป้าหมายชัดเจนแต่พัฒนาแบบไม่เสมอต้นเสมอปลาย คือพวกที่ ทะเยอทะยาน แสดงความเฉลียวฉลาดในงานของตนอย่างดี แต่กลับไม่คืบหน้า เพราะว่าเขามัว แต่พัฒนางานเพียงอย่างเดียวโดยมองข้ามการพัฒนาตนเอง เพราะว่าการพัฒนาตนเองนั้น จะต้อง ตั้งใจที่จะออกจาก comfort zone หรือสิ่งที่เราคุ้นเคยซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่อยากทําอะไรที่ยากหรือไม่ คุ้นเคย 2. คุณรู้ไหมว่าเรื่องที่คุณต้องการพัฒนานั้น จะต้องพัฒนาอย่างไรให้เป็นระบบและถูกวิธี แมกซ์เวลล์ แนะนําสี่ขั้นตอนคือ a. ปรับวิธีจูงใจของเราให้สอดคล้องกับบุคลิกและจริตของเรา b. เริ่มต้นด้วยขั้นตอนพื้นๆ c. ใจเย็นอดทน d. เน้นที่กระบวนการ 3. คุณรู้หรือไม่ว่าทําไมคุณต้องพัฒนาตนเองตลอดเวลา เพราะว่าหากแรงจูงใจไม่ชัดเจน วินัยก็ยาก จะเกิด 4. รู้หรือไม่ว่าจะต้องพัฒนาในเวลาใด คําตอบคือตลอดเวลา หรือเสมอต้นเสมอปลายเป็นประจํา เช่น John Williams นักเขียนเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังที่เขียนเพลงทุกๆวันนับสิบๆปี 10
  • 11. กฎข้อที่ 6 กฎของการจัดสภาพแวดล้อม หากเราต้องการใช้ศักยภาพของเราให้เต็มที่ เราต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมที่จะพัฒนาเรา ให้โตได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่หมายถึงว่าเราต้องลงมือเปลี่ยนแปลงทั้งตัวเราเอง และสภาวะ แวดล้อม แมกซ์เวลล์เล่าว่า หลังจากเขาเริ่มงานไม่นานเขารู้สึกว่าอิ่มตัวแล้วเพราะว่าเขาเป็นผู้บริหารที่ประสบ ความสําเร็จในขณะที่อายุยังน้อยอยู่ เขารู้สึกว่าเขาอยู่แถวหน้าแล้ว เขาคิดว่าเขาควรจะไปอยู่ในกลุ่ม ที่ประสบความสําเร็จมากกว่าเขา แทนที่จะเป็นที่หนึ่งในห้องธรรมดา เขาน่าจะไปเป็นที่โหล่ในห้องคิง มากกว่า เขาจึงขอย้าย เขาแนะนําว่าเราจะอยู่ในที่เหมาะสมหรือไม่ให้พิจารณาปัจจัยเหล่านี้ 1. ประเมินสถานการณ์ในปัจจุบันของตนเองว่าอยู่ถูกที่ถูกเวลาหรือไม่ โดยพิจารณาว่า a. คนอื่นๆเก่งกว่าเราเพียงใด b. มีงานที่ท้าทายเข้ามาเสมอหรือไม่ c. ฉันมองเห็นอนาคตชัดเจนและตื่นเต้นกับมันเพียงใด d. บรรยากาศส่งเสริม สร้างสรรค์ หรือไม่ e. ฉันออกจาก comfort zone หรือภาวะที่ฉันคุ้นเคยบ่อยเพียงใด f. ฉันตื่นนอนมาด้วยความกระตือรือร้นแค่ไหน g. ที่นี่ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ใช่หรือไม่ h. ทุกคนพัฒนาศักยภาพของเขาได้รวดเร็วเพียงใด i. ที่นี่คนตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลงมากแค่ไหน j. การเติบโตเป็นความคาดหวัง และมีแบบอย่างให้เห็นหรือไม่ 2. ปรับเปลี่ยนตัวเองและสิ่งแวดล้อม a. เปลี่ยนตัวเองแต่สิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยน โตช้าและเหนื่อย b. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมแต่ตัวเองไม่ โตช้าแต่เหนื่อยน้อยกว่าแบบแรก c. เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมและตัวเอง โตเร็วและสําเร็จง่ายกว่า การเปลี่ยนแปลงตัวเองและสิ่งแวดล้อมนั้นอาจจะอุปมาอุปมัยกับการปลูกพืชได้ว่า - ดินที่ดี จะทําให้เราเติบโต - อากาศที่ดีจะทําให้เราสดใส อากาศคือเป้าหมายในชีวิต - อุณหภูมิที่ดีทําให้ยั่งยืน คือคนที่รายล้อมรอบๆตัวเรา 3. เปลี่ยนแปลงคนที่อยู่รอบๆตัวคุณ จากการศึกษาจากม.ฮาร์วาร์ด คนที่คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยเรียกว่า Reference Group จะมีผลต่อ ความสําเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตของคุณถึง 95% (ที่จริงไม่ต้องไปฮาร์วาร์ดก็ได้ เพราะสุภาษิตไทย สอนว่า “คบคนพาล/คบบัณฑิต”) 11
