Empfohlen
Weitere ähnliche Inhalte
Was ist angesagt?
Was ist angesagt? (20)
Andere mochten auch
Andere mochten auch (12)
Ähnlich wie การพูดแสดงทรรศนะ
Ähnlich wie การพูดแสดงทรรศนะ (20)
การพูดแสดงทรรศนะ
- 1. . แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะอยู่ อย่างพอเพียง รายวิชา ภาษาไทย ท๒๓๑๐๒ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนที ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่องการพูดอภิปรายพาเพลิน บนพื้นฐาน ความพอเพียง เวลา ๔ ชั่วโมง ***************************************************** ๑.มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และ พูดแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมี วิจารณญาณและสร้างสรรค์ มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ตัวชี้วัด ม.๓/๔ พูดในโอกาสต่างๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ ม.๓/๖ มีมารยาทในการพูด ๒.สาระการเรียนรู้ การพูดอภิปรายแสดงทรรศนะเป็นการพูดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยนำา เสนอความคิดบนพื้นฐานของหลักเหตุผล ผู้พูดต้องตระหนักถึงหลักการ พูดแสดงทรรศนะที่ดี ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เลือกใช้ภาษาในการ สื่อสารได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้การพูดสัมฤทธิ์ผล ๓.จุดประสงค์การเรียนรู้ ๔.๑ บอกความหมายของการพูดอภิปรายแสดงทรรศนะได้ถูกต้อง ๔.๒ บอกรูปแบบของการพูดอภิปรายแสดงทรรศนะได้ถูกต้อง ๔.๓ เขียนบทพูดอภิปรายพาเพลินได้ถูกต้อง มีเนื้อสมบูรณ์ ๔.๔ พูดอภิปรายพาเพลินได้ถูกต้อง ผู้ฟังคล้อยตาม ๔.๕ มีมารยาทในการพูด ๔.สาระการเรียนรู้ ๕.๑ ความหมายและรูปแบบของการพูดแสงทรรศนะ
- 2. 2 ๕.๒ ความหมายและรูปแบบของพูดอภิปราย ๕.๓หลักการเขียนบทพูดอภิปรายพาเพลิน ๕.๔ หลักการพูดอภิปรายพาเพลิน ๕.๕ มารยาทในการพูดที่ดี ๕. สมรรถนะสำาคัญของผู้เรียน ๕.๑ มีความสามารถในการสื่อสาร : ผู้เรียนสามารถสื่อสารถึง ความรู้และความเข้าใจในการพูดแสดงทรรศนะผ่านกระบวนการของ การอภิปรายพาเพลิน ๕.๒ มีความสามารถในการคิด : ผู้เรียนสามารถวิเคราะห์เนื้อหา สาระ โดยใช้หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๕.๓ มีความสามารถในทักษะใช้ทักษะการคิด : ผู้เรียนสามารถนำา ข้อคิดที่ได้จากกระบวนการพูดอภิปรายพาเพลิน ใน หัวข้อ................................. แล้วนำาข้อคิดที่ได้มาใช้ในการดำาเนิน ชีวิต ๕.๔ มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : ผู้เรียนสามารถใช้สมา ร์ทโฟนในการสืบค้นความรู้จากอินเทอร์เน็ต เรื่อง.....................................เพื่อนำาความใช้ประกอบในการพูดให้มี เหตุผล น่าเชื่อถือ ๖. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๖.๑ มุ่งมั่นในการทำางาน ๖.๒ ใฝ่เรียนรู้ ๖.๓ อยู่อย่างพอเพียง ๖.๔ มีมารยาทในการพูด ๗.ชิ้นงาน/ภาระงาน ชิ้นงาน ภาระงาน ๗.๑ ใบงานเรื่อง "การพูดอภิปราย พาเพลิน" พูดอภิปรายพาเพลินใน หัวข้อ............................ ๗.๒ ใบงานเรื่อง "การเขียนบทพูด อภิปรายพาเพลิน" ๗.๓ใบงานเรื่องการพูดอภิปราย
