Weitere ähnliche Inhalte
Mehr von SRINAKARIN MOTHER PRINCESS SCHOOL (20)
รายงาน
- 2. จัดทำโดย นายอดิศร ข้องชัยภูมิ ชั้นม.๕/๓ เลขที่๑๑ นายจตุรงค์ เชิดพาณิชย์ ชั้นม.๕/๓ เลขที่๓ นายวินัย สังฆมณี ชั้นม.๕/๓
- 9. ตำนาน”ซิกกูแรต” ในสังคมของพวกซูเมเรีย ภัยจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ รวมทั้งการไร้ปราการธรรมชาติที่จะขวางกั้นศัตรูได้สร้างความรู้สึกสิ้นหวังให้แก่พวกเขาและยอมตกอยู่ในอำนาจลี้ลับของพระเจ้า พวกซูเมเรียมองมนุษย์ว่าเกิดมาเพื่อรับใช้พระเจ้าเท่านั้น และไม่ว่ามนุษย์จะกระทำการใดๆก็ไม่อาจทำให้พวกเขาเป็นมากกว่าลม คือ ไม่มีตัวตน ดังนั้นพวกซูเมเรียจึงทุ่มเทให้กับการสร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ มีลักษณะคล้ายกับภูเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ขนาดสูงใหญ่ที่สุดตามธรรมชาติเรียกว่า “ซิกกูแรต”(ziggurat)เพื่อเป็นเทวสถานในการบูชาพระเจ้าหรือเทพประจำเมืองเพื่อไม่ให้พระองค์ทรงขุ่นเคืองและลงทัณฑ์มนุษย์ด้วยภัยต่างๆ รวมทั้งเป็นที่สอนหนังสือให้แก่นักบวชรุ่นเยาว์ เพื่อให้มีความรู้ต่างๆและให้อ่านออกเขียนได้
- 11. วรรณกรรมที่สำคัญ วรรณกรรมที่สำคัญ ได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับการผจญภัยของกิลกาเมซ ประมุขและวีรบุรุษแห่งอุรุก(Uruk)มีชีวิตอยู่ในราว๒๗๐๐ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งต่อมาตกทอดไปยังพวกบาบิโลนและเป็นที่นิยมแพร่หลายในชื่อ มหากาพย์กิลกาเมช มรดกทางวัฒธรรมสำคัญอีกประการหนึ่งของพวกซูเมเรีย คือการประดิษฐ์จานหมุนเพื่อใช้ในการปั้นภาชนะดินเผาในราว๓๕๐๐ปีก่อนคริสต์ศักราช ถือว่าเป็นมรดกชิ้นแรกของโลก นอกจากนี้พวกเขายังสร้างวงล้อที่ประกอบติดกับเพลาใช้กับเกวียนและรถศึก ซึ่งเปิดโอกาสให้นักรบบนรถศึกสามารถใช้อาวุธได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกซูเมเรียยังมีความสามารถเชิงคณิตศาสตร์ รู้จักนำระบบฐานเลข ๖๐ ในการแบ่งเวลาและมุม การคำนวณพื้นที่วงกลม การหาระยะทาง การคำนวณ การคิดมาตราชั่ง เป็นต้น นอกจากนี้พวกเขายังสนใจศึกษาและจดบันทึกการโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ โดยเชื่อว่าการโคจรดังกล่าวเกิดจากการกระทำของพระเจ้าและมีอิทธิพลต่อมนุษย์
- 12. ในต้นศตวรรษที่๒๔ก่อนคริสต์ศักราช อาณาจักรซูเมเรียำด้ถูกพระเจ้าซาร์กอนที่๑(sargon l, 2370-2315 ปีก่อนคริสต์ศักราช)เผ่าซีไมต์(semite)แห่งราชอาณาจักรอัคคาเดียน(akkadian)ทางตอนเหนือเข้ารุกรานและยึดครองได้ อย่างไรก็ดี วัฒนธรรมของซูเมเรียมิได้ถูกทำลายแต่ได้รับการสืบทอด ราชวงศ์อัคคัดก็มีอำนาจอยู่เพียงสั้นๆพวกซูเมเรียจากเมืองอูร์(ur)สามารถฟื้นฟูอำนาจได้แต่ต่อมาได้ถูกชนเผ่าอีลาไมต์(Elamite)จากดินแดนที่เป็นที่ตั้งของประเทศอิหร่านในปัจจุบันบุกเข้าทำลายเมืองหลังจากนั้นพวกซูเมเรียได้สูญสิ้นอำนาจทางการเมืองอย่างถาวรแต่วัฒนธรรมก็ยังคงได้รับการสืบทอดตอๆกันมา
- 15. ผลงานที่สำคัญของบาบิโลน ได้แก่ การประมวลกฎหมายฮัมมูราบี โดยพระเจ้าฮัมมูราบี(๑๗๙๒-๑๗๔๕ปีก่อนคริสต์ศักราช)หลักการของกฎหมายมีรากฐานมาจากของพวกซูเมเรีย แต่ได้จัดเป็นระบบ เป็นการสร้างความยุติธรรมให้แก่สังคมกฏหมายฮัมมูราบีจารึกในศิลาสีดำทรงกระบอกสูง๒.๔๐ เมตรบนยอดหัวเสาร์สลักรูปเทพเจ้ามาร์ดุก(marduk)กำลังประทานกฎหมายให้แก่พระเจ้าฮัมมูราบีประมวลกฎหมายมีจำนวน ๓๐ แถว รวมกัน ๓๐๐ มาตรา