  • 12. ชาร์ล โจนส์บอกว่า “อนาคตของคุณอีกห้าปีข้างหน้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยสองอย่างคือคนที่คุณใช้เวลา ด้วยและหนังสือที่คุณอ่าน” จิม โรห์นบอกว่า “เราจะมีลักษณะคล้ายคนห้าคนที่เราใช้เวลาด้วยเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ สุขภาพ ทัศนคติ รายได้ ให้ลองมองคนรอบๆตัวเรา เราจะกิน พูด อ่าน คิด ดู และแต่งกาย คล้ายๆ พวกเขา” เราควรเลือกใช้เวลากับคนเก่งกว่าเรา เช่นกรณีของ ราล์ฟ วัลโด อีเมอร์สัน และเฮนรี่ เดวิด ทอโร่ พวกเขาจะทักกันว่า “ตั้งแต่พบกันครั้งก่อน คุณได้เรียนรู้เรื่องอะไรใหม่ๆบ้าง แชร์ให้ฉันทราบหน่อย” 4. ท้าทายตนเอง ตั้งเป้าหมายเพื่อยกระดับฝีมือตนเองเสมอ เขาแนะนําว่าเขาใช้วิธประกาศเป้าหมายที่ท้าทายให้คน อื่นๆทราบ มันจะทําให้เขาต้องพยายามทําเพื่อไม่ให้เสียหน้า นอกจากนี้ ในแต่ละอาทิตย์ เขาจะหาโอกาสพัฒนาศักยภาพตนเองเสมอ โดยหาโอกาสพบหรือเรียน จากคนที่เก่งกว่าเขา โดยถามคําถามห้าข้อนี้คือ - คนนี้มีจุดแข็งอะไร ฉันจะเรียนจากเขาได้อย่างไร - คนนี้กําลังเรียนรู้เรื่องอะไรอยู่ ฉันอยากยกระดับ passion ให้ทันกับเขา - ฉันต้องการอะไรในขณะนี้ มันจะช่วยให้ฉันประยุกต์สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากเขาให้เข้ากับสถานการณ์ ของฉันให้มากที่สุด - พวกเขาพบกับใครบ้าง เรียนกับใคร อ่านอะไรอยู่ เขาพัฒนาตนเองอย่างไร เพื่อฉันจะได้ยกระดับ ตนเองอย่างรวดเร็วบ้าง - ฉันควรจะถามอะไร แต่ยังไม่ได้ถาม นี่คือคําถามที่ฉันจะถามเขา เพื่อทําให้เขาเตือนสติฉันว่าอาจจะ มีคําถาม/เรื่องสําคัญที่ฉันมองข้ามไป 12
  • 13. กฎข้อที่ 7 กฎของการออกแบบการพัฒนาตนเอง หากเราไม่วางแผนชีวิตให้ตนเอง แล้วใครจะมาวางแผนชีวิตให้เรา ที่น่าห่วงคือหากเราไม่มีแผนชีวิต ของตนเอง เราอาจจะเป็นตัวประกอบในแผนชีวิตของคนอื่นก็ได้ โดยที่เราอาจจะไม่มีโอกาสตั้งตัว หากไม่รู้จักคิดวางแผนก่อน พูดง่ายๆคือคนอื่นอาจช่วยวางแผนชีวิตให้เราซึ่งเราอาจจะไม่ชอบก็ได้ แมกซ์เวลล์จะใช้เวลาสัปดาห์สุดท้ายของปีในการทบทวนกิจกรรมทุกอย่างที่ผ่านมาในปีนั้นๆ ทั้งเรื่อง งาน ส่วนตัว การพัฒนาตนเอง เพื่อที่จะได้จัดทําแผนกลยุทธ์สําหรับตัวเองในปีหน้าให้มีประสิทธิผล มากที่สุด ในการออกแบบแผนชีวิตนั้น เขาแนะนําเทคนิคว่า 1. ชีวิตเป็นเรื่องของความเรียบง่าย แต่การที่จะทําให้มันเรียบง่ายนั้นเป็นเรื่องยาก เขาเรียนรู้จาก Neil Cole ที่เขาพบในงานสัมนาผู้นําว่า การออกแบบกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและสามารถนําไปเป็นการ ปฎิบัติที่ลุล่วงได้นั้น มีแนวทางคือ a. กลยุทธ์นั้นคุณในฐานะผู้นํา รู้สึกว่ามันสําคัญกับตัวคุณใช่หรือไม่ b. กลยุทธ์นั้นคนอื่นๆในทีมสามารถนําไปปฎิบัติได้เพราะเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนใช่หรือไม่ c. กลยุทธ์นั้นสามารถสื่อสารไปยังคนทุกชาติทุกภาษาได้หรือไม่ 2. การออกแบบชีวิตเป็นมากกว่าการออกแบบเรื่องความก้าวหน้าทางอาชีพ เพราะว่ามันครอบคลุม ทุกแง่มุม หากออกแบบชีวิตดี การออกแบบความก้าวหน้าในงานจะดีตามไปด้วย เพราะว่าการ วางแผนชีวิตทําให้เราต้องทบทวนว่า ตัวตนของเราคืออะไร เราเป็นใคร จุดอ่อน จุดแข็ง และจะ ออกแบบการพัฒนาชีวิตตนเองได้อย่างไร 3. ชีวิตนั้นเมื่อเวลาผ่านไปแล้วมันผ่านไปเลย จะย้อนกลับมาแก้ไขใหม่เหมือนการซ้อมบทละครไม่ได้ เขาแนะนําว่า มีงานวิจัยที่ไปถามคนอายุ 70 กลุ่มหนึ่งที่เคยเป็นผู้บริหารที่ประสบความสําเร็จว่า “เขาจะแนะนําคนหนุ่มสาวให้วางแผนชีวิตว่าอย่างไร” ซึ่งคําแนะนําคือ 1. ฉันน่าจะบงการชีวิตฉันเองตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งเป้าหมายก่อนเนิ่นๆ ชีวิตย้อนกลับไม่ได้ 2. ฉันน่าจะดูแลสุขภาพของฉันให้ดีกว่านี้ 3. ฉันน่าจะบริหารเงินของฉันให้ดีกว่านี้ 4. ฉันน่าจะใช้เวลากับครอบครัวฉันมากกว่านี้ 5. ฉันน่าจะใช้เวลาในการพัฒนาตนเองมากกว่านี้ 6. ฉันน่าจะหาความสนุกให้มากกว่านี้ 7. ฉันน่าจะวางแผนความก้าวหน้าในงานดีกว่านี้ 8. ฉันน่าจะตอบแทนสังคมให้มากกว่านี้ 4. กฎ x2 เขาแนะนําว่าให้คูณสองทุกเรื่องหลังวางแผน เช่นงาน 1 ชั่วโมงน่าเสร็จ คิดเผื่อเป็น 2 ช.ม. โครงการต่อเติมบ้านใช้งบหนึ่งแสนบาทให้วางแผนเผื่อเป็นสองแสนบาท 5. วางแผนชีวิตต้องมีระบบ เช่นแมกซ์เวลล์อ่านหนังสือเดือนละสี่เล่ม ฟังเทปการพัฒนาตนเองในรถ อันไหนดีนํามาถอดเป็นบทความ มีระบบจัดเก็บข้อมูลทีดีสําหรับใช้ในการเขียน การพูด และแม้ เวลาว่ายน้ําก็จะนําข้อคิดครั้งละหนึ่งเรื่องไปใคร่ครวญระหว่างว่ายน้ํา 13