- 3. 3 พาเพลินรอบฉับพลันได้ความรู้ อะไรบ้างจากการฟังการพูด อภิปราย ๗.๔ แผนภาพ กราฟิก รีวิว เรื่อง สิ่งที่ได้จากการพูดอภิปรายพา เพลินใน หัวข้อ....................................... ๘.กระบวนการเรียนรู้ (ชั่วโมงที่ ๑) ๘.1 ขั้นนำาเข้าสู่บทเรียน ๑. ครูถามนักเรียนว่า “ใครรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่พูดไม่ค่อย ”เก่งบ้างและปัญหาของการที่ทำาให้ตนเองพูดไม่เก่งคืออะไร ให้นักเรียน กันร่วมกันอภิปราย จากนั้นครูสุ่มนักเรียนที่ตอบว่าตนเองพูดไม่เก่ง แล้ว ให้เล่าให้เพื่อนฟังว่าเหตุผลที่ตนพูดไม่เก่งคืออะไร ๘.๒ ขั้นสอน ๒. นักเรียนจับคู่กันแล้วระดมความคิดว่า “การพูดที่ดีควรมี ”ลักษณะอย่างไร จากนั้นสรุปการพูดที่ดีลงในบัตรบันทึกพูดดีมีเสน่ห์ ด้านหน้า ๓. เปิดวิดิทัศน์เรื่อง “ประกวดการพูดอภิปรายสร้างภายใต้ โครงการเตรียมความพร้อมสู่อาเซียน ”บนแนวทางเศรษฐกินพอเพียง จากนั้นแต่ละคู่สังเกตการพูดดังกล่าวว่ามีลักษณะอย่างไร จากนั้นบันทึก ลงในบัตรบันทึกพูดดีมีเสน่ห์ หน้าหลัง ๔. นักเรียนจับกลุ่ม กลุ่มละ ๖-๗ คน คิดชื่อกลุ่มโดยให้มีคำา ว่า “ ”พูด อยู่ชื่อกลุ่มของตนเองด้วย ๕. แจกใบความรู้เรื่องการพูดแสดงทรรศนะและการพูด อภิปราย ให้สมาชิกในกลุ่มร่วมศึกษาแล้วตอบคำาถามดังต่อไปนี้ ๘.๓ ขั้นสรุป ๖. สุ่มนักเรียน ๕ คน โดยให้นักเรียนเลือกตอบคำาถามคนละ ๑ ข้อ เพื่อตอบคำาถามในข้อที่ตนเองเลือกให้เพื่อนฟัง คำาถามที่ ๑ การพูดแสดงทรรศนะคืออะไร มีรูปแบบใดบ้าง คำาถามที่ ๒ การพูดอภิปรายคืออะไร มีกระบวนการพูด อย่างไร คำาถามที่ ๓ ในการพูดแต่ละครั้งผู้พูดควรมีมารยาทในการ พูดอย่างไร คำาถามที่ ๔ จากการศึกษาในงานเรื่องการพูดแสดง ทรรศนะและการพูดอภิปรายพาเพลิน
- 4. 4 ๗. ครูเพิ่มเติมคำาตอบที่นักเรียนตอบ แล้พูดเสริมแรง เพื่อให้ นักเรียนเกิดความภาคภูมิใจและ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคนอื่นๆ อยาก ตอบ ************************************************************* ๘.กระบวนการเรียนรู้ (ชั่วโมงที่ ๒) ๘.๑ ขั้นนำาเข้าสู่บทเรียน ๑. เปิดวิดิทัศน์รายการเดี่ยว ไมโครไฟน วันที่ ......เวลา....จาก ยูทูป แล้วถามนักเรียนว่า “การพูดของโน๊ตอุดมมีความ น่าสนใจหรือไม่ เพราะเหตุใด ครูสุ่มนักเรียน ๒-๓ คน เพื่อพูดแสดง ”ความคิดเห็น ๒. ครูกล่าวชื่นชมในคำาตอบของนักเรียนและเพิ่มเติมความรู้ ในส่วนของการพูดแสดงความคิดเห็น ๘.๒ ขั้นสอน ๓. นักเรียนเข้ากลุ่ม โดยใช้กลุ่มเดิมเมื่อคาบที่แล้ว ๔. นักเรียนในกลุ่มร่วมกันทบทวนรูปแบบการพูดพาที สร้างสรรค์ ๕. นักเรียนแต่ละกลุ่มแบ่งสมาชิกออกเป็น ๒ ทีม ทีมละ ๓ คน หากมีสมาชิกเหลือให้สมาชิกที่เหลือเป็นพิธีกรประจำากลุ่ม ๖. ครูจัดฐานการเรียนรู้ในรูปแบบการสอนแบบจิ๊กซอว์ หัวข้อเรื่อง การเขียนโครงเรื่องและการเขียนบทพูดอภิปรายพาเพลิน ๗.นักเรียนกลับไปยังกลุ่มบ้านของตนเองแล้วผลัดกันเล่า เรื่องที่ตนได้ศึกษาเรียนรู้มาจาก จิ๊กซอว์การเขียนโครงเรื่องและการเขียนบทพูดอภิปรายพาเพลิน ๘.นักเรียนทำาใบงานตอบคำาถามจากจิ๊กซอว์การเขียนโครง เรื่องและการเขียนบทพูดอภิปรายพาเพลิน ๙.หัวหน้าทีมนำาเสนอ ใบงาน แล้วนำาใบงานส่งครู แบบจิ๊กซอว์การเขียนโครงเรื่องและการ เขียนบทพูดอภิปรายพาเพลิน ผู้เชี่ยวชาญที่ ๑ ด้านบทบาทหัวหน้าทีม ผู้เชี่ยวชาญที่ ๒ ศึกษาบทบาท สมาชิกคนที่ ๑-๓ ผู้เชี่ยวชาญที่ ๓ ศึกษาการเขียนโครงเรื่องและบทพูด ใบงานเรื่องเขียนโครงเรื่องและการเขียน บทพูดอภิปรายพาเพลิน คำาถามที่ ๑ ภายในเวลา ๑๕ นาที นักเรียนทำางานเสร็จ หรือไม่ เพราะอะไร คำาถามที่ ๒การศึกษาเรียนรู้มีปัญหาใดหรือไม่ หากมี