- 16. เศรษฐกิจของบาบิโลน อาณษจักรบาบิโลนเก่ายังมีลักษณะเป็น”รัฐสวัสดิการ”ที่รัฐดูแลพลเมืองอย่างใกล้ชิด เช่น ชดใช้ทรัพย์สินมห้แก่เจ้าทรัพย์หากจับคนร้ายไม่ได้ ควบคุมเศรษฐกิจมิให้พ่อค้าเอาเปรียบประชาชน กำหนดราคาสินค้าและค่าพยาบาล รวมทั้งค่าก่อสร้าง ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ๒๐ส่วนลูกหนี้ที่ไม่มีเงินจ่ายคืนมีโทษเป็นทาสไม่เกินสามปี ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าแนวคิดที่จะทำให้ความยุติธรรมแก่ผู้คนในสังคมในกฏหมายฮัมมูราบีได้เป็นรากฐานของเจตนารมณ์ของกฏหมายในประเทศตางๆในปัจจุบัน และมาตราโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับครอบครัวก็เป็นที่มาของกฏหมายอิสลามที่ใช้กันอย่างกว้างขวางด้วย
- 17. สมัยจักรวรดิอัสซีเรีย(๑๓๐๐-๖๑๒ปีก่อนคริสต์ศักราช) ก่อนคริสต์ศักราช พวกอัสซีเรียเข้ายึดครองดินแดนทั้งหมดของเมโสโปเตเมียรวมทั้งอียิปต์ตอนเหนือ ทำให้อัสซีเรียกลายเป็นเจ้าแห่งดินแดนวงพระจันทร์เสี้ยวไพบูลย์(fertile crescent)ที่ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่อ่าวเปอร์เซียจนถึงริมฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและอียิปต์ มีศูนย์กลางปกครอง ณ เมืองนิเนเวห์ พวกเขามีความเชื่อว่ากษัตริย์ของตนป็นสมมติเทพหรือผู้แทนของพระเจ้า จึงนิยมสร้างวังแทนวัดเพื่อเป็นที่ประทับศูนย์กลางของการปกครอง ภายในวังตกแต่งด้วยภาพประติมากรรมนูนต่ำที่สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูกษัตริย์ในฐานะนักรบและนักล่า ศิลปวัฒนธรรมของอัสซีเรียเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดเมื่อในสมัยพระเจ้าออัสซูร์บานิปาล(๖๖๘-๖๒๙ปีก่อนคริสต์ศักราช)พระองค์สะสมผลงานเขียนอักษรลิ่มซึ่งเป็นมรดกจากซูเมอร์และบาบิโลนเก่าเป็นจำนวนถึง๒๒๐๐๐แผ่นไว้ในราชวัง รวมทั้งเรื่องมหากาพย์กิลกาเมชด้วย
- 22. พวกฟินีเชีย พวกฟินีเชียเป็นชื่อที่ชาวกรีกใช้เรียกพวกแคนาไนต์ ที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในซีเรีย(ปัจจุบันคือ เลบานอน)ชาวฟินีเชียมีความสามารถทางด้านการค้า สร้างเรือเดินสมุทรและจัดตั้งอาณานิคมหรือเมืองลูกก่อนชาวกรีกตั้งแต่ศตวรรษที่๑๑ก่อนคริสต์ศักราช พวกเขาเดินเรือไปถึงเกาะอังกฤษเพื่อซื้อดีบุก แร่เงินและทองแดงที่สเปน สร้างอาณาจักรคาร์เทจทางตอนเหนือของแอฟริกาและอาณาจักรในเกาะซิซิลีในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนี้ พวกเขายังมีความสามารถในการทำเครื่องเรือน เครื่องแก้ว เครื่องโลหะและเครื่องประดับ และรู้จักย้อมผ้าโดยใช้สีจากเปลือกหอย อย่างไรก็ดี พวกฟินีเชียไม่ใช่นักสร้างสรรค์ ไม่มีผลงานทางวรรณกรรมหรืองานศิลปะที่สำคัญ มรดกที่สำคัญ
- 23. พวกฮิบรูหรือยิว พวกฮิบรูหรือยิวเป็นชนเผ่าเซเมติก เรื่องราวของพวกเขาปรากฏในพันธสัญญาเก่า ครั้งหนึ่งเคยประสบความสำเร็จในการสร้างราชอาณาจักรและขยายเป็นจักรวรรดิอิสราเอล แต่ไม่สามารถผดุงรักษาไว้ได้ในสมัยอาณาจักรบาบิโลนใหม่ พวกยิวถูกกวาดต้อนไปเป็นทาส ต่อมาตกเป็นตกอยู่ใต้การปกครองของเปอร์เซีย กรีกและโรมัน ในค.ศ.๗๐พวกฮิบรูได้ก่อกบฏต่อจักรวรรดิโรมันและถูกทัพโรมันปราบปรามจนกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และต้องอยู่อย่างกระจัดกระจายในดินแดนต่างๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป พวกเขาจึงแสวงหาดินแดนแห่งคำสัญญา มรดกสำคัญที่ชาวฮิบรูทิ้งไว้ คือ การนับถือพระเจ้าองค์เดียว ได้แก่พระยะเวห์หรือพระยะโฮวา หรือพระเป็นเจ้าในคริสต์ศาสนา