  • 14. กฎข้อที่ 8 กฎของการเรียนรู้จากประสบการณ์เลวร้าย ประสบการณ์ที่เลวร้ายหากมีการจัดการที่ดี จะนํามาซึ่งการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ความเจ็บปวดทําให้เราต้องทบทวนตนเองว่าตัวตนของเราคืออะไร เราอยู่ตรงไหน การที่เราคิดจะทํา อะไรกับประสบการณ์เลวร้ายจะเป็นสิ่งที่กําหนดตัวตนของเรา สิ่งที่แมกซ์เวลล์เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ที่เลวร้ายคือ 1. ทุกคนเกิดมาต้องเจอ 2. ไม่มีใครชอบมันหรอก 3. มีคนจํานวนน้อยที่ทําให้ประสบการณ์เลวร้ายกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เมื่อเราเจอเหตุการณ์ร้ายๆ มันทําให้เราเข้มแข็งหรือขมขื่น มันทําให้เราตกต่ําหรือเติบโต คนที่ประสบความสําเร็จมักจะบอก กับเราเสมอว่าประสบกาณ์ที่เลวร้ายเป็นจุดหักเหทําให้เขาเติบโตและพัฒนา หากคุณต้องการ เติบโตคุณต้องมุ่งมั่นที่จะจัดการกับประสบการณ์ที่ไม่ดีต่างๆที่จะเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละคน แน่นอน เขายกตัวอย่างประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเขา และนัยที่ทําให้เขาเติบโต - อ่อนประสบการณ์ตอนต้นๆทําให้ล้มลุกคลุกคลานในงาน แต่ทําให้เขารู้ว่าจะทํางานร่วมกับคนอื่น และทําให้พวกเขายอมรับนับถือเราได้อย่างไร - ทํางานไม่เก่ง ทําให้เขาต้องขวนขวายหาเรียนรู้จากคนเก่งๆ - เขาหัวใจวายตอนอายุ 51 ทําให้ออกกําลังกายและเปลี่ยนพฤติกรรมการกินดีขึ้น - ขาดทุนเกือบหมดตัวในธุรกิจ ทําให้เขากลายเป็นคนรอบคอบขึ้นมา เราจะทําให้ความเจ็บปวดกลายเป็นผลดีได้อย่างไร 1. มองโลกในแง่บวก ชีวิตไม่ใช่เป็นอย่างที่เราปรารถนาจะให้มันเป็น มันก็เป็นไปตามครรลองของมัน ดีหรือเลวมีปัจจัยต่างๆมากมาย หากมันไม่ดี เราก็ต้องมองหาสิ่งดีๆจากมันให้ได้เพราะมันได้เกิด ขึ้นไปแล้ว 2. เมื่อเจอสิ่งร้ายๆ ให้เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ แทนที่จะปล่อยให้มันทําให้จิตตก เราควรหาหนทาง ใหม่ๆเพื่ออกจากสถานการณ์ที่เลวร้าย 3. มองหาคุณค่าจากประสบการณ์ที่ไม่ดี เคยมีคนถามประธานาธิบดีเคนเนดี้ว่า “ท่านเป็นวีระบุรุษ สงครามได้อย่างไร” ท่านตอบว่า “ง่ายมากเลย ข้าศึกจมเรือรบที่ผมเป็นนายทหารประจําการ” 4. เมื่อเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี มองหาสิ่งดีๆที่ตามมา เช่นแมกซ์เวลล์มองว่าการหัวใจวายของเขา ทําให้เขามีสุขภาพที่ดีเพราะเปลี่ยนพฤตกรรมการกินและออกกําลังกายสม่ําเสมอขึ้น 5. อย่าให้ชีวิตเป็นเหยื่อของเหตุการณ์เลวร้าย รับผิดชอบชีวิตตนเอง ดําเนินชีวิตต่อไปให้ดีกว่าเดิม แทนที่จะนั่งคร่ําครวญว่าทําไมต้องเป็นฉันที่โชคร้ายอย่างนี้ ให้เราลองระบุประสบการณ์ห้าอย่างที่เลวร้ายที่เราเคยเผชิญมา ในแต่ละเรื่องระบุว่าเราได้เรียนรู้อะไร จากมันบ้าง แล้วประเมินดูว่าในแต่ละเรื่องได้ทําให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง 14
  • 15. กฎข้อที่ 9 กฎของอุปนิสัยที่ดี ยิ่งพัฒนาอุปนิสัยที่ดีมากเท่าไร ยิ่งช่วยให้การพัฒนาตนเองให้เติบโตขึ้นมากเท่านั้น คนตามผู้นําที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ คนจํานวนมากมุ่งเน้นพัฒนาที่ความเก่ง แต่ไม่ได้พัฒนาอุปนิสัยที่ดี 99% ของคนที่ล้มเหลว ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง แต่เพราะอุปนิสัยที่ไม่ดีต่างหาก ในการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีนั้น ไม่ใช่ทําได้ง่ายๆ ต้องทําด้วยความตั้งใจและตระหนักรู้ตนเอง โดยมีขั้นตอนสําหรับการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีดังนี้ 