- 5. 5 ๘.๓ ขั้นสรุป ๙. ครูกล่าวชื่นชมในความมุ่งมั่นในการทำางานของนักเรียน ๑๐. ครูมอบหมายการบ้านให้นักเรียนทำาใบงานโครงเรื่อง และการเขียนบทพูด ตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมายจากทีม แล้วส่งครู เพื่อให้ครูแนะนำาเพิ่มเติมนอกเหนือเวลาเรียน ************************************************************* ๘.กระบวนการเรียนรู้ (ชั่วโมงที่ ๓) ๘.๑ ขั้นนำาเข้าสู่บทเรียน ๑.ทักทายนักเรียนด้วยภาษาอังกฤษ "Good morning /How are you today ?" ให้นักเรียนตอบเป็นภาษาอังกฤษ แล้วอธิบายนักเรียนให้เห็นความ สำาคัญของภาษาอังกฤษว่าเป็นสิ่งที่จำาเป็นต่อการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑ นอกจากทักษะภาษาอังกฤษแล้ว ยังมีทักษะทางภาษาที่น่าสนใจ นั่นคือ การพูดอภิปรายพาเพลิน เพราะช่วยฝึกกระบวนการคิดของเรียน ๒.ครูทบทวนความรู้เรื่องการพูดอภิปรายด้วยคำาถามว่า "พูด อภิปรายมีกี่ประเภท แต่ละประเภท มีประโยชน์กันนักเรียนอย่างไรบ้าง" ๘.๒ ขั้นสอน ๓. นักเรียนเข้ากลุ่มเดิม แล้วแบ่งสมาชิกออกเป็นทีมพาและ ทีมเพลิน ๔. นักเรียนนำาบทพูดของตนเองไปแลกกับกลุ่มอื่น แล้วผลัด กันวิจารณ์ เขียนคำาวิจารณ์ลงในบทของเพื่อน ๕. ให้สมาชิกในกลุ่มร่วมกันเสนอแนะในบทพูดดังกล่าว แล้วส่งให้กลุ่มเดิมพิจารณา หากนักเรียนมีข้อสงสัยให้ยกมือถามครู ๖. ให้หัวหน้าทีมสร้างยืนขึ้นแล้วหันหน้าเข้าหาสมาชิกใน กลุ่มของตนเอง แล้วพูดตามบทที่ตนได้เขียน โดยใช้เวลา ๓ นาที จาก นั้นให้สมาชิกคนที่1 พูด ๒ นาที ต่อด้วยสมาชิกคนที่ ๒ อีก ๒ นาที จบ ด้วยการที่หัวหน้าทีมพูดสรุป ๒ นาที ๘.นักเรียนทำาใบงานเรื่องสิ่งที่ได้รับจากการพาทีสร้างสรรค์ ในรอบแรกโดยตอบคำาถามต่อไปนี้ สิ่งที่ได้รับจากการพาทีสร้างสรรค์ในรอบแรก ๑.นักเรียนได้ความรู้อะไรจากการอภิปรายในรอบแรก ๒.ในการอภิปรายในรอบแรกมีอุปสรรคหรือไม่ มีวิธีแก้อย่างไร ๓.นักเรียนได้พัฒนาตนเองในด้านใดบ้าง ๔.ภาระงานอภิปรายในรอบแรกทำาให้นักเรียนเกิดการฝึกฝน นิสัยตนเองอย่างไร
- 6. 6 ๙.นักเรียนและครูคัดเลือกทีมที่พูดดีที่สุด เพื่อสาธิตการ แข่งขันพูดอภิปรายในรอบแรกหน้าชั้นเรียน โดยใช้เวลาประมาณ ๑๐ นาที ๑๐.นักเรียนร่วมกันตัดสินทีมที่พูดได้ดีที่สุด แล้วประกาศทีม ที่ชนะการแข่งขัน ๘.๓ขั้นสรุป ๑๐.ครูชื่นชมนักเรียนที่มีความตั้งใจทำากิจกรรม และเสนอ แนะเพิ่มเติมเกี่ยววิธีการพูดอภิปรายพาเพลิน รวมทั้งมอบหมายให้ นักเรียนฝึกซ้อมพูดอภิปรายพาเพลินนอกเหนือเวลาเรียน ************************************************************* ๘.กระบวนการเรียนรู้ (ชั่วโมงที่ ๔) ๘.๑ ขั้นนำาเข้าสู่บทเรียน ๑. ถามนักเรียนว่า “นักเรียนคิดว่าการพูดอภิปรายพาเพลิน ส่งผลดีในเรื่องใดบ้าง ”เพราะอะไร ๒. สุ่มนักเรียน ๒-๓ คน ตอบคำาถาม ครูเสนอแนะเพิ่มเติมถึง การพูดอภิปราย ที่สามารถฝึกทักษะการคิด การทำางานเป็นทีมและการ ฝึกทักษะการสื่อสาร ๘.๒ ขั้นสอน ๓. ให้สมาชิกทีมพาและทีมเพลินที่ได้รับการคัดเลือกมา เตรียมการแข่งขันในรอบฉับพลันหน้าชั้นเรียน ๔. ครูแจ้งกติกาการแข่งขันพูดอภิปราย รอบฉับพลัน ๕.ครูคัดเลือกทีมที่พูดได้ดีที่สุด แล้วทำาแข่งขันอภิปรายพา เพลินในรอบฉับพลัน มีขั้นตอนดังนี้ กติกาการแข่งขันพูดอภิปรายพาเพลิน รอบฉับพลัน ๑.หัวหน้าทีมแต่ละทีม จับสลากทีมพาและทีม เพลิน ๒.หัวหน้าทีมสร้างจับสลากหัวข้อ ขั้นตอนแข่งขันพูดอภิปรายพาเพลิน ในรอบฉับพลัน ๑. หัวหน้าทีมทั้ง ๒ จับสลาก เพื่อเลือกทีมพาและ ทีมเพลิน ๒. ผู้ที่เป็นทีมสร้างจับสลากหัวข้อในการพูด ๓. ครูประกาศหัวข้อแล้วประชุมทีม ๑๐ นาที ๔.เริ่มพูดจากดังนี้ ๔.๑ หัวหน้าทีมพา พูด ๓ นาที ๔.๒ หัวหน้าทีมเพลิน พูด ๓ นาที ๔.๓ สมาชิกคนที่ ๑ ทีมพา พูด ๒ นาที ๔.๔ สมาชิกคนที่ ๑ ทีมเพลิน พูด ๒ นาที ๔.๕ สมาชิกคนที่ ๒ ทีมพา พูด ๒ นาที