1. พัฒนามาจากภายในก่อน เริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่าต้องคิดดีก่อนจึงจะเกิดผลดี ผู้เขียนบอกว่าวิธีที่ ทําให้เขาเกิดความตระหนักรู้เพราะว่า a. ศาสนาพุทธบอกว่า “เราคิดอะไรเราจะเป็นอย่างนั้น” b. ความคิดภายในชนะพฤติกรรมภายนอก เขาบอกว่ามีคนจํานวนมากที่เขาเห็นว่าฉลาดและทํา อะไรที่ดูดีแต่ไม่ประสบความสําเร็จ น่าจะมาจากความไม่สอดคล้องระหว่างตัวตนของเขากับสิ่ง ที่เขาเสแสร้งแสดงออก c. การพัฒนาภายในของเรานั้นอยู่ในความควบคุมของเราเอง ความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ ความมุมานะ ความมั่นใจ ปัญญา ฯลฯ สิ่งเหล่านีไม่ได้อยู่ในกรรมพันธ์ เราสามารถพัฒนาได้ ทุกคน เป็นทางเลือกที่เราทุกคนเลือกได้ 2. พยายามเข้าใจคนอื่น คิดจากมุมมองของคนอื่น 3. ทําในสิ่งที่ตนเองเชื่อ เขาเล่าว่าตอนเริ่มต้นอาชีพใหม่ๆ เขามักจะรับบรรยายในทุกๆเรื่อง แต่ว่า บางเรื่องเขาก็ไม่ได้ถึงกับเข้าใจหรือเชื่อมั่นในหลักการเต็มที่ เมื่อเขาสอนเรื่องนั้นๆ มันจึงออกมา ได้ไม่ดี เพราะว่าเราหลอกคนอื่นได้แต่เราหลอกตัวเราเองไม่ได้ 4. เขาสอนว่าเราต้องมีความถ่อมตัว เราต้องรู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่แม้ว่าเราพยายามมากเพียงใด เราก็ อาจจะพลาดได้ ดังนั้นอย่าซีเรียสกับความผิดพลาดของเรา เพราะเรามีจุดแข็งและจุดอ่อน การคิด แบบนี้จะทําให้เราเริ่มพยายามเข้าใจและยอมรับจุดอ่อนและความผิดพลาดของคนอื่นๆได้ เราควร เป็นคนเปิดกว้างเป็นแก้วน้ําที่ไม่ล้นแก้ว และเน้นการให้บริการคนอื่น โดยเฉพาะผู้นําที่อาจจะติด นิสัยที่เคยได้รับบริการจนเคยชิน 5. มุ่งมั่นทําในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ และพยายามทําให้ถูกต้องและดีงามเพิ่มขึ้น ในทุกๆวัน เขาแนะนําว่าให้เราลองตรวจสอบตัวเองว่า 1. เราใช้เงินกับการพัฒนาตนเองภายนอกหรือภายในมากกว่ากัน โดยคํานวณว่า 12 เดือนที่ผ่านมา เราใช้เงินกับเสื้อผ้า เครื่องประดับ สิ่งที่ทําให้ภายนอกเราดูดีประมาณเท่าไร และเราใช้เงินกับการ พัฒนาจิตใจคือค่าหนังสือ ค่าอบรมสัมนา ฯลฯ มากเท่าไร 2. ในเดือนที่แล้วเราใช้เวลาในการพัฒนาร่างกายภายนอกเท่าไร เช่นการออกกําลังกาย การดูแลขัด สีฉวีวรรณ และเราใช้เวลาในการพัฒนาจิตใจภายในเช่น สวดมนต์ นั่งสมาธิ ไตร่ตรองพินิจ พิเคราะห์เรื่องการพัฒนาอุปนิสัยที่ดีเท่าไร 3. วางแผนอุทิศเวลาช่วยเหลือผู้อื่น อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งชั่วโมง 15
  • 16. กฎข้อที่ 10 กฎของการฝืนตัวเอง เสมือนหนึ่งการยืดหนังยางให้ตึง แมกซ์เวลล์ยกตัวอย่างชีวิตของเขาที่เขาเลือกที่จะออกจากความสบายหรือความคุ้นเคยตลอดตั้งแต่ เริ่มทํางานครั้งแรก เช่นแทนที่จะทํางานทีเดียวกับพ่อ กับเลือกไปทํางานที่ซึ่งคนไม่รู้จักพ่อของเขา ทําให้เขาเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับภาวะผู้นําและการให้ความรักกับคนอื่นๆ ตอนเขาเริ่มงานใหม่ๆในฐานะพระเขาสอนเกี่ยวกับภาวะผู้นําเพราะเห็นว่าผู้นําทางศาสนาต้องทําหน้าที่ นี้อยู่ตลอดเวลาแต่ไม่มีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ แรกๆคนก็ว่าเป็นเรื่องของทางโลกทําไมจึงไปทํา แต่ เขาก็ฝืนทําเพราะเข้าใจจากประสบการณ์ที่เขาลําบากมาก่อนเนื่องจากไม่มีความรู้ด้านนี้ พอมีชื่อเสียงขึ้น เขาเริ่มเดินสายไปบรรยายต่างประเทศ ใหม่ๆก็อึดอัดเพราะต้องพูดโดยมีล่ามแปล แต่ผ่านไปสิบปีก็ดีขึ้น ทําให้ต่อมาเขาพัฒนาเครื่องมือสอนผู้นําที่นําไปเผยแพร่ใน 175 ประเทศ เมื่อผ่านมาถึงอายุหกสิบเขาน่าจะพักผ่อนเพราะมีพร้อมทุกอย่าง เขากลับฝืนตัวเองด้วยการเปิดบริษัท ด้านโค้ชชื่ง อะไรคือประโยชน์ของการฝืนตัวเอง เวลาเขาสอนเรื่องนี้ เขาจะนําหนังยาง/ยางวงมาโชว์ แล้วสอนว่า “หนังยางจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมัน ถูกยืดออกมาแล้วไปรัดของแล้วคืนตัว” เขาคิดว่าคนก็เช่นกัน 1. คนส่วนใหญ่ไม่อยากลําบาก เขายกตัวอย่างว่าตอนเรียนหนังสือเขาไปทํางานช่วงปิดเทอมใน โรงงาน เขาถามซอกแซกจนรุ่นพี่คนหนึ่งรําคาญเตือนเขาว่า “อย่าถามมาก ยิ่งรู้น้อยยิ่งทํางาน น้อย ถามมากงานจะมากตามไปด้วย” คนส่วนใหญ่เลือกจะทํางานแบบพอผ่านๆ เอาแค่ให้ได้ตาม ค่าเฉลี่ยก็พอแล้ว 2. คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลง แต่เขาหารู้ไม่ว่ามันจะนํามาซึ่งความไม่พึงพอใจใน งาน อับราฮัม มาสโลว์บอกว่า “หากคุณคิดว่าจะทํางานที่ต่ํากว่าศักยภาพของคุณ คุณน่าจะระทม ทุกข์ไปทุกวันตราบที่คุณยังทํางานนั้นอยู่” เพราะว่ามันทําให้คนผู้นั้นลดความรักและเคารพนับถือใน ตนเองลงเรื่อยๆ 3. การฝืนตนเองนั้นเริ่มมาจากภายในก่อน เวลาเขาบรรยายเขามักถามว่า “ใครมีความฝันบ้าง” ทุก คนยกมือ พอถามต่อว่า “ใครที่ล่าฝันนั้นบ้าง” เริ่มเหลือน้อยลง และพอถามว่า “ใครได้บรรลุฝัน บ้าง” มีน้อยคนเหลือเกิน แมกซ์เวลล์ยกงานวิจัยว่าคนอเมริกันจํานวนมากไม่พึงพอใจในงานที่ ตนเองทําอยู่ แต่แปลกที่ว่าคนเหล่านี้เลือกที่จะทนทําอยู่แบบเดิมๆ แทนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร บางอย่าง เขาบอกว่า จิม โรห์นบอกว่า “สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่พยายามเติบโตให้ถึงที่สุด ต้นไม้ ต้องการสูงเท่าที่มันจะสูงได้ แต่คนเราไม่ คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีทางเลือก และคนส่วนใหญ่เลือกที่จะ ไม่โตตามศักยภาพของเขาที่ควรจะโต ทําไมเราไม่พยายามจนถึงที่สุดกันละ” หากไม่แน่ใจว่าเรามี ศักยภาพเพียงใด ถามคนอื่นดู หากถามคนอื่นแล้วไม่ได้คําตอบ ออกไปหาเม็นเตอร์ดีๆซักคนหนึ่ง ค้นหาศักยภาพของตนเอง แ้ลวหาทางพัฒนาตนเองให้ไปถึงจุดนั้น 4. การฝืนเพื่อความสําเร็จต้องมีการเปลี่ยนแปลง การจะเติบโตต้องปล่อยวางอดีตมุ่งไปข้างหน้าโดย การทําปัจจุบันให้สอดคล้องกับเป้าหมายให้มากที่สุด ซึ่งหมายถึงว่าต้องกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้า ทําในสิ่งที่ไม่เคยทํามาก่อน 16
  • 17. 5. การฝืนเพื่อเติบโต จะทําให้คุณแตกต่างจากคนอื่นๆ แจ๊ค เวลซ์ตอบคําถามว่าจะแตกต่างจากคน อื่นได้อย่างไร เขาอธิบายว่า “สมมติว่านายบอกว่าคุณไปทํารายงานวิเคราะห์มาหน่อยว่าภาพรวม ของผลิตภัณฑ์เราในปีหน้าจะเป็นอย่างไร ให้คิดว่านายเขาต้องมีคําตอบอยู่ในใจบ้างอยู่แล้ว ทํา รายงานวิเคราะห์ที่มีนัยสําคัญให้มากเกินกว่าที่นายคิด ค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกลงไป แล้ววิเคราะห์ ออกมาให้เขาร้อง “วาว” ทําให้เขาประทับใจ โดยนําเสนอสิ่งที่สั้นกระชับแต่มีนัยสําคัญมาก ที่เขา ไม่เคยคิดมาก่อน เพื่อที่นายจะได้สร้างความประทับใจให้นายของเขาอีกที” จะทําอย่างนี้ได้นั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องทําให้ดีเลิศเท่านั้น แต่ต้องทําดีเลิศและเกินความคาดหวังแบบคาดคิดไม่ถึงอีกด้วย 6. พยายามฝืนจนเป็นนิสัย อย่าสักแต่ว่าทําให้พอผ่าน ปีเตอร์ ดรั๊คเกอร์บอกว่า “ศัตรูของความ สําเร็จในวันพรุ่งนี้คือความสําเร็จในวันนี้ ผมไม่เคยเห็นคนที่ได้รางวัลโนเบลทําอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น อีกเลยหลังจากได้รางวัลแล้ว” การประยุกต์ใช้ในชีวิต 1. ถามตัวเองว่า เราเองมีเรื่องใดบ้างที่เราเริ่มจะสบายๆแล้ว ให้หาเหตุผลให้กับตัวเองให้ได้ว่าเราจะ ยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกในเรื่องนั้นไปเพื่อะไร 2. ถามตัวเองว่า มีเรื่องใดที่เรามีศักยภาพแต่ว่ายังไม่ได้มุ่งที่จะใช้ศักยภาพนั้นให้เต็มที่ (มีเรื่องไหนที่ เราน่าจะเก่งแต่ยังดึงๆไว้อยู่) ถามตัวเองต่อว่า “อะไรเป็นสาเหตุทําให้เราดึงมันไว้” “อาจจะมีความ เชื่ออะไรที่คอยรั้งตัวเราไว้ไม่ให้ปลดปล่อยศักยภาพออกมาให้เต็มที่” “มีความสําเร็จอะไรในอดีตที่ คอยฉุดรั้งเราอยู่หรือไม่” “เราจะทําอย่างไรดีกับความคิดเหล่านี้” 3. ตั้งเป้าหมายให้เหมาะสม อย่าตั้งเป้าหมายสั้นและง่ายไป หรือยากและยาวเกินจะเอื้อมถึง ต้องให้ ท้าทายและเป็นไปได้ยากหน่อย 17