- 7. 7 ๖.ในขณะที่เพื่อนทำาการแข่งขัน ให้นักเรียนที่เหลือเป็นผู้ สังเกตการณ์ และจดบันทึก ข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละทีม ๘.๓ ขั้นสรุป ๗.นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความรู้และสิ่งที่ได้รับจาก การพูดอภิปรายพาเพลินรอบฉับพลัน ๘.ครูกล่าวเสริมแรง ให้กำาลังใจนักเรียนและชื่นชมเมื่อ นักเรียนทำาได้ถูกต้อง และปลูกฝังให้นักเรียนใช้วิธีการของพูดอภิปราย พาเพลินในการหาความรู้ต่างๆ เพื่อให้นักเรียนมีภูมิคุ้มกันที่ดีในการใช้ ชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ๙.สื่อและแหล่งเรียนรู้ ๙.๑ บัตรบันทึกพูดดีมีเสน่ห์ ๙.๒ วิดิทัศน์เรื่อง การพูดอภิปรายพาเพลินภายใต้โครงการการเต รียมความพร้อมสู่อาเซียน ๙.๓ ใบความรู้เรื่องการพูดแสดงทรรศนะและรูปแบบการพูด อภิปรายพาเพลิน ๙.๔ วิดิทัศน์เรื่อง รายเดี่ยวไมโครไฟน ๙.๕ จิ๊กซอว์การเขียนบทพูด ๙.๖ใบงานเรื่องการเขียนบทพูด ๙.๗ ใบงานเรื่องการพูดอภิปรายพาเพลินรอบฉับพลัน
- 8. 8 ๑๐.การวัดผลและการประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์การประเมิน ๑. ตรวจชิ้นงานบัตร บันทึกพูดดี มีเสน่ห์ ๑.แบบประเมินการ ตรวจชิ้นงานบัตร บันทึกพูดดีมีเสน่ห์ ๑.ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๖๐ ๒.ตรวจชิ้นงานเรื่อง การเขียนบทพูด ๒.แบบประเมินการ ตรวจชิ้นงานเรื่องการ เขียนบทพูด ๒.ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๖๐ ๓.ตรวจชิ้นงานเรื่อง การพูดอภิปรายพา เพลินรอบฉับพลัน ๓.แบบประเมินการ ตรวจชิ้นงานเรื่องการ พูดอภิปรายพาเพลิน รอบฉับพลัน ๓.ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ ๖๐ ๑๑.การนำาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการ จัดการเรียนรู้ ๓ ห่วง ประเด็น พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันในตัว ที่ดี เนื้อหา สาระ - กำาหนดเนื้อหา สาระเหมาะสม -ปริมาณงานที่มอบ หมายเหมาะสม -เนื้อหาสาระตรง ตามตัวชี้วัด -มีการวิเคราะห์ หลักสูตร -วางแผนการ จัดการเรียนรู้ -ครูค้นคว้าหาความ รู้เพิ่มเติมในเรื่องที่ สอน กิจกรรม การเรียนรู้ -กำาหนดเวลาจัด กิจกรรมเหมาะสม -จำานวนนักเรียนใน กลุ่มเหมาะสม -วัตถุประสงค์มี -กำาหนดกิจกรรม การเรียนรู้ให้ สอดคล้องกับตัวชี้ วัด โดยการเรียน เรียนรู้ที่รู้ที่เน้นผู้ -วางแผนการ จัดการเรียนรู้อย่าง รอบคอบ เพื่อให้ผู้ เรียนสมารถเรียนรู้ ได้อย่างเต็มความ
- 9. 9 ความเหมาะสมกับ นักเรียน เรียนเป็นสำาคัญ สามารถ วัสดุ อุปกรณ์ -อุปกรณ์เครื่อง เสียงอยู่ในสภาพ พร้อมใช้งาน ทัน สมัยน่าสนใจ มี ความเพียงพอกับ จำานวนนักเรียน -ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างมี ประสิทธิภาพ -กำาหนดข้อตกลง การใช้วัสดุอุปกรณ์ -วางแผนการใช้ วัสดุอุปกรณ์ให้เกิด ประสิทธิภาพ ๓ ห่วง ประเด็น พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันในตัว ที่ดี เวลา -เหมาะสมกับ กิจกรรม ใช้เวลา ๔ ชม. - บริหารเวลาให้ เหมาะสมกับ กิจกรรมการเรียน รู้ -วางแผนการใช้ เวลา -จัดเวลาสำารอง สื่อ/แหล่ง การเรียนรู้ -สื่อการสอนมีความ ทันสมัย ใกล้ตัว เพียงพอต่อจำานวน ผู้เรียน - ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างเต็ม ความสามารถ -วางแผนการใช้ สื่อ/แหล่งเรียนรู้ -จัดเตรียมสื่อให้ เพียงพอ เหมาะสม ต่อผู้เรียน การวัด ประเมินผล -ใช้เครื่องวัดและวิธี การวัดผล ถูกต้อง ตามหลักการวัดผล - เพื่อตรวจสอบ ความรู้ความ เข้าใจ จากการ เรียนรู้ - ใช้เครื่องมือวัดผล ที่ที่มีคุณภาพ - มีการวัดและ ประเมินตามสภาพ จริง ความรู้ - ครูมีความรู้ในเรื่องการพูดแสดงทรรศนะ/การพูดอภิปรายพา เพลิน - ครูมีความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร - ครูมีความรู้ในการวัดและการประเมินผล