  • 18. กฎข้อที่ 11 กฎของการแลกเปลี่ยน เราต้องแลกอะไรบางอย่างเพื่อยกระดับขีดความสามารถของเรา เขาเล่าเรื่องของ Herman Cain ที่ยอมแลกหลายอย่างในชีวิตเพื่อความก้าวหน้า เช่นตอนอายุ 36 เขา ยอมสละตําแหน่งรองประธานฯของบริษัทหนึ่งเพื่อไปเริ่มต้นระดับหัวหน้างานในเบอร์เกอร์คิง และใช้ เวลาสีปีไต่เต้าจนเป็นเบอร์สองที่นั่น และก้าวไปสู่ตําแหน่งประธานฯในบ.พิซซ่าแห่งหนึ่ง เรื่องเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนในชีวิต 1. ชีวิตเต็มไปด้วยทางแยกที่เราต้องเลือกว่าจะแลกอะไรกับอะไร คนที่ไม่ประสบความสําเร็จมักแลก เปลี่ยนไม่ดี คนทั่วๆไปแลกเปลี่ยนได้ดีบางครั้ง และคนที่สําเร็จแลกเปลี่ยนได้ดีบ่อยๆ เขาบอกว่า ตัวเขาแลกเปลี่ยนครั้งสําคัญในชีวิตมากกว่ายี่สิบครั้ง 2. เราต้องเรียนรู้ที่จะมองเห็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนเพื่อการยกระดับความสามารถของเราให้ออก เขาแนะนําสองคําถามคือ a. ประเมินข้อดีข้อเสียของสองทางเลือกที่เราต้องเลือกเพื่อแลกเลี่ยน b. การเปลี่ยนแปลงหลังจากการเลือกครั้งนี้ เราจะเติบโตขึ้น หรือเราจะต้องทุลักทุเลเพื่อให้ผ่าน มันไปได้ อย่างไรก็ตามการแลกเลี่ยนส่วนใหญ่มักจะมีความยากลําบากในเบื้องต้นเป็นบท ทดสอบเสมอ อย่าเข้าใจผิดว่าความลําบากในเบื้องต้นคือข้อเสียเปรียบของการแลกเปลี่ยน 3. การแลกเปลี่ยนมักจะบังคับให้เราต้องตัดสินใจสละเรื่องส่วนตัวบางอย่างด้วยความลําบากใจ เมื่อ เราต้องการได้บางอย่างที่เราไม่เคยมีเราก็ต้องทําอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยทํา เราต้องพร้อมที่จะ ยอมรับเรื่องนี้ นอกจากนี้จังหวะเวลาว่า “เมื่อใด” ก็เป็นประเด็นที่สําคัญอีกเช่นกัน เขาเล่า ประสบการณ์ส่วนตัวว่า ในปีค.ศ. 1978 เขาเริ่มประสบความสําเร็จในฐานะนักพูด แต่เขามองว่ามี ข้อจํากัดในการช่วยเหลือคนหมู่มาก เขาต้องเลือกว่าจะเขียนหนังสือหรือไม่ ในที่สุดเขายอมแลก เปลี่ยนเวลาอย่างมากเพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องการเขียน โดยคุยกับนักเขียนเก่งๆ เข้าอบรม ฝึกเขียน และถูกปฎิเสธจากสํานักพิมพ์จนถึงจุดหนึ่งที่เขาถามตัวเองว่า “มันคุ้มไหมหนอ” แต่ว่าเขาก็มุมานะ ต่อไปจนสําเร็จ ปัจจุบันเขามี 70 เรื่องที่วางขายทั่วโลกกว่า 21 ล้านเล่ม 4. ปกติการแลกเปลี่ยนที่มีคุณค่ามักจะใช้เวลามากจนเราคิดว่ามันจะคุ้มหรือไม่ 5. การแลกเปลี่ยนอาจจะทําเมื่อใดก็ได้ มีหลายครั้งที่เรามีโอกาสเลือกผิดและแก้ตัวได้ 6. บางเลือกมันมาแค่ครั้งเดียว Andy Grove อดีตซีอีโอ Intel บอกว่า ในองค์กรนั้นจะมีจุดหนึ่งที่ต้อง เปลี่ยนแปลงแบบรุนแรง หากเลือกที่จะไม่ทํา มักจะนํามาซึ่งความเสื่อมถอย แมกซ์เวลล์เล่าให้ฟัง ว่า “ครั้งหนึ่งผมนัดเจอเนลสัน แมนเดล่า ได้ แต่ว่าเขาเกิดอุบัติเหตุล้มลง จึงต้องเลื่อนตารางนัด หมายไป ตามตารางใหม่หากแมกซ์เวลล์อยากพบเขาต้องยกเลิกการพูดที่ประเทศเคนย่า ซึ่งเขา เลือกที่จะไม่ยกเลิกงานพูด สําหรับเขาแล้วโอกาสที่จะเจอเนลสันคงยากแล้วเพราะสุขภาพและอายุ ของเนลสัน 7. ยิ่งสูง การแลกเปลี่ยนยิ่งตัดสินใจได้ลําบากใจมากขึ้น 18
  • 19. แมกซ์เวลล์แนะนําแนวทางการชั่งใจว่าจะแลกเปลี่ยนดีีหรือไม่คือ 1. เขาเลือกที่จะเก่งขึ้นมากกว่าเลือกความมั่นคงทางการเงิน เขาเปลี่ยนงานเจ็ดครั้งในชีวิต มีห้าครั้ง ที่เขายอมลดเงินเดือนลงเพื่อการพัฒนาศักยภาพของเขาเองให้เก่ง 2. เขายอมแลกความสนุกและความสบายระยะสั้นกับการพัฒนาตนเอง 3. เขาเลือกชีวิตที่ดีงามมากกว่าชีวิตที่ร่ํารวยหรูหราในเวลาอันสั้น ชีวิตที่ดีงามคือ “การที่เขาอยู่ในที่ที่ เหมาะกับเขา กับคนที่เขารัก ทําในสิ่งที่ถูกต้อง และมีจุดมุ่งหมายในชีวิต” เขาแนะนําเทคนิค สําหรับการทํางานว่า a. มอบหมายงานให้เก่งเพื่อใช้สมองตนเองมากขึ้น แทนที่จะทํางานหนักมากขึ้น b. ทําในสิ่งที่ทําได้ดีที่สุด เรื่องไหนที่ไม่ถนัดหาคนอื่นที่ถนัดทํา c. ควบคุมตารางประจําวันของตนเอง มิฉะนั้นคนอื่นจะเป็นคนควบคุมให้คุณ d. ทําในสิ่งที่รักเพราะมันจะสร้างพลังให้คุณ e. ทํางานกับคนที่คุนเข้าขากับเขาได้ดี เพราะจะทําให้คุณมีพลัง 4. เขายอมแลกความมั่นคงกับการช่วยให้โลกนี้ดีขึ้น 19
  • 20. กฎข้อที่ 12 กฎของการใฝ่รู้ เราจะพัฒนาความเก่งของเราด้วยการหมั่นตั้งคําถาม แมกซ์เวลล์เล่าให้ฟังว่าเขามีธรรมชาติที่อยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนทั่วๆไป เขาแนะนําแนวทางที่อาจ จะช่วยให้คนอื่นๆสามารถจะมีความใฝ่รู้ได้เพิ่มขึ้นคือ 1. เชื่อว่าเราเรียนรู้ได้ไม่จบสิ้น เราต้องเชื่อว่าหากเราต้องการพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้น เราต้องออกไป ค้นคว้าหาความรู้มาพัฒนาตนเอง ความรู้ ความเข้าใจ ปัญญา มันไม่เดินมาหาเราเอง เราต้อง ออกไปขวนขวายหามัน ซึ่งจะทําอย่างนั้นได้ต้องมีทัศนคติเป็นคนกระหายใคร่รู้ตลอดเวลา 2. คิดแบบมือใหม่เสมอ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นกูรูแล้ว ให้คิดว่าตนเองเป็นเด็ก เป็นมือใหม่ในทุกๆ เรื่อง จะทําให้เรากระหายใคร่รู้เพิ่มเติมตลอดเวลา มันจะทําให้คุณเป็นคนช่างถาม วิธีนี้อาจจะต้อง เป็นคนเปิดเผยกล้าถาม และไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองเราอย่างไร หากใครที่มีคําตอบเสมอแสดงว่า คนเหล่านั้นอาจจะสําคัญผิดคิดว่าตนเองเป็นกูรูและหมดไฟที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆเพราะคิดว่าตนเอง รู้แล้วทุกเรื่อง 3. มีคําถามว่า “ทําไม” เป็นคําโปรด เขาสังเกตว่าผู้นําที่พัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นนั้นชอบถามคําถาม ไม่ใช่ชอบตอบ ยิ่งถามเก่งพวกเขาก็ยิ่งเก่ง และคนที่ถูกถามก็ยิ่งเก่งขึ้น 4. ใช้เวลากับคนที่กระหายใคร่รู้ 5. ตั้งเป้าว่าจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆทุกวัน ตื่นนอนมาพร้อมทัศนคติที่ว่าเราใจเปิดกว้างพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ เปิดหูเปิดตาพร้อมรับตลอดเวลา ไตร่ตรองสิ่งที่รับรู้เข้ามา หากเราเอาแต่รับแต่ไม่ได้ย่อยโดยการ คิดทบทวนหรือไตร่ตรองแล้วเราอาจจะไม่เห็นนัยของเรื่องราวนั้นๆ 6. เห็นประโยชน์ของความล้มเหลว คนส่วนใหญ่ขยาดกับความผิดพลาดและล้มเหลว เมื่อเขาเจอเขา มักจะหลีกเลี่ยงมันในอนาคต คนที่กระหายใคร่รู้จะตระหนักว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ พวก เขาจะถามว่า “ทําไมจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น” “ฉันจะเรียนรู้อะไรจากปัญหานี้ได้บ้าง” “ฉันจะเก่งขึ้นมา จากการฝ่าฟันปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง” 7. หยุดมองหาคําตอบเดียว เพราะว่าปัญหาที่เราเจอนั้นมันมีโอกาสมีคําตอบได้มากกว่าหนึ่งอย่าง อย่าคิดหาคําตอบสําเร็จรูป หรืออย่าพึงพอใจกับคําตอบที่ได้ และอย่าพึงพอใจกับอะไรที่มันดีอยู่ แล้ว ระวังคําพูดที่ว่า “ถ้ามันไม่เสียก็อย่าไปยุ่งกับมัน” แต่ให้ตั้งคําถามใหม่ว่า “เมื่อมันไม่เสีย แต่ ว่าเราจะพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไรบ้าง” “มันดีตอนนี้ แต่ว่าคิดว่าเมื่อไรที่มันอาจจะเสีย ในอนาคต” “มันดีอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะดีอยู่ได้นานแค่ไหนในขณะที่โลกเลี่ยนแปลงตลอดเวลา” 8. อย่าอายที่จะถาม ทําตัวให้เป็นเด็ก กล้าถาม ไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองว่าเราโง่ 9. คิดนอกกรอบ อย่าเอาแต่คิดว่า “เราไม่เคยทําอย่างนี้มาก่อนนี่” “นั่นไม่ใช่งานฉัน” แมกซ์เวลล์ บอกว่า “เวลาผมได้ยินคนพูดแบบนี้ ผมอยากจะเขย่าหมอนั่นแรงๆซักทีเพราะว่าเขาตายไปแล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง” 10.มีความสุขกับชีวิต ทําในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทํา ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นคือการเรียนรู้ 20