- 10. 10 คุณธรรม - ครูใช้หลักคุณธรรมในการจัดการเรียนรู้ - ครูมีความรอบในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ - ครูยึดหลักกัลยาณมิตรธรรม ในการปฏิบัติตน ๑๑.๒ ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะ "อย่างอย่างพอ เพียง" (๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ๔ มิติ) ๓ ห่วง หลักพอประมาณ หลักมีเหตุผล หลักการสร้าง ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี - ผู้เรียนแบ่งเวลาเหมาะ สม - ผู้เรียนแบ่งหน้าที่ ในการทำางาน อย่างเหมาะสมกับ ความสามารถ แต่ละคน - มีการวางแผนการ ทำางาน - ผู้เรียนใช้วัสดุอย่างคุ้ม ค่า - ผู้เรียนทำาตาม หน้าที่ที่ได้รับมอบ หมายสำาเร็จ - ทำาหน้าที่ที่ตนได้รับ หมอบหมาย - ผู้เรียนแบ่งหน้าที่ใน การทำางาน -ผู้เรียนใช้วัสดุ อย่างคุ้มค่า - ใช้วัสดุอย่างคุ้มค่า -นักเรียนรู้จักการ ทำางานเป็นกลุ่ม
- 11. 11 ๒ เงื่อนไข ความรู้ คุณธรรม - ความหมายและรูปแบบของการ พูดแสดงทรรศนะ - มุ่งมั่นในการทำางาน - ความหมายและรูปแบบของพูด อภิปรายพาเพลิน - ใฝ่เรียนรู้ - หลักการเขียนบทพูดอภิปรายพา เพลิน - อยู่อย่างพอเพียง - หลักการพูดอภิปรายพาเพลิน - มีมารยาทในการพูด - มารยาทในการพูดที่ดี ๑๑.๓ ประเมินผลลัพท์ (KPA) ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน จากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผล ลัพ ท์ อยู่อย่างพอเพียง..สมดุลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ในด้านต่างๆ วัตถุ สังคม สิ่ง แวดล้อ ม วัฒนธรร ม ควา - ใช้เวลาเหมาะ สม - ทำางานตามหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย - -
- 12. 12 มรู้ - ใช้อุปกรณ์ อย่างรู้คุณค่า - เกิดการเรียนรู้ใน กระบวนการกลุ่ม ทัก ษะ - มีทักษะการ บริหารเวลา - มีทักษะในการแส วหาความรู้ - - - มีทักษะในการ ใช้ อุปกรณ์ -มีทักษะการทำางาน เป็นทีม - - ค่า นิยม - เห็นคุณค่า ของการบริหาร เวลา - เห็นความสำาคัญใน การอยู่ร่วมกัน และ การทำางานเป็นทีม - - ๑๒.๑ ผลการจัดการเรียนรู้ตามมาตรฐานการ เรียนรู้/ตัวชี้วัด (ผลการเรียนรู้) ๑๒.๑.๑ นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับความหมายของการพูดแสดง ทรรศนะได้ถูกต้อง ๑๒.๑.๒ นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับรูปแบบของการพูดแสดง ทรรศนะได้ถูกต้อง ๑๒.๑.๓ นักเรียนสามารถเขียนบทพูดอภิปรายพาเพลินได้ถูกต้อง มีเนื้อสมบูรณ์ ๑๒.๑.๔ นักเรียนสามารถพูดอภิปรายพาเพลินได้ถูกต้อง ผู้ฟัง คล้อยตาม ๑๒.๑.๕ นักเรียนมีมารยาทในการพูด ๑๒.๑.๖ นักเรียนมีคุณลักษณะมุ่งมั่นในการทำางาน ๑๒.๑.๗ นักเรียนมีคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ ๑๒.๑.๘ นักเรียนมีคุณลักษณะอยู่อย่างพอเพียง ๑๒.๑.๙ นักเรียนมีคุณลักษณะมีมารยาทในการพูดที่ดี ๑๒.๒ ข้อสังเกต/ข้อค้นพบ
- 13. 13 23.3.2 การพูดพาทีสร้างสรรค์เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ทำาให้ผู้ เรียนเกิดทักษะการค้นหาความรู้ การนำาเสนอ และทำาให้ผู้เรียนมีทักษะ ในการคิดที่ดี ๑๒.๓ ปัญหาและอุปสรรคในระหว่างการเรียนรู้ - ๑๒.๔ ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข - ลงชื่อ...............................................ผู้สอน (นายอภิชาติ เมืองมูล) ตำาแหน่งครูคศ. ๑ โรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา
- 14. 14 ภาคผนวก
- 15. 15 ใบความรู้เรื่อง การพูดแสองทรรศนะและรูปแบบการพูดอภิปรายพา เพลิน การพูดแสดงทรรศนะ ความหมายของคำาว่าทรรศนะ ทรรศนะ คือ ความคิดเห็นที่ประกอบด้วยเหตุผล ทรรศนะ เขียนได้สองแบบ คือ ทรรศนะ หรือ ทัศนะ โครงสร้างของการแสดงทรรศนะ การแสดงทรรศนะ ประกอบด้วยส่วนสำาคัญ ๓ ส่วนดังนี้ ๑. ที่มา คือส่วนที่เป็นเรื่องราวต่างๆ อันทำาให้เกิดการแสดง ทรรศนะหรือสิ่งที่จะชี้ให้เห็นถึงความ จำาเป็นที่จะต้องแสดงทรรศนะนั้น ที่มาจะช่วยให้ผู้รบสารเกิดความเข้าใจและพร้อมที่จะรับฟัง ทรรศนะนั้น ๒. ข้อสนับสนุน คือข้อเท็จจริง หลักการ รวมถึงทรรศนะ หรือมติของผู้อื่นที่แสดงทรรศนะนำามาใช้ ประกอบกันเพื่อให้เป็นเหตุผล สนับสนุนข้อสรุปของตน ๓. ข้อสรุป คือสาระที่สำาคัญที่สุดของทรรศนะ อาจเป็นข้อ เสนอแนะ ข้อวิจัย ข้อสันนิษฐาน หรือ การประเมินค่า ซึ่งเจ้าของ ทรรศนะนำาเสนอเพื่อให้ผู้อื่นพิจารณายอมรับหรือนำาไปปฏิบัติ ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล ความแตกต่างระหว่างทรรศนะของบุคคล ขึ้นอยู่กับอิทธิพล สำาคัญ ๒ ประการ คือ ๓.๑ คุณสมบัติตามธรรมชาติของมนุษย์ หมายถึง คุณสมบัติที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่น ความมีไหวพริบ เชาวน์ปฏิภาณ ความถนัดหรือพรสวรรค์ ๓.๒ สิ่งแวดล้อม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่เป็น ธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างหรือกระทำาขึ้นซึ่งสิ่งแวดล้อมรอบตัว มนุษย์แต่ละคน
- 16. 16 ประเภทของทรรศนะ ทรรศนะที่มนุษย์แสดงกัน อยู่เป็นปกติในสังคม ออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑. ทรรศนะเชิงข้อเท็จจริง ส่วนใหญ่จะเป็นทรรศนะที่กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเป็นเรื่องที่ คนในสังคมถกเถียงกันอยู่ว่า ข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นอย่างไรกันแน่ การแสดงทรรศนะเชิงข้อเท็จจริงจึงเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้นจะ น่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด แล้วแต่เหตุผลที่ผู้แสดงทรรศนะนำามาสนับ สนุนเป็นสำาคัญ ๒. ทรรศนะเชิงคุณค่า ทรรศนะประเภทนี้ เป็นทรรศนะที่ประเมินว่า สิ่งใดดี สิ่งใดด้อย สิ่งใดเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ สิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม สิ่ง เหล่านั้นอาจเป็นวัตถุ บุคคล กิจกรรม โครงการ วิธีการ นโยบาย หรือ แม้แต่ทรรศนะก็ได้ ผู้แสดงทรรศนะอาจประเมินค่าสิ่งนั้นโดยลำาพังตัว ของมันเอง หรือประเมินโดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่อยู่ในประเภทเดียวกัน หรือมีลักษณะเป็นไปในทำานองเดียวกันตามเกณฑ์ที่กำาหนดขึ้น ๓. ทรรศนะเชิงนโยบาย ทรรศนะเชิงนโยบายเป็นทรรศนะที่บ่งชี้ว่าควรทำาอะไร อย่างไรต่อไปในอนาคต หรือควรจะปรับปรุงแก้ไขสิ่งใดไปในทางใด อย่างไร นโยบายมีหลายระดับ ตั้งแต่บุคคล องค์การ สถาบัน ตลอดไป จนถึงระดับประเทศชาติ ทรรศนะเชิงนโยบายมักจะต้องบ่งชี้ให้แจ่มชัด ด้วยว่า สิ่งที่จะเสนอให้ทำานั้น มีขั้นตอนอย่างไร มีเป้าหมายอะไร เป็น ประโยชน์อย่างไร และหากมีอุปสรรคจะแก้ไขอย่างไร อาจรวมไปถึงวิธี ปฏิบัติว่าน่าจะกระทำาอย่างไรด้วย ลักษณะของภาษาที่ใช้แสดงทรรศนะ มีดังนี้ ๑. การใช้คำาหรือกลุ่มคำาเพื่อบ่งชี้ว่า เป็นการแสดงทรรศนะ เช่น คง ควร คงจะ น่าจะ ควรจะ เห็นว่า คิดว่า เชื่อว่า ฯลฯ เช่น คง, คงจะ : เขาคงไม่ประพฤติเช่นนั้น วันนี้เพื่อนผมคงจะหายป่วย ควร, ควรจะ : เราควรยกย่องในคุณงามความดีของเขา เราควรจะยกโทษให้เขา น่า,น่าจะ : เธอพูดจาสุภาพและนิสัยน่ายกย่อง น่าจะเอาตัวอย่างที่ดีจากเขามาปฏิบัติ