  • 21. กฎข้อที่ 13 กฎของการเป็นต้นแบบให้คนอื่น เราอาจจะพัฒนาตนเองให้เก่งขึ้นได้ด้วยตนเอง แต่ว่าการมีใครบางคนที่คุณสามารถพูดคุยกับเขา แบบตัวต่อตัว และให้เขาเป็น Mentor ให้คุณได้จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะการที่คิดและหารือกับ ตนเองโดยลําพังนั้น คุณอาจจะคิดวนไปวนมาและหาทางออกให้ตนเองไม่ได้ แมกซ์เวลมีเมนเตอร์หลายคน เช่นซิก ซิกกล้าร์ จอห์น วูดเด้น ฯลฯ อย่างไรก็ตามเขาเตือนว่าบาง คนดูจากระยะห่างๆน่าจะเป็นเม็นเตอร์ที่ดีของเรา ปรากฎว่าพอเข้าไปสัมผัสจริงๆแล้วกลับไม่โดนใจ เรานั้น เขาบอกว่าอย่าผิดหวัง ซึ่งการจะให้ใครเป็นเม็นตอร์เรานั้นการรู้จักเลือกจึงมีความสําคัญ เขาแนะนําแง่คิดเกี่ยวกับการมีเม็นเตอร์ว่า 1. เม็นเตอร์ที่ดีต้องมีคุณค่าที่ดีพอจะเป็นแบบอย่างให้เรา พวกเขาควรมีคุณลักษณะ อุปนิสัยที่ดีที่เรา อยากเลียนแบบ 2. เม็นเตอร์มีให้เราเลือก แต่ต้องเลือกให้เป็น อย่าเลือกคนที่ประสบการณ์ห่างเรามากเกินไป เช่นเรา เป็นพนักงานระดับต้นหากให้ซีอีโอเป็นเม็นเตอร์เรา เขาอาจจะมีมุมมองที่ไกลตัวเกินไป ควรจะห่าง จากเราสองสามขั้นก็พอ แล้วค่อยๆยกระดับเม็นเตอร์เมื่อเราเติบโตในงานสูงขึ้น 3. พวกเขาควรผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอควร แม๊กซ์เวลเล่าว่าตอนที่เขาเริ่มงานบริหารใหม่ๆเขาไปขอ ความรู้จากคนที่มีประสบการณ์ โดยยินดีจ่ายเงิน $100 สําหรับเวลา 30 นาที จากรุ่นพี่ที่เก๋ากว่า เขาให้สอนเขาเรื่องภาวะผู้นําและการบริหาร 4. เม็นเตอร์มีปัญญาที่แหลมคม เขาเล่าตัวอย่างของโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งมีเครื่องจักรสําคัญเสียจึงเรียก ที่ปรึกษามาซ่อม ที่ปรึกษามาพร้อมกับค้อนเล็กๆหนึ่งอัน เดินดูเครื่องซักพักหนึ่ง แล้วก็เคาะค้อน เบาๆลงที่จุดๆหนึ่ง เครื่องก็กลับมาทํางานได้ตามปกติ เขาส่งบิลมาเรียกเก็บ $ 1,000 โดย แยกแยะให้เห็นว่า ค่าเคาะ $1 และค่าองค์ความรู้ที่รู้ว่าจะเคาะตรงไหนอีก $999 คนที่มีปัญญาจะ พูดเพียงไม่กี่คําเราก็เห็นทางสว่างแล้ว เขาช่วยให้เราฉลาดขึ้นในบางเรื่องแทนที่จะต้องเรียนรู้เป็นปี ค่อยทราบ 5. เม็นเตอร์ที่ดีให้กําลังใจและมีมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ เขายกตัวอย่าง จิม คอลลินส์แห่ง Good to great พูดถึง ปีเตอร์ ดรั๊กเกอร์เม็นเตอร์ว่า “ผมได้มิตรภาพอันยิ่งใหญ่จากเขามากกว่าปัญญาญาณของ เขาเสียอีก” 6. เม็นเตอร์ที่ดีเป็นโค้ชด้วย เขาช่วยปลดปล่อยศักยภาพเราออกมา โค้ชที่ดีมีคุณลักษณะคือ (COACH) Care เขาใส่ใจในตัวโค้ชชี่ Observe เขาสังเกต จดจ้องใน ทัศนคติ พฤติกรรม และผลงานโค้ชชี่ Align เขาช่วยพัฒนาจุดแข็งให้เกิดผลงานยอดเยี่ยม Communicate สื่อสารและให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับผลงาน Help ช่วยทําให้งานและชีวิตดีขึ้น 21
  • 22. เราจะประยุกต์ใช้บทเรียนจากบทนี้ได้อย่างไร 1.ระบุเป้าหมายในอาชีพในอนาคต แล้วหาเม็นเตอร์ที่ช่วยคุณให้ไปให้ถึงเป้าหมายนั้น มองหาคนที่ คุณชื่นชมซึ่งนําหน้าคุณไปสองสามช่วง เมื่อเขายอมช่วยคุณแล้ว นําสิ่งที่เขาแนะนําไปใช้ แล้วกลับ มารายงานผลไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม แล้วถามคําถามใหม่ แล้วนําไปปฎิบัติ และนํากลับม รายงาน 2.ระบุจุดแข็งหรือศักยภาพที่คุณต้องการพัฒนา และระบุประเด็นที่คุณต้องการใครบางคนมาช่วย ชี้แนะออกมา แล้วสรรหาเม็นเตอร์ที่ช่วยคุณในเรื่องราวเหล่านี้ได้ 3.หาเม็นเตอร์ระยะยาว เริ่มจากศึกษาเรื่องของเขา เช่นอ่านหนังสือของเขาก่อน แล้วหาทางเข้าหา เขา หรือหาคนแนะนําให้ สุดท้าย อย่าผิดหวังหากบางคนที่ดูดีมาก แต่พอสัมผัสจริงๆแล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คาด มองหาคน อื่นๆแทน อย่าให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีทําให้คุณขยาดการมีเม็นเตอร์ 22