- 17. 17 เห็นว่า : ผมเห็นว่าคำาพูดของนักการเมืองบางคนไม่น่าเชื่อ ถือ คิดว่า : ข้าพเจ้าคิดว่าผู้ที่จะมาเป็นผู้นำาจะต้องมีความ ซื่อสัตย์สุจริต เชื่อว่า : ดิฉันเชื่อว่าคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างเธอจะทำาสิ่งใด ก็ต้องประสบความสำาเร็จอย่าง แน่นอน ๒. เป็นข้อความที่มีทั้งข้อสรุปและข้อสนับสนุน เช่น - ผมเห็นว่าการออกกำาลังกายเป็นประจำาจะช่วยให้มี สุขภาพดี เราจึงควรออกกำาลังกายทุกวัน - ดิฉันคิดว่ารายการต่างๆในโทรทัศน์มีอิทธิพลมากต่อ ความคิดของเยาวชน ดังนั้น ผู้ผลิตรายการที่สร้างสรรค์เพื่อเยาวชนทั้ง หลายควรได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเอกชนให้มากขึ้น ปัจจัยที่ส่งเสริมการแสดงทรรศนะ เมื่อบุคคลมีโอกาสแสดงทรรศนะแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นอีกหลาย ข้อที่ช่วยส่งเสริมการแสดงทรรศนะนั้นๆ อาจสรุปปัจจัยเหล่านี้ได้ เป็น๒ประการ คือปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน ปัจจัยภายนอก มีอาทิ สื่อ ผู้รับสาร บรรยากาศแวดล้อม เวลา สถานที่ บุคคลอื่น ปัจจัยภายใน มีอาทิ ความสามารถในการใช้ภาษาทั้งวัจ นภาษา และอวัจนภาษา ความเชื่อมั่นในตนเอง ความรู้และประสบการณ์ ทัศนคติ สติปัญญาและความพร้อมทางกาย การประเมินค่าทรรศนะ แนวทางในการประเมินค่าทรรศนะควรเป็น ดังนี้ ๑. ประโยชน์และลักษณะสร้างสรรค์ ๒. ความน่าเชื่อถือและความสมเหตุสมผล ๓. ความเหมาะสมกับผู้รับสารและกาลเทศะ ความมุ่งหมายของการอภิปราย ๑.เพื่อเสนอปัญหาหรือเรื่องบางอย่าง ๒.ให้คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน ทรรศนะอย่างมีหลักเกณฑ์และมีเหตุผลตามหลักประชาธิปไตย ๓.ผู้ร่วมอภิปรายเสนอข้อเท็จจริง ข้อเสนอแนะ และ แสวงหาข้อแก้ไขที่ดีที่สุด อาจมีความเห็นสอดคล้องกันหรือโต้ แย้งกันก็ได้ ๔.หาข้อยุติของปัญหาหรือเรื่องดังกล่าว ๕.ให้ข้อคิดและเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป
- 18. 18 ประเภทของการอภิปราย ๑.การอภิปรายกลุ่ม หมายถึง การอภิปรายที่บุคคลมาร่วม ปรึกษาหารือกัน อาจมีจำานวน ๕-๑๐ คน หรือมากกว่านี้ก็ได้ ทุก คนมีส่วนในการพูด ผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง การอภิปรายแบบนี้ จะไม่มีผู้ฟัง เพราะทุกคนเป็นทั้งผู้้้พูดและผู้ฟังนั่นเอง ๒.การอภิปรายในที่ประชุม หมายถึง การอภิปรายที่ กำาหนดวัตถุประสงค์ไว้แน่นอนว่าทุกคนจะมาร่วมประชุมเพื่อ แสดงความคิดเห็นสำาหรับหัวข้อยุติในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การ อภิปรายแบบนี้มีประธานในการอภิปราย ทำาหน้าที่ควบคุมการ ดำาเนินการอภิปรายให้เป็นไปตามระเบียบวาระ และหลังจากที่ สมาชิกมาร่วมประชุมอภิปรายกัน เสร็จสิ้นจนได้ข้อยุติ ก่อน เสนอข้อยุตินั้นสมาชิกจะต้องลงคะแนนเสียงกันก่อนเพื่อให้ แน่ใจว่าเป็นมติของที่ประชุมจริง บางครั้งอาจมีการคัดเลือกผู้ที่มี ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ประมาณ ๓-๕ คน ร่วม อภิปรายเป็นคณะ ส่วนคนที่เหลือก็เป็นผู้ฟัง และหลังจากได้ อภิปรายแล้วจะเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามข้อสงสัย เมื่อทุกคน เข้าใจกระจ่างดีแล้วจึงสรุปข้อยุติที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ถือ เป็นมติของที่ประชุม จากนั้นประธานก็กล่าวปิดอภิปรายได้ หน้าที่ของผู้ดำาเนินการอภิปราย การอภิปรายจะประสบผลสำาเร็จมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับ ผู้ดำาเนินการอภิปราย ซึ่งหน้าที่ของ ผู้ดำาเนินการอภิปราย ได้แก่ ๑.กล่าวแนะนำาผู้ร่วมอภิปรายให้ผู้ฟังรู้จักอย่างย่อๆ ๒.กล่าวชื่อเรื่องที่จะอภิปรายและกำาหนดเวลาการอภิปราย ๓.เชิญผู้อภิปรายพูดให้ทั่วถึงกัน คอยรักษาเวลาการพูดให้อยู่ ในกำาหนด ๔.เข้าใจเรื่องที่จะอภิปรายอย่างดี ประชุมปรึกษาหารือวางแผน การพูดไว้ล่วงหน้า ๕.ช่วยสรุปการพูดอภิปรายของแต่ละคนและเชื่อมโยงไปยังผู้ อภิปรายแต่ละคนได้ ๖.คอยเพิ่มเติมหรือสรุปเรื่องอภิปรายให้ผู้ฟังเข้าใจดียิ่งขึ้น ๗.คอยแจกคำาถามของผู้ฟังให้ผู้อภิปราย
- 19. 19 หน้าที่ของผู้อภิปราย ๑.เข้าใจเนื้อเรื่องที่จะพูดเป็นอย่างดี เตรียมตัวมาอย่างดี ๒.ประชุมปรึกษาหารือกับคณะผู้อภิปราย แบ่งหัวข้อตาม ความถนัดของตน ๓.รักษาเวลาในการพูดให้เคร่งครัดเสมอและตรงต่อการ นัดหมาย ๔.ใช้ภาษาพูดที่กะทัดรัด ชัดเจน ๕.รักษามรรยาทที่ดีในการพูด เช่น กิริยาท่าทาง สีหน้า และการควบคุมอารมณ์ ๖.ผู้อภิปรายควรเปิดโอกาสให้ผู้อื่นพูดบ้าง ไม่พูดมาก เสียคนเดียว ๗.เพิ่มเติมเนื้อเรื่องบางตอนหากเห็นว่าผู้อภิปรายยังพูดไม่ สมบูรณ์ ปัญหาหรือหัวข้อเรื่องที่จะนำามาอภิปราย ๑.ไม่ควรเน้นปัญหาที่กว้างเกินไปจนสรุปผลไม่ได้ หรือ ต้องใช้เวลายาวนาน ๒.ควรเป็นปัญหาที่มีสาระและเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ๓.ควรเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่ได้ประสบและเป็นปัญหาที่ พบได้บ่อยๆ ๔.ควรเป็นปัญหาที่สังคมส่วนใหญ่เข้าใจยากหรือเข้าใจไม่ ถูกต้อง
- 23. 23 บทพูด .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......... ............................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... ........................ .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......... ............................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... ........................ .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......... ............................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... ..........................................................................................
- 25. 25 .......................................................................................... ........................ .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......... ............................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... ........................ .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......... ............................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... ........................ .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... .......... ............................................................................... .......................................................................................... .......................................................................................... ..........................................................................................